Baan Jompra

ชื่อกระทู้: โปรดญาติโยม, เทวดาบอกเหตุ, ป่าหลวงพระบาง, ผจญเสือโคร่ง, บรรลุธรรม [สั่งพิมพ์]

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-4 19:17
ชื่อกระทู้: โปรดญาติโยม, เทวดาบอกเหตุ, ป่าหลวงพระบาง, ผจญเสือโคร่ง, บรรลุธรรม
โปรดญาติโยม
     หลวงปู่สี ฉนฺทสิริ  นอกจากท่านจะอบรมสั่งสอนธรรมกับชาวบ้านตามที่ทุรกันดาร ตามป่าดงพงเขาเป็นกลุ่มชนที่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งมีพระน้อยรูปที่จะเข้าไปอบรมสั่งสอน เพราะผู้คนนักบวชส่วนใหญ่ ขอบที่จะอยู่ในถิ่นที่มีความเจริญทางวัตถุมากกว่า นอกจากชาวบ้านทุ่ง ชาวบ้านป่าก็พวกเทพเทวาอารักษ์ และพระเณรผู้ปฏิบัติธรรม หลวงปู่ท่านมีอุบายธรรมในการอบรมสั่งสอนอย่างลึกซึ้ง ท่านจะยกพระธุดงค์ พระธรรมของพระพุทธองค์เป็นคำสอน เป็นผู้สืบทอดต่อ เช่น การอบรมพระเณรในเรื่องการเดินบิณฑบาต
     พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้เดินบิณฑบาต เดินจงกรม เดินธุดงค์ เป็นการรักษาสุขภาพร่างกาย ทำให้ไม่เมื่อยขบ ไม่หนาวเวลาเดิน ท่านให้เดินอย่างสำรวม เดิยอย่างมีสติ เอาจิตจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เวลาเดินจะแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ หรือไม่ก้ภาวนามนต์บทใดบทหนึ่ง อย่าง เช่น "สัมมาอรหัง" หรือ "พุทโธ"
     เวลาเข้าไปรับบาตร ก็ให้มองพิจารณาในบาตร เพื่อมิให้สายตาสอดส่าย เพื่อมิให้จิตปรุงแต่ง การคิดปรุงแต่งย่อมเกิดขึ้นได้ทุกขณะจิต ถ้าตาไปเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส แม้ไม่ได้สัมผัส จิตมันก็ปรุงแต่งจากสัญญาขึ้นมาได้ เมื่อสัมผัสแล้วทำอย่างไร เมื่อจิตเกิดปรุงแต่งท่านให้พิจารณาถึงสิ่งตรงกันข้ามเสีย ความสวยที่สุดมันก็ไม่สวยได้ ยามชราเนื้อหนังมังสามันก็เหี่ยวย่น ยามตายผิวมันก็จะบวมฉุ แตกปริเน่าเฟะ ส่งกล่นเหม็นมันจะสวยไหม ท่านบอกไว้ทุกอย่างทุกทาง แม้กระทั่งเจ้าความอยากในกามคุณมันก็ยังเล็ดลอดออกไปได้ ท่านก้สอนให้มีสติ คอยระวังรักาจิต คอยรู้เท่าทันอารมณ์กิเลส
     คำสอนของพระองค์ แม้จะประเสริฐยอดเยี่ยมอย่างไร ถ้าไม่ปฏิบัติด้วยตนเองแล้วยากที่จะพ้นทุกข์ได้ ถึงเราจะประกอบงานอาชีพอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ทำด้วยตัวเอง อาศัยจมูกคนอื่นหายใจคอยให้เขาทำให้ ก็จะไม่เกิดผลแก่ตน ธรรมปฏิบัติที่จะทำให้พ้นทุกข์ได้ เราต้องรู้ด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง จึงจะเกิดปัญญารู้แจ้งถึงทางพ้นทุกข์นั้น การตอยแทนคุณท่านก็คือปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์...
เทวดาบอกเหตุ
     คืนวันหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่สีนั่งบพเพ็ญสมาธิภาวนาอยู่นั้น เป็นเวลาดึกสงัดประมาณสองยามเห็นจะได้ จิตของท่านอยู่ในขั้นอุปจารสมาธิ คือ สมาธิอย่างอ่อนๆ กำลังพิจารณาสังขารธรรมอยู่อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ ไม่ลดละความเพียร พลันทันใดก็ ปรากฏภาพนิมิตขึ้นในห้วงสมาธิ มีผู้ชายคนหนึ่งนุ่งขาว ห่มขาว ได้เดินคุกเข่าก้มลงกราบท่านแล้วพูดว่า
     "นิมนต์หลวงพ่อย้ายกลดขึ้นไปอยู่บนเขาเสียเถิด ด้วยคืนนี้จะมีน้ำป่าพัดผ่านมาที่นี่ หลวงพ่อจะเป็นอันตรายถึงชีวิต"
     แล้วภาพนิมิตของเทวดาผู้นั้นก็หายไป หลวงปู่สีท่านจึงอธิษฐานจิตขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย เพื่อขอตรวจดูเหตุการณ์ด้วยทิพจักขุญาณ พลันก็พบว่าไกลออกไปทางเหนือฝนกำลังตกหนักมืดคลื้ม มีพายุและฟ้าแลบน่ากลัวมาก เห็นน้ำป่ากำลังทะลักทลายลงมาจากภูเขา พัดพาถล่มต้นไม้ในป่าเสียงดังกึกก้องไปหมด น่ากลัวมาก กระแสน้ำป่านั้นกำลังพัดมาทางจุดที่ท่านกำลังบำเพ็ญเพียรอยู่อย่างแรง
     หลวงปู่รู้สึกประหลาดใจระคนสงสัย จึงถอยจิตออกจากสมาธิลืมตาขึ้นดู พบว่าบริเวณหุบเขาที่ท่านพักอยู่ แสงเดือนหงายอย่างแจ่มจรัส อากาศก้เย็นสบายปลอดดปร่งรื่นรมย์ไม่มีเค้าเมฆฝนอยู่ในท้องฟ้าเลย แต่เหตุการณ์ผ่านไปสักชั่วอึดใจใหญ่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอื้ออึงดังมาจากเบื้องทิสเหนือ เสียงนั้นน่ากลัวมาก คล้ายเสียงรถไฟหลายขบวนวิ่งแข่งกันเข้ามาในป่าไม่มีผิด ทำให้ท่านแน่ใจทันทีว่า โอปาติกะ เทพเทวาปรากฏกายเข้ามาแจ้งเหตุในนิมิตนั้นบอกกล่าวเป็นความจริง และทิพจักขุญาณของท่านก็เห็นภาพแน่ชัด ไม่ใช่ภาพหลอนหลอกแต่อย่างใด เสียงอื้ออึงนั้นเป็นเสียงน้ำป่าห่าใหญ่ กำลังพัดมาอย่างรวดเร็ว รุนแรงมากอย่างแน่นอน
  นี่คือภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล ไม่มีใครไปห้ามมันได้ เราเป็นผุ้สมณะผู้บำเพ้ยะรรมไม่บังควรที่จะกีดขวางธรรมชาติ รำพึงเช่นนั้นแล้วท่านก็ถอนกลดจัดแจงย้ายขึ้นไปอยู่บนเขาสูงให้พ้นอันตราย แต่หาได้ตื่นกลัวแต่อย่างใดไม่
     พอแบกกลดใส่บ่าข้างหนึ่งสะพายบาตรอีกข้างแล้ว ท่านก็ออกเดินจะขึ้นเขาไป กระทำใจให้มั่นคงภาวนาไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนอะไร เพราะเสียงน้ำอื้ออึงนั้นยังอยู่ไกล คงไม่มาถึงตัวท่านรวดเร็วแน่ เดินภาวนาสักครู่ก็ขึ้นเขาสูง
     ท่านมองลงมาจากหน้าผา เห็นกระแสมหึมาไหลกรากท่วมต้นไม้ใบหญ้าบริเวณที่ท่านนั่งภาวนาอยู่ในหุบเขานั้น กลายเป็นทะเลสาบไปหมดในพริบตา ช่างอัศจรรย์ใจในธรรมชาติที่งดงามแต่แฝงด้วยอันตรายนานัปการ พอรุ่งเช้าน้ำป่านั้นก็หายวับไปกับตา นี่แหละธรรมชาติของน้ำป่ามาเร็วหายไปเร็ว และเป็นอันตรายร้ายแรงอย่างน่ากลัวยิ่งนัก หลวงปู่สีนั้นนับว่ามีบุญญาภิสมภารสูง ถึงรอดตายมาได้ในครั้งนี้ จะว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเทวดาช่วยชีวิตไว้ก็ให้น่าสงสัยมาก
ป่าหลวงพระบาง
     จากพม่า หลวงปู่สีท่านก็ข้ามแม่น้ำโขง จาริกธุดงค์ไปยังหลวงพระบาง รอนแรมบุป่าฝ่าดงอันหนาแน่นไปด้วยต้นไม้ และขวากหนาม เส้นทางธุรกันดารยากลำบาก วกไปเวียนมากมองไปทางทางไหนมีแต่ป่าแต่เขาสูงใหญ่ จนอ่อนหล้าเพราะหลงทิศทาง เดินไปทั้งวันก็วกกลับมาที่เดิม ไม่น่าเชื่อสัตว์ตัวกระจ่อยร่อยประเภทดูดเลือด เช่น ฝูงทากก็มากมาย คอยรบกวนให้ได้รับความรำคาญอยู่ตลอดเวลา ตะวันยอแสงฉาบสีทองเอิบอาบขุนเขาสูงใหญ่เบื้องหน้า เป็นภาพที่สวยงามตระการตาราวกับสีมณีวิศิษอันมีสีต่างๆ
     ท่านรู้สึกชื่นชมธรรมชาติในยามใกล้สนธยาเบื้องหน้า จึงรุดตรงไปยังเชิงเขา เพื่อยึดเอาเขาลูกนี้เป็นที่พักแรมคืน ภูมิภาพอันสวยงามเบื้องหน้า เงาหมู่ไม้ทอดยาว แสงสะท้อนจากกลุ่มเมฆสีขาวสลับซับซ้อนเบื้องบนเป็นสีระยับวะวับวาว ทำให้หุบเขาแห่งนั้นกลายเป็นสีรุ้ง ดั่งว่าเนรมิตไว้ฉะนั้น คำวันนั้น หลวงปู่สีท่านได้หยุดปักกลดที่เชิงเขาในคูหาถ้ำอันกว้างขวางสะอาดสะอ้านคล้ายมีคนมาคอยปัดกวาดเป็นประจำ ที่ใกล้ๆ มีธารน้ำใสไหลเย็นผ่าน
     หลังจากลงสรงน้ำในลำธารเป็นที่ชุ่มชื่นเย็นกายเย็นใจแล้ว ท่านก็กลับเข้ามาในถ้ำนั่งพักผ่อนอยู่พักหนึ่ง ต่อจากนั้นจึงนั่งภาวนาด้วย "พุทโธ" เป็นวัตรปกติเสมอมา แสงเดือนกระจ่างนวลสาดเข้ามาในถ้ำ กระแสลมที่พักอยู่รวยรินทำให้สดชื่นเย็นสบายใจ บรรยากาศภูมิประเทสก็เงียบสงัดวิเวก เหมาะสำหรับบำเพ็ญสมณะธรรมพิจารณาขันธ์ทั้ง ๕ ด้วยประการทั้งปวง
     เวลาผ่านไปอย่างสม่ำเสมอ ท่านจึงถอนจิตจากสมาธิเปลี่ยนเป็นมาเดินจงกรมที่บริเวณหน้าถ้ำ ท่ามกลางแสงเดือนกระจ่างสว่างพราวเหมือนกลางวัน
ผจญเสือโคร่ง
     
     มีเสียงกระหึ่งร้องดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เสียงร้องรับกันทางโน้นที ทางนี้ที แสดงว่ามีเสือออกหากินในยามราตรี เสียงร้องของมันทำให้ป่าที่วังเวงด้วยเสียงจักจั่นเรไรที่ร้องระงม เงียบเสียงไปหมดสิ้น ดั่งต้องมนต์อาถรรพณ์
     หลวงปู่มิได้ ไม่ได้นึกเกรงกลัวแต่อย่างใด ถือว่าสัตว์ป่าออกหากินไปตามประสาของมัน ท่านคงเดินจงกรมไปตามปรกติ ด้วยอริยบถสม่ำเสมอ มี มหาสิตปัฏฐานเป็นหลักคอยควบคุมกายและใจอยู่ตลอดเวลาไม่วอกแวก เสียงเสือขานรับกันคำรามใกล้เข้าทุกที แล้วในที่สุดเสียงกระหึ่งร้องนั้นก้เงียบหายไป ท่านเดินจงกรมกลับไปกลับมาอยู่พักใหญ่ รู้สึกเฉลียวใจว่ามีอะไรผิดปกติข้างทางเดินจงกรม จึงชำเรืองมองไป
     พลันก้ได้เห็นเสือโคร่งตัวใหญ่มาก ตัวใหญ่เกือบเท่าม้าล่ำพี ๒ ตัว กำลังจ้องมองท่านอยู่อย่างเงียบๆ ท่านรู้สึกสงสัยว่า มันมายืนจ้องมองท่านอยู่เช่นนี้เพื่อต้องการอะไรกันหนอ ถ้ามันต้องการจะจับตะครุบท่านกินมันน่าจะทำไปแล้ว ไม่น่าจะพากันจ้องมองไม่กระดิกกระดิกเช่นนี้เลย ดูๆ ไปแล้วก็น่ารักน่าสงสาร สวยงามสง่า ในจิตท่านมีแต่เมตตา
     พอท่านคิดเช่นนี้ พลันทันใดเสือใหญ่ทั้ง ๒ ตัว ก็ส่งเสียงร้องกระหึ่มขึ้นมาพร้อมๆ กัน ดังสนั่นหวั่นไหวไปหมดจนแก้วหูอื้อ เมื่อได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นพร้อมๆ กันเช่นนั้น ท่านก็คิดในใจว่า ชะลอยพวกมันคงจะพูดบอกความในใจกับท่านอันเป็นภาษาของมันกระมัง พอท่านคิดเช่นนั้น มันก็พากันร้องสนั่นขึ้นมาอีกจนสะเทือนไปทั้งป่า
     หลวงปู่สีคงเดินจงกรมผ่านหน้ามันไปมาเป็นปกติ มันก็ไม่ทำอะไร ได้แต่จ้องมองตามิริยาบถเคลื่อนไหวของท่านอย่างเงียบๆ อยู่เป็นเวลานาน แล้วพวกมันก็พากันถอยห่างเดินหนีหายไปในป่า คงทิ้งไว้แต่ความเงียบสงบดังเดิม
บรรลุธรรม
    หลวงปู่สีเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ที่ภาคเหนือ พม่า หลวงพระบาง และธุดงค์ลัดเลาะข้ามลำแม่น้ำโขง ตัดเข้าภาคอีสานของประทศไทย เป็นเวลานานถึง ๙ ปี ตลอด ๙ ปี ท่านจาริกไปตามสถานที่ต่างๆ นับไม่ถ้วน หลังจากท่านบรรลุธรรมวิศิษ จึงปรากฏว่าค่อยมีพระลูกศิย์เพิ่มมากขึ้น
     พระลูกศิษย์ทั้งหลายที่บุกบั่นรอนแรมเข้าป่าดงไปหาหลวงปู่สี ท่านจะให้อยู่กับท่านไม่นานนัก แล้วท่านก็จะสั่งให้แยกย้ายกันออกหาที่วิเวกตามที่ต่างๆ เพื่อบำเพ็ญเพียรภาวนามุ่งทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
     ท่านให้พักตามถ้ำบ้าง ตามชายเขาบ้าง และยอดเขาบ้าง การขบฉัน อาหารก็ให้ออกบิณฑบาตไปตามหมู่บ้านชาวป่าชาวเขา บางครั้ง ๗-๘ วันถึงได้ออกบิณฑบาตกัน เพราะมัวแต่เพลิดเพลินเจริญสมาธิวิปัสสนาจนลืมเวล่ำเวลา ลืมคืนลืมวัน แต่ก้ไม่ปรากกว่าหิวโหยอ่อนเพลียเจ็บไข้ได้ป่วยกันแต่อย่างไร เพราะจิตสงเคราะหืมีความสุข ชุ่มชื่นเย็นใจ เย็นกาย ด้วยอำนาจบารมีธรรม มีพระลูกศิษย์ของท่านบางองค์มีอำนาจจิตแก่กล้าบุญญาบารมีสูง ทรงอภิญญา ๖ สามารถทรงตัวอยู่ในสมาธิวิปัสสนาได้เป็นเวลานานถึง ๓ เดือนก็มี โดยที่ไม่ขบฉันอาหารอะไรเลย นอกจากฉันแต่น้ำอย่างเดียวนับเป็นเรื่องมหัสจรรย์
     พระธุดงค์กรรมฐานศิษย์หลวงปู่สี ล้วนเป็นผู้เด็ดเดี่ยวอาจหาญมาก เที่ยวแสวงหาธรรมกันในป่าในเขาถิ่นอันตรายแบบเอาชีวิตเข้าแลกจริงๆ ไม่อาลัยชีวิตยิ่งกว่าธรรม ที่ใดมีเสือ มีอำนาจเร้นลับ น่าสะพรึงกลัว หลวงปู่สีจะสั่งให้พระไปที่นั่นเพราะเป็นสถานที่ช่วยกระตุ้นเตือนสติปัญญามิให้นิ่งนอนใจ ความเพียรก็จำต้องติดต่อกันไปเอง และเป็นเครื่องหนุนนใจให้มีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าปกติที่ควรจะเป็น ท่านเองก้บำเพ็ญสุขวิหารธรรมอยู่โดดเดี่ยว ในป่าในเขาอันชุกชุมด้วยสัตว์ร้ายสงัดเงียบปราศจากผู้คนทั้งกลางวัน กลางคืน
     การติดต่อกับพวกกายทิพย์ เช่น เทวบุตร เทวธิดา อินทร์ พรหม พญานาค และภูติผีที่มาจากที่ต่างๆ ท่านถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา และเป้นเรื่องมีจริง เป็นเรื่องลี้ลับพิศดารที่พระธุดงค์กรรมฐานเท่านั้นจะพานพบรู้เห็นได้ เหลือวิสัยที่จะพูดที่จะอธิบายให้ปุถุชนชาวบ้านเข้าใจได้ เพราะปุถุชนชาวบ้านทั่วไปมีความช่างสงสัยเป็นนิสัย
     ชาวบ้านศึกาเรียนรู้ ช่างจด ช่างจำ ช่างสงสัย หมายรู้เอาด้วยทางวัตถุสิ่งมีตัวตนจับต้องได้ มองเห็นได้ แต่ทางพระศึกษาเรียนรู้ทางจิตที่ไม่ใช่วัตถุ การรู้เห็นทางจิตจึงเป็นการรู้เห็นด้วยสติปัญญานามธรรม ดังนั้นการรู้เห็นของพระและของชาวบ้านจึงต่างกัน
     หลวงปู่สีท่านมีการติดต่อกับพวกกายทิพย์จากโลกวิญาณ เช่น เดียวกับมนูษย์ติดต่อไปมาหาสู่กันกับมนุษย์ชาติต่างๆ ที่เข้าใจภาษากันนั้นเอง เพราะท่านชำนาญในทางนี้มานานแล้ว การพบเห็นพวกวิญญาณของท่าน ไม่ใช่สิ่งลวงตาลวงใจ หรือเป็นเพียงภาพมายา หากเป็นเรื่องจริงที่ท่านพิสูจน์เห็นแท้แน่นอนในทุกแง่ทุกมุมไม่ผิดพลาด
     ท่านพักอยู่ในป่าเขา โดยมากก็ได้ทำประโยชน์โปรดสัตว์อบรมสั่งสอนข้ออรรถธรรมแก่กายทิพย์ แต่ละภูมิแต่ละชั้นตามภูมิปัญญา..ให้เขาได้ซาบซึ้งในอรรถธรรมพวกชาวป่าชาวเขาเผ่าต่างๆ เช่นอีก้อ ขมุ มูเซอ แม้ว เย้า เหล่านี้นับถือผีสางนางไม้ หลวงปู่สีได้แผ่ธรรมะเข้าไปถึงจิตใจพวกเขา ทำให้พวกเขาเคารพเลื่อมใสท่านมาก ทั้งทำให้ชาวป่าชาวเขาเป็นคนดีมีสัตย์ มีศีล หันมานับถือพระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวาง





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2