Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ^^ อ่านสนุก กระตุกคิด [สั่งพิมพ์]

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-17 14:50
ชื่อกระทู้: ^^ อ่านสนุก กระตุกคิด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2014-8-17 14:56


หลวงปู่ทองรัตน์ กนฺตสีโล

เรื่องของหลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล
หลวงปู่ทองรัตน์ เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์
ท่านเป็นพระในมหานิกาย ซึ่งปกตินั้น ศิษย์สายหลวงปู่มั่นจะเป็นธรรมยุต

เดิมทีหลวงปู่ทองรัตน์ต้องการจะเปลี่ยนญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย แต่หลวงปู่มั่นไม่อนุญาต
เพราะเห็นว่าหลวงปู่ทองรัตน์มีปฏิปทาการปฏิบัติที่ดีอยู่แล้ว
และท่านเห็นว่าถ้าหากจะเปลี่ยนญัตติเป็นธรรมยุตกันหมด
ต่อไปพระสายมหานิกายอาจจะไม่มีผู้แนะนำการปฏิบัติ
อีกทั้งมรรคผลก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกาย แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของตัวผู้ปฏิบัตินั้น

(ซึ่งเหตุผลนี้ เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่หลวงปู่มั่นให้เหตุผลกับหลวงพ่อชา
ตอนที่หลวงพ่อชาคิดจะเปลี่ยนญัตติจากมหานิกายเป็นธรรมยุต)

หลวงปู่ทองรัตน์มีความน่าสนใจมาก เดิมก่อนที่ท่านจะมาบวชนั้น
ท่านเป็นคนที่ค่อนข้างหัวแข็ง มุทะลุ นิสัยออกไปทางนักเลง
พูดจาโวยวายเสียงดัง คำพูดขวานผ่าซาก ทั้งยังตลกโปกฮาอีกด้วย
แต่ก็เป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานเอาจริงเอาจัง
เป็นกำลังหลักของครอบครัว
เมื่อมาบวช ท่านจึงยังมีนิสัยในสมัยฆราวาสติดมาด้วย

กิริยาภายนอกของท่านอาจจะดูไม่สุขุมไม่เรียบร้อยเหมือนศิษย์คนอื่น ๆ ของหลวงปู่มั่นนัก
แต่กิริยาภายในนั้น ท่านเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาเป็นอย่างมาก
และท่านก็เป็นพระนักปฏิบัติภาวนาที่เคร่งครัด เป็นที่ยกย่องของหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์

เวลาที่ออกเผยแผ่พระธรรม บางคราวหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์จะพบกับหมู่บ้านที่ชาวบ้านมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างมาก
และท่านทั้งสองก็จะมอบหมายให้หลวงปู่ทองรัตน์เป็นผู้จัดการ

หลวงปู่มั่นเคยยกย่องหลวงปู่ทองรัตน์ว่า

"ทองรัตน์...เดี๋ยวนี้จิตของท่านเท่ากับจิตของผมแล้ว ต่อไปท่านจะเทศน์จะสอนคนอื่นก็จงสอนเถิด"

ด้วยกิริยาที่ดูเป็นนักเลงของท่านนี่เองที่ทำให้เรื่องราวของท่านถูกเล่าต่อ ๆ กันมา นับว่าเป็นเรื่องที่สนุกสนานชวนขำอยู่ไม่น้อยทีเดียว

ค้อนและกบและจดหมายด่าใส่บาตร

หลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์มอบหมายให้หลวงปู่ทองรัตน์ ไปจำพรรษาที่หมู่บ้านชีทวน

เพราะท่านเห็นว่า ชาวบ้านหมู่บ้านนี้ (ฝ่ายที่ไม่ชอบพระกรรมฐาน) มีความรู้ทางปริยัติดีมาก

ด้วยเหตุที่เขาเหล่านี้มีความรู้ทางปริยัติเป็นอย่างดี จึงกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ

ไม่เคารพและไม่เชื่อในพระป่ากรรมฐาน นอกจากไม่เชื่อแล้ว ยังหาทางกลั่นแกล้งพระกรรมฐานอย่างไม่กลัวบาปกรรมแต่อย่างใด

หลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์ท่านเห็นว่า

หลวงปู่ทองรัตน์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถปราบพยศ ปราบมิจฉาทิฏฐิของชาวบ้านพวกนี้ได้

พวกชาวบ้านมิฉาทิฎฐิ ได้พยายามกลั่นแกล้งหลวงปู่ทองรัตน์ต่าง ๆ นานา เพื่อขับไล่หลวงปู่ให้ออกไปจากหมู่บ้าน

ครั้งหนึ่ง เมื่อหลวงปู่ทองรัตน์ออกไปบิณฑบาต คนพวกนี้ก็แกล้งท่านโดยการเอา "ค้อนตอกสิ่ว" ใส่ลงในบาตร

เมื่อกลับมาถึงวัด ท่านก็ไม่ได้โกรธเคืองหรือไม่พอใจอะไร

นอกจากไม่โกรธแล้ว ท่านกลับพูดด้วยอารมณ์ขันว่า

"บ่เป็นหยังดอกโยม เขาสิคิดว่า ทางวัดเฮาบ่มีค้อนตอกสิ่ว เขาก็เล้ยใส่บาตรมาให้"




ต่อมาอีกวันหนึ่ง เจ้าของบ้านที่ใส่บาตรด้วยค้อน ก็นำอาหารห่อใบตองห่อใหญ่ใส่ลงในบาตร

พอถึงวัด หลวงปู่ทองรัตน์ก็จัดแจงแยกอาหาร
แล้วแกะห่อใบตองดู พอแกะออก ก็ต้องตกใจอย่างแรง

เมื่อสิ่งที่อยู่ในห่อใบตองนั้น คือ "กบเป็น ๆ ตัวใหญ่"

กบตัวนั้นกระโดดออกมา ท่านจึงตะครุบเอาไว้ แล้วพูดกับกบอย่างอารมณ์ดีว่า

"โอ้...ถ้าเขาบ่จับเจ้ามาใส่บาตรให้พ่อ เจ้าก็ต้องลงหม้อต้มเขาแล้วเน๊าะ"

แล้วท่านก็ให้เณรนำมันไปปล่อย





วันต่อมา ท่านก็ไปบิณฑบาตบ้านเดิมหลังที่ใส่ค้อนใส่กบมาให้ท่าน

เจ้าของบ้านทำท่าทางเหมือนกับแอบขำอยู่ในใจ

แต่หลวงปู่ทองรัตน์ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

แต่ว่าวันนี้ บ้านหลังนี้ใส่จดหมายลงมาในบาตรท่านด้วย

หลวงปู่ทองรัตน์ก็ดูราวกับจะรู้เนื้อความในจดหมายว่าเป็นจดหมายที่กล่าวโจมตีท่าน

พอมาถึงวัด หลวงปู่ทองรัตน์ก็จัดแจงห่มผ้าจีวรอย่างเรียบร้อย

พาดผ้าสังฆาฏิ เรียกพระและเณรทั้งวัดออกมารวมกัน

แบบคล้ายดังจะเตรียมตัวฟังเทศน์จากพระอาจารย์ใหญ่เลยทีเดียว

เสร็จแล้วท่านก็ยื่นจดหมายให้เณรเปิดออกอ่าน

"เอ้า ลูก อ่านอมฤตธรรมแหน่ (หน่อยซิ) อันนี่เทวดาเขาใส่บาตรมา หาฟังยากตั๊ว"

เณรก็เริ่มอ่านจดหมายที่ได้รับมา หลวงปู่ทองรัตน์ก็ตั้งท่านั่งพนมมือ ตั้งใจฟังอย่างสำรวม


"พระผีบ้า เป็นพระเป็นเจ้า ไม่สำรวม ไม่มีศีล ไม่มีวินัย ประจบสอพลอ ขอของจากชาวบ้าน
พระแบบนี้ถึงจะเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ไม่นับถือว่าเป็นพระ ให้รีบออกจากวัดไป ถ้าไม่ไป จะเอาลูกตะกั่วมาฝาก"


พอเณรอ่านจดหมายจบเท่านั้น ท่านก็ยกมือขึ้นเหนือหัวพร้อมกับเปล่งวาจาเสียงดังว่า "สาธุ"

แล้วท่านก็พูดต่อว่า

"เอ้า เอาเก็บไว้ลูก เอาไว้ที่แท่นบูชาเด้อ...โลกธรรมแปดมันมีจั๊งซี่ล่ะ (มีอย่างนี้แหล่ะ) มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุขมีทุกข์ ...โอ๋ย...ยย ของดีตั๊วอันนี้ สาธุ พ่อได้ยินแล้ว แก่นธรรม หัวแต่มามื่อนี่ล่ะว้า (เพิ่งจะมาวันนี้แหละ) เอาเก็บไว่ เก็บไว่"


หลังจากนั้นสองสามวัน บาปกรรมก็ตามทัน บ้านที่คอยกลั่นแกล้งหลวงปู่ทองรัตน์นั้นได้เกิดปัญหาภายในครอบครัว

ผัวเมียทะเลาะกันอย่างรุนแรง ฝ่ายผัวที่คอยกลั่นแกล้งหลวงปู่ทองรัตน์ก็เกิดคลุ้มคลั่งคิดว่ามีคนจะมาทำร้ายตัวเอง

จนต้องหนีเข้าป่า ญาติพี่น้องจึงพาตัวกันนำมาขอขมาหลวงปู่ ซึ่งท่านก็ไม่ว่าอะไร ไม่โกรธเคืองอะไร

ทั้งยังเทศนาสอนให้รู้จักโทษและกรรมของการใส่ร้ายป้ายสี โยมคนนั้นจึงกลับมาเป็นปกติ

ต่อมาก็สำนึกผิดและได้เข้าไปคอยปรนนิบัติหลวงปู่ทองรัตน์จนวาระสุดท้ายของชีวิต

http://pantip.com/topic/31100767
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-17 14:50

หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี

เรื่องของการเหาะเหินเดินอากาศ
มีผู้สงสัยถามไถ่หลวงพ่อว่า
"เขาลือว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์  เป็นแล้วเหาะได้ไม่ครับ"
"แมงกุดจี่มันก็เหาะได้"ท่านตอบ
(แมงกุดจี่ - แมลงชนิดหนึ่งอยู่กับขี้ควาย)

อีกครับหนึ่งมีผู้ถามคล้ายๆกันว่า
"เคยอ่านพบเรื่องพระอรหันต์สมัยก่อนๆ
เขาว่าเหาะได้จริงไหมครับ"
"ถามไกลเกินตัวไป  มาพูดถึงตอไม้
ที่จะตำเท้าเราดีกว่า"ท่านกล่าว

ขอของดีไปสู้กระสุน
ทหารคนหนึ่งไปกราบขอพนะเครื่องกันกระสุน
จากหลวงพ่อ  ท่านบอกหน้าตาเฉยว่า
"เอาองค์นั้นดีกว่า  เวลายิงกันก็อุ้มไปด้วย"
ท่านชี้ไปที่พระประธาน

เอ๊า
มีเด็กหิ้วกรงขังนกมาชวนหลวงพ่อซื้อ
เพื่อปล่อยนกในการทำบุญในสถานที่แห่งหนึ่ง
"นกอะไร  เอามาจากไหน"
"ผมจับมาเอง"
"เอ๊า...จับเองก็ปล่อยเองซิล่ะ"ท่านว่า

ปวดเหมือนกัน
โยมผู้หญิงคนหนึ่งปวดขามาขอร้องหลวงพ่อเป่าให้
"ดิฉันปวดขา  พลวงพ่อเป่าให้หน่อยค่ะ"
"โยมเป่าให้อาตมาบ้างซิ  อาตมาก็ปวดเหมือนกัน"ท่านตอบ

อาย
ครั้งหนึ่งหลวงพ่อรับนิมนต์เข้าวัง  ขณะลงจากรถ
มีท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งเข้ามาทักว่า
"คุณชา  สะพายบาตรเข้าวัง
ยังงี้ไม่นึกอายในหลวงหรือ"
"ท่านเจ้าคุณไม่อายพระพุทธองค์หรือ
ถึงไม่สะพายบาตรเข้าวัง"
ท่านย้อน

อาจารย์ที่แท้จริง
ท่านชาคโรถูกหลวงพ่อส่งไปอยู่ประจำวัดสาขาแห่งหนึ่ง
เมื่อมีโอกาสหลวงพ่อได้เดินทางไปเยื่อม
"เป็นไงบ้างชาคโร  ดูผอมไปนะ"หลวงพ่อทัก
"เป็นทุกข์ครับหลวงพ่อ"ท่านชาคโรตอบ
"เป็นทุกข์เรื่องอะไรล่ะ"
"เป็นทุกข์เพราะอยู่ไกลครูบาอาจารย์เกินไป"
"มีตา  หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  เป็นอาจารย์ทั้งหก
อาจารย์ฟังให้ดี  ดูให้ดี  เขาจะสอนให้เราเกิดปัญญา

อาจารย์นกแก้วนกขุนทอง
สมัยนี้มีครูบาอาจารย์สอนธรรมะมาก  บางอาจารย์อาจสอนคนอื่นเก่ง
แต่สอนตนเองไม่ได้เพราะว่าสอนด้วยสัญญา(ความจำได้หมายรู้)
จำขี้ปากคนอื่นเขามาสอนอีกที
หลวงพ่อเคยแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า
"เรื่องธรรมะนี่จริงๆแล้ว  ไม่ใช่เรื่องบอกกัน  ไม่ใช่เอาความรู้ของคนอื่นมา
ถ้าเอาความรู้ของคนอื่นมาก็เรียกว่าจะต้องเอามาภาวนาให้มันเกิดชัดกับเจ้าของ
อีกครั้งหนึ่ง  ไม่ใช่ว่าคนอื่นพูดให้ฟังเข้าใจแล้วมันจะหมดกิเลส  ไม่ใช่อย่างนั้
ได้ความเข้าใจแล้วก็ต้องเอามาขบเคี้ยวมันอีกให้มันแน่นอนเป็นปัจจัตตังจริงๆ
(ปัจจัตตัง - รู้เห็นได้ด้วยตนเอง,รู้อยู่เฉพาะตน)

โรควูบ
นักภาวนาคนหนึ่งถามปัญหาภาวนาของตนกับหลวงพ่อ
"นั้งสมาธิบางทีจิตรวมค่ะ  แต่มันวูบ  ชอบวูบเหมือนสัปหงกแต่มันรู้ค่ะ
มันมีสติด้วย  เรียกว่าอะไรคะ"
"เรียกว่าตกหลุมอากาศ"หลวงพ่อตอบ"ขึ้นเครื่องบินมักเจออย่างนั้น"

นั้งมาก
วันหนึ่งหลวงพ่อนำคณะสงฆ์ทำงานวัด
มีวัยรุ่นมาเดินชมวัดถามท่านเชิงตำหนิ
"ทำไมท่านไม่นำพระเณรนั้งสมาธิ  ชอบพาพระเณรทำงานไม่หยุด"
"นั้งมากขี้ไม่ออกว่ะ"หลวงพ่อสวนกลับ  ยกไม้เท้าชี้หน้าคนถาม
"ที่ถูกนั้นนั้งอย่างเดียวก็ไม่ใช่  เดินอย่างเดียวก็ไม่ใช่  ต้องนั้งบ้าง
ทำประโยชน์บ้าง  ทำความรู้ความเห็นให้ถูกต้องไปทุกเวลานาที
อย่างนี้จึงถูก  กลับไปเรียนใหม่  ยังงี้ยังอ่อนอยู่มาก
เรื่องการปฏิบัตินี้ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูด  มันขายขี้หน้าตนเอง"

ยศถาบรรดาศักดิ์
ท่านกล่าวถึงสมณศักดิ์ที่ได้รับพระราชทานมาไว้ครั้งหนึ่งว่า
"สะพานข้ามแม่น้ำมูล  เวลาน้ำขึ้นก็ไม่โก่ง   เวลาน้ำลดก็ไม่แอ่น"

ศักดิ์ศรี
หลวงพ่อเคยปรารภเรื่องภิกษุสะสมเงินทองปัจจัยส่วนตัวว่า
"ถ้าผมสิ้นไป  พวกท่านทั้งหลายค้นพบหรือเห็นปัจจัยเงินทองอยู่ในกุฏิผม
โอ๊ย...เสียหายหมดเสียศักดิ์ศรีพระปฏิบัติ"
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-17 14:51
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยไปกราบเรียนถามเจ้าคุณนรรัตนฯ

ครั้งหนึ่งมีคนเขาไปลือว่าท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว
ผม(ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช)พบท่านโดยบังเอิญที่วัดเทพศิรินทร์ก็เข้าไปกราบท่าน แล้วกราบเรียนถามท่านว่า

“เขาลือกันว่าใต้เท้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือครับ”

ท่านเจ้าคุณนรฯ มองท่านคึกฤทธิ์ และพูดบอกว่า

“เข้ามาใกล้ๆซิ”

พอผมขยับเข้าไปใกล้ ท่านก็ดึงหูผมเข้าไปใกล้ ๆ แล้วกระซิบว่า

“ไอ้บ้า”


โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-17 14:52
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต

มีผู้จดหมายถามว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า
และบางครั้งยกยอให้หลวงปู่เป็นพระอรหันต์
หลวงปู่ก็ได้เมตตาตอบจดหมายเขาเหล่านั้น


จดหมายของลูก ๆ นั้น หลวงปู่ได้รับทราบแล้ว

รู้สึกทราบซึ้งในสัมมาวาจาที่ลูก ๆ พูด ที่ลูก ๆ ปรารภ

การที่ลูก ๆ ให้คะแนนหลวงปู่ว่าเป็นพระอรหันต์นั้น

มันเป็นเรื่องของลูกๆ ต่างหาก ไม่ใช่เรื่องของหลวงปู่เลย



หลวงปู่มาตรวจดูในรูปขันธ์ก็เป็นแต่สักว่ารูปขันธ์ไปเสีย

มาตรวจดูในนามขันธ์ก็เป็นสักว่านามขันธ์ไปเสีย

มาตรวจดูผู้รู้ก็เป็นแต่สักว่าผู้รู้ไปเสีย

มาตรวจดูในคำว่าหลวงปู่ก็เป็นแต่สักคำว่าสมมติหลวงปู่ไปเสีย

พระอรหันต์ไม่มีในหลวงปู่เสียแล้ว

เหตุนั้นหลวงปู่จึงไม่ดีใจ เสียใจในเรื่องนี้




อนึ่ง รูปขันธ์ นามขันธ์ ก็ดี

ที่เรียกว่า เรา ๆ เขา ๆ ท่าน ๆ ตลอดถึงจิตใจ และผู้รู้

ถ้าปฏิบัติถูกก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา

เป็นหนทางเดินเข้าสู่พระนิพพาน

เหตุนั้นผู้รู้ในอีต ผู้รู้ในปัจจุบัน ผู้รู้ในอนาคต

จึงไม่ใช่พระอรหันต์

ถ้าทำถูกก็เป็นหนทางเพื่อเข้าสู่พระอรหันต์

ถ้าทำผิดก็ตรงกันข้าม

หนทางเข้าสู่พระอรหันต์กับหนทางเข้าสู่พระนิพพาน

ก็มีรสชาติและความหมายอันเดียวกัน

แปลกกันแต่คำว่าชื่อเท่านั้น


สุดท้ายด้วยเดชพระพุทธ ธรรม สงฆ์

จงเป็นสุขทุกถ้วนหน้าในโลกุตรธรรม

ของบรมศาสดาอยู่ทุกเมื่อเทอญ



โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-17 14:53
อรหันต์มาแล้วโว้ย !

ในการปฏิบัติสมถกรรมฐานนั้น
เมื่อผู้ที่ปฏิบัติภาวนาจิตใจสงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว
ถ้าบังเกิดนิมิต (คือเห็นรูป ได้ยินเสียง หรือแม้แต่อาการใดๆ ก็ตาม ในขณะที่จิตสงบนั้น)
แล้วลุ่มหลง...

ธรรมิกของหลวงปู่ตื้อ คือหลวงปู่บุญทัน
ซึ่งหลวงปู่ตื้อเคยเดินธุดงค์อยู่บริเวณเชียงใหม่ด้วยกัน
ท่านทั้งสองจึงสนิทสนมกันดี

สมัยหนึ่ง หลวงปู่บุญทันเร่งความเพียรภาวนาอย่างหนัก
ความรู้ที่ได้จากสมภวิปัสสนา ทำให้ท่านมั่นใจว่า
ท่านได้สำเร็จอรหันต์แล้ว หมดซึ่งกิเลสแล้ว
(ซึ่งจริงๆ แล้วท่านเข้าใจผิด เนื่องมาจากอาการวิปลาสจากการภาวนา
หรือวิปลาสเนื่องมาจากวิปัสสนูปกิเลส)

เมื่อท่านคิดว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว
ท่านจึงอยากจะออกไปติดตามหาหลวงปู่มั่น พบว่าท่านอยู่ที่เชียงใหม่
เมื่อเจอหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่บุญทันก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น

แล้วจึงกราบเรียนอย่างถ่อมตัวว่า

"สำคัญว่า ...กระผมเดินทางมาทางอากาศ"

หลวงปู่ตื้อซึ่งนั่งอยู่ด้วย
ก็ออกไปยืนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทำท่าราวกับมองหาหลวงปู่บุญทันบนท้องฟ้า
แล้วพูดด้วยเสียงดังลั่นว่า


"โน่น ! พระอรหันต์ผีบ้า พระอรหันต์โลกีย์

พระอรหันต์เวียนว่ายตายเกิด มาแล้วโว้ย

โน่นเหาะมาแล้ว!"


อรรถาธิบาย

หลวงปู่ตื้อพูดแรงๆ เพื่อยุให้หลวงปู่บุญทันโกรธ
เมื่อหลวงปู่บุญทันโกรธแล้ว ก็จะคลายอาการวิปลาสได้
ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่พระอาจารย์ ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นทั้งหลายใช้กันเป็นปกติ
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ก็เคยใช้วิธีแบบนี้กับลูกศิษย์ที่ปฏิบัติความเพียรอย่างหนักจนเกิดอาการวิปลาสขึ้น

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

หลวงปู่ตื้อ เป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น
ท่านเป็นสหธรรมิก (สหายหรือเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน) กับหลวงปู่แหวน
หลวงปู่ตื้อมีนิสัยชอบพูดจาเสียงดัง โผงผาง ถึงลูกถึงคน จิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเหมือนนักเลง
ซึ่งในหมู่คณะลูกศิษย์หลวงปู่มั่น จัดได้ว่า มีลูกศิษย์ ๓ ท่านที่ใจคอคล้ายกันมาก คือ
หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท

หลวงปู่ทองรัตน์และหลวงปู่ตื้อ สนิทสนมกันดีเพราะนิสัยคล้ายกัน
(ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ต้องบอกว่า “ท่านแรง” มาก ลองอ่านกันดูล่ะกัน)


ส่วนหลวงปู่เจี๊ยะ เป็นศิษย์รุ่นหลังหลวงปู่ทั้งสองท่านหลายปี
ซึ่งหลวงปู่เจี๊ยะ ก็ให้ความเคารพและสนิทสนมกับพระอาจารย์ทั้งสองเป็นอย่างมาก

ด้วยบุคลิกนิสัยเช่นนั้นเอง
ประวัติการปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์ทั้งสาม จึงเป็นไปอย่างสนุกสนาน
โลดโผนโจนทะยาน รวมทั้งเต็มไปด้วยอารมณ์ขันอีกด้วย

วันนั้นที่ข้าพเจ้าถามพระเถระพระป่า (ไม่ขอเอ่ยนามท่าน) ข้าพเจ้าถามว่า.....ดังนี้

..หลวงปู่เป็นพระอรหันต์หรอครับ....

ท่านก็จะตอบว่า..........ดูเอานี่ไงหันซ้ายหันขวา..
แล้วท่านก็.....จะทำท่าหันไปข้างซ้าย...หันไปข้างขวาให้เราดู...

คนถามก็จะอดหัวเราะไปกับท่านไม่ได้ครับ........

แล้วท่านก็เมตตาบอกว่า....ไม่สำคัญที่จะไปถามว่าพระรูปไหนสำเร็จอะไร
เราจะไปกังวลถามทำไม....

เราปฏิบัติเองเรารู้เอง..ไม่ต้องถามคนอื่น...

ทิ้งท้ายท่านเมตตาบอกว่า
แต่บุญที่ทำกับพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสนั้นได้กุศลมากเลยทีเดียวนะ....


โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-17 14:54

หลวงปู่บุดดา ถาวโร

แต่ละวันจะมีญาติโยมมากราบหลวงปู่ ถามธรรมะบ้าง ขอของแจกบ้าง

วันหนึ่งมีกลุ่มชายฉกรรจ์มากราบ พร้อมกับขอเหรียญหลวงปู่
ชายคนหนึ่งก็ถามหลวงปู่ว่า "วัตถุมงคลและของต่าง ๆ ที่หลวงปู่แจก ถ้าเก็บไว้นาน ๆ ไป ของจะเสื่อมไหมครับ ?"

หลวงปู่ตอบว่า "ของไม่เสื่อมหรอก นอกจากเราจะเสื่อมศรัทธาจากของเอง"


เราเคยทำเขาไว้

ตอนเด็ก ๆ หลวงปู่เคยตกปลา ขณะปลาติดเบ็ด หลวงปู่สงสารจึงได้แกะปลาออกจากเบ็ดแล้วปล่อยมันทิ้งไป

ต่อมาภายหลังเมื่อหลวงปู่บวชแล้ว ขณะที่นั่งอยู่ในศาลา
เผอิญมีแมวตัวหนึ่งมองเห็นเงาของมันในตาของหลวงปู่
จึงใช้อุ้งเล็บของมันข่วนใต้ตาของหลวงปู่อย่างแรง เลือดไหลอาบหน้า

แล้วแมวก็มาหลบอยู่ข้างหลังหลวงปู่ ทำให้ชาวบ้านหาแมวไม่เจอ

หลวงปู่บอกว่า "ไม่เป็นไร เราเคยทำเขาไว้"

แล้วให้ลูกศิษย์เอาน้ำนมแม่ลูกอ่อนมาหยอดตา และให้ชาวบ้านนำแมวกลับไปเลี้ยงที่บ้าน โดยสั่งกำชับไม่ให้ชาวบ้านรังแกมัน



งานแต่งกับงานบวช

หลวงปู่ได้มีกิจนิมนต์ไปบ้านโยมที่ศรัทธาท่านหนึ่ง เขาจัดงานแต่งงานให้กับลูกหลาน

หลวงปู่ก็ไปงานนี้แล้วก็เทศน์ เทศน์ไปเทศน์มา คู่บ่าวสาวคู่นี้ก็เลยล้มเลิกที่จะแต่งงาน และขอจัดงานแต่งเป็นงานบวช

ปู่กับย่า ตากับยายที่มาร่วมงานแต่ง ต่างซาบซึ้งในคำสอนของหลวงปู่ ก็เลยขอบวชตามหลานด้วย


สังกัดวัดอะไร

มีชายคนหนึ่งได้มีโอกาสเข้าพบหลวงปู่ ในคราวที่หลวงปู่เดินทางไปกิจนิมนต์
ชายผู้นั้นถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่อยู่วัดอะไรครับ?"
หลวงปู่ตอบว่า "อยู่วัดสองขา" (หมายความว่า อยู่ตรงไหน? ตรงนั้นก็เป็นวัด ตามประวัติท่านพำนักอยู่หลายวัดมาก)



เมื่อไรจะละสังขาร

มีญาติโยมที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ ก็มักจะชื่นชมความอายุยืนของหลวงปู่

และก็อยากจะให้หลวงปู่มีอายุยืนนานไปมาก ๆ ก็พยายามขอให้หลวงปู่มีอายุยืนกว่าร้อยปี

บางพวกก็สงสัยอยากทราบว่า หลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร?

ก็เลยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ หลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร? บอกได้ไหมครับ?"

หลวงปู่ตอบว่า "ตายวันไหน ก็บอกวันนั้นซี่"

"เกิดบ่อย ๆ ตายบ่อย ๆ สนุกหรือ?"



ด่วนพิเศษ

หลวงปู่ท่านเอาของไปแจกที่ภาคใต้ คราวที่ถูกพายุเกย์

ขณะรถที่หลวงปู่นั่งไปนั้นกำลังแล่นไปตามถนนด้วยความเร็วสูงเกินอัตรา

จึงถูกตำรวจจับเพราะฐานที่ขับรถเร็ว หลวงปู่นั่งอยู่ในรถ

ได้ยินการโต้ตอบกัน หลวงปู่ท่านก็เลยพูดกับตำรวจว่า


“วิ่งเร็วยังไง? วิ่งตั้ง ๒ วันแล้วยังไม่ถึงที่แจกของเลย!”

ตำรวจผู้นั้นก็หัวเราะรับ ทำความเคารพหลวงปู่ แล้วก็ปล่อยรถของหลวงปู่ไป


สามีของข้าใครอย่าแตะ

มีหญิงคนหนึ่งมาหาหลวงปู่มาด้วยความกลัดกลุ้มใจ ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส
เนื่องด้วยสามีแอบไปมีเมียน้อย ก็มากราบหลวงปู่
แล้วก็เล่าให้หลวงปู่ฟัง

หลวงปู่ก็พูดว่า

“คนไทยนี่ อะไร ๆ ก็ไม่เสียดายหรอก ในโลกนี้ให้หมดนะอามิสน่ะ!

แต่มีข้อแม้ว่า...ผัวดิฉันนะ! ใครแต่ะไม่ได้นะ! เอาตายเชียวนะ!

จะไปนิพพาน จะเอาผัวไปด้วย

ปัทโธ่! เขาไปนิพพาน เขาเอาผัวเอาเมียไปด้วยที่ไหนกัน เขาเอาธรรมะ ไปต่างหากล่ะ!”



ฉันเกลียดแม่

หญิงคนหนึ่งเล่าให้หลวงปู่ฟังว่าเธอเกลียดแม่ของเธอมาก เพราะแม่ไปมีผัวใหม่และแม่ไปรักผัวมากกว่าลูก

หลวงปู่จึงบอกว่า

“แม่ไปมีผัวใหม่ก็เรื่องของเค้าซิ ให้เอาส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรา

ที่เขาอุ้มท้องเรามา ๙ เดือน เราตอบแทนได้คุ้มค่าเหนื่อยหรือเปล่าล่ะ!

มารดาบิดานั้นเป็นหลายอย่าง เป็นบุพการีแก่บุตรธิดาด้วย เป็นพรหมของบุตรด้วย

เป็นเทวธรรมด้วย อุปถัมภกธรรมด้วย มารดาบิดาเป็นเนยยะบุคคล เป็นอรหันต์ของลูกสาวลูกชาย

อย่าข้ามสำรับท่าน อย่าข้ามหัวพระ ให้พระทั้ง ๒ องค์ ก่อนให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้น”



แย่งกระดูกกัน

หลวงปู่ท่านเปรย ๆ ขึ้นในวันหนึ่งถึงพวกญาติโยมที่ไปเผาศพพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

ก็ชอบที่จะขอพระธาตุกันมาเก็บเอาไว้ มากน้อยแล้วแต่ที่จะหาได้ หลวงปู่ท่านพูดว่า

“ธรรมะมันไม่เอา มันจะเอาแต่กระดูก จะรบราฆ่าฟันกันก็เพราะกระดูก น่าสังเวช!”
โดย: Sornpraram    เวลา: 2014-8-18 11:22

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-18 17:06
สมัยหนึ่ง หลวงปู่ชอบได้ไปเยี่ยมหลวงปู่ขาวที่วัดถ้ำ้กลองเพล
พอดีวันนั้น เจ้าหน้าที่จากสำนักราชวังแจ้งมาที่วัดถ้ำกลองเพลว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมหลวงปู่ขาวที่วัดในวันนี้


หลวงปู่ชอบได้ยินดังนั้นจึงกราบลาหลวงปู่ขาวกลับวัด
แต่หลวงปู่ขาวไม่ยอม บอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน

หลวงปู่ชอบบอกว่า ท่านคุยกับพระเจ้าแผ่นดินไม่เป็น
หลวงปู่ขาวก็บอกว่า ท่านก็คุยไม่เป็นเหมือนกัน จึงต้องอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน


(ตอนนั้นหลวงปู่ชอบและหลวงปู่ขาว ต่างยังไม่เคยเห็นไม่เคยพบเจอกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก่อนเลยทั้ง คู่ -สมัยก่อนไม่มีทีวี ข่าวสารยังไปไม่ถึงชนบทห่างไกล-)


หลวงปู่ชอบจึงอยู่เป็นเพื่อนหลวงปู่ขาวด้วยในวันนั้น

หลวงปู่ทั้งสองนั่งรอรับเสด็จอยู่ที่เก้าอี้ในวัด

นั่งรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเวลาเย็น ก็ยังคงคอยอยู่อย่างนั้น

นานจนหลวงปู่ทั้งสองหันมาคุยถามกันเองว่า

"คื่อยังบ่มาจักเทื้อ รอโดนแล้ว" (ทำไมถึงยังไม่มาสักที รอนานแล้ว)

"เห็นแต่ทหารพ่อลูกเนาะ"


พระเณรลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยในที่นั้น เมื่อได้ยินดังนั้น จึงมาบอกกับหลวงปู่ทั้งสองว่า

“ ก็ทหารสองพ่อลูกนั่นแหละ คือพระเจ้าอยู่หัวฯกับสมเด็จพระบรมฯ”

ครั้นหลวงปู่ทั้งสองรู้ความจริงเข้า ก็ถึงกับหัวเราะพร้อมกันทั้งคู่

ลูกศิษย์จึงถามท่านทั้งสองว่า ทำไมถึงไม่รู้ว่าทหารสองพ่อลูกนั่นคือ พระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรส

หลวงปู่ขาวตอบว่า

"นึกว่าจะมีขบวนแห่นำมา!"

หลวงปู่ชอบตอบว่า

"นึกว่าจะใส่ชฎา!"



โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-7 10:59
กุลบุตรผู้ที่ได้รับการอบรมมา ครูบาอาจารย์มักจะอบรมสั่งสอน ให้อย่างดี ปลูกฝังคุณงามความดี ปลูกฝังคุณธรรม เพราะเสียงสะท้อนจากการปฏิบัติตัวของศิษย์ ย่อมสะท้อนถึงครูบาอาจารย์ ดังคำกลอนที่ว่า

"วิสัยครูดูอย่างเหมือนช่างปั้น ต้องคาดคั้นโขลกสับแทบจับไข้
ไม่สันทัดขัดแต่งรุนแรงไป ก็บรรลัยแยกร้าวลงแหลกราญ
อันภูมิครูดูได้จากลูกศิษย์ เหมือนดูช่างชาญประดิษฐ์จากเชิงสาน
มีลูกศิษย์หัวรั้นอันธพาล เขาประจานด่าครูไม่ดูแล ”


อุปมาว่า เมื่อต้นคดแล้ว ก็ยากที่ปลายจะตรง ก็มีความหมายดุจเดียวกัน

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-7 14:56
ได้อ่านวิชานี้มาจากหนังสือวัตถุอาถรรพณ์ครับน่าสนใจดีเผื่อใครจะลองทำดูบ้างครับ วิธีผูกหุ่นพยนต์ไว้เฝ้าบ้าน โดยลักษณะวิธีอาจเรียกได้ว่าเป็นการผูกหุ่นพยนต์ด้วยก้านธูป เพราะใช้ก้านธูปที่จุดบูชาพระแล้วทำหุ่นพยนต์ ซึ่งในสมัยโบราณเขาเรียกว่า "พ่อวิรุณโต แม่วิรุณโต" ขึ้นมาเฝ้าบ้านและทรัพย์สินให้เรา
วิธีทำท่านให้ดังนี้
1.ให้จุดธูป จุดเทียนบูชาพระ
2.ให้เอาก้านธูปที่จุดไหว้พระแล้วมา 1 อัน
3.แล้วให้กั้นใจว่าคาถานี้"พ่อวิรุณโต ศีละสมาธิ มะ"
พอกลั้นใจว่าจบวรรคก็ให้หักก้านธูปหนหนึ่ง
4.แล้วให้กลั้นใจว่าคาถา "พ่อวิรุณตา จีวะรัง อะ"อีกวรรคหนึ่ง พอว่าจบก็หักก้านธูปอีกทีหนึ่ง
5.ให้กลั้นใจว่าคาถาอีกวรรค"พ่อวิรุณ จังงัง สะระณังคัจฉามิอุ" พร้อมหักก้านธูปอีกทีหนึ่ง
พอกลั้นใจว่าคาถา และหักก้านธูปครบทุกวรรคได้ก้านธูปเป็นรูปเหมือนตะขอแล้ว ให้กลั้นใจว่าคาถาต่อไปนี้เสกก้านธูปนั้นอีก3 จบ (เพื่อความขลังศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นที่ไว้วางใจยิ่งขึ้นจะเสกต่อเป็น 7 จบ หรือ 9จบก็ได้)
"พ่อวิรุณโต ศีละสมาธิ มะ
พ่อวิรุณตา จีวะรัง อะ
พ่อวิรุณ จังงัง สะระณังคัจฉามิอุ"
ตามตำราการผูกหุ่นพยนต์เฝ้าบ้าน ผูกหุ่นพยนต์ด้วยก้านธูปนี้จะทำให้เป็นหุ่นผู้ชายก็ได้ ผู้หญิงก็ได้ คือถ้าเป็นผู้หญิงให้เปลี่ยนจากพ่อเป็นแม่วิธีการก็ทำอย่างเดียวกันทุกข้อ ทุกขั้นตอนทีนี้เมื่อทำเสร็จแล้วก็ปักเอาไว้ที่กระถางธูป โดยเวลาที่จะปักนั้นให้กลั้นใจบอกท่านว่าเราจะไปจากบ้านกี่วัน...กลับวันไหน หรือทิ้งบ้านไปทำงานกลับเวลาไหนก็บอกท่านไปโดยพูดทำนองว่า พ่อวิรุณโตหรือ ถ้าผูกเป็นผู้หญิงก็ใช้แม่วิรุณโต ลูกจะไปทำธุระจะกลับวันนั้นวันนี้ หรือ เวลานั้นเวลานี้กลั้นใจบอกกล่าวท่าน แล้วจึงปักกระถางธูปลงไปในกระถางเป็นอันเสร็จพิธีแนะนำว่า ควรจะทำหุ่นพยนต์เฝ้าบ้านทั้งผู้ชายและผู้หญิงปักไว้คู้กัน เมื่อเสร็จธุระกลับมาบ้านให้กลั้นใจเอาก้านธูปหุ่นพยนต์มาเผาทิ้งเสีย จะออกจากบ้านไปทำธุระครั้งต่อไปก็ให้ทำใหม่ตามตำรานี้ ใครเข้ามาเขตบ้านในขณะที่เราไม่อยู่เขาจะเห็นคนแก่นุ่งขาวห่มขาวเดินอยู่ในบ้าน คือจะทำให้เห็นว่ามีคนอยู่ในบ้านว่ากันอย่างนั้น จบแล้วจ้า ...................
=============================
ขอเอาข้อมูลเดิมมาด้วยนะครับ จริงๆ วิชานี้มิได้สอนกันเป็นสาธารณะ เท่าที่ทราบมา จะสอนกันเฉพาะกลุ่ม ตำรานี้เท่าที่ผมได้เคยได้รับการศึกษามา เขียนในตำราไว้ว่าเป็นของเป็นของพระฤาษีท่านหนึ่ง อิทธิคุณก็จะดลบันดาลให้โจรหรือโขมยที่จะประสงค์ต่อทรัพย์หรือจะเข้ามาบ้านนี้ จะเห็นเป็นคนแก่หญิง หรือ ชายเดินอยู่ในบ้าน ก็จะทำให้โจร หรือโขมย ไม่กล้าเข้ามาโขมยของในบ้าน เนื่องจากเกรงคนที่อยู่ในบ้าน

ข้อมูลตามที่เขาเอามาลงนั้นถูกต้องครับ แต่ถ้าจะให้ดีผมว่าผู้ที่จักทำหรือผูกพยนต์ด้วยวิธีนี้ ควรทำการจุดธูปบอกกล่าวเพื่อขอกรรมสิทธิ์ให้เราเรียนจำทำเป็น ทำขลัง เหมือนต้นวิชา จะดีมากเลยครับ

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-7 15:00
พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ


ฝังใจในพระกรรมฐานครั้งแรก


ในครั้งที่ข้าพเจ้าได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่ที่บ้านหนองแวง การบรรพชาในครั้งนั้นก็เป็นไปตามประเพณีนิยมเท่านั้น เพราะคนอีสานในสมัยนั้นถือกันว่า ถ้าเป็นผู้ชายต้องบวชเพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ หรือบวชจูงพ่อแม่ไปสวรรค์ ความเชื่อถืออย่างนี้มีความฝังลึกในหัวใจของคนอีสานมายาวนาน และยังมีความเชื่อถือกันอยู่อย่างนี้จนถึงปัจจุบัน และยังจะเชื่อถือกันอย่างนี้ต่อไปอีกยาวนานทีเดียว นี่ก็เป็นความเชื่อถือที่ดีมีประโยชน์ทั้งสามอย่าง คือ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน และประโยชน์อย่างยิ่งคือได้ทรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา มีการศึกษาธรรมวินัยได้เป็นอย่างดี ในช่วงที่ข้าพเจ้าบวชเป็นสามเณรอยู่นั้น มีภิกษุท่านหนึ่งได้บวชเป็นพระธรรมยุต ภาวนาปฏิบัติกรรมฐานมาแล้วสามปี มีนามว่าพระอาจารย์สม ในช่วงนั้นท่านได้มาเยี่ยมบ้านและได้พักอยู่ในวัดบ้านหนองแวงนั้นเอง ท่านได้อบรมสั่งสอนให้แนวทางปฏิบัติพอสมควร แต่ก็หาเวลาปฏิบัติกับท่านไม่ได้ เพราะกำลังศึกษาในปริยัติธรรมอยู่ แต่ก็ได้ปรนนิบัติท่านด้วยการรับบาตรและล้างบาตรให้ท่านทุกวัน แต่ท่านก็ไม่ได้อบรมสั่งสอนเรื่องมรรคผลนิพพานให้ฟังเลย เพียงสอนให้นึกคำบริกรรมว่า พุทโธ เท่านั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่สนใจในคำบริกรรมนี้ มีแต่การศึกษาธรรมวินัยอย่างเดียว แต่ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านอยู่มากทีเดียว เพราะท่านมีความสำรวมดี มีกิริยา กาย วาจาที่อ่อนโยน จะเดินไปมา นั่ง ยืน นอน ท่านมีความสำรวมดีมากทีเดียว เวลาท่านฉันในบาตรก็สำรวมในการฉันเป็นอย่างดี และยังฉันมื้อเดียวด้วย เมื่อฉันเสร็จท่านก็ใช้ไม้สีฟันแปรงฟันให้สะอาด ข้าพเจ้าเป็นนักสังเกตอยู่แล้ว เมื่อเห็นกิริยาของท่านอย่างนั้น ก็มีความเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมากขึ้น ในวันหนึ่ง เอากระโถนท่านไปล้าง ได้มองเห็นไม้สีฟันที่ท่านใช้แล้วอยู่ในกระโถน จึงจับขึ้นมาดูและพิจารณาว่า พระกรรมฐานทำไมจึงใช้ไม้สีฟันอย่างนี้ เหลาและทุบให้เป็นแปรงได้เป็นอย่างดี คิดต่อไปว่าพระกรรมฐานคงมีความเพียรมากทีเดียว ขนาดไม้สีฟันก็ยังทำให้ละเอียดสวยงามได้ถึงเพียงนี้ การปฏิบัติภาวนาก็คงมีความละเอียดมากกว่านี้ และก็คิดในใจอยู่ว่า เมื่อเราได้ศึกษาจบแล้ว จะออกปฏิบัติกับท่านอย่างแน่นอน

ต่อมาอีกไม่กี่วัน ท่านก็ได้ตัดเอาไม้ไผ่มาเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ ๙ นิ้ว แล้วเอามาผ่าเป็นซีก ๆ กองกันเอาไว้ แล้วท่านก็ได้บอกว่า เณรทูล ๆ มานี่ เมื่อเข้าไปหาท่าน จึงได้ถามไปว่า เรียกกระผมมาธุระอะไร ท่านก็บอกว่าไปหามีดมาเหลาไม้ ช่วยกันนะ เมื่อได้มีดมาก็เหลาไม้ช่วยท่านไป ท่านก็บอกว่าให้เหลาอย่างนี้ ๆ นะ เลยถามท่านไปว่า ท่านอาจารย์ครับ จะเหลาไม้ไผ่นี้ไปทำอะไร ท่านก็บอกว่า มีที่ทำอยู่นั่นแหละ เหลาไปเถอะ เมื่อเหลา ๆ ไปก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ก็ถามท่านไปอีก ท่านก็พูดว่า เหลาไปเถอะ เดี๋ยวรู้เอง ทั้งเหลาไปด้วยพิจารณาไปด้วยว่า จะเหลาไม้นี้ไปทำอะไรกันนะจึงเหลาสวยงามขนาดนี้ เมื่อเหลาเสร็จก็มัดเป็นกำ ๆ ขนาดใหญ่แล้วก็ให้ท่านไป ในวันที่ ๒ ข้าพเจ้าไปห้องส้วม พอดีไปพบไม้ไผ่ที่เหลานั้นอยู่ในห้องส้วมและมีปี๊บใบหนึ่งวางอยู่ด้านข้าง มีไม้ชำระทิ้งอยู่ในปี๊บนั้นสองอัน จึงได้คิดขึ้นมาว่า พระกรรมฐานมีความละเอียดอ่อนขนาดนี้หรือนี่ ขนาดไม้ชำระและไม้สีฟันก็ยังเหลาให้สวยงาม จุดเริ่มแรกที่เกิดมีความฝังใจในพระกรรมฐาน ก็คือในห้องส้วมนั้นเอง

จากนั้นมา ก็มีความสนใจในท่านมากขึ้น จึงได้คิดเปรียบเทียบกันในระหว่างพระที่ปฏิบัติและไม่ปฏิบัติอยู่เสมอ แต่ก็น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้สอนธรรมปฏิบัติหมวดอื่น ๆ ให้ฟัง ถ้าหากท่านได้สอนแนวทางปฏิบัติให้ตรงต่อมรรคผลนิพพานในครั้งนั้นแล้ว คิดว่าคงจะไม่ได้เป็นฆราวาสอีกแน่นอน

ในวันต่อมา ท่านให้ไปทำทางเดินจงกรมให้ เมื่อทำเสร็จแล้วท่านก็พูดว่า ในคืนนี้จะพามาเดินจงกรมที่นี่นะ เมื่อรับคำแล้วก็ต้องทำตามท่าน พอถึงเวลาประมาณ ๑ ทุ่ม เป็นคืนที่แสงเดือนกำลังสว่างพอดี ท่านก็บอกว่าให้เณรทูลเดินจงกรมจากนี่ไปนี่นะ ท่านก็ชี้มือไปในเส้นทางที่ไปห้องส้วมนั่นเอง ซึ่งพอดีจะต้องผ่านกอไผ่ขนาดใหญ่ไป ในที่แห่งนี้มีผีเปรตหลอกพระเณรที่ไปห้องส้วมอยู่ประจำ ไม่กี่วันมานี้ก็มีผีเปรตหลอกพระจนร้องเสียงหลงมาแล้ว ถึงเราไม่เคยเห็นผีเปรต แต่ก็กลัวเอาไว้ก่อน ท่านอาจารย์ก็เดินทางจงกรมของท่านไป สามเณรทูลก็ได้เดินจงกรมเส้นทางที่มีผีเปรต เดินใหม่ ๆ ก็กลัวจนหัวเข่าอ่อนไปหลายครั้ง แต่ก็ตั้งมั่นอยู่ในคำบริกรรมว่า พุทโธ ๆ อยู่เสมอ

เมื่อเดินไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง รู้สึกเหนื่อยมาก เพราะไม่เคยเดินจงกรมเลย เรียกว่าเดินจงกรมในครั้งแรกของชีวิตนั่นเอง ครั้นจะหยุดเดินหรือก็กลัวอาจารย์จะว่าไม่มีความอดทน อย่างไรเสียก็ต้องฝืนเดินต่อไป ถึงจะเหนื่อยก็ต้องอดทนต่อสู้เดินต่อไป ประมาณ ๑ ชั่วโมงผ่านไปท่านก็ยังไม่หยุด สามเณรทูลก็ต้องกัดฟันอดทนเดินสู้ต่อไป ในช่วงนั้นเอง สามเณรทูลได้รับความสุขทางใจมากที่สุด ในขณะที่เดินจงกรมอยู่นั้น จิตมีความสงบวูบไปนิดเดียว ความเบากาย ความเบาใจ ก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน เกิดมีความสุขใจความอิ่มเอิบใจมากทีเดียว เดินจงกรมไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแต่อย่างใด มีแต่ความขยันขันแข็ง จะเดินจงกรมจนถึงสว่างก็ยังได้เลย ครั้นได้เวลาประมาณ ๓ ทุ่ม ท่านก็เรียกให้พักแล้วพาไปกุฏิ แหม ในคืนนั้นไม่อยากไปกุฏิเลย อยากเดินจงกรมอยู่ที่นั่นตลอดคืน แต่เมื่อท่านเรียกก็ต้องไปตามท่าน เมื่อท่านเข้าห้องจำวัด สามเณรทูลกกลับนอนไม่ได้เลย ต้องออกมาเดินจงกรมที่ลานวัดคนเดียว เมื่อดึกมากแล้วจึงเข้าพักในห้องได้ จากนั้นมา ก็เห็นคุณค่าในการเดินจงกรมว่าเป็นผลอย่างนี้ ๆ มาแล้ว

วันต่อมา ท่านมีธุระจะไปกราบพระอาจารย์บุญจันทร์ ที่บ้านจำปา ท่านจึงได้ชวนไปด้วย เมื่อรับคำท่านแล้วก็ไปลาโยมพ่อโยมแม่ เดินทางกับท่านอาจารย์ไป การเดินทางในครั้งนี้เป็นทุกข์มากทีเดียว บาตรขนาดใหญ่ไม่รู้ว่ามีสัมภาระอะไรบ้าง เต็มไปหมด ทั้งบาตร ทั้งกลด ท่านอาจารย์ให้สามเณรทูลแบกสะพายของทั้งหมด สะพายไปได้ประมาณ ๔ กิโลเมตร รู้สึกว่าบาตรนั้นหนักขึ้นทุกที ท่านก็ไม่หยุดพักเอาบ้างเลย ทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย ทั้งหิวข้าวเพล จนสามเณรทูลมีน้ำตาไหลออกมาทีเดียว คิดว่าจะบอกท่านอาจารย์ให้หยุดพักก็กลัวท่านว่าไม่มีความอดทน จำเป็นต้องต่อสู้อดทนเดินตามท่านไป ไปได้ประมาณ ๖ กิโลเมตร ท่านก็หยุดพักพอหายเหนื่อยได้นิดหนึ่ง จากนั้นท่านก็พาเดินทางต่อไป เมื่อไปถึงวัดป่าบ้านจำปา ก็เป็นเวลาพระเณรกำลังปัดกวาดลานวัดพอดี เมื่อเข้าไปถึง มีสามเณรออกมารับบาตรไปที่ศาลา ดูพระเณรทุกองค์ถือผ้าย้อมแก่นขนุนกันทั้งนั้น มีสามเณรทูลองค์เดียวถือผ้าสีแตกต่างกันกับหมู่คณะ เมื่อเข้าไปในวัดเห็นความสะอาดในที่ต่าง ๆ เรียบร้อยสวยงามดี จึงทำให้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระกรรมฐานเป็นอย่างมาก ทุกองค์มีความสำรวมเหมือน ๆ กัน การพูดก็มีเสียงเบาเพียงกระซิบกระซาบรู้เรื่องกันเท่านั้น

ในขณะนั้น สามเณรทูลหิวน้ำขึ้นมา คิดว่าจะไปฉันน้ำในตุ่ม เมื่อเดินไปดูก็ไม่มีขันและแก้วน้ำที่จะตักกินเลย เพียงไปเห็นกระบอกไม้ไผ่ขนาดใหญ่เท่าขา มีผ้ามัดติดอยู่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร จึงได้ไปหาขันในศาลาจะเอามาตักน้ำในตุ่มฉัน แต่พอดีมีเณรอีกองค์หนึ่งเดินมาพบ จึงได้บอกว่า อย่าเอาขันตักน้ำในตุ่มนี้นะ ให้เอา ธมกรก กรองเอา สามเณรทูลก็ไม่รู้จักเลยว่าธมกรกเป็นอย่างไร มีแต่กระบอกไม้ไผ่ห้อยอยู่ที่นั้น ๒ - ๓ อันเท่านั้น สามเณรทูลก็จับมาดูแล้วคิดว่านี่หรือเปล่าหนอธมกรก แล้วก็จุ่มลงในตุ่มน้ำ ดึงขึ้นมาน้ำก็ไหลออกหมด สามเณรนั้นก็มาเห็นอีกแล้วถามว่า กรองน้ำไม่เป็นหรือ ก็บอกไปว่ากรองไม่เป็น เณรองค์นั้นก็กรองน้ำให้ดู เมื่อฉันน้ำอิ่มแล้วก็มานั่งคิดรำพึงถึงวิธีฉันน้ำอีก นี่ พระกรรมฐานทำไมมีความละเอียดถึงขนาดนี้ เพียงน้ำธรรมดาก็กรองฉัน เครื่องบริขารอื่น ๆ ส่วนตัว เช่น กาน้ำ แก้วน้ำ บาตร กระโถน ล้วนแต่สะอาดหมดจดกันทั้งนั้น จึงได้มาคิดถึงความเป็นอยู่ของตัวเองในวัดบ้านว่ามีความแตกต่างกันทั้งหมด เรื่องวัดบ้านมีความเป็นอยู่อย่างไรไม่ต้องพรรณนาก็รู้กัน

จากนั้นก็ถึงเวลาค่ำ สามเณรที่วัดก็จัดกุฏิพิเศษให้นอนองค์เดียว ห่างจากศาลาไปประมาณ ๑๐๐ เมตร เป็นป่าดงดิบหนาแน่น มีต้นไม้ใหญ่นานาชนิดมากมาย มีทางเล็ก ๆ ไปหากุฏิที่สร้างใหม่ มีพื้นปูด้วยฟากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคาอย่างดี เป็นกุฏิที่ใหม่เอี่ยม ยังไม่มีใครไปนอนในกุฏินี้มาก่อนเลย ใต้กุฏิพูนดินขึ้นมาพอสมควร มีถาดใบเล็ก ๆ มีถ้วยอาหารวางอยู่ในที่นั้นด้วย แต่คิดว่าเป็นประเพณีสร้างกุฏิใหม่ของพระกรรมฐาน คงทำเลี้ยงเจ้าที่ไปเท่านั้น ในกุฏิมีกล้วยน้ำว้าสองเครือผูกห้อยอยู่ สุกเหลืองทั้งสองเครือ ในคืนนั้น สามเณรทูลนอนแทบไม่หลับเลย เพราะหิวข้าวนั่นเอง ท้องร้องจ๊อก ๆ มองไปเห็นกล้วยสุกอยู่ข้างที่นอน ถ้าเป็นท่านผู้อ่านจะคิดอย่างไรในเรื่องนี้ ในคืนนั้น สามเณรอดทนไม่ได้ ก็ลุกขึ้นไปจับกล้วยสุกทันที กำลังจะปลิดเอามาฉัน ก็นึกขึ้นได้ว่า นี่ทูล เราเป็นสามเณรรักษาศีล ๑๐ นะ เราเคยรักษาศีลให้มีความบริสุทธิ์มานานแล้ว จะมาให้ศีลขาดไปในขณะนี้ไม่ได้นะ เมื่อนึกได้อย่างนี้ก็ไม่กล้า จึงกลับมานอนดูกล้วยสุกต่อไป ในคืนนั้น ได้ลุกขึ้นไปจับกล้วยสุกว่าจะฉันถึงสามครั้ง แต่ก็สำนึกตัวเองได้ทันทุกครั้งไป ในคืนนั้นได้หลับนิดเดียว เพราะความหิวเป็นเหตุนั้นเอง

ตื่นเช้าไปศาลา อาจารย์ก็จัดบาตรให้บิณฑบาตกับหมู่พระเณรธรรมดา อาจารย์ได้บอกว่า เณรทูล การบิณฑบาตให้ไปตามหลังเณรอื่นเขานะ เดินบิณฑบาตต้องมีความสำรวมตัวให้ดี อย่ามองซ้ายและมองขวา ให้สายตาอยู่กับขาของเณรที่เดินก่อน เมื่อมีคนใส่บาตรก็อย่าไปดูหน้าเขา ให้จ้องตาดูแต่ในบาตร ดูปั้นข้าวเขาตกลงในบาตรแล้วจึงปิดฝาบาตร แล้วค่อยเดินตามหลังเขาไป สามเณรทูลก็ทำได้จริง ๆ ด้วย บิณฑบาตอยู่ในบ้านจำปานั้น ๑๐ วัน ไม่เคยเห็นหน้าใครเลย เพราะความสำรวมของสามเณรทูลนั้นมีความระวังมาก เวลาฉันท่านก็จัดภาชนะให้เป็นพิเศษ จากนั้น อาจารย์ก็ถามว่ากลัวผีไหม ก็ตอบท่านไปว่ากลัว ท่านอาจารย์พูดว่า ที่นี่เป็นป่าช้าของชาวบ้านทั้งหมด กุฏิทุกหลังที่ปลูกเอาไว้ล้วนแต่ปลูกครอบหลุมศพทั้งนั้น กุฏิที่เณรทูลอยู่นั้นก็เป็นหลุมศพผู้หญิงคลอดลูกตายใหม่ ๆ นี่เอง เมื่อสามเณรทูลได้ยินก็เกิดความกลัวมากพอสมควร แต่ก็หนีไม่ได้ ถึงจะกลัวเท่าไรก็ต้องอดทน จึงคิดถึงเณรอื่นเขาว่าเณรอื่นก็เล็ก ๆ เท่ากันกับเรา เขาก็อยู่องค์เดียวได้ กุฏิเณรนั้นก็มีหลุมศพเหมือนกันกับกุฏิเรา เมื่อเขาอยู่ได้เราก็ต้องอยู่ได้เช่นกัน จากนั้นมาหลายวัน อาจารย์ก็ได้มาส่งที่วัดบ้านหนองแวง แล้วท่านอาจารย์ก็พูดว่าจะไปงานศพของหลวงปู่มั่นต่อไป

จากนั้น ก็ได้สึกออกมาทำไร่ทำนาช่วยพ่อแม่ต่อไป เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี ก็ได้บวชเป็นพระอยู่ในวัดบ้านอีก การบวชทั้งสองครั้งที่ผ่านมาเป็นเพียงบวชตามประเพณีนิยมเท่านั้น การศึกษาเล่าเรียนก็เรียนไปตามหลักสูตรที่วางเอาไว้ แต่ไม่มีครูอาจารย์องค์ใดพูดถึงเรื่องการปฏิบัติธรรมเลย บวชได้อีก ๑ ปี ก็สึกออกมาอีก ในช่วงต่อมา ได้ไปเที่ยวอำเภอบ้านผือ ตามคำชักชวนของเพื่อน ๆ (ไปอยู่บ้านดงหวาย) จึงชวนกันไปทำไร่อ้อยที่ดงไม้เรียว ตัวเองทำบ้างและจ้างคนงานช่วยทำบ้าง ในวันหนึ่ง มีเพื่อนคนงานถามถึงครอบครัว ก็บอกเขาว่ายังไม่มี เหตุที่ไม่ยอมมีครอบครัวเนื่องจากสาเหตุใดก็อธิบายให้เพื่อน ๆ ฟังว่า ยังไม่พบผู้หญิงที่ถูกใจ ผู้หญิงที่ถูกใจนั้น คือเป็นผู้ไม่กินอาหารดิบที่เป็นเนื้อสัตว์ทุกชนิด และเป็นผู้มีศีล ๕ ประจำตัว พอพูดจบก็มีเพื่ออีกคนหนึ่งพูดขึ้นว่า หญิงสาวที่ไม่กินอาหารดิบและมีศีล ๕ นั้นมีอยู่ จากนั้นก็คุยกันในเรื่องนี้บ่อย ๆ และตัวเองก็ตัดสินใจว่า ถ้ามีหญิงสาวลักษณะนี้จริงจะยอมแต่งงานด้วย จากนั้น ก็มาคอยดูกันอยู่ที่วัดป่าธรรมยุตแห่งหนึ่งที่บ้านโนนสมบูรณ์ โดยมีอาหารมาทำบุญด้วย การมานี้เพื่อมาดูหญิงสาวเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมาบวชแต่อย่างใด

โดย: pininnan    เวลา: 2014-9-20 10:56

โดย: pininnan    เวลา: 2014-9-20 11:10
อนุโมทนา
โดย: oustayutt    เวลา: 2015-1-15 11:33
ลูกหลานทั้งหลาย วันนี้สาระน้อยไปหน่อยนะ เพราะมัวไปทะเลาะกับท่านนักปราชญ์เพลินไป มาพูดกันถึงอานุภาพท่านขุนด่านอีกหน่อย เพราะชักเหนื่อยแล้ว ท่านขุนด่านเป็นเทวดาของท่านท้าวเวสสุวัณ มีเครื่องทรงประจำสีแดง คือ นุ่งห่มสีแดง และโพกผ้าก็สีแดงเหมือนกัน ท่านที่ทรงเครื่องแดงนี้จัดเป็นเทวดามีอานุภาพมาก สมัยที่เขาวงพระจันทร์ยังมีสถานที่ยังไม่สมบูรณ์อย่างปัจจุบัน หลวงพ่อปานท่านกำลังสร้างมณฑปและบันไดขึ้นเขา มีพระองค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของหลวงพ่อปาน ชื่อ ท่านสำราญ ชาวบ้านเรียกว่าอาจารย์สำราญ ขณะนี้สำราญอยู่เมืองผีนานแล้ว เพราะท่านแก่กว่าฉันมาก สมัยฉันอายุ ๒๐ ปีเศษ ท่านมีอายุเกือบ ๔๐ ปีแล้ว ท่านอยู่ประจำที่เขาวงพระจันทร์ เป็นเขตอารักขาของท่านขุนด่าน หลวงพ่อปานท่านสั่งไว้เสมอว่า อย่าประกาศตัวเป็นศัตรูกับผี ควรทำตนเป็นมิตรกับผีจะได้อยู่เป็นสุข เพราะผีไม่ใช่คน ถ้าเป็นศัตรูกัน เวลาที่เขามาทำอันตรายไม่มีนิมิตปรากฏ ท่านก็ไม่เชื่อ ปกติท่านสวดบทวิปัสสิทธิ์เสมอเพื่อไล่ผี คาถาบทนี้เป็นคาถาในบทภาณยักษ์และภาณพระ คำว่า ภาณยักษ์แปลว่ายักษ์พูด คำว่าภาณแปลว่าพูด เป็นคาถาที่ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านประชุมกันร้อยกรองขึ้น เมื่อร้อยกรองเสร็จท่านก็ประชุมผีทั้งหมด ท่านสั่งว่าใครเขาสวดคาถาบทนี้อยู่ห้ามทำอันตราย ถ้าใครไม่เชื่อจะลงโทษฐานกบฏ มาตรานี้มีโทษรุนแรงมาก เมื่อประกาศแล้วท่านทั้งสี่ก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านทั้งสามให้ท้าวเวสสุวัณเป็นคนพูดกับพระพุทธเจ้า ท่านจึงเรียกภาณยักษ์ ตอนที่ท้าวเวสสุวัณพูด แปลว่า ยักษ์พูด เมื่อท้าวเวสสุวัณกราบทูลถวายกับพระพุทธเจ้า ได้กราบทูลมีใจความว่า พวกยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาคและบริวาร ส่วนอื่นของข้าพระพุทธเจ้าที่ไม่เลื่อมใสในพระองค์มีมาก เมื่อบรรดาพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ไปทำสมณธรรมคือชำระอารมณ์ให้หมดจากกิเลส พวกนี้มักจะกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัว เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์มาก
คำว่าพรหมจรรย์ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ไม่เคยผ่านใครมาเลย นั่นยังไม่เรียกว่าพรหมจรรย์ ควรเรียกว่าคนยังไม่เคย ส่วนพรหมจรรย์แปลว่าประพฤติประเสริฐ คือ ไม่เป็นอันตรายแก่ใคร ได้แก่คนมีพรหมวิหาร ๔ นั่นเอง พวกที่ไม่เคยผ่านการร่วมรัก อาจจะเคยลักขโมย ฆ่าสัตว์ โกหกมดเท็จ กินเหล้าเมาสุราบ้างก็ได้ เรียกว่า พรหมจรรย์จึงไม่ตรงเป้าหมาย ส่วนพรหมจรรย์แท้ท่านหมายเอามีความประพฤติอย่างประเสริฐ คือ มีอารมณ์เหมือนพรหม มีศีลบริสุทธิ์ มีเมตตาปรานี มีฌานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เป็นพรหมจรรย์อันดับปฐม พรหมจรรย์อย่างมัธยมก็ต้องตัดกิเลสสิ้นไปเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกว่าระดับมัธยม หรือเรียกดุษฎีบัณฑิต เป็นอันว่ารู้กันนะว่าพรหมจรรย์หมายความว่าอย่างไร เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทของพระองค์ไปเจริญสมณธรรมในป่าในรกที่สงัด ถ้าเกรงว่าบรรดาผีอันธพาลทั้งหลายจะรบกวน ให้เขาสวดคาถาบทนี้ผีจะไม่ทำอันตราย เมื่อท่านอธิบายแล้วก็ถวายคาถา จึงเรียกว่าภาณยักษ์ เพราะเป็นตอนยักษ์พูด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านรับไว้แล้วท่านมหาราชกลับแล้ว ท่านเรียกประชุมพุทธบริษัท ท่านก็ให้บริษัทเรียนและอธิบายตามนั้น ตอนนี้ในตำนานท่านกล่าวว่า พระพูด เรียกว่า ภาณพระ




ท่านสำราญท่านถือคาถานี้เป็นสำคัญ ท่านไม่ได้ทำดีคือสมณธรรม ท่านถือว่าท่านเก่ง พ่อสวดมนต์บทนี้ไล่ผีทุกวัน ผิดระเบียบพระที่ดี ไม่ทำดีแต่เอาอาวุธของคนดีมาใช้ก็เลยไม่มีผล พอเผลอท่านขุนด่านเลยจัดการเสียตามระเบียบ คือ เวลาประมาณ ๑๗ น. โดยประมาณ อาจจะไม่ตรงเผง ฉันและเพื่อนได้ยินเสียงท่านสำราญร้องโอย ๆ เสียงดังมาก ก็พากันวิ่งไปดู คิดว่าใครทำอันตรายท่าน ไม่ได้คิดว่าผีทำ คิดว่าคน คื อพวกของเจ้าลาวอันธพาล เมื่อวิ่งไปถึงปรากฏแก่ตาของพระทุกองค์ เห็นคนนุ่งแดงใส่เสื้อแดง ผ้าโพกหัวแดง ถือหวายขนาดใหญ่ กำลังหวดซ้ายป่ายขวาท่านสำราญ ๆ ลงไปนอนบิดไปบิดมาอย่างสำราญอยู่กับพื้น เจ้าสองลิงคือเจ้าลิงขาวกับลิงเล็กวิ่งเข้าไปร้องขอว่า ท่านขุนด่าน ขอทีเถอะ หยุดลงโทษเสียทีเท่านี้พอแล้ว แกหันมามองตาแดงก่ำ แดงเป็นสีตายักษ์ แกยิ้ม แต่ทว่ายิ้มของแกไม่น่ารักเลย มันน่ากลัวมากกว่า พระที่วิ่งไปด้วยเห็นยิ้มของแกเข้าหลบก้มหน้าลงดินเป็นแถว ที่ยืนปกติมีฉันกับเจ้า ๒ ลิง เมื่อแกเลิกยิ้มแกบอกว่า เจ้านี่อวดดีนัก เอาคาถาท่านมหาราชมาขับเทวดาขับผี เขาให้ไว้สำหรับคนดี ไม่ใช่ธุระของคนอันธพาลจะนำมาใช้ เลยจัดการเสียนิดหน่อย คราวต่อไปทำอย่างนี้อีกจะลงโทษให้หนักกว่านี้ แล้วแกก็ก้าวขึ้นขื่อหายไป พระทุกองค์ที่ไปเห็นและได้ยินเหมือนกัน นับแต่นั้นมา ท่านสำราญท่านเห็นว่าที่เขาวงพระจันทร์สำราญเกินไป ท่านทนความสำราญไม่ไหวเลยลาไปสำราญที่อื่น พวกฉันเห็นได้ท่าก็เลยหันมาสำทับพวกเดียวกัน บอกว่าที่นี่เจ้าที่ดุ ต่อไปจงระมัดระวังความประพฤติ ถ้าใครทำชั่วไม่มีใครช่วยใครได้ อาจจะต้องมีโทษมากกว่านี้ เรื่องวัวเขาอ่อนเป็นเหตุ ถ้ายุ่งมากอาจจะถึงตาย และความประพฤติส่วนอื่นก็เหมือนกัน จงระงับเสีย อย่าเอาชั่วมาใช้ เรามาทำบุญกัน อย่าเอาบาปกลับวัด เป็นเรื่องน่าประหลาด เมื่อฉันและเพื่อนเตือนพระเย็นวันนั้น พอเช้าก็มีพระทุกองค์มารายงานว่าเมื่อคืนนี้ทุกองค์เห็นท่านขุนด่าน ท่านมาคาดโทษว่าถ้าท่านใดทำเลวปล่อยใจอย่างฆราวาส ท่านจะจัดการยิ่งกว่าท่านสำราญ
ที่มา http://www.putthawutt.com/html/menu.html
โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-1-16 08:19
oustayutt ตอบกลับเมื่อ 2014-9-7 10:59
กุลบุตรผู้ที่ได้รับการอบรมมา ครูบาอาจารย์มักจะอบรม ...


"วิสัยครูดูอย่างเหมือนช่างปั้น ต้องคาดคั้นโขลกสับแทบจับไข้
ไม่สันทัดขัดแต่งรุนแรงไป ก็บรรลัยแยกร้าวลงแหลกราญ
อันภูมิครูดูได้จากลูกศิษย์ เหมือนดูช่างชาญประดิษฐ์จากเชิงสาน
มีลูกศิษย์หัวรั้นอันธพาล เขาประจานด่าครูไม่ดูแล

โดย: majoy    เวลา: 2015-1-16 12:54





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2