Baan Jompra

ชื่อกระทู้: พระอาจารย์ของเสด็จเตี่ยฯ [สั่งพิมพ์]

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:52
ชื่อกระทู้: พระอาจารย์ของเสด็จเตี่ยฯ
จากบทเรื่องเล่าของหลวงปู่โทน เกี่ยวกับ "หลวงปู่เทพโลกอุดร"




ปู่โทน หลำแพร เป็นชาวบ้านโพธิไทร อำเภออินทร์บุรี จังหวัด สิงห์บุรี เมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มน้อยได้บวชเป็นสามเณรอยู่ 3 พรรษา และอุปสมบทเป็นพระภิกษุต่ออีก 2 พรรษา ขณะที่บวชเรียนอยู่นั้น ปู่โทนก็สนใจในวิชาวิปัสสนากรรมฐาน ได้เคยศึกษาและปฏิบัติ จากพระอาจารย์ผู้มีความรู้ทางด้านนี้หลายรูป ต่อมาแม้เมื่อได้ลาสิกขาออกมาครองเพศฆราวาสแล้ว ปู่โทนผู้นี้ก็ยังสนใจในวิชาวิปัสสนากรรมฐานอยู่ พยายามหาโอกาสออกแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญธรรม อยู่เสมอ ขณะที่ท่านมีอายุได้ประมาณ 30 ปี ครั้งหนึ่งก็ได้ออกไปแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญ และในที่สุดก็ได้พบกับสถานที่ที่ต้องการแห่งหนึ่ง คือ ในถ้ำพระ ซึ่งอยู่หลังเขาช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์


คืนหนึ่งขณะที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ พอจิตได้อารมณ์เป็นสมาธิแน่วนิ่งแล้วก็บังเกิดความประหลาดขึ้น โดยมีพระภิกษุรูปหนึ่งได้ปรากฏให้เห็นในนิมิต ตามคำบอกเล่าของปู่โทนบอกว่า พระภิกษุรูปนั้น มีลักษณะเหมือนคนโบราณ แต่ผิวพรรณผ่องใส มีสง่าราศีน่าเคารพนับถือ ดูจากรูปร่างภายนอกแล้วเห็นว่ายังหนุ่มแน่นแต่ศีรษะมีหงอกขาวโพลน ครั้นได้เห็นพระภิกษุรูปนั้น ปู่โทนก็เข้าใจว่าคงจะเป็นพระอาจารย์ทางวิปัสสนากรรมฐานผู้มีญาณวิเศษ สามารถถอดจิตมาสนทนากันได้ในนิมิต และการมาของท่านก็คงจะมาเพื่อสนทนาธรรมหรือช่วยชี้แนะข้อธรรมกรรมฐานที่ท่านติดขัดอยู่
ปู่โทนจึงได้เรียกถามท่านไป(ในนิมิต)ว่า


“ พระคุณเจ้าเป็นใคร ”


พระภิกษุหนุ่มผู้มีสง่าราศีน่าศรัทธายิ่งรูปนั้น ก็ตอบให้ทราบว่า ท่านคือหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นพระธุดงค์อาศัยอยู่ตามป่าเขาลำเนาถ้ำเป็นวัตร ที่มานี่ก็เพื่อต้องการจะมาชี้แนะธรรมปฏิบัติบางอย่าง เพราะเห็นว่าอุบาสกโทนยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง ปู่โทนได้ทราบอย่างนั้นก็ปลื้มปิติยิ่งนัก ที่จะได้มีพระอาจารย์ผู้มีความรอบรู้มีคุณวิเศษเลิศล้ำ มาเมตตาชี้แนะข้อธรรมให้ ซึ่งบัดนั้นปู่โทนไม่ได้ทราบว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ว่านั้นเป็นใครมาจากไหน เพราะว่า ท่านไม่เคยได้พบเจอ หรือได้ยินได้ทราบกิตติศัพท์มาก่อนว่า ท่านผู้นี้อยู่ที่ไหนแต่ปู่โทนก็ยินดีที่จะน้อมรับคำแนะนำเรื่องการวิปัสสนาจากพระภิกษุผู้มาอย่างแปลกประหลาดรูปนี้ หลังจากนั้นหลวงปู่เทพโลกอุดรก็เมตตาชี้แนะวิธีทำกรรมฐานให้กับปู่โทนอธิบายจนปู่โทนเข้าใจดีแล้ว ก็หายวับไป ปู่โทนกลับคืนอารมณ์ปกติ แต่ก็ยังจำเหตุการณ์นั้นได้ติดตา และยังปลื้มปิติไม่หาย ปู่โทนได้คำแนะนำนั้นมาปฏิบัติจนเห็นผลในเวลาไม่นาน ครั้นบำเพ็ญธรรมกรรมฐานอยู่ที่นั่นพอสมควรแล้วปู่โทนก็กลับมายังบ้าน เพื่อประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยงครอบครัวต่อไป แต่แม้ว่าปู่จะกลับมาอยู่บ้าน แต่ก็ไม่เลิกทำกรรมฐานเสียเลย ยังคงบำเพ็ญอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็น้อยกว่าเวลาไปบำเพ็ญในที่วิเวกตามป่าเขาลำเนาถ้ำเท่านั้นเอง และหลังจากนั้นปู่โทนก็ได้หาโอกาสไปบำเพ็ญธรรมที่ถ้ำพระนั้นอีก และก็ได้พบพระอาจารย์ในนิมิต ที่ท่านรู้จักในนาม หลวงปู่เทพโลกอุดรมาคอยชี้แนะข้อธรรมะให้อีก และสอนในระดับสูงขึ้น ๆ ปู่โทนไปอยู่ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระอาจารย์ในนิมิคที่นั่นอยู่เป็นนานพอสมควร จนกระทั่งวันหนึ่ง พระอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดรก็ได้บอกให้กับศิษย์คือ ปู่โทนถอดจิตออกจากสมาธิแล้วลืมตาขึ้น บัดนั้นเอง ปู่โทน ศิษย์ผู้ที่เคยแต่ได้เห็นอาจารย์แต่เพียงในนิมิต ก็ได้เห็นพระอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดรด้วยตาเนื้อจริง ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะว่ารูปร่างลักษณะของพระอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ศิษย์ปู่โทนได้เห็นด้วยตาเปล่าในขณะนั้นเหมือนกับที่ได้เห็นในนิมิตอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย เพราะเหตุนี้เอง ในเวลาต่อมาปู่โทนจึงเชื่อว่า หลวงปู่เทพโลกอุดรนั้นท่านยังไม่ได้มรณภาพ ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่ท่านอยู่ในที่ของท่านและท่านไม่ค่อยจะปรากฏให้ใครได้เห็นง่าย ๆ คนที่จะได้เห็นท่านนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญวาสนา หรือเคยบุญเกี่ยวข้องกันมาแต่ชาติปางก่อน ตั้งแต่มานั้นการเรียนการสอนจึงได้ดำเนินมาทั้งในนิมิต และภาพจริง ๆ วิชาความรู้ที่หลวงปู่เทพโลกอุดรได้ถ่ายทอดให้กับศิษย์ ปู่โทน หลำแพร ในตอนนั้น นอกจากจะเป็นวิชาเกี่ยวกับการนั่งวิปัสสนา



กรรมฐานแล้ว ท่านยังได้สอนในเรื่องเวทมนตร์คาถา เพราะท่านสามารถกำหนดจิตทราบได้ว่า ปู่โทนต้องการจะเด่นในทางทรงฤทธิ์เดชและนอกจากนั้นแล้วท่านยังได้สอนวิชาแพทย์แผนโบราณ การใช้ยาสมุนไพรต่าง ๆ ประกอบยาให้ด้วย ซึ่งในเวลาต่อมาปู่โทนก็ได้ใช้วิชาความรู้เหล่านี้มาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ้นจากการถูกทรมานด้วยโรคร้าย และนอกจากนั้นแล้ว ท่านยังได้เป็ผู้เชี่ยวชาญและแนะนำการวิปัสสนากรรมฐานให้แก่บุคคลทั่วไป ถือได้ว่า ท่านเป็นวิปัสสนาจารย์ที่เป็นฆราวาสผู้มีความรอบรู้คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่อยู่ศึกษาวิชาต่าง ๆ กับหลวงปู่เทพโลกอุดรนั่น ปู่โทนได้เปิดเผยถึงประสบการณ์ ที่ท่านประทับใจมากอย่างหนึ่ง และผู้เขียนเห็นว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก แต่เมื่อนำมาเล่าแล้วท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ ก็สุดแต่ท่าน ขอให้ใช้วิจารณญาณพิจารณาเอาเอง เรื่องที่ว่านี้ ก็คือ เรื่องที่หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้พาศิษย์ คือ ปู่โทนไปท่องป่าหิมพานต์ หลังจากที่ปู่โทน ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกับอาจารย์หลวงปู่เทพโลกอุดรจนมีความสามารถพอสมควรแล้ว วันหนึ่ง หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้บอกกับปู่โทน หลำแพร ผู้เป็นศิษย์ว่า “ อยากจะไปเที่ยวป่าหิมพานต์ไหม



โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:52
ปู่โทนได้ยินดังนั้นก็ให้ตกใจเล็กน้อย เพราะคิดว่าป่าหิมพานต์มีอยู่จริงหรือ เพราะเท่าที่ท่านทราบจากการศึกษาพระพุทธศาสนาก็พอจะทราบป่าหิมพานต์ที่ว่านี้ ก็คือป่าในเขตหนาว ซึ่งก็อยู่ในแถวเทือกเขาหิมาลัยโน่น แต่อย่างไรก็ตามท่านยังไม่เคยได้ยินได้ทราบว่ามีใครได้เคยไปเที่ยวป่าหิมพานต์นั้นมาก่อน จึงพากันคิดว่าป่าหิมพานต์เป็นเพียงแต่ฉลากสถานที่แห่งหนึ่งที่กล่าวถึงในพระเวสสันดรชาดก ซึ่งถือเป็นนิยายปรัมปรา หรือ เทพนิยายทางตะวันออกก็ว่าได้ คิดไม่ถึงว่าจะมีอยู่จริง และสามารถที่จะไปเที่ยวได้ แต่อย่างไรปู่โทน ก็ศรัทธาและเชื่อมั่นในความเหนือธรรมดาของพระอาจารย์รูปนี้ ปู่จึงคิดว่าอาจารย์ไม่ได้พูดเล่นเป็นแน่ จึงตอบไปว่า “ อยากไปขอรับ ”
ถึงแม้ว่าจะตอบรับไปแล้วแต่ปู่โทนก็ยังไม่วายสงสัยว่า อาจารย์จะพาตนไปที่นั่นได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพราะว่าตนยังคิดไม่ออกว่า เจ้าป่าหิมพานต์ที่ว่านั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ต้องไม่ใช่อยู่ใกล้ ๆแน่ และที่สำคัญการเดินทางไปที่นั่น ต้องไม่มีการคมนาคมสะดวกสบายเหมือนกับเดินทางไปสู่ถิ่นเจริญอื่น ๆ เป็นแน่แท้ เพราะว่าถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะมีใครต่อใครดั้นด้นเดินทางไปถึงมาแล้ว แล้วคงจะมีคนกลับมาเล่าให้ฟังกันบ้างแล้ว
ปู่โทนจึงได้ถามหลวงปู่เทพโลกอุดรว่า
“ จะไปที่นั่นกันอย่างไรหรือขอรับ “
หลวงปู่ตอบว่า
“ จะให้ปู่โทนขี่หลังท่านไป ”
ปู่โทน ก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จะให้ศิษย์ขี่หลังเหาะไปอย่างนั้นหรือ แต่ท่านเชื่อว่า อาจารย์ผู้เลิศด้วยฤทธิ์อภิญญา เหนือโลกท่านนี้จะต้องพาตนไปยังที่ป่าหิมพานต์นั้นได้อย่างแน่นอน จึงไม่ได้ซักไซร้ให้มากความ เมื่อตกลงกันเช่นนั้นแล้วหลวงปู่เทพโลกอุดร ก็ได้นัดแนะวันที่จะนำศิษย์เอกเดินทางไปชมป่าหิมพานต์ว่า จะไปกันในอีก 7 วันข้างหน้า พร้อมกันนั้นท่านก็ได้กำชับศิษย์เอกว่า
“ ในวันนั้น ให้แต่งกาย นุ่งขาว ห่มขาว และเมื่อเดินทางไปถึงป่าหิมพานต์แล้วก็ให้สำรวมกาย วาจา ใจ อย่างเคร่งครัด อย่าตื่นกลัวและห้ามซักถามใด ๆ ” ในที่สุดกำหนดการเดินทางไปท่องดินแดนมหัศจรรย์ก็มาถึง วันนั้นปู่โทนแต่งกายด้วยชุดขาว ตามที่หลวงปู่เทพโลกอุดรสั่ง หลังจากนั้นก็นั่งสมาธิแผ่เมตตาไปทั่วสากลโลก ออกจากสมาธิแล้ว ก็ได้นั่งรอการมาของหลวงปู่เทพโลกอุดร แต่เพียงนึกถึงเท่านั้น หลวงปู่เทพโลกอุดรก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้า มาถึงแล้วหลวงปู่เทพโลกอุดรก็ได้ซักซ้อมความเข้าใจกับศิษย์อีกครั้ง โดยถึงการปฏิบัติเมื่อเดินทางไปถึงป่าหิมพานต์
ครั้นซักซ้อมกันเข้าใจดี หลวงปู่ก็เอาผ้าสีดำผืนหนึ่งมาปิดตาลูกศิษย์เอกจากนั้นก็ให้เกาะหลังท่าน พาหายไปจากที่นั่นในขณะเดินทางอยู่นั้นปู่โทนจึงไม่ได้เห็นอะไรเลย เพราะมีผ้าปิดตาอยู่ แต่เมื่อพาไปถึงที่หมาย หลวงปู่ก็แก้ผ้าดำที่ปิดตาศิษย์อยู่ออก จากนั้นปู่โทนจึงได้เห็นอะไรต่อมิอะไรในดินแดนมหัศจรรย์แห่งหนึ่ง ต่อมาปู่ท่านได้นำมาเปิดเผยว่า “ เห็นต้นไม้ใหญ่ สูงมาก แผ่กิ่งก้านสาขาทึบร่มครึ้มคล้ายต้นมะม่วง ใบยาวคล้าย ๆ ใบกล้วย ออกดอกออกช่อ ห้อยโตงเตงเป็นร่างผู้หญิงสาวสวยมาก สวยคล้ายนางฟ้า ดอกหนึ่งมีผู้หญิงสาวสองคนห้อยโตงเตงอยู่ด้วยกัน บางดอกก็เพิ่งเป็นตัวตน งอตัวคล้ายทารกงอตัวอยู่ในท้องแม่อย่างนั้นแหละ ท่านพระครู (หลวงปู่เทพโลกอุดร ) ไม่ได้บอกว่าเป็นต้นอะไร แต่ฉันก็รู้ได้ทันทีว่า นี้คือ ต้นดอกนารีผลในป่าหิมพานต์ เวลานี้ได้มาถึงป่าหิมพานต์แล้วเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก ฉัน (ปู่โทน ) ตะลึงลานไปหมด เอามือขยี้ตาตัวเองว่าฝาดไปหรือเปล่า ก็ไม่ได้ตาฝาด หยิกเนื้อหยิกตัวเองดูก็เจ็บ ไม่ได้ฝันไปเลย นารีผลแขวนโตงเตงดารดาษเต็มไปหมดทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมตลบไปหมด หอมเหลือเกิน หอมอย่างเครื่องหอมที่ไม่มีในโลก ฉันเคลิบเคลิ้มงงงวย หัวใจยังงี้รู้สึกเหมือนจะลอยจากร่าง ใต้ต้น (นารีผล ) โล่งเตียนสะอาดสะอ้าน คล้ายมีคนมากวาดไว้เรียบร้อย อากาศหนาวเย็นมาก รู้สึกว่าเป็นเขากว้างมาก มีภูเขาสูง ๆ ล้อมรอบ ยอดเขามีหิมะปกคลุม นารีผลนั้นไม่เห็นพูดแต่รู้สึกว่ามีชีวิตจิตใจ สวยจริง ๆ เคลิบเคลิ้มเกิดอารมณ์เสน่หารัญจวนใจจนรู้สึกใจหวิว ๆ จะขาดรอนเสียให้ได้ตรงนั้น เลยต้องกลับ ”
เรื่องเล่าในตอนนี้ของปู่โทน ได้กล่าวสัมภาษณ์นักเขียนท่านหนึ่ง คือ คุณ สิทธา เชตวัน

หลวงปู่เทพโลกอุดร นั้นมีด้วยกันหลายชื่อ หลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่อดำ หลวงพ่อโพรงโพธิ์ อภิญญากลางไพร พระอาจารย์เสือ ยังมีอีกมากมายหลาย 10 ชื่อ พระประวัติของหลวงปู่เทพโลกอุดร นั้น ไม่มี แต่เคยสัมผัสได้ว่า ท่านทรงมีตัวตนแต่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่งเท่านั้นเอง หลวงปู่เทพโลกอุดร นั้นท่านมีอายุมากกว่า 2000 กว่าปีมาแล้ว แต่ท่านสามารถเดินปฏิบัติ ธุดงควัตร อันยาวนาน โดยบางครั้งท่านจะสามารถแปลงกายเป็นสามเณร แต่มีผมสีขาวโพลน แต่กายนั้นยังหนุ่มเหมือนเด็กๆ บางครั้งท่านแปลงกายเป็นคนชรา แต่ผมก็ขาวโพลนเช่นกัน
มาอ่านกันเกี่ยวกับปริศนาอาจารย์ของหลวงปู่ศุข คือ หลวงพ่อโพรงโพธิ์ ประวัติของหลวงพ่อโพรงโพธิ์ ท่านทรงมีความเป็นอยู่ที่ลึกลับมากๆ พอๆกันกับศิษย์ของหลวงปู่เทพโลกอุดร ก่อนหน้านั้นท่านเป็นใครไม่มีใครทราบได้ มาจากไหน ไม่มีใครรู้จัก แต่ต่อมามีชาวบ้านแถบจังหวัดเพชรบุรีเดินมาพบเข้า เห็นนั่งสมาธิอยู่ที่โพรงโพธิ์ไปถึงเห็นท่านมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใสศรัทธา ก็ได้นิมนต์ท่านออกมาแล้วช่วยกันสร้างวัดให้ เมื่อถามถึงชื่อ หลวงปู่รูปนั้นก็ไม่ตอบ บอกว่าใครอยากจะเรียกชื่ออย่างไร ก็เรียกกันไป ชื่อเสียงท่านไม่มีความหมาย สำหรับท่านอยู่แล้ว ชาวบ้านก็เลยตั้งชื่อให้ท่านตามสถานที่ได้พบท่านครั้งแรก คือที่โพรงโพธิ์ จึงให้ชื่อว่าหลวงพ่อโพรงโพธิ์.
ชาวบ้านสร้างวัดให้แล้วก็นิมนต์ หลวงพ่อโพรงโพธิ์ อยู่จะพรรษา ท่านก็ได้อยู่ปฏิบัติธรรม และสั่งสอนชาวบ้านไปตามหน้าที่พระสงฆ์ชาวบ้านให้ตั้งมั่นอยู่ในคำสั่งสอนของหลวงพ่อโพรงโพธิ์ (ไม่มีการกล่าวถึงสถานที่ให้ทราบ) ตั้งแต่บัดนั้นมาหลวงพ่อโพรงโพธิ์ รูปนี้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านในย่านนั้นทั้งในเรื่องการดำเนินชีวิต ตลอดจนการรักษาพยาบาล เพราะว่านอกจากท่านจะเก่งในเรื่องเทศนาสั่งสอนแล้วท่านยังมีความรอบรู้ในเรื่องหยูกยาสมุนไพร ใครเจ็บไข้ได้ป่วยมาหาท่าน ก็รักษาเยียวยาให้.



โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:53
ต่อมามีคำเล่าลือกันว่าหลวงพ่อโพรงโพธิ์ นั้นให้หวยแม่น มีคนนำคำพูดนั้นไปตีเป็นตัวเลข ซื้อหวยถูกกันหลายราย เมื่อเรื่องนี้ออกไป จึงมีชาวบ้านชาวเมืองแห่กันมาขอหวยท่าน จนท่านไม่ได้หลับไม่ได้นอน ในวัดนั้นมีแต่ความวุ่นวายไม่เป็นสถานวิเวก เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้วจนกระทั่งวันหนึ่งนั้นมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับหลวงพ่อโพรงโพธิ์ คือมีเสือใหญ่ตัวหนึ่งขึ้นไปคาบท่านลงมาจากกุฏิ แล้วพาหายเข้าไปในป่าลึก ขณะที่เสือร้ายนั้นคาบท่านไปนั้นก็ยังมีหยดเลือดนั้นหลดไปเป็นทาง เมื่อชาวบ้านทราบเรื่องต่างก็เตรียมปืน ผาหน้าไม้ ออกติดตามช่วยเหลือหลวงพ่อ โดยสะกดรอยเลือดนั้นไป จนกระทั่งไปเจร่างของท่านนั้นซึ่งถูกเสือกัดทิ้งไว้อย่างแหกเหลว แล้วชาวบ้านก็ช่วยนำร่างของท่านนั้นมาทำการฌาปนกิจให้ตามประเพณี ร่างกายของหลวงพ่อโพรงโพธิ์ นั้นก็ถูกไฟผาผลาญไปท่ามกลางความเศร้าโศกของชาวบ้านที่มาร่วมพิธี เรืองราวของท่านน่าจะจบแล้วนั้นกลับตรงข้าม เพราหลังจากนั้นไม่นานก็มีชาวบ้านไปพบท่านนั่งสมาธิอยู่ที่ โพรงโพธิ์ ต้นเดิม เจอครั้งแรกนั้นชาวบ้านต่างก็ตกตะลึงกันใหญ่ จึงไปตามเพื่อนบ้านมาดูกันหลายคนที่ดูกันก็กล้าๆกลัวๆ แต่เมื่อลองพูดคุยด้วย หลวงพ่อก็คุยด้วยอย่างปกติ และเมื่อขออนุญาต ท่านจับต้องกาย ก็รู้สึกจากการสัมผัสได้ว่าเป็นร่างกายคนปกติ นั่นหมายถึงว่า ร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขาเวลานั้น ก็คือร่างของหลวงพ่อโพรงโพธิ์ องค์เดิมจริงๆ แต่เป็นไปได้อย่างไรละก็ในเมื่อชาวบ้านเหล่านั้นก็ได้เห็นประจักษ์ว่าท่านมรณภาพไปแล้ว และพวกเขาเองต่างก็ช่วยกันฌาปนกิจศพไปแล้วร่างของท่านก็ถูกเผาไหม้ไปต่อหน้าต่อตา ชาวบ้านต่างก็สับสนกันอลหม่าน ต่างเข้าใจว่านั้นคือความศักดิ์สิทธ์ ชาวบ้านเหล่านั้นจึงได้นิมนต์ท่านกลับไปอยู่ที่วัดเดิม เมื่อข่าวหลวงพ่อโพรงโพธิ์ ฟื้นกลับมาอย่างปาฏิหาริย์แพร่กระจายออกไป ก็มีชาวบ้านแห่กันมามากมายอีก มารบกวนท่านอีกจนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมอีก หลวงพ่อโพรงโพธิ์กลับมาได้ไม่นาน คืนหนึ่งท่านก็เข้าจำวัตร และดับขันธ์ไปในท่าไสยาสน์ คราวนี้ชาวบ้านก็ได้จัดทำฌาปนกิจศพของท่านอีกครั้ง แล้วครั้งนี้ ท่านก็ไม่ได้มาปรากฏกายให้เห็นอีกเลย


แต่เรื่องราวของท่านนั้น ก็ยังไม่จบมีชาวบ้านถิ่นอื่นในย่านจังหวัดกาญจนบุรี ได้พบเห็นพระภิกษุรูปร่างเหมือนหลวงพ่อโพรงโพธิ์ ซึ่งประวัติของหลวงพ่อโพรงโพธิ์ นั้นได้มีศิษย์เอกอยู่สองรูปคือ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า และหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ซึ่งไปสอดคล้องกับเรื่องพระอภิญญาจารย์กลางไพร ที่คุณประเจียดได้กล่าวไว้ในข้อมูลตอนหนึ่งที่ได้ศึกษาประวัติของหลวงปู่เทพโลกอุดร โดยได้รับคำบอกเล่ามาจากพระป่า รูปหนึ่งได้เล่าให้คุณ ไทยดำ ทราบและได้มาถ่ายทอดต่อจึงขอขอบคุณ คุณไทยดำไว้ ณ ที่นี้ด้วย ส่วนทางผู้ที่มาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะเชื่อหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณ ตัดสินเอาเอง หลวงพ่อโพรงโพธิ์ ก็คือ พระภิกษุแก่ชราภาพ ที่จะนำให้ผู้อ่านทั้งหลายนั้นได้เข้ามาอ่านติดตามเรื่องของหลวงปู่ศุข ที่ได้พบพระชรารูปหนึ่งนั้นซึ่งเป็นองค์เดียวกันนี้แหละครับ.


พระภิกษุรูปนี้นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ “ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ” มีเรื่องกล่าวกันมาว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งนั้นเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ นั้นได้ทรงเดินทางไปยังหัวเมืองปักใต้ เพื่อไปตรวจตราพวกอั้งยี่ นั้นก็ได้ไปยัง เมืองภูเก็ต และก็ไปพบกับพระภิกษุรูปหนึ่ง เรียกกันว่า หลวงปู่ดำ ที่วัดฉลอง ซึ่งเสด็จเตี่ย นั้นก็ได้เห็นพระภิกษุ นั้นมีผมขาวโพลน เส้นเล็กๆ และยืนอยู่ ก็เลยเดินเข้าไปหา ปรากฏว่าพระภิกษุรูปนั้นก็หายตัวไป แล้วก็มาปรากฏ อยู่ที่ด้านหลังของเสด็จเตี่ย (ถ้าจำไม่ผิดนะครับจากคำบอกเล่า) ต่อจากนั้นเสด็จเตี่ย นั้นก็ได้ปรารภ กับหลวงปู่ดำ นั้น ท่านก็ชี้แนะทางให้ไปพบกับลูกศิษย์ของท่านที่ทางภาคเหนือ ซึ่งมีด้วยกันอยู่ 2 รูปแล้วจะรู้เองเมื่อเสด็จเตี่ยทรงรับทราบแล้วนั้น พระภิกษุรูปนั้นก็เดินหายไปทันที.

ท่านสมาชิก คอยติดตามนะครับ แล้วท่านก็จะได้เข้าไป ทราบถึงพระประวัติของคณาจารย์ที่เป็นองค์ปฐมอาจารย์ของเสด็จเตี่ย อย่างลึกซึ้ง ที่พระองค์ท่านนั้นทรงโปรดมากที่สุดนะครับ (หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า)


โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:54

หลวงปู่ศุข


วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท

ปฐมบทของหลวงปู่ศุข

ลึกเข้าไปใน อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท อันเป็นแหล่งการค้าขายและเป็นเส้นทางคมนาคม ไปสู่ปากน้ำโพธิ์ หรือไปบางกอกก็ได้จะต้องผ่านชุมชน อ. วัดสิงห์ แห่งนี้ จึงทำให้มีเรือของพ่อค้า แม่ค้ามาจอด เพื่อซื้อขายสินค้าประเภทต่างๆกันมากมาย
พ่อค้า แม่ขาย จำพวกหนึ่งซึ่งประกอบอาชีพ โดยการล่องเรือมารับซื้อข้าวไปส่งโรงสีเพื่อหากำไรตามประสาคนค้าขายในขณะนั้นมีพ่อค้าจากบางกอกผู้หนึ่งพาลูกสาวชื่อทองดี ขึ้นมาด้วย เพื่อช่วยกันดูแลการค้าขายข้าวเป็นประจำซึ่งทำให้ลูกสาวเกิดพอใจกับหนุ่มน่วมซึ่งเป็นคนขยันและฐานะปานกลาง
ตามปกติแล้วบิดาและมารดาทั้งสองฝ่ายจะต้องพิจารณาถึงรกรากและความประพฤติตลอดจนถึงเรื่องของชาติตระกูลว่าเป็นอย่างไร และความยินยอมของทั้งสองฝ่ายโดยพร้อมใจกันทั้งฝ่ายหนุ่มและสาวที่เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย ต่อมาก็คือการนำผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาพบปะเจรจากันตามประเพณี เมื่อทำตามขั้นตอนแล้วเรื่องจึงลงเอยกันเป็นทองแผ่นเดียวกัน
สาวทองดี จึงใช้ชีวิตกับหนุ่มน่วม โดยแยกเรือนออกมาค้าขายที่ใต้วัดอู่ทอง ปากคลองมะขามเฒ่า จนได้เกิดสายเลือดด้วยกันเป็นคนแรก เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๓๙๐ โดยตั้งชิ่อว่า “ ศุข” เพราะว่าเป็นเด็กชายผู้ถือกำเนิดมา ร่างเล็กผิวขาว ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาและยังหมายถึงความสุข ความเจริญด้วย ตรงกับปีฉลู ต้นสมัยรัชกาลที่ 4 ณ บ้านข้างวัดปากคลองมะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ครั้นครองชีวิตคู่กันจนมีบุตรเกิดขึ้นอีก ๘ คน
มีบุตรและธิดา รวมหลวงปู่ศุข ด้วยกันเป็น ๙ คน
๑. หลวงปู่ศุข
๒. นางอ่ำ
๓. นายรุ่ง
๔. นางไข่
๕. นายสิน
๖ .นายมี
๗. นางขำ
๘. นายพลอย
๙ .หลวงพ่อปลื้ม
ต่อมามีญาติฝ่ายมารดาชื่อนายแฟง มีศักดิ์เป็นลุงของเด็กชายศุข ได้ขึ้นมาชัยนาท เห็นว่ามีลูกถึง ๙ คนจึงเกิดความสงสาร จึงเอ่ยปากขอลกของน้องสาวไปเลี้ยงที่ ต.บางเขน เพื่อให้หลานได้รับการศึกษาในบางกอก คุณแม่ทองดี ก็ตอบตกลงและให้นายแฟง เป็นผู้คัดเลือก ได้เลือกเอาเด็กชายหัวปีเอาไปเลี้ยง ในขณะนั้นเด็กชายศุข เจริญวัย อายุ ๑๐ ขวบ เท่านั้นนายแฟงก็เอามาเลี้ยงดูชุบเลี้ยงดูเหมือนลูกของตัวเอง จึงทำให้นายแฟงเหมือนพ่อคนที่ ๒ เด็กชายศุข ก็ทำตัวว่านอนสอนง่าย ช่วยทำงานทุกอย่างเท่าที่ตนจะทำได้อย่างสุดความสามารถ เมื่อมีเวลาว่างก็เข้าวัดเพื่อเรียนหนังสือกับพระในวัด พอเข้าออกวัดนานจนเป็นหนุ่มจึงทำให้หนุ่มศุข นั้นได้มีโอกาสเรียนวิชาอาคมและเรียนหนังสือไปพร้อมๆกัน จึงทำให้คลุกคลีกับเรื่อง คาถาอาคมเสมอมา และนอกจากนั้นหนุ่มศุขก็เลยไม่กลัวใคร และไม่ข่มเหงรังแกใคร แต่ใครมาลบหลู่รังแกมิได้ จึงมีผู้ให้ความเกรงใจไม่ใช่น้อย ต่อมาหนุ่มศุข ได้แต่งงานกับสาวชื่อสมบุญ ผู้มีศักดิ์เป็นหลานทางฝ่ายภรรยาของนายแฟง ซึ่งนายแฟงก็ยินดี เพราะจะได้เป็นฝั่งเป็นฝาซักที.



โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:55
ครั้นหนุ่มศุขครองเรือนกับสาวสมบุญ จนมีทายาทด้วยกันคนหนึ่งเป็นชายชื่อ “ สอน” ทั้งสองรักใคร่กันดี แต่มาจนสุดวาสนาบารมี ทางโลกในตอนนี้มิอาจจะคาดเดาได้ว่าด้วยเหตุใด แต่สันนิษฐานว่าได้เคยบวชเรียนมาแต่ปางก่อนจึงน้อมนำจิตให้เห็นความน่าเบื่อของชีวิตทางโลกและได้ ขออนุญาต ภรรยาคือนางสมบุญ เพื่ออุปสมบท โดยมีนายแฟง เป็นเจ้าภาพ ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์ทองล่าง ต.บางเขน หรือ วัดโพธิ์บางเขนหรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี มี
พระอุปัชฌาย์ของท่านชื่อ หลวงพ่อเชย จันทสิริ โดยได้รับนามฉายาว่า “เกสโร” ในพุทธศักราช ๒๔๑๕ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ฝ่ายรามัญที่ถือเคร่งในวัตรปฏิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนาธุระมีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคมก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ฯ ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากอุปัชฌาย์ของท่านมาพร้อมกับอาจารย์เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่า วัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน ซึ่งในการตัดสินใจครั้งนี้จะมุ่งเอาทางธรรมเป็นที่พึ่ง แต่เมื่ออยู่ใกล้กับแม่สมบุญ มากไป ทำให้จิตใจอาจจะไม่มั่นคง และด้วยบารมีแห่งธุดงค์วัตรที่ได้รับมาจากพระอุปัชฌาย์ จึงทำให้พระภิกษุศุข นั้นสามารถออกเดินธุดงค์สู้ไพรกว้างในพรรษาที่สองแห่งการอุปสมบทนั้นเอง.
ครั้นก่อนออกเดินธุดงค์ ได้เข้าไปกราบไหว้พระประธาน แล้วอธิษฐานว่า “ ตัวลูกขออุทิศชีวิตให้แก่พระศาสนา จะยึดมั่นใน ศีล ทาน ภาวนา และกาสาวพัสตร์ จนตลอดชีวิต แม้การอยู่ในเพศบรรพชิตจะทำให้ถึงกับต้องถึงแก่ชีวิตจะเป็นในป่าราวไพรหรือในกุฏิริภาณ ก็จะขอถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ไม่เสียดายซึ่งสังขารแต่อย่างใด ขอพระพุทธคุณได้โปรดปกปักรักษาให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งหลายทุกประการ”
ในการอธิษฐานเช่นนี้เพราะในสมัยนั้นการเดินธุดงค์จะต้องผ่านป่าดงดิบ และแดนอันเป็นอาถรรพณ์ หลายครั้งต่อหลายครั้งที่ พระธุดงค์ต่างพาชีวิตเอาไปทิ้งมากต่อมากแล้วทั้งนี้ จะต้องเจอกับภัยจากสัตว์ร้ายและอสรพิษมากมาย ภูติ ผีปีศาจในพงไพรก็มีมิใช่น้อยไหนจะพวกหมอผีผู้มีวิชาที่คอยลองดีพระธุดงค์อีกทุกฝีก้าว.


พบอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทวิชา นารายณ์แปลงรูป

พระภิกษุศุข ต่อจากนี้จะขอเรียกสั้นๆว่า “ หลวงปู่ศุข” ท่านได้เดินผ่านป่าเขาลำเนาไพร ค่ำไหนก็นอนนั่น เมื่อเข้าไปในป่าลึกมากๆ จะไม่มีผู้คนจึงไม่มีอาหารมาขบฉันก็อาศัยผลไม้ที่หล่นเรี่ยราดอยู่ตามดินมาขบฉันประทังชีวิต ระหว่างที่ออกเดินทางก็พบกับภิกษุผู้แสวงหาวิเวกเช่นกัน ที่ตรงทางแยกพอดีจึงเข้าไปทักทายตามวิสัยแล้ว ต่างก็มีเจตนาอันตรงกันครั้นก็ได้ปฏิสันฐาณ กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเดินธุดงค์ร่วมกันต่อไป และตั้งใจเป็นหนึ่งว่าพบอาจารย์ที่ใดจะเข้ามอบตัวเป็นศิษย์
หลังจากเดินธุดงค์ไปไม่นานก็มาถึงเขาลูกใหญ่มองไปบนยอดเขานั้นก็มองเห็นผ้าสีเหลืองปลิวไหวๆ อยู่ปากถ้ำยอดเขา จึงปักใจว่าบนยอดเขานั้นจะต้องมีพระภิกษุผู้ที่เก่งกล้าวิชาแน่นอน จึงปลักกลดอยู่ที่เชิงเขาหนึ่งคืน พอรุ่งเช้าจึงพากันปีนขึ้นไปตามทางที่ลำบากจะต้องปีนป่ายตามก้อนหินบางช่วงก็ต้องโหนเถาวัลย์ขึ้นไป ครั้นขึ้นมาถึงปากถ้ำก็พบพระภิกษุชรารูปหนึ่งนั่งสมาธิอยู่หลวงปู่ศุข ท่านก็นั่งคอยว่าเมื่อใดท่านจะออกจากสมาธิรออยู่ครู่ใหญ่ ภิกษุชราจึงลืมตาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ มีกิจอันใดหรือจึงสู้อุตส่าห์ปีนป่ายเขาขึ้นมาถึงถ้ำนี้ได้ปกติแล้วจะไม่มีผู้ใดกล้าปีนขึ้นมาเพราะกลัวจะตกลงไปตายแต่ทั้งสามรูปนี้ขึ้นมาถึงได้ แสดงว่ามีความกล้าและมีจิตแกร่ง ต้องการสิ่งใดพึงออกปากมาจะได้ทุกอย่างที่ต้องการหากพระพุทธองค์ได้ทรงบัญญัติไว้
หลวงปู่ศุข จึงตอบแทนไปตามความจริงว่า “ กระผมนั้นกำลังแสวงหาพระอาจารย์ผู้ทรงคุณ ความรู้ในด้านคาถาอาคม เพื่อมอบตัวเป็นศิษย์ขอสืบทอดวิชากลับไปยังบ้านเกิด ”
พระภิกษุชราหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ ได้การรออยู่นี้แหละเดี๋ยวออกมาให้มันรู้กันไปเลยว่าใครจะได้เรียนวิชา ” หลวงปู่ฯ ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี จนกระทั่งมารดาท่านที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ได้ชราภาพลงตามอายุขัย และความเจ็บไข้มาเยือนอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในบิดามารดาของท่านจึงได้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆ ทีวัดอู่ทองปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่โบราณที่อยู่ลึกเข้าไปในคลองมะขามเฒ่า หรือบริเวณต้นแม่น้ำท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพของวัดอู่ทองขณะนั้นได้เกิดการชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณปฏิสังขรณ์ให้กลับคืนมาสู่สภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้ขยับขยายออกมาที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และได้สร้างกุฏิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่อยู่อาศัยไปพลางก่อน
สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ๆ ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดการฌาปนกิจศพ และในงานนี้เอง หลวงปู่ฯ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฏอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกัดไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างในชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้นการที่จะแวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระของหลวงปู่ฯ จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกันไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน จึงบังเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ สมัยก่อนพระวัดปากคลอง เนื้อตะกั่ว จุมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าจะไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า “เอ็งมีลูกกี่คน?” ท่านจะให้ครบทุกคน
กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจาการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำเจ้าพระยาเพียงแห่งเดี่ยวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าแม่ขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้าวัดของท่าน เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจรที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็นเสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศ ชื่อเสียงของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี “หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า”



โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:56

เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯฝากตัวเป็นศิษย์



อนึ่ง มีผู้กล่าวว่าท่านมีวิชาอาคมเวทย์มนต์เก่งมาก สามารถเสกใบไม้ให้เป็นตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย เสกก้านกล้วยให้เป็นงูได้ และเรื่องอภินิหารของขลัง คงกระพันชาตรี มีอีกมากมาย อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับ เสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ นับลำดับราชสกุลวงศ์เป็นพระองค์ที่ ๒๘ และเป็น
พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ดลบันดาลให้
เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้วได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบ
กัน และเป็นที่ต้องอัธยาศัยซึ่งกันและกัน จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ – อาจารย์ เพื่อจักได้ศึกษาทางมหาพุทธาคม และปรากฏว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความ
รู้ความสามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงพ่อเองก็หมดความรู้ จึงได้ให้เสด็จในกรมฯ ไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้นและได้วาดภาพพุทธประวัติด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ที่อุโบสถด้านในหน้าอุโบสถ ซึ่งปรากฏจนทุกวันนี้ หลวงปู่ศุข ท่านมีเมตตามากจึงมีศิษย์เป็นอันมากที่มาเรียนวิชาเหล่านี้ ท่านได้รับสมณศักดิ์ เป็นพระครูวิมลคุณากร และเป็นเจ้าคณะแขวง
( ปัจจุบันเรียกว่าเจ้าคณะอำเภอ ) เป็นองค์แรกของอำเภอวัดสิงห์ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเมื่อใด
เมื่อหลวงปู่ศุข ท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่สร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จสมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้ก็คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯ บนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่ทางกรมศิลป์ยกย่องว่าเสด็จในกรมฯ ทรงฝีมือในการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธ
เจ้าชนะมาร ในการะแสน้ำที่พระแม่ธรณีบีบมวยผมทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฤาษีปัญจวัคคีเมื่อเห็นเจ้าชายสิทธัตถะเลิกทรมานการหันมากินอาหาร ก็นึกว่าพระองค์คงจะถ้อถอยละความเพียรแล้ว จึงพากันผละหนีพระองค์ไปนั้น เสด็จในกรมฯ ท่านเขียนใบหน้าของฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดอารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยันอย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก ฝีมือของเสด็จในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือภาพเขียนสีน้ำมันเป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนขึ้นในขณะที่หลวงปู่มีอายุมากแล้วจึงต้องเดินสามขา

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯ ติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯ ได้สร้างกุฏิอาจารย์ไว้กลางสระที่วังนางเลิ้ง ซึ่งต็มไปด้วยดอกบัววิคตอเรีย มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่าจาก ลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ฯ มาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์หรือพิษณุโลกจำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ศุขท่านขอพ่อแม่มาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ฯ ท่านก็เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท เลยเรียกกันติดปากว่า ลุงผล ท่าแร่ แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด ๑ ปี หลวงปู่ศุขท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ ๑ ครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะเสด็จในกรมน ท่านจะกระทำพิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น ๓ วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ และวันที่สามจะไหว้ครูทางวิทยายุทธ์พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืนกับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุมากแล้วสุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยจะได้ลงมา
อาจารย์ท่านมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ผู้สืบสายมาจากท่านใบฎีกายัง วัดหนองน้อย อำเภอวัดสิงห์ ชัยนาท ซึ่งเป็นฐานาในหลวงปู่ศุข และเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงปู่ศุขรูปหนึ่ง ตำราอักขระเลขยันต์ซึ่งคุณหมอสำนวน ปาลวัฒน์วิไชย แห่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ใช้เวลาค้นคว้าและรวบรวมพระเครื่องในหลวงปู่ศุข ตลอดจนประวัติและเรื่องราวของท่านตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปี ได้นำออกมาตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือรวมเล่มขนาดหนานั้น ได้ตีพิมพ์ตำราอักขระเลขยันต์ของหลวงปู่ศุขที่สอนให้กับลูกศิษย์ของท่างลงไปด้วย และบางตอนบางหน้ายังเป็นลายมือของหลวงปู่อีกด้วย นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับผู้ที่สนใจจริงๆ แต่ทว่าในตำราอักขระเลขยันต์ของท่านนั้นเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานทั่วๆ ไป ซึ่งมีอยู่ในตำรามหาพุทธาคมที่เราได้ร่ำเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี้ อย่างเช่นการเรียนสูตรสนธ์จากคัมภีร์รัตนมาลา ในพระอิติปิโส ๕๖ พระคาถาห้องพระพุทธคุณ ลงเป็นยันต์เกราะเพชรหรือตาข่ายเพชร ยันต์พระไตรสรณาคมน์ตลอดจนคัมภีร์นะ ๑๐๘ และนะพินธุ หรือนะปฐมกัลป์ หรือนะโมพุทธายะใหญ่ และยันต์ประจำตัวของท่านที่ท่านใช้อยู่เป็นประจำก็คือ ตัวพุทธมวันโลก ที่ท่านใช้จารลงที่หลังพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่าน นอกจากนั้นยังลงด้วยยันต์สามลง มะ อะ อุ ที่ขมวดยันต์ลงหลังรูปถ่ายของท่าน เรียกว่า ยันต์เพชรหลีกน้อย นอกจากนั้นท่านจะนิยมหนุนหรือล้อมด้วยธาตุทั้ง ๔ คือ นะ มะ พะ ทะ
อนึ่งการที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลังได้ประสิทธิมีฤทธิ์มีเดชทั้งๆ ที่ใช้อักษรเลขยันต์พื้นๆ นั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้นกล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้ง ๔ มี ดิน น้ำ ไฟ ลม นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดเห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือและการปฏิบัติที่มุ่งหมายให้เกิดผลด้วยการใช้พลังหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ของขลัง พิธีกรรม หรือหลีกลี้ลับ บังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจน การผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้ เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็คงเป็นใบมะขาม หัวปลีก็คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟางก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่ด้วยอำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง




โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:56
เมื่อบวชแล้วก็ได้ศึกษา พระธรรมวินัยจนบังเกิดศรัทธาดื่มด่ำ ในรสพระธรรม รอบรู้ในพระไตรปิฎก และเชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐาน ด้วยเหตุที่ท่าน เป็นผู้แต่ฉานในภาษา และอักขระเลขยันต์มาก่อน จึงทำให้ท่านก้าวสู่โลกของไสยเวท และคาถาอาคมได้โดยง่ายมี พระอาจารย์เชยซึ่ง แก่กล้าทางพุทธาคม เป็นอาจารย์สอน วิปัสสนากรรมฐาน และการทำสมาธิจิตเพ่งกสิณจนแตกฉาน
การเพ่งกสิณและทำสมาธิจิต ของหลวงปู่ศุขเป็นพื้นฐาน ในการศึกษา พระเวทอาคมต่างๆ ซึ่งท่านมีจิตใจที่แน่วแน่ มุ่งปฏิบัติอย่างจริงจัง จนเกิดพลังจิตที่กล้าแข็งเป็นอย่างยิ่ง กสิณที่ฝึกประกอบด้วย อาโปกสิณ เตโชกสิณ วาโยกสิณ ปฐวีกสิณ อันเป็นธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ จนสามารถแยกธาตุได้ด้วยความชำนาญ นอกจากนี้หลวงปู่ศุขยังเป็น พระที่ใฝ่ธุดงค์เป็นนิจ และจากการที่ท่านธุดงค์รอนแรมไปในป่า เป็นเวลา
นานๆ ก็ทำให้ท่านได้พบ กับพระอาจารย์อีกหลายท่าน ที่หลวงปู่ศุขฝากตัวเป็นศิษย์ เล่าเรียนเวทมนต์คาถาเพิ่มเติม จนกล่าวกันว่าหลวงปู่ศุข คือจ้าวแห่งอาคมตัวจริง และเมื่อกลับสู่บ้านเกิดแล้ว ท่านก็ได้ครองวัดปากคลองมะขามเฒ่าสืบมา
ความเกรียงไกร ในพระเวทอาคมของหลวงปู่ศุขนั้น กล่าวกันว่าท่านสามารถปฏิบัติเห็นผลจริง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการผูกหุ่นพยนต์ เสกใบมะขามเป็นตัวต่อตัวแตน เสกให้คนเป็นจระเข้ เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ระเบิดน้ำลงไปนั่งบริกรรม ทำตะกรุดโดยจีวรไม่เปียก ซึ่งล้วนแต่เป็นพระเวทย์ขั้นสูง ที่ไม่อาจพบเห็นได้ทั่วไป จึงไม่ต้องพูดถึงความเข้มขลัง ในระดับพื้นๆ ที่ท่านเจนจบ อยู่ในระดับสุดยอดพระเกจิอาจารย์อันได้แก่ คงกระพันหนังเหนียว มหาอุตม์เมตตามหาเสน่ห์ แคล้วคลาด โชคลาภ ย่นระยะทาง กำบังตัว ฯลฯ และมรณภาพ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2466 สิริอายุ 76 ปี ท่านมรณภาพเมื่อ เดือน ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๔๖๖ ไม่ปรากฏวันที่ที่แน่นอน คำนวณอายุได้ ๗๖ ปี วันสวดพระพุทธมนต์ทำศพอยู่ ๗ วัน ๗ คืน จึงประชุมเพลิง อนึ่ง การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่หลงเหลืออยู่บ้าง จากการไต่ถามบรรดาลูกศิษย์ลูกหาของท่านซึ่งส่วนมากจักล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การที่ท่านได้รับรู้จากการเขียนของ “ท่านมหา” ซึ่งเคยอุปัฏฐากหลวงปู่ ดังกล่าวแล้วนั้นคงจักทำให้ท่านมองเห็นสภาพของหลวงปู่ศุข ได้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด.



โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:57


หลวงพ่อเงิน
วัดหิรัญญาราม (วัดวังตะโก) บางคลาน จ.พิจิตร



หลวงพ่อเงิน ท่านเกิดเมื่อ วันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๓ ตรงกับวันศุกร์ เดือน ๑๐ ปีฉลู บิดาชื่อ อู๋ มารดาชื่อ ฟัก ท่านเกิดที่บ้านบางคลาน อำเภอโพธิ์ทะเล จังหวัดพิจิตร บิดาเป็นชาวบางคลาน มารดาเป็นชาวบ้านแสนตอ อำเภอขาณุวรลักษณ์บุรี (แสนตอ) จังหวัดกำแพงเพชร
ตั้งแต่อายุ ๓ ขวบ ได้ไปอยู่กับลุง ชื่อนายช่วง ที่กรุงเทพฯ และได้เข้าเรียนที่ บ้านตองปุ (วัดชนะสงคราม) จังหวัดพระนคร เมื่ออายุได้ ๑๒ (พ.ศ. 2365) ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรได้ศึกษาธรรมวินัย เวทย์วิทยาการต่างๆ จนแตกฉาน พออายุใกล้อุปสมบทท่านได้สึกจากสามเณรและหลังจาก ได้อุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดตองปุ (วัดชนะสงคราม) ได้ร่ำเรียนวิปัสสนาอยู่ ๓ พรรษา แล้วมาอยู่วัดคงคาราม (วัดบางคลานใต้) ได้ ๑ พรรษา ขณะนั้นหลวงพ่อพระอุปัชฌาย์ให้เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ท่านเป็นพระเรืองวิชา ชอบเล่นแร่ แปลธาตุ แต่หลวงพ่อเงินท่านเคร่ง ธรรมวินัย ชอบความสงบ ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านวังตะโก ลึกเข้าไปทางลำน้ำเก่า
กล่าวกันว่า....เดิมที่ท่านจากวัดคงคารามไปแล้ว ก็มาปลูกกุฏิด้วยไม่ไผ่มุงหลังคาด้วยแฝกอยู่องค์เดียว และพร้อมกันนั้นได้นำกิ่งโพธิ์มาปักไว้ที่ริมตลิ่ง (หน้าพระอุโบสถ) แล้วอธิษฐานว่าถ้าท้องถิ่นนี้จะเจริญรุ่งเรืองเป็นอารามต่อไป ก็ขอให้โพธิ์ต้นนี้งอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาเป็นนิมิตดีต่อไปด้วย และเหตุการณ์ก็เป็นจริงดังอธิษฐานไว้ ซึ่งต่อมาพื้นที่แถบนั้นก็ได้ปรากฏเป็น "วัดวังตะโก" เกิดขึ้น พระอารามแห่งนี้ "หลวงพ่อเงิน" ได้เป็นผู้สร้างไว้เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2377 ต่อมาวัดวังตะโก หรือวัดหิรัญญารามก็เจริญอย่างรวดเร็ว มีผู้คนเคารพนับถือและถวายตัวเป็นศิษย์ ขอมาฟังธรรม ขอเครื่องรางของขลัง และขอให้หลวงพ่อช่วยรักษาโรคให้ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์และสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณฝ่ายวิปัสสนา
"หลวงพ่อเงิน" นับเป็นพระเกจิอาจารย์ ผู้เลื่องชื่อ ด้านไสยเวทเยี่ยมยอดที่สุดของเมืองพิจิตร จนเมื่อมาอยู่วัดวังตะโดและได้พัฒนาวัดจนรุ่งเรือง เป็นที่รู้จักกันไปทั่วว่า หลวงพ่อเงินสามารถรู้ผู้มาเยือนด้วยญาณวิเศษได้อย่างมหัศจรรย์ และยังเป็นหมอเชี่ยวชาญในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้แก่ชาวบ้านได้อย่างชะงัดอีกด้วย เคยมีผู้ไปลองดีกับท่าน ท่านก็แอ่นอกให้ยิง แต่กระสุนไม่ยอมออกจากลำกล้อง ความศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงอัจฉริยะของ "หลวงพ่อเงิน" บางคลาน นับว่าร่ำลือกันไปไกลมาก จนถึงขนาดเสด็จในกรม "กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์" ก็ยังเสด็จไปฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย
ผลงานที่สำคัญ
๑. ด้านการก่อสร้าง หลวงพ่อมักเป็นธุระในเรื่องการสร้างถาวรวัตถุ ท่านเป็นนักก่อสร้าง ท่านควบคุมการก่อสร้างด้วยตนเอง ท่านรวบรวมปัจจัยได้จากการสร้างวัตถุมงคล เงินบริจาค สิ่งที่ท่านชอบสร้างอีกอย่างหนึ่งนอกจากโบสถ์ วิหาร ศาลา ก็คือ ศาลาพักร้อนเพื่อคนสัญจรไปมา
๒. ด้านการรักษาโรคด้วยวิชาแพทย์แผนโบราณ หลวงพ่อเงิน เป็นหมอแผนโบราณ ทางด้านการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยยาสมุนไพรหรือบางครั้งก็ใช้น้ำมนต์ ซึ่งก็ให้ผลในด้านกำลังใจ ปัจจุบันยังมีตำรายาและสมุดข่อย ของท่านที่เก็บรักษาไว้ที่วัดบางคลาน
๓. เป็นพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงด้านวิปัสสนา เป็นศิษย์รุ่นเดียวกันกับหลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท ซึ่งท่านได้ แนะนำให้กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ได้มาเรียนวิชาทางวิปัสสนากับหลวงพ่อ รวมทั้งสมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ก็เสด็จมาประทับที่วัดวังตะโก อยู่หลายวัน เพื่อเรียนทางด้านวิปัสสนา
๔. พระเครื่องหรือพระพิมพ์ หลวงพ่อไม่นิยมสร้างพระเครื่อง เพราะท่านบอกว่า คงกระพันชาตรีเป็นเรื่องเจ็บตัว พระเครื่องรุ่นที่ หลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จึงมีน้อย และมีพระคุณานุภาพทรงคุณทางแคล้วคลาดคงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม พระเครื่องรุ่นที่ท่านจัดสร้างมี
- หลวงพ่อเงินชนิดกลม (ลอยองค์ มี ๒ ชนิด คือ พิมพ์ขี้ตาและพิมพ์นิยม)
- หลวงพ่อเงินชนิดแบนหรือสามเหลี่ยมหน้าจั่ว
- หลวงพ่อเงินชนิดสามเหลี่ยมหน้าจั่วไข่ปลา

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:57
ท่านมีโรคประจำตัว คือโรคริดสีดวงทวาร ท่านรักษาตัวเองบางครั้งก็หาย บางครั้ง ก็กลับเป็นอีก ท่านเคยกล่าวว่า "คนอื่นร้อยพันรักษาให้หาย แต่ผงเข้าตาตัวเองกลับรักษาไม่ได้" ท่านมรณภาพเมื่อวันศุกร์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะแม ตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๒ อายุได้ ๑๐๙ ปี
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เกียรติคุณของพระองค์ท่านไพศาลขนาดไหน เห็นจะไม่ต้องบรรยายความ พระอาจารย์ของพระองค์ยิ่งยงขนาดไหนก็เห็นจะไม่ต้องพรรณนาอีกเหมือนกัน แต่ก็อดที่จะกล่าวถึงมิได้ พระเกจิอาจารย์องค์สำคัญๆ ในอดีตนั้น ล้วนแล้วแต่ได้เคยมีความสัมพันธ์กับพระองค์ทั้งสิ้น เป็นต้นว่า หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติฯ จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก ธนบุรี และยังมีอีกหลายองค์ที่เสด็จในกรมได้เสด็จไป ทรงพบและร่ำเรียน ทางเวทมนตร์คาถา และไสยเวทย์ด้วย แต่โอกาสนี้จะขอกล่าวถึง "เมื่อเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปทรงพบกับหลวงพ่อเงิน บางคลาน โพธิ์ทะเล จ.พิจิตร" ตามบันทึกความด้วยสมองของผู้ตามเสด็จไปในครั้งนั้น คือคนสนิทของพระองค์ที่มีชื่อว่า "นายหลิ่ม"
ครั้นเมื่อ...กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสด็จไปยังวัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท อยู่เสมอๆ ด้วยความศรัทธามั่นต่อหลวงพ่อศุข เกจิอาจารย์ ผู้ปราดเปรื่องเรื่องเวทมนตร์คาถาอาคมนั้น พระองค์ได้พบกับความมหัศจรรย์ทางพุทธเวทย์เป็นที่ประจักษ์แก่สายตานับครั้งไม่ถ้วน จึงยกให้หลวงพ่อศุข เป็นอาจารย์ของพระองค์ ได้รับการถ่ายทอดวิชานานัปการ อันประมาณมิได้จากหลวงพ่อเป็นถ้วนทั่ว ฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ มีปรีชาสามารถ ปรากฏตามเรื่องราวของพระองค์กับหลวงพ่อศุข ดังที่ได้เคยมีผู้รจนาไว้จำนวนมาก เป็นที่ทราบความกันดีแล้วๆ นั้น จึงมิขอกล่าวถึงอีก แต่จะกล่าวถึงครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อศุขได้ทูลเสด็จในกรมมีความว่า "ถ้าจะดูของดีๆ แปลกๆ นอกเหนือจากของฉันแล้ว ก็เห็นจะมีเกลอกันกับฉันอีกองค์หนึ่ง เคยศึกษามาจากอาจารย์เดียวกัน คือท่านเงิน อยู่บางคลาน โพธิ์ทะเล เมืองพิจิตร หากจะไปหาก็จงบอกว่า ฉันแนะทางมาเถิด"
เมื่อเสด็จในกรมได้ทราบดังนั้นแล้ว จึงมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเดินทางไปยังเมืองพิจิตร เพราะพระองค์ชอบ ในการแสวงหาบรรดาเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาอาคมขลังอยู่เป็นทุนแล้ว และเมื่อสบโอกาสอันเหมาะควรแล้ว จึงได้ชวนกันกับนายหลิ่มคนสนิท เดินทางไปเมืองพิจิตรทันที พิจิตร สมัยนั้นเส้นทางไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้ พิจิตรเป็นเพียงเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ซึ่งรายรอบไปด้วยป่าทึบโดยทั่วไป ระยะทางจากเมือง ไปยังหมู่บ้านรอบๆ พิจิตร กางกั้นด้วยป่าทึบบ้างป่าโปร่งบ้าง ห้วยละหานลำธารคุ้งคดเลาะลัดอยู่ทั่วๆ ไป การเดินทางจึงลำบาก ส่วนใหญ่นิยมใช้ช้างเดินทางเป็นหลัก เพราะจะต้องอาศัยความแข็งแกร่งของช้างเท่านั้น ที่จะผ่านไพรแบบนั้นไปได้
โพธิ์ทะเล เป็นตำบลที่ห่างเมืองพิจิตรไปทางทิศใต้ใกล้เขตชุมแสง นครสวรรค์ จึงถูกปกคลุมไปด้วยป่าไม้เป็นส่วนใหญ่ สำหรับ บางคลาน อันเป็นที่ตั้งของวัดบางคลานก็เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ริมแม่น้ำยม ชิดเขตชุมแสง ซึ่งเต็มไปด้วยป่าโปร่งพันธุ์ใหญ่ๆ เกือบทั้งสิ้น รายรอบไว้ทุกด้าน เสด็จในกรมฯ กับคนสนิทคือ นายหลิ่ม ใช้ช้างเป็นพาหนะเดินทางจากเมืองนครสวรรค์ ขึ้นไปในฤดูแล้งของปีหนึ่ง ผ่านออกไปทางป่าทึบเมืองชุมแสง ลัดเลาะไปปากเกยชัยแหล่งชุกชุมด้วยจระเข้ ป่าเปลี่ยว เข้าเขตป่าลึกของชุมแสง ขณะที่กำลังเดินทางอยู่ วันหนึ่งตอนพระอาทิตย์กำลังพลบค่ำ และถึงเวลาพักช้าง เสด็จกรมหลวงฯ และนายหลิ่มได้ทำเลค้างแรมได้แล้วจึงเตรียมจะจัดทำอาหารนั้นเอง ก็ปรากฏร่างชายแก่ในชุดห่มขาว แต่คล่ำไปด้วย ความเก่าและขาดวิ่น หนวดเครายาวรุงรังนั่งสงบนิ่ง อยู่ในซุ้มไม้ใกล้กันนั้น ดวงตาหลับสนิท ริมฝีปากขมุบขมิบ บริกรรมพระเวทอยู่ตลอดเวลา เสด็จในกรม จึงตรงเข้าไปหา พร้อมกับนายหลิ่มคนสนิท ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้ซุ้มไม้ อันร่มครึ้มนั้นชายแก่ก็ลืมตาขึ้น เสด็จในกรม ทราบได้ดีว่าเป็นผู้ทรงศีล จึงทำความเคารพและ ถามว่าเป็นใคร ก็ได้รับคำตอบว่าชื่อ เหมือน เที่ยวหาความสงบอยู่ตามป่าเขตนี้ เพื่อบำเพ็ญสมาธิ หลบหนีจากผู้คนหาความวิเวกอยู่ตามลำพัง หลังจากสนทนากันจนเป็นที่พอใจแล้ว นายหลิ่ม จึงชวนเสด็จในกรมให้กลับไปจัดการเรื่องที่พักและอาหารเสียก่อน สักครู่ เสด็จในกรมได้หันไปมองทางชายแก่นั้น น่าประหลาดใจ ไม่พบชายแก่ชื่อเหมือนคนนั้นเสียแล้ว จึงให้นายหลิ่มเดินตามหาในละแวกนั้นก็ไม่พบ เป็นที่แปลกมากในเวลาเพียงไม่นานนักที่ชายแก่ขนาดนั้น จะหลบเร้นหายไปได้อย่างรวดเร็ว นับเป็นเรื่องปาฏิหาริย์โดยแท้ ลัดเลาะตามไพรทึบ จนถึงชายฝั่งแม่น้ำยม คนนำทางพาเลียบชายฝั่งแม่น้ำยมขึ้นไปทางเหนือ ฤดูแล้งน้ำในแม่น้ำยมขอดแห้ง สักครู่ก็พบวัดเก่าแก่อยู่ฝั่งตรงข้าม คนนำทางบอกว่า นั่นคือ วัดบางคลาน ที่ต้องการมาพบ หลวงพ่อเงิน
เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ได้ข้ามแม่น้ำยม ซึ่งมีน้ำไม่มากนัก ช้างเดินข้ามสบาย สอบถามหา หลวงพ่อเงิน ได้ความว่า ออกป่าไปได้สองวันแล้ว ไม่ทราบว่าจะกลับมาเมื่อใด บางทีก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ บางทีก็เจ็ดวัน พระในวัดรูปหนึ่งได้บอกกับเสด็จในกรมว่า ก่อนหน้าที่หลวงพ่อเงินจะออกไปป่าได้พูดเปรยขึ้นกับพระหลายรูปว่า "อีกสองวันจะมีคนดี เขามาหาฉัน เห็นทีจะอยู่ไม่ได้แน่ ต้องออกป่าสักพัก" แล้วท่านก็ออกป่าในเย็นวันนั้น เสด็จในกรมทรงแปลกพระทัยมาก ครั้นจะคอยอยู่ก็เกรงว่าจะไม่พบ และไม่ทราบว่านานเท่าใดหลวงพ่อจึงจะออกจากป่า จึงตัดสินพระทัยคอยอยู่สองคืน แล้วจึงกลับไปยังนครสวรรค์ ขณะเดินมาถึงกลางทาง ได้พบกับชายแก่ที่ชื่อเหมือนอีก เสด็จในกรมอยู่บนหลังช้างได้เห็น ชายแก่ผู้นั้นเดินอยู่กลางทุ่งหญ้าไกลๆ จำได้ถนัด เพราะหลังคุ้มและใส่ชุดขาวเก่าคร่ำคร่าขาดวิ่น จึงเร่งช้างให้เข้าไปใกล้โดยเร็ว และทันใดนั้นเอง ชายแก่ก็ลับหายไปในทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เสด็จในกรมจะนั่งช้าง เดินหาจนทั่วบริเวณก็หาพบไม่ ได้ทอดพระทัยและตรัสกับนายหลิ่มว่า เป็นเรื่องแปลกเหลือเกิน มาพิจิตรคราวนี้ต้องการ พบใครก็ไม่พบ เสด็จในกรมพักอยู่ที่นครสวรรค์ได้ ๑๐ วัน ตั้งใจจะกลับกรุงเทพฯ แต่ลังเลพระทัย จึงชวนนายหลิ่มว่า ลองขึ้นไปพิจิตรใหม่อีกครั้ง ก่อนออกเดินทางเสด็จในกรมให้นายหลิ่มหาซื้อ เสื้อคอจีนหนึ่งตัว ไม้คานหนึ่งอัน กางเกงจีนหนึ่งตัว สาแหรกและเข่งสองชุด หมวกกุ้ยเล้ง หนึ่งใบ




โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-19 08:58
แล้วจึงออกเดินทางด้วยช้างกับคนนำทาง ตรงไป วัดบางคลาน อีกครั้งหนึ่ง ระหว่างทางได้ไปพบ จระเข้เผือกขนาดใหญ่ นอนขวางลำน้ำอยู่ที่ปากเกยชัย เสด็จในกรมให้นายหลิ่มเอาขันตักน้ำมาทำน้ำมนต์ แล้วทรงปลุกเสกร่ายพระเวทย์บริกรรมทำน้ำมนต์อยู่เป็นเวลานาน แล้วเทน้ำมนต์ลงไปในน้ำ ซึ่งจระเข้นอนขวางทางอยู่ ทันทีที่น้ำมนต์เทออกจากขัน กระทบผิวน้ำ จระเข้เผือก ที่นอนสงบนิ่งอยู่ ก็ฟาดหางไปมา แล้วดำน้ำหายไปทันที เหลือแต่พรายน้ำวนเป็นวงกลมอยู่เบื้องหน้าเสด็จในกรม จากนั้นเสด็จในกรม จึงได้เดินทางต่อไป จนลุถึงริมฝั่งแม่น้ำยม ขณะนั่งพักช้างปล่อยช้างกินหญ้ากินน้ำอยู่นั่นเอง ก็เหลือบไปที่โคนต้นไม้ใหญ่ ใกล้กันนั้นเห็นชายแก่ชื่อเหมือนที่พบกันครั้งก่อนนั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่ เสด็จในกรมจึงรีบตรงเข้าไปแสดงความเคารพ
ผู้เฒ่าเหมือนลืมตาขึ้น แล้วบอกว่า "พรุ่งนี้เข้าไปหาท่านจึงจะพบ"
เสด็จในกรมนั่งฟังโดยไม่ได้กล่าวอะไร ผู้เฒ่าเหมือนก็เอ่ยขึ้นอีกว่า "หลวงพ่อท่านไม่ชอบเจ้าชอบนาย"
เสด็จในกรมนั่งเงียบฟังเฉยอยู่ ผู้เฒ่าเหมือนได้ล้วงลงไปในย่าม แล้วหยิบแหวนทองเหลืองออกมาจากย่าม แล้วส่งให้เสด็จในกรมแล้วพูดว่า
"เก็บไว้ให้จงดี ฉันทำเตรียมไว้แต่ครั้งก่อน แต่ยังเป็นยามไม่เหมาะ จึงให้ไม่ได้"
เสด็จในกรมรับแหวนจากมือผู้เฒ่า แล้วก้มลงพิจารณาแหวนนั้น เป็นแหวนทองเหลืองอมดำออกสีคล้ำๆ ตรงกลางแหวนมีเหล็กแร่สีดำ เป็นมันฝังอยู่เม็ดเล็กๆ หนึ่งเม็ด แล้วมีอักขระขอมลงด้วยเหล็กจารรอบๆ วง เสด็จในกรมตรัสว่า คงจะเป็น เหล็กไหล แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองทางผู้เฒ่าเหมือน ปาฏิหาริย์ ผู้เฒ่าเหมือนหายไปจากตรงนั้นแล้ว รวดเร็วอย่างไม่คาดฝัน เสด็จในกรมถึงกับอุทานออกมา แล้วหันมามองทางนายหลิ่ม ซึ่งนั่งอ้าปากค้างอยู่ เลียบฝั่งแม่น้ำยม อันแห้งขอดขึ้นไปทางเหนือเหมือนครั้งที่แล้ว มุ่งหน้าตรงเข้า วัดบางคลาน ทันที พบพระอยู่หน้าวัด เสด็จในกรมถามว่า หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า ก็ได้รับคำตอบว่า อยู่ที่กุฏิพลางชี้มือไปที่กุฏิ เสด็จในกรมจึงมุ่งหน้าตรงไปที่กุฏิทันที แต่ก็พบกับความว่างเปล่า ไม่มีหลวงพ่อเงินบนกุฏิ ไม่มีหลวงพ่อเงินในบริเวณวัด พระเณรช่วยกันหาเป็นเวลานานก็ไม่พบหลวงพ่อ
เสด็จในกรมนั่งคอยอยู่ที่กุฏิ จนเย็นเห็นว่าไม่พบแน่ จึงสั่งคนนำทางและนายหลิ่มให้เดินทางกลับในวันนั้น ข้ามแม่น้ำยมมายังฝั่งชุมแสง พักแรมอยู่ในละเมาะไม้ใกล้ชายฝั่ง แล้วตรัสกับนายหลิ่มว่า "พรุ่งนี้เช้ากลับแน่ พักนครสวรรค์สักสองคืนแล้วเข้ากรุง"
เช้าวันรุ่งขึ้นในตอนสาย เสด็จในกรมถามหาสิ่งของที่ให้นายหลิ่มซื้อมาจากนครสวรรค์ เมื่อได้ของครบแล้ว บอกให้นายหลิ่มไปคอยที่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วเสด็จในกรมหายเข้าไปในป่าสักครู่ ก็ออกมาที่ริมฝั่งแม่น้ำยม ฝั่งตรงข้ามหน้าวัดในชุดชาวจีนหาบของสวมหมวกกุ้ยเล้ย บอกให้นายหลิ่มเดินตามหลังไปห่างๆ แล้วเสด็จข้ามแม่น้ำยม มุ่งไปยังวัดบางคลานทันที ถึงศาลาหน้าวัดเห็นพระแก่รูปร่างใหญ่โต ลักษณะท่าทางน่าจะเป็น หลวงพ่อเงิน นั่งหันหลังออกมาฝั่งที่ขึ้นไป ตัดสินพระทัยแน่นอนว่า ต้องเป็น หลวงพ่อเงิน แน่ จึงรีบวางหาบของแล้ววิ่งเข้าไปทางข้างหลัง เมื่อถึงจึงโอบมือรัดเอวเอาไว้แน่น พลางตรัสขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
"ได้หลวงพ่อแล้ว ได้หลวงพ่อแล้ว"
หลวงพ่อหันหน้ามามอง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันดังเช่นกันว่า
"เสียท่าเขาแล้ว เสียท่าเขาเข้าแล้ว"
เสด็จในกรมก้มเข้ากราบหลวงพ่อเงิน พอเงยหน้าขึ้นมาหลวงพ่อเงินได้พูดว่า
"วันนี้เป็นยามดี ที่เราจะได้พบกับลูกศิษย์ท่านศุข นี่พยายามดีเหลือเกิน"
จากนั้นหลวงพ่อเงินได้เดินนำเสด็จในกรมขึ้นไปบนกุฏิ เมื่อถึงบนกุฏิได้นั่งสนทนาถามถึงทุกข์สุขของหลวงพ่อศุขว่าเป็นอย่างไรบ้าง อยู่พอสมควร หลวงพ่อเงินก็เอ่ยขึ้นกับเสด็จในกรมว่า "คอยสักครู่เถอะ ฉันจะสรงน้ำก่อน"
หลวงพ่อเงินพูดแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งเดินหายเข้าไปในกุฏิ เป็นเวลาไม่กี่อึดใจ ก็ปรากฏเสียงดัง "กริ๊ก กริ๊กๆๆ" ขึ้นที่กาน้ำซึ่งวางอยู่ข้างเสากลางกุฏิ ทั้งเสด็จในกรมและนายหลิ่มหันไปที่กาน้ำนั้นทันที เสียง "กริ๊ก กริ๊ก กริ๊ก" ยังดังอยู่ต่อไป ทำความแปลกใจให้เสด็จในกรมอย่างยิ่ง จึงอดทนต่อความสงสัยต่อไปไม่ได้ ตรงเข้าไปที่กาน้ำนั้นทันที พลางเปิดฝาออกดูว่ามีสิ่งใดอยู่ภายใน ทันทีที่เสด็จในกรมเปิดฝาออกก็ถึงกับพรึงเพริดพระทัยแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง ร้องเรียกว่า "ไอ้หลิ่มมาดูอะไรนี่ซิ" นายหลิ่มรีบตรงเข้าไปก้มมองดูในกา ถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ถูก เพราะว่าภาพที่ปรากฏในกาน้ำใบนั้นคือ ร่างของหลวงพ่อเงินขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย มือกำลังสรงน้ำถูเนื้อถูตัวอยู่อย่างขะมักเขม้น น้ำในกากระเพื่อมไปมา จนกระฉอกกระเด็นออกมานอกกาน้ำ เสด็จในกรมค่อยๆ ปิดฝากาลงอย่างฉงนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พลางตรัสกับนายหลิ่มว่า
"ไม่เสียเที่ยวที่มาเมืองพิจิตร หลวงพ่อท่านพูดไว้ถูกทีเดียวว่า จะได้ดูของแปลกๆ นอกเหนือจากท่านก็ให้มาที่นี่"
ให้ตั้ง นะโมฯ 3 จบ แล้วสำรวมจิตกล่าวคาถา
สิทธิพุทธัง กิจจังมะมะ ผู้คนไหลมา นะชาลีติ
สิทธิธัมมัง จิตตังมะมะ ข้าวของไหลมา นะชาลีติ
สิทธิสังฆัง จิตตังมะมะ เงินทองไหลมา นะชาลีติ
ฉิมพลี มหาลาภัง ภะวันตุเม
คาถาหลวงพ่อเงิน สำหรับคงกระพัน
ว่าดังนี้ พระพุทธัง พระเจ้าคงหนัง พระธัมมัง พระเจ้าคงเนื้อ พระสังฆัง พระเจ้าคงกระดูก โอม เพชรคงคา ตรีคงสวาหะ
คาถาหลวงพ่อเงิน เวลาเดินทางไปไหนใช้ภาวนา
“ สุสูสัง อะระหัง ภคะวา ”
บทนี้ใช้สำหรับเมตตา หรือเวลาสูบบุหรี่ ว่าดังนี้ “ มัคคะยาเทวัง ”

ยาหลวงพ่อเงิน เป็นยากลางบ้าน ใช้เป็นยาถ่ายก็ได้ใช้ได้หลายชนิด เครื่องยาดังนี้
1. ขมิ้นอ้อย 5 แว่น ลงพระเจ้า 5 พระองค์ คือ นโมพุทธายะ ชิ้นละ 1 ตัว จะเป็นตัวขอมหรือตัวไทยก็ใช้ได้ ในขนุน 7 ใบ ลง สะทะวิ ปิปะสะอุ ใบมะกา 1 กำ ขี้กำฝอยกลางบ้าน 1 กำมือ เกลือ 3 หยิบ ต้มรับประทานท่านว่าหายแลฯ

วันนมัสการหลวงพ่อเงิน วันอังคาร วันพฤหัสบดี วันศุกร์ พร้อมด้วยดอกบัวหรือดอกมะลิ 9 ดอก หมาก 3 คำ จัดใส่พาน และธูป 9 ดอก เทียน 1 คู่ ให้ตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพุทธคุณของหลวงพ่อเงินคุ้มครอง ป้องกันภัยจากโจรผู้ร้าย ตลอดจนค้าขายของดีเลิศมีเมตตามหานิยม พุทธคุณของหลวงพ่อเงินเป็นที่รู้จักและเคารพนับถือของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะวัตถุมงคล อาทิเช่น รูปหล่อลอยองค์หลวงพ่อเงินพิมพ์นิยมและพิมพ์ขี้ตา ไข่ปลาหน้าจอบ หน้าจอบเล็ก ตะกรุด และความศักดิ์สิทธิ์ของน้ำมนต์ เป็นต้น ยังมีความอภินิหารอีกมากสุดที่จะนำมากล่าวนี้


ที่มา..http://princeabhakara.forumotion.net/t41p2-topic

โดย: oustayutt    เวลา: 2013-5-19 11:25
ขอบคุณครับ
โดย: ยักษา    เวลา: 2013-5-19 16:27
     
โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 07:56



หลวงปู่ยิ้ม จนฺทโชติ วัดหนองบัว จ.กาญจนบุรี



หลวงปู่ยิ้ม จนฺทโชติ วัดหนองบัว (วัดอุปลาราม) ต.หนองบัว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี จากการบันทึกของพระโสภณสมาจารย์ (เหรียญ สุวรรณโชติ) ซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิ และเป็นสมภารรูปต่อจากหลวงปู่ยิ้ม ได้ความว่า หลวงปู่ยิ้ม ท่านเป็นชาววังดัง จ.กาญจนบุรี เกิดปีมะโรง เดือนห้า วันอังคาร พ.ศ. 2387 เป็นบุตร นายยิ่ง นางเปี่ยม บิดามารดาประกอบอาชีพค้าไม้ไผ่ล่องไปขายที่ปากอ่าวแม่กลอง จนเป็นที่รู้จักของชาวแม่กลองเป็นอย่างดี ครั้นได้อายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดทุ่งสมอ อ.พนมทวน พระอาจารย์กลีบ วัดหนองบัว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แดง วัดเหนือ และ
พระอาจารย์อินทร์ วัดทุ่งสมอ เป็นพระคู่สวด ได้รับฉายาว่า "จนฺทโชติ"
เมื่อบวชแล้วท่านได้เรียนหนังสือขอม บาลี มงคลทีปนี มูลกัจจายน์ พระเจ้า 10 ชาติ สูตรสนธิ จนชำนาญ อีกทั้งยังสามารถท่องปาฏิโมกข์ได้ตั้งแต่พรรษาที่ 2 ด้วยตัวท่านชอบเกี่ยวกับวิชาความรู้และวิทยาคมจึงได้รับคำแนะนำจากอาจารย์แดงพระคู่สวดว่า ที่จังหวัดสมุทรสงคราม มีพระเกจิอาจารย์เก่งๆ อยู่หลายรูป ท่านได้เดินทางไปหาอาจารย์รูปแรกคือ หลวงพ่อพระปลัดทิม วัดบางลี่น้อย อ.อัมพวา ท่านเป็นอุปัชฌาย์เก่าแก่ของวัดบางช้าง เรียนทางทำน้ำมนต์โภคทรัพย์ อยู่ปากอ่าวแม่กลองได้เรียนวิชาทำธงกันอสุนีบาต (สายฟ้า) และพายุคลื่นลม วิชาหลายลงอักขระทำรูปวงกลม เวลาไปทะเลแล้วขาดน้ำจืดให้เอาหวายโยนลงไปในทะเลแล้วตักน้ำในวงหวายน้ำจะจืดทันที ลูกอมหมากทุยก็เป็นที่เลื่องลือ เพราะท่านได้สำเร็จจินดามนต์ เรียกปลาเรียกเนื้อได้
อีกรูปคือ หลวงพ่อกลัด วัดบางพรม เรียนทางมหาอุตม์ ผ้าเช็ดหน้าทางมหานิยม เชือกคาดเอว เครื่องรางรูปกระดูกงูกันเขี้ยวงา ทางคงกระพันชาตรี หลวงพ่อกลัดรูปนี้สามารถย่นระยะทางได้ และรูปสุดท้ายคือ หลวงพ่อแจ้งวัดประดู่อัมพวา ได้เรียนทางแพทย์แผนโบราณ มีดหมอ ทางมหาประสานเชือกคาดชื่อตะขาบไฟ หรือ ไส้หนุมาน มีตะกรุดคู่อยู่หัวเชือก
"หลวงปู่ยิ้ม" เป็นพระที่ชอบทางรุกขมูลธุดงควัตรออกพรรษา แล้วท่านมักจะเข้าป่าลึกเพื่อหาที่สงบทำสมาธิท่านรู้ภาษาสัตว์ทุกชนิด ชื่อเสียงกิตติศัพท์ของท่านโด่งดังไปทั่วเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ อาทิ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งโปรดทางวิชาไสยศาสตร์ ได้ไปหาท่านถึง 2 ครั้ง เลื่อมใสและนับถือท่านเป็นอาจารย์ ขอเรียนวิชาจากท่านได้มีดหมอจากท่าน 1 เล่ม ไว้ประจำพระองค์ มีดหมอมีสรรพคุณปราบภูตผีปีศาจ และปราบคนที่อยู่ยงคงกระพัน ถ้าได้ถูกคมมีดของท่านแล้วต้องเป็นอันได้เลือด ไม่ว่าคนนั้นจะเก่งเพียงไร ก็ไม่สามารถคุ้มครองได้
เสด็จในกรมฯ ทรงโปรดเป็นอันมาก ทั้งๆ ที่ว่าท่านเป็นศิษย์หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท มาแล้ว ก็ยังเกรงวิชาของหลวงปู่ยิ้ม หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเคยธุดงค์มาจำวัดกับหลวงปู่ยิ้ม ที่วัดหนองบัว และได้แลกเปลี่ยนวิชากันหลวงปู่ยิ้มท่านเป็นพระสมถะไม่หลงวิชาอาคม จำนวนศิษย์ของท่านเท่าที่ปรากฏคือ 1. พระโสภณสมจารย์ (เหรียญ) วัดอุปลาราม (วัดหนองบัว) 2. พระเทพมงคลรังษี (ดี) วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) 3. พรกาญจนวัตรวิบูลย์ (ล่อน) วัดลาดหญ้า 4. พระโสภณสมณกิจ (หัง) วัดเหนือ 5. พระครูวัตตสารโสภณ (ดอกไม้) วัดดอนเจดีย์ 6. พระราชมงคลวุฒาจารย์ (ใจ) วัดเสด็จ 7. พระอธิการ (แช่ม) วัดจุฬามณีอัมพวา) 8. พระครูสกลวิสุทธิ (เหมือน รัตนสุวรรณ) วัตถุมงคลของท่านตลอดจนเครื่องรางของขลังต่างเป็นที่ต้องการของบรรดาลูกศิษย์ อาทิ พระปิดตา พิมพ์ใหญ่ (อ่าวจุฬา) พิมพ์สังกัจจายน์ใหญ่ พิมพ์สังกัจจายน์เล็ก, พิมพ์แข้งซ้อนใหญ่, พิมพ์แข้งซ้อน, พิมพ์เข่าบ่วง, พิมพ์เข่าบ่วงใหญ่, พิมพ์ขัดเพชร เป็นต้น


หลวงปู่ยิ้มมรณภาพ เมื่ออายุ 66 ปี เมื่อพ.ศ.2453 ท่านเป็นอาจารย์องค์ที่3ของเสด็จนายกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักย์จากการแนะนำของหลวงพ่อเงินบางคลานโดยหลวงปู่ยิ้มท่านเป็นคนมีนิสัย กล้าหาญและจะล่องเรือมาทำมาค้าขายกับชาวแม่กลองเป็นประจำเมื่อถึงอายุบวชท่านได้บวชโดยมีพระอธิการรอดแห่งวัดทุ่งสมอและต่อจากนั้น ก็เดินทางไปเป็นศิษย์ของหลวงปู่พวงแห่งวัดลิงขบและเดินทางไปศึกษาไสยเวทย์ต่อที่แม่กลองซึ่งมีพระอาจารย์ซึ่งทรงกิตติคุณอยู่หลายวัดหลัง จากศึกษาวิชาจนจบแล้วก็เดินทางไปศึกษาต่อที่สำนักเขาอ้อจนสำเร็จและเดินทางไปศึกษาวิชาจากหลวงปู่กลิ่นซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือด้านวิชา กำบังกายหายตัวแหวกน้ำดำดินดุจผู้วิเศษทีเดียวซ้ำยังเป็น อาจารย์ของหลวงปู่ศุข หลวงปู่ปาน หลวงปู่ทา หลวงปู่บุญ หลวงปู่เนียม หลวงปู่ม่วง โดยมีหลวงปู่ยิ้มเป็นศิษย์ก้นกุฏิจนหลวงปู่กลิ่นมรณะภาพเมื่ออายุ117 ปี หลวงปู่ยิ้มจึงขึ้นเป็นเจ้าอาวาสแทน

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 07:57

หลวงพ่อจร วัดดอนรวบ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร



ท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน ถ้าจะกล่าวถึง พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์แล้ว ก็จะทราบกันดีว่า ท่านมีพระอาจารย์ที่ท่านเคารพนับถืออยู่หลายท่าน เช่น หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก หลวงปู่ยิ้ม วัดหนองบัว เป็นต้น แต่ที่ไม่มีคนค่อยรู้จักก็คือพระเกจิอาจารย์ทางใต้ท่านหนึ่ง คือหลวงพ่อจร วัดดอนรวบ อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร
หลวงพ่อจร ท่านเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2392 ที่บ้านท่าจาย ตำบลท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี โยมบิดา ชื่อปลอด โยมมารดาชื่อคง พออายุได้ 16 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดดอนชาย อำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเมื่ออายุครบ 21 ปี จึงอุปสมบทที่วัดดอนชาย โดยมีพระอาจารย์เทศน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่ออุปสมบทแล้วท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัย และวิปัสสนากรรมฐานตลอดจนวิทยาคมจนแตกฉาน ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีเมตตาธรรมสูง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทุกชั้นวรรณะ ท่านได้สร้างสรรค์ความเจริญแก่พระศาสนาไว้มากมาย เป็นที่พึ่งและเคารพศรัทธาของชาวบ้านเป็นอย่างมาก


หลวงพ่อจร ท่านมีกระแสจิตสูงและมีเรื่องราวเล่าขานกันต่อๆ มา มีอยู่วันหนึ่งฝนตกหนัก จนกระทั่งรุ่งเช้าฝนก็ยังไม่หยุดตกพระสงฆ์ก็ออกบิณฑบาตไม่ได้ หลวงพ่อท่านครองจีวรเรียบร้อยก็อุ้มบาตรออกไปบิณฑบาตแต่รูปเดียว โดยเดินฝ่าสายฝนที่ตกหนักไป ท่านออกเดินไปครู่ใหญ่ๆ ก็กลับมาพร้อมกับข้าวเต็มบาตร พอที่พระภายในวัดได้ฉันกันในวันนั้น โดยที่ร่างกายและจีวรของท่านไม่ได้ถูกฝนเลยแม้แต่น้อย
อีกเรื่องหนึ่งคือมีชาวบ้านลากเกวียนมาติดหล่มใกล้กับวัด ทำอย่างไรก็ไม่สามารถนำควายขึ้นจากหล่มได้ จนควายจมโคลนไปจนถึงท้อง เจ้าของควายจึงไปขอให้หลวงพ่อช่วยเหลือ หลวงพ่อจร ท่านก็หยิบเอาสายสิญจน์ไปผูกไว้ที่คอควาย แล้วท่านก็ค่อยๆ ดึงสายสิญจน์ปรากฏว่าควายสามารถขึ้นจากหล่มได้โดยง่าย



เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เมื่อครั้งเสด็จเมืองชุมพรก็ทรงทราบว่ามีพระเกจิอาจารย์ที่เก่งอยู่ ท่านจึงปลอมตัวเป็นชาวบ้านพร้อมกับองครักษ์ 2-3 คน เสด็จไปหาหลวงพ่อจร พอไปถึงวัดก่อนจะขึ้นไปบนกุฏิก็เห็นว่า มีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่นอนขวางอยู่ องครักษ์ทำท่าจะเผ่นอยู่แล้ว แต่เสด็จในกรมฯ ท่านทรงห้ามไว้ พอหันกลับไปดูอีกทีปรากฏว่ากลายเป็นแมวตัวหนึ่งนอนอยู่ เสด็จในกรมฯ ท่านจึงขึ้นไปบนกุฏิ เห็นหลวงพ่อจร นั่งอยู่กับลูกศิษย์ 2-3 คน ยังไม่ทันที่เสด็จในกรมฯ ท่านจะทรงนั่งลง หลวงพ่อจร ได้พูดทักขึ้นว่า "วันนี้ลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเสด็จมาถึงนี่เชียวหรือ" หลังจากนั้นหลวงพ่อจร ได้ยื่นผ้าเช็ดปากให้เสด็จในกรมฯ ทรงทดลองยิง ซึ่งเสด็จในกรมฯ ท่านเอาผ้าเช็ดปากนั้นไปทดลองยิงข้างล่างกุฏิ ปรากฏว่ายิงออกทุกนัด แต่หารอยกระสุนไม่ได้เลย ครั้นพอเสด็จขึ้นมาบนกุฏิ ปรากฏว่าหลวงพ่อจร ท่านแบมือให้เสด็จในกรมฯ ทอดพระเนตรก็มีลูกกระสุนปืนที่เสด็จในกรมฯ ทรงทดลองยิงนั้นอยู่บนฝ่ามือหลวงพ่อครบทุกนัด เสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ท่านจึงเคารพศรัทธาในตัวหลวงพ่อจร เป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เสด็จมาเมืองชุมพร ก็จะทรงแวะนมัสการหลวงพ่อจร ในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ทุกครั้ง


หลวงพ่อจร ท่านมรณภาพในปี พ.ศ.2482 ตลอดที่หลวงพ่อจร ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้วัตถุมงคลอื่นๆหลายอย่าง แต่ไม่เคยสร้างเหรียญรูปท่านเลย เหรียญหลวงพ่อจร นั้นสร้างหลังจากที่ท่านมรณภาพแล้ว แต่เหรียญรุ่นนี้ก็ได้รับการปลุกเสกโดยยอดพระเกจิอาจารย์ยุคเก่าของชุมพรหลายท่านด้วยกัน โดยสร้างประมาณปี พ.ศ.2485-2487 เหรียญรุ่นนี้ได้รับความนิยมมากจากจังหวัดชุมพร และที่ประสบการณ์มากมาย สนนราคาเหรียญสวยๆ อยู่ที่หลักหมื่นกลางๆ และจัดว่าเป็นเหรียญยอดนิยมที่หายากเหรียญหนึ่งครับ

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 07:59


หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก





หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก หรือ “ท่านพระครูวิสุทธิ ศิลาจารย์” จัดเป็นอีกหนึ่งคณาจารย์ยุคเก่าที่มีลูกศิษย์ทุกระดับชนชั้นมากมายรวมทั้ง “พระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักด์” ก็ได้เสด็จไปฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน หลวงพ่อพริ้ง เป็นผู้มอบกระดูกหน้าผากนางนากให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งมีความเฮี้ยนมากจนเป็นที่กล่าวถึงของพระโอรสและธิดา ซึ่งเสด็จเตี่ยบอกว่า ไม่ต้องกลัว และความเฮี้ยนของนางนากก็ปรากฏถึง ๒ ครั้ง
ในตำหนักนางเลิ้ง


ในเรื่องกระดูกหน้าผากของนางนากนี้ได้ปรากฏในงานเขียนประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) รวบรวมโดย ม.ล.พระมหาสว่าง เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา พ.ศ.2473 บรรยายไว้ว่าหลังจากที่นางนาคออกอาละวาดหนัก สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านรู้เรื่องจึงลงไปค้างที่วัดมหาบุศย์และเรียกนางนาคขึ้นมาคุยกัน ผลสุดท้ายท่านเจาะเอากระดูกหน้าผากของนางมาลงยันต์และทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ผีนางนาคก็ไม่ออกมาอาละวาดอีกเลย และในเรื่องนี้ สมบัติ พลายน้อย ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่ค้นคว้าและเขียนเรื่องของแม่นาคสรุปเอาไว้ว่า กระดูกหน้าผากแม่นาคนั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้ประทานให้กับ สมเด็จหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) และประทานให้ หลวงพ่อพริ้ง (พระครูวิสุทธิ์ศีลาจารย์) อีกต่อ จนมาถึงกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไม่นานนักแม่นาคก็มากราบลา จากนั้นก็ไม่มีใครพบกระดูกหน้าผากของแม่นาคอีก จึงนับได้ว่าในยุคนั้นท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้คณาจารย์ใด ๆ ในยุคเดียวกันเลย เนื่องจากหากหน่วยงานราชการในยุคนั้นมีพิธีพุทธาภิเษกที่สำคัญ ๆ แล้ว “หลวงพ่อพริ้ง” ก็จะต้องเป็นคณาจารย์อีกรูปหนึ่งที่ได้รับการนิมนต์ให้ไปร่วมพิธีทุกครั้ง ชื่อเสียงของท่านจึงขจรระบือไกล
โดยประวัติของท่านมีนามเดิมว่า “พริ้ง เอี่ยมเทศ” เกิดเมื่อ พ.ศ. 2412 เป็นชาวบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ เริ่มเรียนหนังสือด้วยการบวชเป็นสามเณรที่ “วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ)” กระทั่งอายุครบ 20 จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่ “วัดทองนพคุณ” อ.คลองสาน แล้วจึงไปจำพรรษาที่ วัดบางปะกอก จวบกระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสครองวัดบางปะกอกจนกระทั่งมรณภาพ


หลังจากเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์แล้ว “หลวงพ่อพริ้ง” ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนทั้งภาษาไทยและบาลีจนแตกฉาน ประกอบกับเป็นผู้ที่มีความสนใจทางด้าน “วิปัสสนากรรมฐาน” จึงทำการฝึกฝนทางด้านนี้อย่างจริงจังรวมทั้งเรียนด้านวิทยาคมเพิ่มเติมอีกกับคณาจารย์ต่าง ๆ หลายสำนัก ทำให้ท่านมีชื่อ เสียงเด่นดังทั้งทางด้าน คงกระพันชาตรีและเมตตามหานิยม แถมด้วย วิชาแพทย์แผนโบราณ อีกด้วยเพื่อนำมาสงเคราะห์ต่อชาวบ้านในสมัยนั้น โดยเฉพาะเมื่อครั้งที่ได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมประกอบพิธีหล่อและพุทธาภิเษก “พระกริ่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ วัดสุทัศน์ )” ซึ่งมีพระคณาจารย์ชื่อดังหลายสิบรูปมาร่วมพิธีครั้งนี้ปรากฏว่า “แผ่นยันต์ ที่หลวงพ่อพริ้งทำการจารอักขระ” และได้นำไปใส่ในเบ้าหลอมรวมกับของคณาจารย์รูปอื่น ๆ ไม่ยอม “หลอมละลายเลย” เกิดเป็นปรากฏการณ์อันอัศจรรย์ให้เล่าขานมาถึงทุกวันนี้ โดยต้องนิมนต์ท่านมาทำการท่องมนต์กำกับแผ่นจารจึงละลายในเวลาต่อมา หรือในสมัยที่ก่อเกิด “สงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่ 2” (ระหว่าง พ.ศ. 2480–85) วัดบางปะกอกก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่ประชาชนทั่วไปได้มาขอพึ่งพาเป็นที่หลบภัยทั้ง ๆ ที่วัดอยู่ไม่ไกลจากอู่ต่อเรือของทหารญี่ปุ่นที่เข้ามาสร้างฐานทัพในประเทศไทยเท่าใดนัก โดยช่วงนั้นฝ่ายพันธมิตรได้นำเครื่องบินทิ้งระเบิดเพื่อทำลายฐานที่มั่นของทหารญี่ปุ่นมากมายหลายสิบลูก แต่ไม่มีระเบิดแม้แต่ลูกเดียวที่จะหลงหลุดลอยมาถึงวัดบางปะกอกได้เลย ทั้งนี้เป็นเพราะ “หลวงพ่อพริ้ง” ได้ทำพิธีขจัดปัดเป่าจึงทำให้บริเวณวัดบางปะกอกและใกล้เคียงรอดพ้นจากลูกหลงโดยสิ้นเชิง ทำให้ประชาชนชาวบางปะกอกสมัยนั้นต่างไม่มีใครลืมเหตุการณ์ในยุคนั้นได้เลย


ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงท่านจึงโด่งดังมากเป็นผลให้ประชาชนทั่วสารทิศทั้งใกล้ไกล ต่างมุ่งไปขอวัตถุมงคลจากท่านรวมทั้งไปให้ท่านช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ อีกด้วย ซึ่งท่านก็ไม่เคยปฏิเสธผู้ใดไม่ว่าจะเป็นเจ้าใหญ่นายโตหรือประชาชนธรรมดาสามัญ หากไปขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์แล้วเป็นได้รับเมตตาช่วยเหลือเสมอเหมือนกันหมดท่านจึงทำการสร้าง “วัตถุมงคล” ขึ้นมากมายหลายชนิดแจกจ่ายกันไปตามแต่ผู้มาขอต้องการ ส่วนที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมเสาะหาก็มีทั้ง “ลูกอมเนื้อผง, ตะกรุด, ผ้ายันต์, เสื้อยันต์, พระพิมพ์ต่าง ๆ”

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 08:00


หลวงพ่ออี๋ อ. สัตหีบ จ. ชลบุรี



หลวงพ่ออี๋นี่ ในท้องถิ่น อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ท่านดังเรื่องปลัดขิก ลูกศิษย์ของท่านที่เป็นทหารเรือ และชาวประมงมีมากมาย เขาพากันเรียกปลัดขิกของท่านว่า ปลัดฉลามเมิน (เพราะเคยมีคนพกปลัดของท่าน ลอยคออยู่กลางดงฉลามแล้วรอดมาได้) แต่ความจริงท่านไม่ได้เก่งเรื่องนี้อย่างเดียว แต่คนจดจำได้แม่นในเรื่องนี้เพราะมีอภินิหารมาก (กรุณาอย่าว่า กระผมเป็นคนหยาบโลน ที่นำเรื่องนี้มาเรียนเสนอเลยนะครับ เพราะถ้าจะกล่าวถึงหลวงพ่ออี๋ แล้วไม่กล่าวถึงเรื่อง ปลัดขิกของท่าน มันก็คงจะไม่สมบูรณ์ ขอความกรุณาอ่านเป็นความรู้ก็แล้วกันครับ และไหนๆ จะว่ากันแล้ว ก็จะขอเล่าถึงประวัติความเป็นมาของ “ปลัดขิก” เพื่อเป็นความรู้ในโอกาสต่อไป)



หลวงพ่ออี๋ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๐๘ ณ ต.สัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โยมบิดาของท่านชื่อ ขำ ทองขำ โยมมารดาชื่อ เอียง ทองขำ หลวงพ่ออี๋เป็นบุตรชายคนโต ได้รับการศึกษา และอบรมสั่งสอนให้เป็นกุลบุตรที่ดี เป็นที่รักใคร่ของญาติพี่น้อง บิดาของท่านรับราชการ ตำแหน่งที่ชาวบ้านในสมัยนั้นเรียกว่า “นายกอง” ในปี๒๔๓๓ ท่านมีอายุ ๒๕ ปีได้บรรพชาอุปสมบท ณ วัดอ่างศิลานอก โดยมีพระอาจารย์จั่น จันทสโร วัดเสม็ด เป็นพระอุปัชฌาย์จารย์ พระอาจารย์ทิม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์แดง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาทางพระศาสนาว่า “พุทธสโร ภิกขุ” แปลว่า “ผู้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า”
หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว หลวงพ่ออี๋ได้อยู่เรียนวิชาการ และศึกษาพระธรรม กับ พระอาจารย์แดง วัดอ่างศิลานอก ซึ่งเป็นพระเถระที่มีภูมิธรรมสูง ทั้งยังมีวิชาอาคม แก้อาถรรพ์คุณไสย ตลอดถึงการสักยันต์ พระอาจารย์จั่น พระอาจารย์แดง และพระอาจารย์เหมือน ได้สอนศาสตร์วิชาต่างๆ ให้แก่ลูกศิษย์ของท่านจนหมดสิ้น เป็นเวลา ๖ พรรษาเต็มๆ การที่หลวงพ่ออี๋ ท่านมุมานะศึกษาเล่าเรียน จุดประสงค์ก็เพื่อจะนำมาสงเคราะห์ ญาติโยม ชาวบ้านผู้เดือดร้อนโดยทั่วไป



ต่อมาท่านได้ยินกิตติศัพท์ ของพระอาจารย์สำคัญ อีกองค์หนึ่ง คือพระครูนิโรธาจารย์ หรือ หลวงพ่อปานแห่งวัดคลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ซึ่งท่านเป็นพระที่เชี่ยวชาญทางด้านสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ถือธุดงควัตร ท่านเป็นพระภิกษุที่พระเจ้าอยู่หัว ร.๕ ทรงพระศรัทธาเลื่อมใสเป็นอันมาก อีกองค์หนึ่ง ภายหลังจากหลวงพ่อปานได้รับตัวเป็นศิษย์แล้ว ท่านก็ได้อบรมและทดสอบจิตใจว่ามั่นคงดีแล้ว ก็พาออกป่าไปเรียนรู้ความจริงของธรรมะ เพราะจิตใจจะได้กล้าแข็ง แข็งแกร่งกล้าหาญเมื่อเผชิญภัยในป่าลึก หลวงพ่ออี๋แม้ว่าท่านจะมีรูปร่าง บอบบาง แต่ด้วยความมานะพากเพียรเป็นเลิศ หลวงปานจึงประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้หลวงพ่ออี๋จนหมดสิ้น ท่านพระครูศรีสัตคุณ เจ้าอาวาส วัดสัตหีบ ได้เล่าให้ฟังว่า สมัยที่หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ท่านได้ติดตามหลวงพ่อปาน เดินธุดงค์ ไปถึงพระพุทธบาท สระบุรี เพื่อจักนมัสการรอยพระพุทธบาทที่นั่น ขณะผ่านไปนั้น หลวงพ่ออี๋ได้ทำสมาธิ เห็นพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันต์ธาตุ ประดิษฐานอยู่ใต้ก้นเหวลึก ในแถบจังหวัดสระบุรีนั่นเอง และได้เรียนให้หลวงพ่อปานทราบ ท่านจึงให้ไปอัญเชิญขึ้นมาจากก้นเหวนั้น เพื่อนำไปประดิษฐานในสถานที่อันสมควรต่อไป


หลวงพ่ออี๋ ได้ลงไปยังก้นเหว ด้วยการใช้ไม้ไผ่ ๓ ลำ ต่อลูกสลักทำเป็นขั้นบันได ผูกมัดแน่นหนา แล้วก็ไต่ลงไปจนถึงก้นเหวลึก และอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันต์ธาตุ ขึ้นมาได้สำเร็จ หลวงพ่อปานมีความพึงพอใจในตัวของลูกศิษย์เป็นอันมาก เพราะขณะนั้นหลวงพ่ออี๋ บวชได้เพียง ๕ พรรษา เท่านั้น คณะพระธุดงค์เมื่อได้นมัสการพระพุทธบาทแล้ว ก็ออกเดินธุดงค์ต่อไป เพื่อหาประสบการณ์ต่อมาหลวงพ่ออี๋ได้กราบลาพระอาจารย์ ออกเดินธุดงค์กรรมฐานด้วยตนเอง ท่านได้ตั้งจิตอธิษฐาน ถือการเดินธุดงค์เป็นวัตร ท่านเดินธุดงค์ไปทั่วทุกภาคของประเทศไทย เหนือจรดใต้ ตะวันออกจรดตะวันตก และภาคอีสาน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เหตุการณ์ระหว่างการธุดงค์ของท่าน ไม่ได้รับการถ่ายทอดบอกเล่าจากท่าน และบรรดาลูกศิษย์ก็ไม่ได้สนใจไต่ถามแต่อย่างใด ทำให้เราไม่ทราบอะไรมากนักในเรื่องของการธุดงค์ของหลวงพ่อ

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 08:00
หลวงพ่ออี๋ไม่ได้กลับบ้านเลย เป็นเวลา ๑๑ พรรษา เพื่อเล่าเรียนวิชาต่างๆ จนพอสมควรแล้ว ท่านจึงได้กราบลาหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน กลับไป อำเภอสัตหีบ เมื่อไปถึงบ้าน โยมบิดาได้นิมนต์ให้ท่านอยู่เสียในที่สงบแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ชายทะเล ปลูกกระต๊อบเล็กๆ ให้อยู่ปฏิบัติภาวนาธรรม และได้เห็นปฏิปทาของพระลูกชาย ดูน่าเลื่อมใสศรัทธา จึงคิดว่าท่านคงไม่สึกหาลาเพศเป็นแน่ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๐ โยมบิดาของท่านมีโอกาส ไปกรุงเทพฯ และได้เข้าไปยังสำนัก พระบรมมหาราชวังด้วย ได้มีโอกาสกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๕) เพื่อขอพระบรมราชานุญาต สร้างวัดสัตหีบ ภายในบริเวณที่ดินว่างเปล่า เมื่อได้รับพระกรุณา โยมบิดาแสนจะดีใจ รีบเดินทางกลับมานมัสการให้พระลูกชายทราบ ช่วงปี พ.ศ.๒๔๕๐ – ๒๔๕๑ หลวงพ่ออี๋ โยมบิดา ตลอดถึงชาวบ้าน ได้ทำการก่อสร้างวัด โดยไปหาไม้สวยๆ ในบริเวณใกล้เคียง มาทำเสา ทำฝา และหาดินเหนียวที่บางปะกง ไปเผาทำกระเบื้องมุงหลังคา การสร้างวัดของท่าน ไม่ถึง ๕ ปีก็แล้วเสร็จ เว้น พระอุโบสถ วิหาร และศาลาการเปรียญ มีการสร้าง ในเวลาต่อๆ มา และได้วิสุงคามสีมา ในปีพ.ศ. ๒๔๖๓ ในปีที่หลวงพ่ออี๋ท่านสร้างวัดใหม่ๆ นั้น กิตติศัพท์ของท่าน ได้ขจรขจายไป ในด้านความศักดิ์สิทธิ์ และอภินิหาร ผู้คนพากันหลั่งไหลไปมากมาย มีทั้งที่ต้องการฟังธรรมะ และ การปฏิบัติสมาธิกับท่าน บางคนต้องการวัตถุมงคล ก็ได้สมความปรารถนาทุกประการ ต่อมา หลวงพ่ออี๋ท่านก็ยังออกรุกขมูลอยู่เป็นประจำ เหมือนครูบาอาจารย์ของท่าน และนี่เองเป็นมูลเหตุ ในการสร้างปลัดขิกของท่านครั้งหนึ่ง หลวงพ่ออี๋เดินทางไปรุกขมูล ท่านได้พบบ่อน้ำแห่งหนึ่ง จึงได้หยุดพักปักกลด เพื่อโปรดทายกทายิกา ในระหว่างนั้น ท่านได้ไปนั่งมองดูบ่อน้ำทุกวัน เพราะหลวงพ่อได้เห็นปลัด ผุดขึ้นมาจากผิวน้ำ เหมือนปลาผุดขึ้นมาหายใจ หลวงพ่อพยายามช้อนปลัด ก็ช้อนไม่ติดสักอัน (ท่านคงมีความรู้จากตำรา ที่ได้เคยศึกษามา) ในขณะที่กำลังช้อนอยู่นั้น มีโยมแก่คนหนึ่งเดินมาถามหลวงพ่อว่า “ทำอะไร”

หลวงพ่อตอบว่า “ช้อนปลัดขิก”
โยมแก่คนนั้นก็หัวเราะ และพูดว่า
“อย่าช้อนเลย ท่านช้อนไม่ได้ดอก ถ้าท่านอยากได้จริงๆ ก็ให้หาหญิงพรหมจารีมาช้อน จึงจะช้อนได้”
หลวงพ่อก็ได้เที่ยวตามหาหญิงพรหมจารี มาได้คนหนึ่ง ได้ขอให้หญิงพรหมจารีนั้นช้อนปลัดให้หลวงพ่อ หญิงนั้นก็ช้อนให้หลวงพ่ออันหนึ่ง ถึงแม้จะพยายามช้อนอันที่สองก็ช้อนไม่ได้ เมื่อหลวงพ่อได้ปลัดแล้ว ก็เดินทางกลับวัด ขณะที่อยู่วัด ท่านพยายามหาวิธีสร้างปลัด โดยจำลองจากที่ท่านได้มา ในการสร้างครั้งแรก เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะต้องสร้างขึ้นถึง ๑๐๘ ตัว เพื่อคัดเลือกหัวโจก หรือจ่าฝูง ครั้นได้จ่าฝูงมาแล้ว การสร้างครั้งต่อไปไม่จำเป็นต้องจำกัดจำนวน ที่ว่าจ่าฝูงนั้น ก็คือตัวที่บินเก่งที่สุด และมันชอบนำลูกฝูงบินเป็นการสมานตัวของพลังปราณ เมื่อได้ปลัดขิกตัวจ่าฝูงแล้ว อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อจึงได้นำปลัดขิกมาทดลองในบ่อน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณวัด ปลัดขิกของท่านได้วิ่งอยู่บนผิวน้ำ สั่งให้จมน้ำปลัดขิกของท่านก็จมน้ำ สั่งให้โผล่ก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ทำความประหลาดใจให้แก่พระภิกษุและญาติโยมมาก นับตั้งแต่นั้นมา ชื่อเสียงของหลวงพ่ออี๋ก็เป็นที่รู้จักกันทั่วไป การปลุกเสกนั้น หลวงพ่ออี๋จะนำปลัดทั้งหมดใส่ลงในบาตร ปลุกเสกจนวิ่งเกรียวกราว และต้องกระโดดออกมาจากบาตรอีกด้วย จึงจะถือว่าขลังและใช้การได้ จึงจะทำการแจกแก่ลูกศิษย์ลูกหา อันว่าปลัดหลวงพ่ออี๋นี้ มีสรรพคุณมากมายหลายประการ ใช้ผูกเอวป้องกันเขี้ยวงาสารพัด ป้องกันเสนียดจัญไร โรคภัยไข้เจ็บ มีเสน่ห์เมตตามหานิยม คลาดแคล้วจากภยันตรายทั้งปวง ดังประสบการณ์ จากผู้ที่มีปลัดหลวงพ่ออี๋ อยู่ในครอบครอง ซัก ๒-๓ เรื่อง ดังนี้


โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 08:01
วิ่งแข่งกับเรือ



ครั้งหนึ่งมีงานฉลองกุฏิที่วัด บรรดาสาวแก่แม่ค้าชาวสัตหีบที่มีศรัทธาปสาทะ ก็มาช่วยงานโรงครัวหรือไม่ก็งานเบ็ดเตล็ด ครั้นเสร็จงานหลวงพ่อก็หาของที่ระลึกมาแจก โดยท่านห่อกระดาษไว้ บอกให้ไปแกะดูที่บ้าน ปรากฏว่าแม่ครัวเหล่านั้นมาถึงกลางทาง อยากรู้จนอดใจไม่ได้ ก็แกะห่อออกดู เห็นเป็นปลัดขิกแกะจากแก่นกัลปังหาตัวเล็กๆ น่ารัก น่าเอ็นดู แจกให้เพียงคนละตัว ทำให้บรรดาสาวแก่แม่นางเหล่านั้น หัวเราะกันคิกคักด้วยความเหนียมอาย ก็พากันโยนลงทะเลหมด แต่ปลัด ของวิเศษ คิดว่าเขาท้าแข่ง ก็เลยว่ายแข่งไปกับเรือไม่ยอมแพ้ จนเป็นเหตุให้สาวแก่แม่นางเกิดความเสียดาย ต้องหยุดเรือเก็บไว้อย่างเดิม ทั้งเกิดการตื่นเต้นในอภินิหาร ซึ่งไม่เคยประสบพบเห็นมาก่อน

ควายขวิดไม่เข้า


ครูบุญช่วย รร.วัดสัตหีบ ได้ปลัดหลวงพ่อมา มักไม่ชอบนำติดตัว ได้เก็บไว้ที่บ้าน พอตกกลางคืนเวลาดึกสงัดจะมีเสียงเหมือนคนเดินอยู่เสมอก็นึกว่าขโมยขึ้นบ้าน จึงได้ลุกขึ้นคอยนั่งจับขโมย แต่ก็มองไม่เห็นมีขโมยสักคน นอกจากเสียงฝีเท้าคนเดิน ใจหนึ่งก็กลัวนึกว่าผีหลอก จึงตัดสินใจฉายไฟดู ก็ไม่พบเห็นอะไร นอกจากปลัดวางอยู่ข้างหน้า ห่างประมาณ ๑ ศอก จึงหยิบขึ้นมาแล้วนำไปไว้ใต้หมอนหนุนศีรษะ รุ่งเช้าครูบุญช่วย จึงได้นำปลัดติดตัวไปโรงเรียนด้วย ในระหว่างเดินมาตามทาง เห็นควายสองตัวกำลังขวิดกันอยู่ในทุ่งนา ที่จะต้องเดินผ่าน พอดีควายตัวหนึ่งวิ่งหนี อีกตัวก็ไล่ขวิด ตัวที่ไล่แลเห็นครูบุญช่วยมายืนขวางหน้า ก็ตรงรี่เข้าขวิดครูบุญช่วยจนกระทั่งล้มลง แล้วก็เข้ามาขวิดอีกจนครูบุญช่วยกลิ้งไปกลิ้งมา ตามแรงเขาควายที่ขวิด จนเสื้อกางเกงขาดหมด เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและดิน ครูบุญช่วยจึงร้องขอความช่วยเหลือ จากชาวบ้านแถวนั้น มาช่วยไล่ควายให้หนีไป แต่น่าอัศจรรย์ที่ตัวครูบุญช่วย ไม่ได้มีบาดแผลจากเขาควายตัวนั้นเลย

อีกเรื่องหนึ่ง


คุณสำราญ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อคนหนึ่ง ได้ปลัดมาจากหลวงพ่อ ไว้ใช้ติดตัวเพื่อป้องกันอันตราย วันหนึ่งได้ชวนพวกเพื่อนๆ มานั่งคุยที่หน้าบ้าน เพื่อนคนหนึ่งก็ชักปืนขึ้นมาล้อเล่น เผอิญปากกระบอกปืนหันมาตรงหน้าคุณสำราญพอดี เพื่อนอีกคนหนึ่งก็ปัดปืนไป เพื่อไม่ให้เอามาล้อเล่นกัน ในขณะที่ปัดปืนนั้นเสียงปืนก็ดังปังขึ้น กระสุนถูกหน้าอกคุณสำราญอย่างจังถึงกับตัวงอ คุณสำราญเอามือกุมหน้าอกด้วยความเจ็บ เมื่อเพื่อนๆ เข้ามาช่วยเหลือไม่เห็นมีเลือดออกมาเลย นอกจากรอยถูกปืนที่หน้าอกเสื้อเท่านั้น เมื่อถูกสอบถามจากบรรดาเพื่อนๆ ว่ามีของดีอะไร คุณสำราญไม่บอก แต่ควักปลัดของหลวงพ่ออี๋ให้ดู
แคล้วคลาด


นายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้เล่าว่าเมื่อครั้งยังประจำการอยู่ที่สัตหีบ ได้ขับรถมาบ้านในกทม. ในระหว่างขับรถมาตามทาง ได้ถูกรถบรรทุกพุ่งชนท้ายรถอย่างแรง รถเลยเสียหลักการทรงตัว ได้พลิกคว่ำลงข้างทางหลายตลบ รถพังยับเยินใช้การไม่ได้ ตัวเองหน้าอกได้กระแทกกับพวงมาลัย สลบไป คนขับรถบรรทุก ไม่ได้ช่วยเหลือ กลับขับหนีไป ชาวบ้านต้องพากันมาช่วย นำตัวออกมาทางกระจกหน้ารถ เพราะประตูรถใช้การไม่ได้ เมื่อฟื้นจากสลบก็คลำหน้าอก เนื้อตัวไม่ได้รับอันตรายใดๆ เลย ท่านกล่าวว่า “ทั้งเนื้อ ทั้งตัว ผมมีปลัดขิกของหลวงพ่ออี๋ ห้อยคออยู่เพียงอันเดียว”



โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 08:08
วัดสัตหีบ ในอดีต เป็นแหล่งธรรม และยังเป็นสถานที่ให้ความร่มเย็นแก่ญาติโยม ผู้เดินทางมาพึ่งพาอาศัย คนป่วยจากจังหวัดต่างๆ ได้รอนแรมมาเพื่ออาศัยอิทธิบุญบารมี ของหลวงพ่ออี๋ ได้ช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์ให้ ด้วยอำนาจแห่ง อภิญญาญาณของท่าน ก็สามารถช่วยเหลือชีวิตผู้เจ็บป่วย ให้หายวันหายคืนจนกลับสู่บ้านเรือนของตนได้ รวมทั้งคนเจ็บป่วยที่ต้องคุณไสยร้ายแรง หลวงพ่อท่านก็ช่วยปัดเป่าให้รอดชีวิตกลับไปได้ จึงเป็นที่เลื่องลือในหมู่ชนทั่วไป
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ อำเภอสัตหีบ คือที่มั่นของกองทัพเรือ และเป็นจุดสำคัญแห่งหนึ่ง จึงเป็นที่หมายของข้าศึก บรรดาชาวบ้านโดยทั่วไป ต่างก็ยึดเอาตัวของ หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร เป็นที่พึ่ง วันหนึ่งๆ ชาวบ้าน และผู้คนในอำเภอสัตหีบ จะมาหลบภัยอยู่ในวัดสัตหีบกันจนหมดสิ้น ด้วยเกรงว่าข้าศึกจะมาทิ้งระเบิด ปรากฏว่า เครื่องบินฝ่ายพันธมิตร ได้นำระเบิดมาทิ้งที่สัตหีบถึง สามครั้ง แต่ลูกระเบิด ไม่ระเบิดเลยสักลูกเดียว เพราะไปตกลงในทะเลเสียหมด
เมื่อเวลาเครื่องบินมาทิ้งระเบิด หลวงพ่ออี๋ ท่านจะออกไปยืนอยู่กลางแจ้ง แล้วเพ่งมองขึ้นไปเบื้องบน กำหนดกสิณลม พัดเอาลูกระเบิดหนักเป็นตันๆ นั้น ไปตกลงในทะเล ลูกระเบิดเหล่านั้น ไม่ทำงาน เพราะเมื่อเครื่องบินฝูงใหญ่มาถึง หลวงพ่ออี๋ท่านก็เดินลงไปที่ลานวัด เอาผ้าอาบน้ำฝน ที่ท่านพาดบ่าไว้นั้น สะบัดโบกไปมา ท่านเพ่งกสิณน้ำ ไปที่ชนวน และดินระเบิด ลูกระเบิดเมื่อเปียกน้ำ ก็เหมือนลูกเหล็ก หนักๆ ลูกหนึ่งเท่านั้นเอง เมื่อหลวงพ่ออี๋ ยืนบริกรรมเฉยอยู่ ฝูงเครื่องบิน พอบินมาถึง ตลาดสัตหีบ ก็โปรยลูกระเบิดเปียกน้ำลงมา พอผ่านฐานทัพเรือ ก็โปรยลูกระเบิดลงมา ก็ไม่มีผล ลูกระเบิด ถูกลมหอบพัดไปตกลง กลางทะเลหมด การทิ้งระเบิดทั้งสามครั้ง ระเบิดแม้ลูกเดียวก็ไม่ทำงาน ประชาชนจึงเชื่อในปาฏิหาริย์ ของท่านยิ่งนัก ทหารเรือทั้งหลาย นอกจากจะมีความเคารพ ในหลวงปู่ศุข กรมหลวงชุมพรฯ แล้ว ก็มีหลวงพ่ออี๋ พุทธสโร อีกองค์หนึ่ง ที่เป็นที่เคารพ สักการบูชา




โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 08:08
ปาฏิหาริย์ของ หลวงพ่ออี๋



ท่านพระครูศรีสัตคุณ เจ้าอาวาสวัดสัตหีบ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่ออี๋ รุ่นสุดท้าย ท่านได้เล่าให้ฟังว่า “แต่ก่อนนี้นะโยม ชาวบ้านแถวสัตหีบนี่ ก็คือบ้านป่าที่อาศัยชายทะเล มีอาชีพการจับป่าเป็นหลักเท่านั้นแหละ ไร่สวนก็ปลูกไว้กินเอง ถนนหนทางก็มีทางเกวียน และทางเกวียนนั้นไปมาก็ลำบากมาก เพราะเป็นป่าดงพงไพร มีต้นไม้ใหญ่สูงๆ ทั้งนั้น ต้นยาง ต้นไม้แดง ต้นไม้พะยอม ละก็มาก การเดินทางไป อย่างกับชลบุรี และกรุงเทพฯนี่นะต้องไปเรือ คราวหนึ่งอาตมาต้องไปธุระที่จังหวัด ชลบุรี ก็นั่งเรือไปกับเขาด้วย พอนั่งเรือมาถึงช่วงอำเภอศรีราชานั่นเอง ทะเลเกิดคลื่นลมจัด มีพายุพัดกระหน่ำเรือ อีกทั้งฝนฟ้าก็ตกอย่างหนัก หนักเข้าเรือล่มจมน้ำ คนในเรือก็ต้องช่วยตัวเองละคราวนี้ ลูกน้ำเค็มมันเค็มจริงนะโยม สำลักน้ำทะเล ถูกคลื่นลมพายุพัด ซัดกระจายไปคนละทางสองทาง ตัวอาตมาเองต้องลอยคออยู่กลางทะเล ท่านกลางดงฉลามด้วยนะในช่วงนั้น แล้วก็จีวรกับน้ำนี่เขาพบกันได้ที่ไหน จีวรเจอน้ำเป็นกอดกันแน่น คนกลางคือตัวอาตมานี่ซี จะจมน้ำทะเลตายแหล่ มิตายแหล่ ใจก็นึกถึงหลวงพ่ออี๋ท่าน มันกลัวตายอยู่นะตอนนั้นน่ะ ในความรู้สึกเพราะใกล้จะหมดแรงจมน้ำนั้น คล้ายกับมีใครมาอุ้มพยุงตัวเอาไว” ๖ ชั่วโมงที่ลอยคออยู่ ก็ปรากฏว่ามีเรือประมงชาวศรีราชา เขาออกจากฝั่งเพราะคลื่นลมสงบหมดแล้ว เขามาพบอาตมาลอยคออยู่ ก็ช่วยไว้ได้” ก่อนที่เจ้าของเรือประมงจะออกจากฝั่ง เขามีความรู้สึกเหมือนมีผู้มาดลใจ ตามที่เขาเล่าไว้
“ขณะที่ฉันและพรรคพวก จะนำเรือออกทะเลโน้น มีพระสงฆ์องค์หนึ่ง ท่านยืนอยู่บนผิวน้ำ ฉันเป็นเจ้าของด้วย เป็นไต้ก๋งด้วย ก็สั่งลูกน้องให้ตรงไปข้างหน้า พวกลูกน้องคงไม่เห็นอย่างฉันเห็นแน่
ฉันยืนอยู่บนเสากระโดง คอยมองปลา จึงแล่นเรือเข้าไป ก็ไปพบกับหลวงพ่อพระครูเข้า ก็เลยเหมาเอาว่า ท่านต้องมีอะไรดีแน่ๆ ครั้นพอท่านส่งวัตถุนิยมของหลวงพ่ออี๋ให้เป็นรางวัล ก็เกิดศรัทธา เพราะตั้งใจมานานแล้วว่า อยากได้ แม้จะเป็นผ้าเช็ดเท้าก็จะบูชาเอาไว้” เจ้าของเรือลำนั้น ท่านพระครูศรีสัตคุณบอกว่า “เขาชื่อนายสง่า เป็นเจ้าของเรือ อยู่ศรีราชานี่เอง อาตมาเชื่อความบริสุทธิ์ของหลวงพ่ออี๋ท่านมาก เพราะอาตมาเคยเห็นท่านมาตั้งแต่เป็นเด็กวัด มาอยู่กับท่านตั้งแต่อายุ ๗-๘ ขวบเท่านั้น อาตมาเป็นลูกกำพร้านะ มีโยมบิดาเลี้ยงท่านก็ดีมาก ชีวิตผันเข้ามาในพระศาสนา ก็นับว่าดีแล้ว ไม่ขาดทุน ยิ่งได้มาเป็นศิษย์ของหลวงพ่ออี๋ ก็ถือว่าเคยร่วมกุศลมากับท่าน ตั้งแต่อดีตชาติ มาพบกันอีก ช่วยกันอีก นี่แหละโลกนะ มันควรค่าแก่การเรียนรู้ดีแท้”
หลวงพ่ออี๋เป็นพระผู้ทรงอภิญญา เป็นที่เลื่องลือไปไกล แต่ความอัศจรรย์นี้ คนรุ่นสมัยใหม่ ไม่สู้จะเชื่อนัก ยิ่งทางด้านไสยศาสตร์ เขายิ่งไม่เชื่อเอาเสียเลย ถือว่าเป็นเรื่องล้าสมัย แต่ก็มีหลายท่าน ที่จนปัญญาจะพิสูจน์ได้ ก็ต้องยอมนับถือท่าน ท่านพระครูศรีสัตคุณ ได้เล่าให้ฟังว่า “น่าอัศจรรย์มาก สมัยที่อาตมายังเล็กอยู่ โยมบิดาเลี้ยงของอาตมา ท่านป่วย หมอรักษาไม่ได้อีกแล้ว แต่หลวงพ่ออี๋ ท่านรักษาได้ทั้งยา และวิชาอาคมจนหายเป็นปกติ โยมบิดาก็ให้ช่างเขียนรูปหลวงพ่ออี๋ขนาดใหญ่ ไว้บูชาที่บ้าน โยมบิดานั้นท่านเคารพสุดที่จะบรรยายเลยละ ตอนนั้นเลยได้มาเป็นลูกศิษย์ ติดตามรับใช้หลวงพ่ออี๋ไปทุกแห่ง เพื่อจะได้รับใช้ท่านตามความประสงค์ ของโยมบิดา”
ธรรมะของหลวงพ่ออี๋ มีมากมาย เช่น “หลักวาจาดี มีคุณประโยชน์” ท่านไม่เคยพูดว่าใครให้แสลงหู และท่านไม่ค่อยจะพูดอะไรออกไปมากนัก เพราะวาจาที่ท่านพูดออกไป มักจะเป็นจริงดังนั้นเสมอ ท่านจึงพูดแต่คำที่เป็นสิริมงคลโดยตลอด พลังจิตอัศจรรย์ ของหลวงพ่ออี๋นั้น พระอาจารย์แง (พระครูภาวนาโกศล) วัดเจริญสุขาราม ศิษย์ของหลวงพ่อปานเหมือนกัน ได้เล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน (บางเหี้ย) ท่านสอนศิษย์ทุกรูปให้มีพลังจิตแก่กล้า โดยเอาพลังจิตรวมไว้ที่นัยน์ตา แล้วเพ่งออกไป ตาไม่กระพริบ ทำอย่างนั้นให้คล่องแคล่ว แล้วก็อาศัยจิตเข้าผนวกกัน เพื่อดำเนินจิตเข้าทางกสิณ คุณไสยที่ถูกส่งมา เช่น เขาส่งหนังควายเสกบินเป็นแมลง คนที่มีจิตแก่กล้าอย่างหลวงพ่ออี๋ ท่านมองเท่านั้น แผ่นหนังตก คลายสภาพทันที และถ้าท่านไม่รู้เห็น นอนหลับ เข้ามาใกล้ท่านสามวา ของเหล่านั้นจะอ่อนกำลัง กลับไปหาเจ้าของอย่างรวดเร็ว หลวงพ่ออี๋ท่านเป็นพระรุ่นพี่ ที่สามารถที่สุด ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายของหลวงพ่อปาน ทำให้พวกที่ชอบเล่นไสยศาสตร์ครั่นคร้าม ไม่กล้าจะยุ่งเกี่ยว ถึงจะรู้ว่า ท่านเป็นผู้แก้ไข คุณไสยที่เขาส่งไปทำร้ายคนเจ็บ ที่ท่านรักษาให้ เมื่อท่านรักษาคนป่วยหายแล้ว ท่านก็ให้รับศีล ป้องกันการแก้แค้น แล้วก็ให้พรว่า “เอาละ ต่อไปไม่มีอะไรมา ทำร้ายได้อีกแล้ว”
พระอาจารย์เล่าต่อไปว่า
ตอนนั้น มีพระร่วมธุดงค์ ๖ องค์ หลวงพ่อปาน เป็นพระอาจารย์หัวหน้า ได้ไปพักอยู่ที่โน้น ใกล้เมืองเขมร เช้านั้นออกบิณฑบาต ก็มานั่งฉันกันที่ละเมาะป่า กำลังฉันกันอยู่ หลวงพ่อปานท่าน ก็ว่า
“อื้อ... อื้อ... ”

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 08:09
พวกเราก็เงยหน้าขึ้น... งูจงอางตัวเท่ากับไผ่ตงละมั้ง มันยกตัวขึ้นสูง หลวงพ่ออี๋ท่านนั่งอยู่ตรงกับมัน แล้วก่อนที่มันจะทิ้งตัวลงฉกกัดน่ะ ท่านมองเห็นมันก่อน ท่านก็เพ่งเข้าใส่ งูจงอางตัวแข็งไปเลย พอตัวแข็งมันก็ล้มลงไปกับพื้น นอนเฉย มันไม่ตาย แต่มันทำอะไรไม่ได้ ตัวมันเหลืองเชียว เวลามันล้มน่ะ เหมือนคนล้มทั้งยืนนั้นแหละ หลวงพ่อปานท่านหัวเราะ หึหึ แล้วพูดว่า...
“ใครจะขี่เล่นมันก็ไม่ว่าแล้วทีนี้”... ด้วยอานุภาพของจิตนี้ ขณะหลวงพ่ออี๋ ท่านอยู่ในกุฏิ ทำจิตสงบเป็นอารมณ์เดียวนิ่งอยู่ ถ้าใครเข้ามาหาท่านในตอนนี้ แล้วได้ประสานสายตากับท่าน ก็เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต คนนั้นจะชาหมด เหมือนงูจงอางตัวนั้น มันเกิดพลังขึ้นโดยจิตที่เป็นสมาธิ ซึ่งท่านชำนาญ ... รวดเร็ว ในการทำสมาธิ ให้เกิดขึ้นในชั่วกระพริบตา ..

ท่านพระครูศรีสัตคุณ กล่าวว่า

“ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้ใกล้ชิด ติดตามหลวงพ่ออี๋มาโดยตลอด เห็นจริยาวัตรของท่าน การดำรงชีวิต ท่านเป็นผู้เลี้ยงง่ายที่สุด เป็นพระอนาคาริก หรือผู้สละเรือน จริงๆ ท่านมิใช่พระประเภทเครื่องรางของขลังเพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งอื่นหมื่นแสน ท่านยังปล่อยวางได้หมด แล้วแค่พระเครื่อง เล็กๆ น้อยๆ ท่านจะมายุ่งยากเกี่ยวรัดเอาไว้ทำไม ”
“หลวงพ่อปาน ท่านสอนให้ปล่อยวาง ไม่สอนให้ติดข้องกับสิ่งภายนอก ก็ร่างกายของตัวเองยังไม่ติดข้อง ส่วนที่จะสงเคราะห์โลกน่ะ เป็นวิสัยของพระที่จะเมตตา ช่วยในสิ่งอันควรช่วย ไม่ใช่ว่า หลับหูหลับตาช่วย ช่วยด้วยปัญญา นี่ท่านสอนอย่างนี้ ” อำนาจแห่งพระกรรมฐาน มีการอบรมจิต ขั้นสมาธิ อภิญญาญาณ อาศัยขุมพลังของพ่อแม่ อันสำคัญคือ พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ชาวต่างชาติ ได้ประสบกับตนเอง บังเกิดศรัทธาอันแรงกล้า ถึงกับสละตนเข้าบวชในพระศาสนาเป็นจำนวนมาก ด้วยปฏิบัติเองเห็นเอง ชาวอเมริกัน ชื่อ เทเลอร์ ยังค์ แม่เป็นคนฮาวาย พ่อเป็นทหารอเมริกัน เล่าให้ฟังว่า “ฉันเป็นคนอเมริกัน เป็นนักบิน มีเงินเดือนหลายหมื่นบาท เป็นทหารก็ไปประจำที่เกาะโอกินาวา มาเมืองไทยสมัยสนามบินอู่ตะเภา เคยได้ไปนมัสการ หลวงพ่ออี๋ ซึ่งก็เป็นพระภิกษุ เป็นรูปปั้นธรรมดา (ตอนนั้นท่านมรณภาพแล้ว) ที่ไปไหว้ก็เพราะผู้หญิงเขาชวนไป แล้วก็ซื้อรูปของท่านมาแขวนคอด้วย เพราะเห็นว่าไม่เสียหายอะไร... น่านับถืออยู่ เพราะท่านอยู่ได้โดยไม่มีเมียได้... ” “พวกเพื่อนๆ มันก็ถามว่า ‘แกเอารูปพระชาวพุทธมาแขวนคอทำไม ?’ ฉันเลยบอกพวกเขาไปว่า ‘พระภิกษุนี่ ท่านชื่อหลวงพ่ออี๋ เป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านมีศีล ไม่มีเมียอย่างพวกแกด้วย ท่านไม่เอาอะไรทั้งนั้น ท่านเก่ง...’ เพื่อนๆ ก็พูดอีกว่า ‘เฮ้ย.. แกนับถือคริสต์ ไปเอาพระพุทธมาแขวน ไม่เอาพระเยซูมาแขวน แกผิดนะ’ ฉันก็ตอบมันไปว่า ‘ถ้าฉันผิด แกก็ต้องผิดด้วย เพราะตัวแกเอง ไปซื้อกระดูกปลา เขี้ยวหมา เขี้ยวแมว มาแขวนคอเหมือนกัน’ ทำไมฉันจึงศรัทธานัก สำหรับหลวงพ่ออี๋องค์นี้ ก็เพราะ หลังจากที่ฉันได้รับรูปของท่านแล้ว ได้ไปที่เวียตนาม ขับเครื่องบิน ก็ถูกยิงขึ้นมาอย่างหนัก คิดว่าตายแน่นอน ส่วนเครื่องสลัดระเบิดก็ไม่ทำงาน ปลดไม่ได้เสียอย่างนั้นเอง แต่ขณะที่กำลังวุ่นวายใจนั้น ก็มองเห็นพระภิกษุ ท่านนั่งอยู่ตรงข้างส่วนหัวเครื่องบิน เอามือปัดไปมาหลายครั้ง ฉันก็มาคิดว่า ตาคงไม่ฝาดแน่แล้ว จึงเกิดสงสัยว่า พระองค์นั้นไปนั่งอยู่ได้ยังไง... หรือว่าเป็นผี ขณะที่คิดอยู่นั้นท่านก็หันมาแล้วหายไป จำได้แม่นยำว่า องค์ที่ซื้อรูปท่านมานี่เอง... จึงไม่กลัวลูกปืน เพราะท่านปัดให้พ้นอันตราย มองเห็นลูกปืนวิ่งไขว่ไปมา พอถึงทะเล ก็ปลดลูกระเบิดลงทิ้งเสีย เครื่องปลดก็ดีอยู่ทำงานได้คล่องแคล่ว เลยรู้ว่า ท่านไม่ให้ทำบาปน่ะเอง” นอกจากนี้ เขายังได้เล่าเรื่องอันน่าระทึกใจ และเขายังจดจำวันนี้ไว้ชั่วชีวิต ว่า... “อีกคราวหนึ่ง ตอนได้กลับไปอยู่บ้าน เพราะได้พักผ่อน สิทธิพิเศษนี้ จะได้ก็เป็นนายทหารเท่านั้น วันหนึ่งขับรถไปตามถนน ก็พบกับอุบัติเหตุเข้า รถเทรลเลอร์คันโต วิ่งสวนมาปิดทางหมดเลย หลบไม่ได้ เราเบรคแล้ว แต่เขาไม่เบรค เลยทำให้ปะทะกันอย่างแรง รู้สึกตัวเฮือกสุดท้ายว่า หลวงพ่อท่านมาอุ้มออกไปนอกรถ ท่านวางไว้ข้างๆ ต้นไม้ แล้วลูบหัว สอง-สามครั้ง ท่านก็ยิ้มให้ ฉันต้องนอนสลบอยู่อาทิตย์เต็มเลยทีเดียว พอฟื้นขึ้นมา ก็ต้องตกใจ เพราะหารูปของหลวงพ่อไม่พบ พอสอบถามหา เขาก็บอกว่า.. เอาไปทิ้งแล้ว เพราะเห็นว่าเปื้อนเลือด แม้แต่เสื้อผ้า เขาก็ทิ้งไปพร้อมๆ กัน ฉันเศร้าใจ และเสียใจมาก เมื่อหายจากเจ็บป่วย ซึ่งก็เล็กน้อย เนื้อตัวไม่เป็นอะไรมากนักหรอก เนื้อตัวบาดเจ็บนิดหน่อย แต่แรงปะทะมันมาก แล้วก็พอสอบถาม ได้ความว่า ไปนอนอยู่ข้างต้นไม้จริงๆ สภาพรถนั้นเละ แต่ตัวไม่เป็นไร พากันอัศจรรย์ในเหตุการณ์ ครั้งนั้นเป็นอันมาก เมื่อได้มาเมืองไทยอีกครั้ง ก็ได้มากราบท่านอีก และได้ยื่นหัวไปตรง เท้า-มือ ให้ท่านลูบอีกครั้งหนึ่ง... ซื้อรูปของท่านหลายรูป และมีรูปเป็นโลหะด้วย (เหรียญ) เคยกำชับบอกลูกสาว และลูกชายว่า “นอกจากพ่อแม่นี้แล้ว เธอต้องเคารพรัก หลวงพ่ออี๋ เมืองไทยด้วย ตลอดชีวิต” ลูกๆ พากันเรียกท่านว่า “คุณพ่ออี๋ ไทยแลนด์” ... ” ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ย่อมเป็นไปโดยปกติของมนุษย์ หลีกหลบไม่ได้เลย แม้แต่คนเดียว หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ท่านก็หนีกฎแห่งความจริงนี้ไปมิได้ ข่าวการอาพาธของท่าน ทำให้ลูกศิษย์ ต่างก็ทยอยมากราบ นมัสการ เยี่ยมเยือนอาการเจ็บป่วยของท่านทุกวัน แต่ท่านมิได้แสดงอาการ ทุกขเวทนาให้เห็น ท่านยังได้สอนธรรมะอีกว่า “จิตไม่มีอาการ เจ็บ ปวด สภาพที่เราไปฝังจิตใจไว้เป็นอุปาทาน เราต้องเป็นคนฉลาด.. เอาเวทนาออกไปจากใจให้ได้ เมื่อนั้นสบายดีแท้ ”




โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-5-20 08:09
จิตไม่มีอาการ เจ็บ ปวด สภาพที่เราไปฝังจิตใจไว้เป็นอุปาทาน เราต้องเป็นคนฉลาด.. เอาเวทนาออกไปจากใจให้ได้ เมื่อนั้นสบายดีแท้ ” สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ได้จัดเวรยาม ผลัดกันเฝ้าพยาบาลท่าน ๔ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง จนกระทั่งถึงวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ท่านได้สั่ง พระภิกษุจำเนียร พระหลานชาย ให้อุ้มท่านลุกขึ้นยืน และเปลี่ยนผ้าจีวรใหม่ แล้วก็นำท่านมานั่งบนอาสนะ และห้ามไม่ให้ใครถูกตัวท่าน ท่านนั่งอยู่เป็นเวลานาน พระจำเนียรเกิดความเป็นห่วง จึงเข้าไปดู เห็นมีหนองไหล ออกมาทางปาก จึงถามท่านว่า
“หลวงพ่อ ทำไมมีหนองไหลออกมาทางปาก” ท่านตอบว่า “ต้องการใช้หนี้เวรมัน”
จากนั้นท่านก็สงบระงับ ไม่มีอาการใดๆ เลย ศิษย์มองเห็นอาการแน่นิ่ง ผิดปกติ แต่เพราะถือคำสั่งว่า “ไม่ให้ถูกตัวท่าน” จนกระทั่ง กระดานพื้นที่ท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ นั้น เกิดพลิกขึ้นมาเอง ทั้งๆ ที่ตอกตะปูไว้แน่น และกรอบรูปพระที่แขวนไว้ข้างฝา ก็หลุดลงมาแตกกระจาย ลูกศิษย์ท่านหนึ่งจึงเข้าไปจับชีพจรท่าน แล้วโพล่งว่า “หลวงพ่อดับเสียแล้ว” หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร ผู้บังเกิดมาดับทุกข์ร้อน ให้แก่ชาวอำเภอสัตหีบ ได้อำลาโลกไปแล้ว รวมสิริอายุได้ ๘๒ ปีเศษ ...หลวงพ่ออี๋ เป็นพระสมณะ ที่ได้มอบกาย ถวายชีวิตนี้ ไว้แก่พระพุทธศาสนาแล้ว ท่านพึงพอใจที่จะมีชีวิตอย่างสันโดษ มีสมบัติติดกายเพียงผ้าสามผืน จิตสงบวิเวกเป็นสมถะธรรม ท่านกลายเป็นพระที่ “มีเหมือนไม่มี ” ดังพระอาจารย์ หลายๆ ท่านเช่น หลวงพ่ออี๋ พุทธสโร หลวงพ่อ มหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีฯ) หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงพ่อจรัล ฐิตปุญโญ หลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย ฯลฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ เป็นผู้สั่งสมบารมีมานาน จึงเป็นผู้ “มีเหมือนไม่มี” แล้ว “ไม่มีเหมือนกับมี” เงินทองก็หลั่งไหลเข้ามา มากมาย แต่ท่านไม่เคยยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น เมื่อท่านเห็นว่า สิ่งอันใดควรจะสร้าง ท่านก็อนุญาต ให้สร้างถาวรวัตถุ ทำความเจริญรุ่งเรืองแก่ สถานที่นั้น แม้สถานที่นั้นจะอยู่ในป่าในดง ก็เจริญขึ้นมากมาย สำหรับหลวงพ่ออี๋ เมื่อท่านมรณภาพแล้ว ศิษย์เกรงว่าจะไม่มีเงินทำศพของท่าน เพราะไปดูกระเป๋าพระ (ย่าม) มีแต่ผ้ากราบ และผ้าเช็ดหน้า-ปาก ผ้ารองนั่งเท่านั้น เงินไม่มีเลย แต่เมื่อตรวจดู ตามภาชนะเก่าๆ บ้าง ใต้ถาด ใต้พานดอกไม้ ที่ลูกศิษย์มาทำบุญกับท่านบ้าง ได้พบเงินที่เสียบไว้กับสิ่งต่างๆ รวมได้ถึง ๒๐,๐๐๐ บาทเศษ หลวงพ่ออี๋ท่านมิได้ถือ ว่าเป็นของท่าน ใครมาวางไว้ที่ใด ก็อยู่ตรงนั้น ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันมรณภาพ นี่คือชีวิตของท่านผู้ทรงคุณ ซึ่งดำรงชีวิต อย่างสมณะโดยแท้จริง ... ”

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-11-29 17:26

โดย: Nujeab    เวลา: 2016-11-30 11:12





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2