Baan Jompra

ชื่อกระทู้: เรื่องเล่า อ่านสนุก ^^ [สั่งพิมพ์]

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 12:50
ชื่อกระทู้: เรื่องเล่า อ่านสนุก ^^
คัมภีร์โครงกระดูก
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=amuletstory&month=02-2014&date=21&group=4&gblog=296

คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด



"คนบ้านขาม" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคัมภีร์อาถรรพณ์

สมัยเด็กผมอยู่ที่บ้านจาม อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์...ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม...บ้านผมมีวัดสระบัวงาม เจ้าอาวาสคือพระครูโสภณ เป็นที่เคารพนับถือของคนทั้งอำเภอและจังหวัดก็ว่าได้

ท่านเป็นพระกรรมฐาน เชี่ยวชาญทางคาถาอาคม เก่งกาจทางไสยเวท ทั้งรักษาโรคร้ายให้ชาวบ้าน ช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ด้วยเมตตาของท่าน จนชื่อเสียง เลื่องลือไปไกล

เล่ากันว่า หลวงพ่อท่านได้คัมภีร์มาจากถ้ำแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดน่านในสมัยหนุ่ม

เป็นคัมภีร์จากโครงกระดูกครับ!!

คืนหนึ่งขณะที่หลวงพ่อนั่งปฏิบัติกรรมฐาน อยู่ในถ้ำ อำนาจพลังจิตทำให้ท่านมองเห็นโครงกระดูกมนุษย์ จึงได้แผ่เมตตาให้วิญญาณที่ล่องลอยสิงสู่อยู่ตามวิบากกรรม จงไปผุดไปเกิดในภพใหม่เสียเถิด

จู่ๆ ก็เกิดเสียงลมพัดอื้ออึงอยู่ภายนอก ราวกับเกิดมหาวาตะรุนแรงเหลือหลาย...แล้วเสียงเยือกเย็นก็ดังโหยหวนมากับเสียงลม ท่ามกลางความมืดมิดเปล่าเปลี่ยวของราตรี

เสียงจากผู้ไม่มีร่างกายบอกกล่าวว่า ขอให้หลวงพ่อนำเอาคัมภีร์ที่ฝังอยู่ทางขวามือของโครงกระดูกนั้น ไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นทุกข์ด้วย! หลวงพ่อก็รับคำ เสียงโหยหวนนั้นจึงจางหายไป

พระครูโสภณเคยเล่าให้ญาติโยมฟังว่า ในที่สุดท่านก็ขุดพบคัมภีร์นั้นสมจริงตามที่วิญญาณบอกกล่าวไว้ ต่อมาท่านได้ศึกษาจนแตกฉาน นำมาปฏิบัติได้ผลจนถึงบัดนี้

ว่ากันว่าคำจารึกในคัมภีร์นั้นมีทั้งทางดีและทางร้าย เนื่องจากมีคาถาอาคมและไสยเวทต่างๆ เช่น การรักษาโรคร้าย การทำยาสั่งและเสน่ห์ยาแฝด เป็นต้น แต่หลวงพ่อท่านเลือกนำแต่สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์แก่คนทั่วไปมาใช้เท่านั้น

เช่น รักษาคนเจ็บป่วย ใครโดนยาสั่งยาเสน่ห์มา ท่านก็ช่วยถอนยาถอนเสน่ห์ให้ แม้แต่คนติดเหล้าที่มีอยู่ไม่น้อย ต้องการจะเลิกดื่มสุราก็มาหาท่านเช่นกัน

วันนั้นตาเตยถูกลูกเมียลากมายามที่แกยังไม่เมา ขอให้หลวงพ่อช่วย "บวชเหล้า" ตาเตยสัก 2 ปีเถิดจะได้เลิกเมาหัวราน้ำ รู้จักทำมาหากินเหมือนชาวบ้านเขาเสียที

คำว่า "บวชเหล้า" หมายถึงผู้ติดเหล้าจะสาบานตัวว่าจะหยุดดื่มเหล้า 1 ปี หรือ 2-3 ปีก็แล้วแต่จะตั้งจิตไว้

ถ้าอดเหล้าไปได้ระยะหนึ่ง เห็นว่าตนทนไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องไปลาบวช หรือไปถอนคำสาบานกับหลวงพ่อเอง...ต่อจากนั้นก็สุดแต่บุญแต่กรรมแล้วกัน

แต่ถ้าใครไม่มาลาบวช แล้วทวนสาบานกลับไปดื่มเหล้าก็จะต้องมีอันเป็นไปตามคำสาบานแน่นอน

หลวงพ่อให้ตาเตยเขียนชื่อ และวัน เดือน ปีเกิดไว้ให้ท่าน แล้วถามว่าจะบวชเหล้ากี่ปี? ตาเตยผอมดำ ผมขาวโพลน นุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียว มีผ้าขาวม้าห่มสไบเฉียงก็หลุดปากว่า...ผมจะหยุดกินเหล้าไปจนตายเลยครับ!

ลูกเมียรีบร้องห้ามว่า ขอแค่ปีเดียวก็พอ ต่อจากนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ ตาเตยยืนกรานว่าจะอดจนวันตายจริงๆ จนเกิดโต้เถียงกับลูกเมียอื้ออึง...

ในที่สุดก็สาบานว่าจะอดเหล้า 2 ปี!

พ่อแม่กราบลาหลวงพ่อพาผมกลับบ้านก่อน เลยไม่ได้ยินว่าแกสาบานไว้ยังไง?

ต่อจากนั้น ชาวบ้านก็คอยดูว่าตาเตยจะอดเหล้าไปได้กี่วัน ไม่ช้าคงจะวิ่งแจ้นไปหาหลวงพ่อ ขอถอนคำสาบานกับท่านเพราะอดเหล้าต่อไปไม่ไหว

ผิดคาดไปตามๆ กัน เมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือนๆ ก็ไม่เห็นตาเตยแตะต้องสุราเหมือนเช่นเคย หน้าตาค่อยผ่องใสขึ้น ร่างกายแข็งแรง กลายเป็นขยันทำมาหากินจนชาวบ้านแปลกใจ

เวลาผ่านไปราว 6-7 เดือนก็เกิดเรื่องขนหัวลุก ขึ้นมา!

พลบค่ำ วัวควายกำลังจะเข้าคอก เสียงโหยหวนก็ดังมาจากทุ่งหลังบ้าน พวกเราตกใจวิ่งออกไปดูก็ได้ยินถนัดหู...โว้ย! ผีหลอก...ช่วยด้วย!!

ตาเตยนั่นเอง...แกวิ่งมาล้มข้างๆ บ้าน นัยน์ตาเหลือกลาน ชี้ไม้ชี้มือไปที่ทุ่งเปลี่ยวด้านหลัง ร้องว่า...หัวกะโหลกตาโบ๋! โครงกระดูกทั้งนั้นเลย...มันจะฆ่ากู!

ขาดคำก็สำลักเลือดพรวดแดงฉาน ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ลูกเมียแกร้องไห้โฮ...ตาเตยขาดใจตายตรงนั้นเอง! บางคนว่าแกเป็นวัณโรคตาย แต่คนส่วนมากไม่เชื่อหรอกครับ เพราะได้กลิ่นเหม็นเหล้าหึ่งจากศพตาเตยกันทุกคน! บรื๋ออออ...

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 12:56
วิญญาณมาเยือน / ขนหัวลุก ใบหนาด
http://www.kumarntalk.com/topic/356



"เอ๋" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจผีตายโหง

ไม่ว่าใครก็ต้องเคยมีประสบการณ์ตื่นเต้น อกสั่นขวัญหาย ไปจนถึงขนลุกขนพองด้วยกันทั้งนั้น ดิฉันเองก็ต้องเจอะเจอกับเรื่องช็อกสุดขีด ทั้งๆ ที่อยู่ในห้องนอนตัวเองแท้ๆ ห้องที่ว่าคืออพาร์ตเมนต์ในย่านประชาสงเคราะห์ แถวดินแดงนี่เองค่ะ

กลุ่มเรามีอยู่ 3 คนด้วยกัน

จุ๋มทำงานบริษัทการเงินที่ถนนอโศก กับอั๋นช่างผมระดับยอดฝีมือ แถมร้านเสริมสวยก็อยู่ถนนเดียวกับจุ๋ม สองสาวนี่มาอยู่ก่อนเลยสนิทกันเป็นพิเศษ...และดิฉันซึ่งเป็นรีเซฟชั่นอยู่ในโรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ถือว่าที่ทำงานของพวกเราอยู่ไม่ห่างไกลกัน

ยิ่งกว่านั้นก็คือเช่าห้องติดๆ กัน อยู่คนละห้องตามนิสัยรักอิสรเสรี คงจะเป็นเพราะนิสัยคล้ายๆ กันนี่แหละค่ะ ที่ทำให้เราสนิทสนมรักใคร่กันเหมือนพี่น้อง

จุ๋มสวยและเซ็กซี่ที่สุดในกลุ่ม หุ่นผอมเรียวเพรียวสวย ชอบทำแอ๊บแบ๊วเป็นวัยรุ่นบ่อยๆ แต่ไม่น่าเกลียด...คนสวยๆ นี่ไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดู ไปหมด

อั๋นค่อนข้างอวบสมชื่อ แถมช่างพูดช่างคุย มีเรื่องร้อยแปดมาเล่าไม่รู้จบ จนจุ๋มเรียก "ขาเม้าธ์" บางทีก็แซวว่า "เม้าธ์ได้ถ้วย" สมกับเป็นช่างเสริมสวยที่ต้องเจ๊าะแจ๊ะกับลูกค้าแทบทั้งวัน

ส่วนดิฉันค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษหรอกค่ะ

ตอนค่ำๆ เรามักจะหาซื้ออาหารมาล้อมวงกินกัน ห้องนั้นบ้างห้องนี้บ้าง ส่วนมากใช้ที่นอนต่างเก้าอี้ พูดคุยเฮๆ กันสารพัดเรื่อง โดยมากเจ้าอั๋นรับหน้าที่ผูกขาดในการเล่าเรื่องขำขัน เรื่องดาราและนักร้อง เบื้องหลังคนดังที่ฟังมาจากแขกขาประจำอีกที

โดยเฉพาะเรื่องผีนี่สุดโปรด อั๋นจาระไนถึงเรื่องผีที่เคยฟังมาตอนเด็กๆ กับเรื่องราวทั้งในการ์ตูนญี่ปุ่นกับเรื่องผีไทยๆ อ่านแล้วกลัวแต่ก็ชอบอ่าน ไม่รู้เป็นไง? จุ๋มเลยแกล้งทำเสียงขึงขังว่า "ห้องแกนี่ได้ข่าวว่าคนเช่ารายก่อนเชือดคอตายบนเตียง!" เล่นเอาเจ้าอั๋นกลืนน้ำลายเอื๊อกทำหน้าเหมือนปลวกกินไบก้อนเลยค่ะ!

"จ้างก็ไม่เชื่อ" ปากแข็งเชียว "ฉันหาข่าวก่อนเข้ามาอยู่แล้ว ว่าไม่มีใครตายในห้องนี้...ชัวร์! อยู่มาเกือบปีถ้ามีผีสิงจริงๆ ฉันคงไม่รอดมาถึงป่านนี้หรอกว้า แกเอ๊ย!"

จริงของอั๋นค่ะ เพราะพวกเราอยู่กันเป็นปกติสุขดีมาตลอด...จนกระทั่งถึงคืนเกิดเหตุ เจ้าจุ๋มไปงานศพญาติถึงพะเยาโน่น ดูเหมือนจะมีหนุ่มขับรถไปส่งซะด้วย

คืนนั้น ดิฉันออกเวรตอนค่ำพอดี รุ่งขึ้นเป็นวันหยุด กลับมาอาบน้ำอาบท่าจนสบายตัวแล้วก็เลยไปหาเจ้าอั๋น...แหม! มันดีใจจนรีบจูงมือไปนั่ง บอกคืนนี้นึกว่าจะเหงาอยู่คนเดียวแล้ว เพื่อนชวนไปเที่ยวฮีโร่ที่ซอย 11 ก็ไม่อยากไป...คิดถึงเพื่อนจุ๋มน่ะซี!

จากนั้นเสียงพูดคุยก็ดังเป็นต่อยหอย เรื่องนั้นเรื่องนี้เพลิดเพลินจนแทบไม่ได้ยินเสียงทีวี ดิฉันชอบห้องอั๋นเป็นพิเศษเพราะตกแต่งสวยเริ่ด แถมมีรูปดาราสวยๆ หล่อๆ ทั้งไทยทั้งฝรั่ง ญี่ปุ่นกับเกาหลี...ติดแพรวพราวไว้ตามข้างฝาและประตู โดยเฉพาะหัวเตียงเป็นรูปใหญ่ๆ โดดเด่น ได้บรรยากาศรื่นรมย์ ผ่อนคลายดีจัง

"คิดถึงไอ้จุ๋มนะ แต่มันว่าพรุ่งนี้ดึกๆ ก็ถึงกรุงเทพฯ แล้ว" เจ้าอั๋นนั่งเชยคางทำตาลอย "ฉันบอกว่าถ้ายังไงก็โทร.มาบอกละกัน เป็นห่วงเพื่อนว่ะ บอกตรงๆ"

ที่เป็นห่วงก็เพราะไปกับหนุ่ม! คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ จริงไหมคะ?

ดิฉันกลับเข้าห้องตอนสองยามกว่า...พอหัวถึงหมอนก็แทบจะหลับผล็อยทันที...มาสะดุ้งตื่นอีกครั้งก็ตอนที่มีเสียงทุบประตูโครมคราม ใจหายหมดนึกว่าไฟไหม้...แต่พอเปิดประตูก็ปรากฏว่าเจ้าอั๋นที่อยู่ห้องติดกันถลาเข้ามากอดไว้แน่น ตัวสั่นเทา หน้าขาวซีดอยู่ในแสงไฟ

"ไอ้จุ๋มมาหา! ไอ้จุ๋มตายแล้ว..." พูดจบก็ร้องไห้โฮ ดิฉันต้องเขย่าไหล่แรงๆ ถามว่าเรื่องราวเป็นยังไง? จุ๋มมาหาเมื่อไหร่? หรือโทร.มา? แต่ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง

อั๋นเล่าว่าขณะที่กำลังนอนหลับสนิท มือซุกอกในท่าตะแคงเข่า จู่ๆ ก็รู้สึกหนาวสะท้าน เลยพลิกตัวใต้ผ้าห่มพร้อมกับลืมตาขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ...คุณพระช่วย! ใบหน้ามหึมาของจุ๋มนอนตะแคงเบิกตาจ้องมองอยู่ใกล้แค่คืบเท่านั้นเอง!

ตอนแรกนึกว่าตาฝาด พอเปิดไฟหัวเตียงก็เห็นใบหน้าเพื่อนยังตะแคงจ้องมองเยือกเย็น...เล่นเอาโลกทั้งโลกแตกเปรี้ยง เผ่นกระเจิงลงจากเตียง ออกจากห้องมาได้ยังไงก็ไม่รู้? ดิฉันถอนใจยาว หน้าตาของอั๋นบอกว่าไม่ได้ล้อเล่น แต่มันคงตาฝาดไปเอง

รุ่งขึ้นเราก็ได้รับข่าวร้ายว่ารถยนต์ของแฟนจุ๋มไปเสยท้ายสิบล้อก่อนถึงพะเยา...ตายคาที่ทั้งสองคน! วิญญาณโลดลิ่วมาหาอั๋นเพื่อนรักทันใด...ขอบใจนะจุ๋มที่ไม่ได้รักเอ๋มากเท่าอั๋น! นึกแล้วขนหัวลุกค่ะ! บรื๋อออ

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 13:56
การสร้างกุมารทอง ของอาจารย์ผู้เรืองเวท
http://www.kumarntalk.com/topic/353



แม้จากการคราวนั้นผู้เขียนจะไม่ได้รับความกระจ่างชัดในการ สร้างกุมารทองชนิดที่เรียกว่าของขลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ประดิษฐ์ขึ้นมา ด้วยเวทวิชาก็ตาม แต่กาลต่อมาได้มีโอกาสพบกับอาจารย์ฆราวาส ท่านหนึ่ง อายุ อานามอยู่ในวัย ๕๐ กว่า อาจารย์ผู้นี้เชี่ยวชาญในการ ทำกุมารทองและเคยทำมาแล้วหลายตัวในอดีต

เมื่อแรกที่ได้ข่าวความเป็นผู้ทรงเวทก็อดคิดไปตามประสา ไม่ได้ว่าท่านเป็น “หมอผี” แต่เมื่อได้พบแล้วก็ให้ประหลาดใจเป็น อย่างยิ่ง เพราะอาจารย์ที่ว่านี่ไม่มีหน้าตา วาจากิริยาและสายตาผีๆ แม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ท่านกลับมีท่าทางที่ใจดี วาจาสุภาพ พูดเพราะ และเต็มไปด้วยปรัชญา หนวดหนาผมน้อย แสดงออกถึงความเป็น อาจารย์ที่เป็นวิญญูชนอย่างเต็มภาคภูมิ (ต้องขออภัยที่ไม่อาจเอ่ยถึง ชื่อนามของท่านได้ด้วยเพราะท่านร้องขอสงวนไว้)

ได้พูดคุยกับอาจารย์ถึงเรื่องการทำการสร้างกุมารทอง ซึ่ง ท่านได้กรุณาเปิดเผยให้ทราบตามที่สามารถเปิดเผยได้ พอสรุปความได้ดังนี้

เมื่อเราคิดจะทำกุมารทอง เราจะต้องหาไม้มาแกะเป็นกุมารไม้ที่จะใช้แกะนี้ใช้ได้เพียง ๓ ชนิดคือ ไม้โพธิ์ มะยมป่า และ รักป่าถ้าได้ชนิด ตายพราย ท่านว่าดีนัก แต่ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ก็อนุโมเอาต้นที่ยังสดๆ อยู่

วันที่จะทำการตัดต้องเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และขึ้นกับฤกษ์ยาม ที่อาจารย์จะตัดให้ เมื่อไปถึงต้นโพธิ์ มะยมป่า หรือ รักป่า ที่เราหมายตาไว้ก่อน แล้ว เราจะต้องเลือกกิ่งที่จะตัดเอาเฉพาะกิ่งที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก ซึ่งก่อนอื่นเราจะต้องทำน้ำมนต์โดยใช้บท “อิติปิโส ฯลฯ” “ชุมนุมเทวดา” แล้วรดน้ำมนต์ตรงต้นเพื่อ “ขอพลี” โดยเราจะต้องเอื้อนเอ่ยวาจาว่า จะขอกิ่งเอาไปทำอะไรแล้วก็ตอบเองเออเองว่า

“เอาไปเถอะ..อนุญาตขอให้กุมารจงเกิดตบะ เดชะสมดั่ง ปรารถนา”

เมื่อเสร็จแล้วเราจะเอาผ้าขาวรองไว้ใต้กิ่งที่จะตัดเพื่อรองรับ เศษไม้เศษใบที่ร่วงลงมาขณะตัดกิ่งจะได้รวมนำไปลอยน้ำพร้อมกัน แต่การตัดกิ่งก็จะต้องตัดอย่างละมุนละม่อม ไม่ใช้มีดใช้ขวานฟัน โครมครามให้ต้นสะเทือน เมื่อตัดได้แล้วเราก็จะตัดให้เหลือพอที่จะไปทำการแกะเป็นรูปกุมาร ห่อไว้ด้วยผ้าแดง ส่วนกิ่งใบที่ไม่ต้องการเราจะรวมห่อไว้ใน ผ้าขาวที่ปูรองไว้ใต้กิ่งก่อนแล้วนำไปลอยน้ำ

ไม้ที่จะแกะกุมารเราเอากลับมาบ้าน แล้วเอามาตากแดดเช้า ยันเย็นเป็นเวลา ๗ จันทร์ และตากน้ำค้าง ๗ เสาร์ ซึ่งการตากแดดนี้ ให้ตากตั้งแต่ ๖ โมงเช้า - ๖ โมงเย็น การตากน้ำค้างก็เช่นกัน ให้ตาก ตั้งแต่ ๖ โมงเย็น - ๖ โมงเช้า ก่อนถึงวันฤกษ์ดีที่จะทำพิธีแกะ อาจารย์ผู้ทาพิธีจะเอาต้นกล้วย ต้นอ้อยอย่างละต้นมาตั้งไว้ ๔ ทิศล้อมด้วยสายสิญจน์ พื้นภายใน สายสิญจน์จะปูลาดด้วยผ้าขาว เทียนสีผึ้งแท้ซึ่งไส้ทำด้วยสายสิญจน์ สูง ๑ ศอก จำนวน ๘ เล่ม ธูป ๓๖ ดอก จะต้องเตรียมไว้ และเครื่องมือ ที่จะใช้ในการแกะกุมารทองจะต้องวางไว้ในวงสายสิญจน์ให้พร้อม

อาจารย์ผู้ทำพิธีซึ่งเป็นฆราวาสต้องนุ่งขาวห่มขาว มีศิษย์ ปฏิบัติหรือลูกมือเพื่อช่วยเหลือจำนวน ๔ คน ศิษย์นี้ให้นุ่งขาวแต่ ไม่ต้องสวมเสือเป็นผู้คอยจุดธูปเทียน ที่ต้องมีศิษย์หรือลูกไม้ลูกมือคอยช่วยเหลือในการจุดธูปเทียน ถึง ๔ คนนั้นก็เพราะว่าไฟที่จะใช้จุดธูปเทียนในพิธีนี้จะต้องเป็นไฟจาก แสงพระอาทิตย์คือจะต้องใช้แว่นขยายส่องพระรับแสงจากพระอาทิตย์ เพื่อรวมแสงพลังความร้อนจ่อไปที่เทียนชัยให้ติด ห้ามมิให้ใช้ไม้ขีด หรือไฟแช็กเป็นอันขาด

ส่วนที่บูชาครูนอกวงสายสิญจน์ประกอบด้วยธูป เทียน ดอกไม้ ๕ ดอก หมากพลู ยาฉุน อย่างละคำ แต่ไม่ต้องทำเป็นคำๆ พลูให้วาง ไว้ทั้งใบ หมากเมื่อผ่าแล้วไม่ต้องเจียน เต้าปูน และไม้ขีดไฟ ๑ กลัก เครื่องบูชาครูนี้ให้วางไว้ต่างหากจากหน้าพระ พูดถึงคนแกะรูปหุ่นกุมารทอง อาจแบ่งได้เป็น ๒ ลักษณะ อย่างแรกใช้ช่างที่ชำนาญในการแกะมาเป็นคนแกะ อีกลักษณะหนึ่ง ใช้คนที่ไม่รู้เรื่องในการแกะเลยมาเป็นคนแกะซึ่งท่านว่า ความขลังถ้าจะให้แน่จริงควรใช้คนที่แกะไม่เป็น เพราะกุมาร ทองจะเป็นผู้ใช้ให้คนแกะรูปของตนได้ตามใจปรารถนา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะใช้คนแกะที่มีความชำนาญในด้านนี้ หรือผู้ที่แกะไม่เป็นเลยก็ตาม พิธีการแกะรูปหุ่นกุมารทองจะต้องสิ้นสุด ลงก่อน ๖ โมงเย็น

คนที่จะแกะ ก่อนที่จะทำพิธีการแกะ จะต้องอาบน้ำมนต์ธรณี สาร นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดง ห่มแดง เข้าไปนั่งรอฤกษ์ยามอยู่ในวงสายสิญจน์ ระหว่างอยู่ในวงสายสิญจน์ห้ามกินห้ามดื่ม แม้แต่น้ำลาย ก็กลืนไม่ได้ คนแกะเมื่อเข้าไปในวงสายสิญจน์จะต้องนั่งหันหน้าไปทาง ทิศใต้ เมื่อได้ฤกษ์อาจารย์ฆราวาสผู้ทำพิธีซึ่งนุ่งโจงกระเบนสีขาว ห่มขาวจะบูชาพระและบูชาครู เสร็จแล้วจุดธูป จุดเทียนชัย ตามมุม สายสิญจน์ทั้งสี่ทิศ

ธูปจะต้องจุดตลอดเวลาและเทียนชัยจะดับไม่ได้ศิษย์ปฏิบัติ ซึ่งเป็นลูกไม้ลูกมือจะต้องอยู่ประจำทั้งสี่ทิศคนละทิศ คอยจุดธูป ต่อเทียน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วอาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธีจะนำสายสิญจน์ ไปมัดมือขวาของคนแกะ ๓ รอบ ส่วนตัวผู้เป็นอาจารย์เจ้าพิธีเองจะ ถือกลุ่มสายสิญจน์นั่งบริกรรมนอกวงคนแกะแล้วก็ให้สัญญาณคนแกะ รูปหุ่นกุมารทองให้ลงมือได้เมื่อถึงฤกษ์ยามที่กำหนด คนแกะก็จะ ลงมือแกะ

การแกะรูปหุ่นกุมารทองส่วนใหญ่ จะแกะเป็นเด็กหัวจุกนุ่ง โจงกระเบนสูงประมาณเกือบนิ้ว ไม่ใส่เสื้อ แขนทั้งสองแนบชิดตัว หรือเท้าเอวข้างหนึ่ง ระหว่างการแกะอยู่นั้นอาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธีจะท่องคาถา ชุมนุมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และเชิญวิญญาณธาตุเข้าประทับ
ในขั้นตอนนี้ พูดไปก็เหมือนการประกอบรถยนต์นั่นแหละ ไม่ หนีดินน้ำลมไฟไปได้ ส่วนวิญญาณธาตุก็เหมือนคนขับรถ รถไม่มีคน ขับมันจะวิ่งได้อย่างไร ฉันใดก็ฉันนั้น

เมื่อเสร็จแล้ว อาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธีจะออกจากบริกรรม เข้าไปในวงสายสิญจน์ แก้สายสิญจน์ที่มัดมือคนแกะรูปกุมารทอง ที่แกะเรียบร้อยแล้ววางบนพานที่รองรับด้วยผ้า แดงซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ เล็กๆ ที่ศิษย์ปฏิบัติหรือลูกมือส่งเข้าไปในวงสายสิญจน์ พร้อมกับ ตั้งถ้วยนมเซ่นสรวงกุมารทอง

ท่านว่า น้ำนมที่เช่นสรวงกุมารทองในพิธีกรรมนี้จะต้องใช้ “นมคน” ห้ามใช้นมผง นมข้นหรือนมกระป๋องเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องหานมคนจัดเตรียมไว้ให้พร้อมล่วงหน้า อาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธีจะนั่งบริกรรมอัญเชิญกุมารทองกินนม ซึ่งเขาว่าเมื่อพิธีกรรมดำเนินมาถึงขั้นนี้

ขณะที่อาจารย์เจ้าพิธีบริกรรมอัญเชิญกุมารกินนมนั้นกุมารทองจะลุกขึ้นยืนเป็นอัศจรรย์! ระหว่างนั้นศิษย์ปฏิบัติซึ่งเป็นลูกมือ จะม้วยสายสิญจน์ที่ล้อมวงไว้ออกจนหมด  คราวนี้ก็มาถึงการพิสูจน์ทดลองว่ากุมารทองที่สร้างขึ้นด้วย พิธีกรรมดังกล่าวจะเฮี้ยนหรือไม่ ท่านว่าให้เอากุมารทองไม้แกะห่อผ้า ประเจียดสีแดง แล้วคาดแขนขวาคนแกะ ส่วนอาจารย์ฆราวาสเจ้าพิธี จะเอาใบพลูมาเสก จากนั้นก็เอาไปวางไว้บนศีรษะคนแกะรูปหุ่นกุมารทองพร้อมกับพูดเสียงดังๆ ว่า

“กุมารทองลูกพ่อจับใบพลู ไว้อย่าให้หลุด”

สิ้นเสียงอาจารย์เจ้าพิธีคนแกะจะทะลึ่งลุกขึ้นวิ่งพุ่งหลาวลงน้ำ ดำผุดดำว่ายอยู่พักหนึ่งจึงกลับขึ้นมา ถ้าใบพลูไม่หลุดจากศีรษะถือว่า การทำกุมารทองบรรลุผลสมความมุ่งหมาย หาไม่แล้วอาจารย์เจ้าพิธี จะต้องทำการปลุกเสกจนกว่ากุมารทองจะลุกขึ้นยืนจึงใช้ได้กุมารทอง จะมีฤทธิ์เดชเป็นที่อัศจรรย์ดังที่กล่าวมาแล้ว

จากเรื่องราวแห่งพิธีกรรมการสร้างกุมารทองดังที่กล่าวมานั้น จะเห็นได้ว่ากรรมวิธีในการทำกุมารทองนั้นมีความซับซ้อนยุ่งยาก ไม่น้อยไมใช่ว่านึกอยากจะสร้างอยากจะทำแล้วทำกันง่ายๆ ที่สำคัญก็คือการทำพิธีในแต่ละครั้งนั้น จะทำได้ครั้งละ ๑ ตัว เท่านั้นไม่สามารถทำได้คราวละร้อยละพันอย่างสมัยนี้

อย่างไรก็ตาม แม้การทำกุมารทองตามพิธีกรรมดังกล่าวมานั้น จะมีความลึกล้ำพิสดารแค่ไหนก็ตาม อาจารย์เจ้าพิธีกล่าวว่าความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของกุมารทองไม่ได้อยู่ที่ตรงพิธีกรรมในการสร้างการ ทำเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยจิตที่เชื่อมั่นศรัทธาของเราเองประกอบด้วย ถ้าจิตของเราเชื่อกุมารทองก็ขลัง

ถ้าเราเชื่อว่ากุมารทองสามารถทำอะไรต่างๆ ให้กับเราได้ กุมารทองก็ทำได้ แต่ถ้าเราเกิดสงสัยไม่แน่ใจในความสามารถของกุมารทอง  กุมารทองก็ไม่ต่างไปจากเศษไม้ที่ถูกแกะเป็นรูปเด็กเท่านั้นเอง

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 14:14
“รูปปั้นนางเงือกทอง” แหลมสมิหลา จังหวัดสงขลา
       ตำนานและเรื่องเล่าจากท้องทะเลนั้น มีมากมายหลายเรื่องมาตั้งแต่ครั้งอดีต แต่เรื่องเล่าที่คลาสสิกที่สุด และถูกกล่าวถึงมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ก็คงจะเป็นเรื่องราวของหญิงสาวครึ่งคนครึ่งปลา ที่ถูกเรียกว่า “นางเงือก” นั่นเอง อีกทั้งเรื่องเล่าของนางเงือกนั้น ยังมีการกล่าวถึงไว้มากมายในหลายประเทศทั่วโลก แม้แต่ประเทศไทยก็มีการกล่าวถึงนางเงือกไว้ในบทประพันธ์ต่างๆ อีกด้วย
      
       “นางเงือก” เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่งตามความเชื่อในนิยายปรัมปราและเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ซึ่งในตำนานและเรื่องเล่าโดยมากจะกล่าวกันว่า เงือกนั้นเป็นมนุษย์ครึ่งสัตว์ มีรูปร่างลักษณะในส่วนครึ่งท่อนบนเป็นคน และส่วนท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งมีทั้งเพศหญิงและเพศชาย ซึ่งเรื่องเล่าในส่วนมากจะกล่าวถึงนางเงือกซึ่งเป็นเพศหญิงมากกว่า ส่วนเงือกเพศชายนั้นจะเรียกว่าเงือกเฉยๆ และมักไม่ค่อยถูกกล่าวถึงมากนัก

“รูปปั้นนางเงือกและพระอภัยมณี” หาดนางรำ จังหวัดชลบุรี
       มีเรื่องเล่ามากมายที่กล่าวถึงหญิงสาวครึ่งคนครึ่งปลาแห่งท้องทะเลอยู่ทั่วทุกมุมโลก ว่ามีจุดกำเนิดมาจากใด มีทั้งด้านดีและร้าย แต่ทุกเรื่องราวนั้นมักจะกล่าวคล้ายๆ กันว่า นางเงือกมักจะปรากฎให้เห็นในยามค่ำคืนตามโขดหินเหนือผิวน้ำหรือชายหาด ซึ่งมักจะมานั่งหวีสางผมและส่องกระจก ร้องบรรเลงเพลงในยามค่ำคืน ซึ่งจะเป็นเสียงที่ไพเราะมาก
      
       เรื่องราวด้านร้ายนั้นจะถูกกล่าวว่า นางเงือกมักขึ้นมาร้องเพลงและล่อลวงเหล่าผู้ชายด้วยเสียงเพลงและนำไปสู่ความตาย หรือในท้องทะเลก็จะล่อลวงให้เหล่ากะลาสีเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลงจนแล่นเรือหลงทางไปชนโขดหินจนเรือล่ม แต่ก็ยังมีเรื่องราวในความดีที่ถูกกล่าวถึงด้วย ซึ่งบางครั้งนางเงือกก็ให้คุณต่อมนุษย์ มนุษย์ที่ช่วยเหลือนางเงือกมักได้รับความรู้เรื่องสมุนไพรรักษาโรค หรือนางเงือกจะมาช่วยเตือนให้ระวังพายุ และช่วยมนุษย์ขึ้นฝั่งในยามที่เรือล่ม

รูปปั้นนางเงือก เมืองโคเปนเฮเกน (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
       ในส่วนของประเทศไทยนั้น ก็ยังมีการกล่าวถึงเรื่องเล่าของเหล่านางเงือกอยู่ด้วยเหมือนกัน โดยนางเงือกไทยนั้นก็จะมีลักษณะเหมือนกับนางเงือกทั่วไป โดยมีเรื่องเล่าที่กล่าวถึงนางเงือกไว้ในหลายๆ เรื่อง แต่เรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายมากที่สุด คือเงือกในเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ได้ ซึ่งกล่าวไว้ว่า ครอบครัวเงือกเป็นผู้พาพระอภัยมณีหนีจากนางผีเสื้อสมุทรมาที่เกาะแก้วพิสดาร ซึ่งนางเงือกผู้เป็นลูกได้พบรักกับพระอภัยมณี และให้กำเนินสุดสาครขึ้นมา ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครเอกของเรื่องราวดังกล่าว
      
       หลักฐานที่แน่ชัดว่าเรื่องเล่าของนางเงือกจะเป็นเรื่องเล่าที่ยังคงไม่เสื่อมคลาย ก็คงจะเป็นรูปปั้นต่างๆ ที่ถูกสร้างไว้อยู่ทั่วทุกมุมโลก เช่น รูปปั้นนางเงือกเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก รูปปั้นนางเงือกเมืองมาแซตลาน ประเทศเม็กซิโก ซึ่งประเทศไทยนั้นก็มีการสร้างรูปปั้นนางเงือกขึ้นไว้เช่นกัน อาทิ รูปปั้น“นางเงือกทอง” สัญลักษณ์อันโดดเด่นของแหลมสมิหลา จังหวัดสงขลา รูปปั้นนางเงือกกับพระอภัยมณี หาดนางรำ จังหวัดชลบุรี

รูปปั้นนางเงือก เมืองมาแซตลาน (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)
       รูปปั้นแต่ละแห่งนั้น กลายมาเป็นจุดที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่จะมาถ่ายรูป และในบางแห่งรูปปั้นนางเงือกก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์เด่นให้กับแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ซึ่งรูปปั้นนางเงือกเหล่านี้คอยย้ำเตือนให้เหล่าผู้คนนึกถึงเรื่องเล่าของหญิงสาวจากท้องทะเล ว่ามีอยู่จริงหรือไม่
      
       ตำนานและเรื่องเล่าของเหล่านางเงือกนั้น ปัจจุบันก็ยังคงเป็นปริศนา ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ แม้จะมีเรื่องเล่าหรือหลักฐานการค้นพบมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ด้วยความเชื่อในเรื่องดังกล่าว ก็มีข้อเสนอว่า บางทีอาจเป็นเพราะผู้คนในสมัยโบราณเข้าใจผิด คิดว่า“พะยูน” คือเงือกก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรแม้วันเวลาจะล่วงเลยผ่านไป เรื่องราวของเหล่านางเงือก ก็ยังจะคงเป็นเรื่องเล่าจากท้องทะเลที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 14:17
วิญญาณร้องไห้
คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด
"พิมพ์มาดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเตือนใจทาสสุรา
น้องเพียวเป็นผู้หญิงที่ดิฉันรู้จัก ถึงจะไม่สนิทสนมแต่ก็ทักทายกันทุกวัน เธออยู่ถัดจากบ้านดิฉันที่ดินแดงไปแค่สองหลัง ตอนเช้าตรู่เวลาออกมาใส่บาตร ก็จะแลเห็นเธอซ้อนรถจักรยานของพี่สาวไปโรงเรียนด้วยกัน เมื่อเห็นดิฉันเธอก็ยิ้ม โบกมือหย็อยๆ
ดิฉันเอ็นดูเธอจริงๆ เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้จวนจบป.6 เข้า ม.1 แล้ว ซึ่งก็คงไม่แคล้วโรงเรียนใกล้บ้านนี่ล่ะค่ะ ได้ข่าวว่าเรียนเก่ง ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ด้วย นับว่าเป็นความหวังของพ่อแม่เชียวละ
ครอบครัวเธอหาเช้ากินค่ำ แม่ขายข้าวแกง พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย พี่สาววัยรุ่นนั้นถึงจะเรียนไม่เก่งแต่ก็เป็นเด็กดี ช่วยแม่ตัวเป็นเกลียว
ท่าทางครอบครัวนี้คงจะไปได้สวย แต่โชคชะตาก็โหดเหี้ยมกับพวกเขาเหลือเกิน นึกแล้วสงสารจับใจ
เช้าวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ล่ะค่ะ ตอนนั้นดิฉันใส่บาตรเสร็จพอดี ฟ้าสางแล้วล่ะ พระท่านกำลังเดินกลับวัด เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว พี่พรกับน้องเพียวเพิ่งขี่จักรยานผ่านหน้าไป เรายิ้มทักทายและโบกมือให้กันเหมือนเช่นทุกวัน...
ทันใดนั้น ดิฉันได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์บึ้นๆ มาแต่ไกล และแล้วก็...ปัง! ดังสนั่น
ด้วยความสังหรณ์ใจ ดิฉันรีบวางถาด แล้ววิ่งออกไปชะเง้อมอง...นั่นไง!
ชาวบ้าน 2-3 คนวิ่งผ่าน รวมทั้งคนขับตุ๊กตุ๊ก ที่มารับแม่ของน้องเพียวขนของไปขายตลาด เสียงแม่น้องเพียวกรีดร้องไม่เป็นภาษา คนเป็นพ่อหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง ทั้งคู่วิ่งไปพร้อมๆ กับชาวบ้าน
ตรงโค้งแรกห่างออกไปราว 20 เมตรนั่น...จักรยานล้มคว่ำ มีมอเตอร์ไซค์ล้มกระเด็นไปคนละทาง ร่างของเด็กสองคนกองอยู่กับพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ใครขว้างทิ้ง
ดิฉันไปถึงพอดีกับที่น้องพรยันตัวลุกขึ้นอย่างมึนงง แต่น้องเพียวที่กระเด็นห่างออกไปซิคะ เลือดกำลังไหลจากศีรษะเป็นลิ่มๆ อย่างน่ากลัว มันแดงฉานนองพื้นถนน ใครบางคนจับเธอพลิกหงาย...ดิฉันเห็นใบหน้าที่เคยน่ารักกลับถลอกปอกเปิก เปื้อนฝุ่น สีหน้านั้นเฉยเมยดวงตาลืมโพลงแต่ไร้จุดหมาย ไร้ชีวิต สงบนิ่งโดยไม่มีวี่แววตระหนกตกใจ...
เธอตายสนิทในชุดนักเรียนประถมปลาย สะพายเป้อยู่ข้างหลัง!
งานศพน้องเพียวเศร้ามาก แม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ลูกสาวเธอเสียชีวิตเพราะคนเมาเหล้าที่บึ่งมอเตอร์ไซค์โดยใช้ซอยเราเป็นทางลัด
ดิฉันยังจำได้ถึงค่ำคืนที่หนาวเยือก ลมพัดกรูเกรียว ใบไม้แห้งระไปกับพื้นเสียงกรอบกราว...ซอยเราเหงาจับใจ ไฟถนนที่สว่างจ้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นเลย ผู้คนหลบเข้าบ้านเงียบกริบตั้งแต่หัวค่ำ เด็กๆ ไม่ขี่จักรยานไปซื้อของกินเหมือนปกติ...
พวกเขากลัวผีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ค่ะ
ใครๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฮือๆ ในยามดึกสงัดกัน ทั้งนั้น!
แม้แต่ดิฉันเองก็ยอมรับว่ากลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกจากตัวบ้านไปยังสนามหญ้าเช่นเคย ได้แต่อยู่ในบ้านกับลูกๆ เปิดทีวีเสียงดังๆ และเปิดไฟรอบๆ ด้าน เจ้าหมาตัวเล็กก็เห่าบ๊อกๆ แล้วครางโหยหวน มันเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นแน่ๆ
ทุกคนพูดกันว่า น้องเพียวมาแต่เข้าบ้านไม่ได้ มีแต่พ่อกับแม่ของเธอเท่านั้นที่ออกมาชะเง้อหาลูกที่เหลือแต่วิญญาณ และพยายามพาลูกเข้าบ้านแต่ไม่สำเร็จ
น้องเพียวร้องไห้ให้ชาวบ้านได้ยินทุกคืน!!
ในที่สุดซอยเราก็ร่วมใจกันทำบุญครั้งใหญ่ บอกน้องเพียวให้รู้ว่าเธอตายแล้วไปสู่สุคติเถิด ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น
หลังจากคืนนั้น น้องเพียวก็เงียบเสียงไป แต่อีกนานเชียวล่ะกว่าทุกคนจะกล้าออกจากบ้านยามที่ค่ำมืด...
ครอบครัวของน้องเพียงนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วค่ะ บ้านเดิมก็มีคนมาอยู่ใหม่แล้ว ทิ้งไว้แต่ตำนานและเรื่องเล่าขานที่แสนเศร้า เด็กดีคนหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพ่อแม่ ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนขี้เมา
ใครชอบดื่มเหล้าดื่มเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่มีใครห้ามหวง ขอร้องแต่อย่าขับรถเท่านั้น เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความมึนเมามากมายเหลือเกิน...ถ้าเดือดร้อนเฉพาะตัวเองก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่พลอยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ได้รับบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต ส่วนหนึ่งกลายเป็นคนพิกลพิการ หมดอนาคตไปชั่วชีวิต
"ดื่มไม่ขับ" เพื่อตัวของคุณเองและคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคุณด้วยนะ

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 14:19
ลาแล้วบ้านเก่า

"สุบิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวัยชรา

ลุงนิมิตเป็นเพื่อนบ้านผมในซอยอินทามระ ใกล้ๆ กับสี่แยกถนนวิภาวดีรังสิต ที่กรุงเทพฯ นี่เอง แม้จะเกษียณอายุจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาสิบกว่าปีแล้ว แต่คุณลุงก็ยังดูสดชื่น แข็งแรงกว่าคนในวั...ยเดียวกันอีกหลายๆ คน

ตอนเช้าๆ เย็นๆ เพื่อนบ้านและคนในซอยที่ผ่านไปมา มักจะมองผ่านรั้วโปร่งๆ เข้าไปเห็นชายชรารูปร่างผอมสูง ผมขาวโพลน นุ่งกางเกงแพร สวมเสื้อคอกลม กำลังรดน้ำต้นไม้บ้าง เดินเล่นบ้างเป็นประจำ

ผมเคยสังเกตว่าตอนใกล้จะพลบค่ำ ลุงนิมิตมักจะนั่งเงียบๆ อยู่ที่เก้าอี้สนาม มีหนังสือและกาน้ำชาวางอยู่บนโต๊ะ แต่ดูเหมือนว่าแกจะสนใจกับดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับฟ้ามากกว่า

ร่างนั้นยืดตรง นัยน์ตาเหม่อลอยไปสู่ขอบฟ้าแดงฉาน เหมือนจะเปล่งแสงอาลัยอาวรณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลับฟ้าไป...

ชายชราจ้องมองไปที่นั่นก็จริง แต่ดูเหมือนกำลังมองไปสู่ความว่างเปล่าก่อนจะกะพริบตา ถอนใจยาว...นั่งนิ่งเงียบคล้ายจะสำนึกดีถึงวัยชราของตนเอง ที่ไม่แตกต่างกับตะวันใกล้ลับฟ้า...เหลือแต่ความเปลี่ยวเหงาอันน่าวังเวงใจ

ลุงนิมิตอยู่ตัวคนเดียวในบ้านไม้เก่าๆ สองชั้น แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม รวมทั้งไม้ดอกไม้ใบที่ปลูกไว้ในดินและกระถาง...นั่นคือเพื่อนสนิทแท้จริงในบั้นปลายของชีวิต ขณะที่วาระสุดท้ายกำลังใกล้เข้ามาทุกที ตามกฎของชีวิตที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป

ป้าวาดภรรยาของแกลาลับไปหลายปีแล้วด้วยโรคหัวใจ พวกลูกๆ ทั้งหญิงและชายต่างก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว แต่ก็ยังพาลูกเต้าแวะเวียนมาเยี่ยมพ่อเป็นประจำ

ได้ข่าวว่าลูกๆ ชวนไปอยู่ด้วย แต่ลุงนิมิตบอกว่าอยากอยู่คนเดียว หรืออยู่กับป้าวาดที่นี่มากกว่า!

ผมคุ้นเคยกับครอบครัวนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว เคยไปวิ่งเล่นกับลูกๆ ของลุงและป้าที่ดูใจดี หาขนมนมเนยให้กิน พอเติบโตก็ได้สังเกตว่าบ้านนี้มีหนังสือมากมายกว่าทุกบ้านที่เคยพบเห็นมาก่อน

ลุงนิมิตเห็นผมสนใจก็พาไปชม และแนะนำให้รู้จักหนังสือต่างๆ ไม่ว่าวรรณคดี วรรณกรรมเด่นๆ ทั้งของไทยและของโลก นวนิยายหลากรส สารคดี เรื่องท่องเที่ยว เรื่องตลก รวบรวมคำคมและสุภาษิต ไปจนถึงประวัติ ศาสตร์และชีวประวัติของบุคคลสำคัญ

เห็นผมสนใจเล่มไหนเป็นพิเศษ แกก็อนุญาตให้ยืมไปอ่านที่บ้านได้ และนั่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมกลายเป็นหนอนหนังสือเหมือนลุงนิมิตมาจนถึงทุกวันนี้

สิ่งที่สะดุดใจก็คือรูปถ่ายทั้งเก่าและใหม่ ไม่ว่าในห้องรับแขกหรือห้องพักผ่อน...หลังจากป้าวาดเสียชีวิตไม่นาน เหลือแต่ลุงนิมิตคนเดียวในบ้าน ผมชมว่าเมื่อหนุ่มๆ คุณลุงรูปหล่อมาก แกก็ยิ้ม แววตาสดใสวูบหนึ่งก่อนจะเลื่อนลอยไป

"ขอบใจ...ตอนแรกลุงก็คิดยังงั้นเหมือนกัน แต่เมื่อมองดูหลายๆ ครั้ง ดูให้ดี...แปลกนะ! ลุงว่านั่นน่ะไม่ใช่ลุงหรอก แต่เป็นใครก็ไม่รู้ที่ลุงมาอาศัยเขาอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว!"

ผมอ้าปากค้าง ทั้งรู้สึกหวาดๆ และงุนงงจนพูดอะไรไม่ออก ลุงนิมิตก็ชี้ให้ดูรูปถ่ายที่ในเครื่องแบบเต็มยศก่อนจะเกษียณได้ไม่นาน

"ดูรูปนี้ซี เห็นไหม...ไม่มีความหล่อเหลาอะไรเหลือแล้ว มีแต่ตาแก่หน้าตาเหี่ยวย่น...ขนาดช่างเขาแต่งรูปแล้วนะ! นี่...รูปหลังเกษียณที่เป็นโฉมหน้าแท้จริง! ไง...หน้าซูบ ตีนกาเกาะเต็ม มุมปากเหี่ยวๆ กับเหนียงห้อย นัยน์ตาไร้แววสดชื่นเหมือนก่อน...ใครก็ไม่รู้!"

อีกครั้งที่ผมอ้าปากค้าง แถมหนาวเยือกที่ต้นคอชอบกล เสียงของลุงนิมิตยังดังวู่หวิวเหมือนลมพัดมาจากที่ไกลแสนไกล

"ตาแก่ที่ไหนก็ไม่รู้...แย่ยิ่งกว่าหนุ่มคนเก่าที่ไม่ใช่ลุงเสียอีก" มีเสียงถอนใจยาว "ลุงรู้สึกเหมือนมาอาศัยร่างนี้อยู่ ตั้งแต่มันยังเด็กๆ จนเป็นหนุ่มเป็นแน่น แล้วก็แก่เฒ่าร่วงโรยไปคาตา...เหมือนบ้านที่เราเคยอยู่มาหลายสิบปีนี่เอง เดี๋ยวเดียวมันก็กลายเป็นบ้านเก่าไปแล้ว"

ทั้งงุนงงระคนขนลุก ได้ยินเสียงเศร้าๆ ของคุณลุงดังแว่วมาว่า...อีกไม่ช้าลุงก็ต้องทิ้งบ้านเก่าหลังนี้แล้ว ไปหาบ้านหลังใหม่อยู่! เฮ้อ...ไม่รู้ว่าเคยอาศัยอยู่กินมากี่สิบหลังกัน?

ในที่สุด ลุงนิมิตก็จากไปบนที่นอน...หลับไม่ตื่น! ผมกับเพื่อนบ้านเข้าไปดูศพก็เห็นนอนหงายลืมตาโพลง มุมปากเหี่ยวย่นมีรอยยิ้มนิดๆ เหมือนได้พบเห็นใครหรืออะไรที่รอคอยมานานแสนนาน...ขอให้ลุงจงไปพบบ้านใหม่สวยๆ งามๆ น่าอยู่อาศัยต่อไปเถิด...

ผมนึกบอกกล่าวคุณลุงและบอกตัวเอง...เมื่อวันนั้นจะต้องมาถึงแน่นอน!

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 14:21
"ป้าผ่อง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตำบลมวกเหล็กในอดีต



สมัยก่อน ดิฉันเป็นเด็กอยู่ตลาดมวกเหล็ก สระบุรี ไข้มาลาเรียชุมมากค่ะ ชาวบ้านเรียกไข้ป่า มีคนเจ็บป่วยล้มตายมากๆ สมัยสงคราม เพราะขาดแคลนยาควินินที่ใช้ป้องกันและรักษา ป่าดิบดงดำที่นั่นจึงมีชื่อน่ากลัวว่า "ดงพญาไฟ"

ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "ดงพญาเย็น" ก็ยังไม่วายมีคนตายด้วยไข้ป่าตามเดิม

เมื่อสงครามสงบ ความเจริญก็เริ่มต้นขึ้นช้าๆ เพราะการคมนาคมยังไม่สะดวกเหมือนปัจจุบัน มีรถไฟเป็นพาหนะอย่างเดียวเท่านั้น ที่ติดต่อระหว่างภาคอีสานกับภาคกลาง

ถนนมิตรภาพยังไม่ได้สร้าง คนที่ต้องไปค้าขายหรือติดต่อเยี่ยมเยียน ไปมาหาสู่กันก็ต้องขึ้นรถไฟระยะสั้นๆ อย่าง หินลับ-ทับกวาง-ผาเสด็จ หรือไม่ก็ล่องไปสระบุรีบ้าง ขึ้นโคราชบ้าง

ไข้ป่ายังคร่าชีวิตคนไปบ่อยๆ เพราะยาควินินยังหายากและราคาแพง ชาวบ้านมักอาศัยหมอกลางบ้าน ใช้ยาหม้อบ้าง กินน้ำมนต์บ้าง เป็นไข้จับสั่นกันเสียส่วนมาก หน้าเหลืองตัวเหลืองกันแทบทั้งนั้น โดยเฉพาะพวกที่ต้องออกไปทำไร่ข้าวโพด และไร่น้อยหน่า มักจะหนีไข้ป่าไม่ค่อยพ้น



ทำงานได้วันสองวันก็จับไข้นอนซม หนาวสะท้าน พอทุเลาก็ต้องออกไปทำไร่อีกแล้ว หลายๆ คนเป็นเรื้อรังนับปีกว่าจะตาย

ขณะนั้น มีคนต่างถิ่นเข้าไปทำมาหากินกันหนาตาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งถางป่าทำไร่เลื่อนลอยก็มี ทั้งซื้อของป่าก็มี ไปซื้อสินค้าพวกของกินของใช้ อุปกรณ์ทำไร่จากสระบุรีมาขายบ้าง เป็นแม่ค้าในตลาดบ้าง

มีแม่ลูกคู่หนึ่งอพยพจากโคราชมายึดอาชีพซื้อ-ขายของป่าที่นั่น บางทีก็ขนขึ้นรถไฟไปขายที่สระบุรี ตอนนั้นยังเรียกกันว่า "ปากเพรียว"

แม่ชื่อนวล เป็นคนขาวสวย รูปร่างสูงโปร่ง อายุ 30 เศษ สามีตายแล้ว ลูกสาวชื่อจริงว่าอะไรไม่ทราบแน่ค่ะ เรียกกันแต่ชื่อเล่นคือ นก หรือ "ไอ้นก" อายุรุ่นเดียวกับดิฉันคือราว 10 ขวบ

"ซิ้มไท" คนมวกเหล็กดั้งเดิม อาชีพค้าขายสนิทสนมกับสองแม่ลูกคู่นี้มาก บางคนก็บอกว่าซิ้มไทเป็นคนชักชวนน้านวลกับลูกสาวมาทำมาหากินที่มวกเหล็กด้วย ซ้ำ...ไม่ช้าดิฉันกับเพื่อนๆ ก็ได้นกมาเป็นเพื่อนใหม่อีกคน

น้ำตกมวกเหล็กเป็นเส้นเลือดใหญ่ของพวกเราทั้งตำบลก็ว่าได้ เพราะสายน้ำกลายเป็นลำธารที่ใช้อาบกิน ตอนเช้าและเย็นจะมีคนไปตักน้ำ ซักผ้าและอาบน้ำ พวกเราก็ไปวิ่งเล่นกันแถวๆ นั้น ถ้าอาบน้ำก็ต้องรีบขึ้นค่ะ เพราะใครๆ ก็พูดตรงกันหมดว่า ผีดุ!

เชื่อว่าในลำน้ำค่อนข้างเปลี่ยว ดูลึกลับ มีเจ้าพ่อสิงสู่อยู่ช้านานแล้ว ใครเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปบนบานศาลกล่าว ต้นไทรใหญ่ริมน้ำก็มีผ้าเขียวผ้าแดงผูกอยู่เต็ม ทั้งเก่าและใหม่ มีก้านธูปเกลื่อนกลาด ตอนเย็นเราเคยได้กลิ่นธูปอ้อยอิ่งมาเข้าจมูกบ่อยๆ

มีเสียงลือว่าเจ้าพ่อจะเอาชีวิตผู้หญิงที่ถูกใจไปเป็นเมียปีละ 1 คน พ่อแม่ดิฉันก็เคยเล่าว่าจะต้องมีผู้หญิงจมน้ำตายเป็นประจำทุกปี!

น้านวลกับไอ้นกมาอยู่มวกเหล็กได้ราว 6-7 เดือนก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น

สองแม่ลูกไปซักผ้าและอาบน้ำที่นั่นบ่อยๆ วันหนึ่งก็เกิดเป็นไข้ทั้งคู่ เมื่อซิ้มไทกับชาวบ้านรู้ข่าวก็มาเยี่ยม หายามาให้กินตามมีตามเกิด อาการไข้ของสองแม่ลูกก็ทรุดลงทุกที คิดจะนำส่งสุขศาลาที่เมืองปากเพรียวก็สายเกินไปแล้ว

น้านวลผ่ายผอมจนน่ากลัว ลูกสาวก็นอนแซ่วอยู่กับที่ มีคนพูดว่าเจ้าพ่อต้องมาเอาตัวไปแน่ๆ ไม่รู้ว่าแม่หรือลูก? เพราะถ้าเป็นไข้ป่าจะจับไข้วันเว้นวัน ไม่ใช่ทรุดหนักจนไม่ได้สติแบบนี้

วันหนึ่ง พ่อแม่กับเพื่อนบ้านก็ไปเยี่ยมไข้ มีซิ้มไทคอยดูแลอยู่ น้านวลที่นอนหลับตาแน่นิ่งก็พลันลืมตาโพลง แผดร้องโหยหวนว่า...ไม่ไป! ฉันไม่ไปด้วยหรอก...เล่นเอาทุกคนสะดุ้งเฮือก หน้าตาซีดเซียวด้วยความหวาดกลัวไปตามๆ กัน

ซิ้มไทน้ำตาไหล จุดธูปบอกกล่าวเสียงสั่นเครือว่า

"ถ้าเจ้าพ่อต้องการจริงๆ ก็เอาคนลูกไปเถิด แม่ทำมาหากินได้แล้ว อย่าเอาชีวิตไปเลย ไหนจะมีลูกเล็กๆ ที่โคราชอีกสองคนต้องเลี้ยงดู"

ชาวบ้านเพิ่งรู้ว่านกมีน้องที่อยู่กับยายอีกสองคน ข้างน้านวลลุกพรวดขึ้นโบกมือว่อน นัยน์ตาเหลือกลาน ร้องลั่นๆ ไล่ใครที่มองไม่เห็น จนเพื่อนบ้านขนลุกขนชัน เหลียวซ้ายแลขวาไปตามๆ กัน...

ได้ยินเสียงลมพัดกราว ยอดไม้สะบัดใบซู่ซ่า ฟังเผินๆ เหมือนเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานใจเหลือประมาณ

เชื่อกันว่า ถ้ามีคนเจ็บหนักสองคนในบ้านจะต้องตายหนึ่งคน แม้ซิ้มไทจะวิงวอนเพียงไรก็ไร้ผล...วันรุ่งขึ้นน้านวลก็สิ้นลม ชาวบ้านช่วยกันจัดงานศพให้จนเสร็จสรรพเรียบร้อย

นกหายดีแล้ว ซิ้มไทก็ส่งกลับไปอยู่กับยายและน้องๆ ที่โคราชตามเดิม...ไม่เคยได้พบปะกันอีกเลยจนถึงทุกวันนี้

คอลัมน์ ขนหัวลุก
โดย ใบหนาด 14 พค. 47
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 14:34
เมื่อพญาไมยราพเดินทางมาจนถึงเขาวงกตแลเห็นปราการสูงใหญ่ แต่กลับไม่เห็นพลับพลา จึงแปลงร่างเป็นลิงน้อยเดินปะปนไปกับหมู่ทหารลิงแล้วลอบฟังหมู่ทหารลิงคุยกันเรื่องพระรามกำลังเคราะห์ร้ายและจะพ้นเคราะห์เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ได้ความดังนั้นไมยราพจึงเดินหลีกออกมาจนลับตาจากเหล่าทหารลิง ก็กลับกลายเป็นยักษ์แล้วเหาะไปที่เขาโสลาสคีรียืนอยู่บนยอดเขาและจับกล้องปัจธำมราชขึ้นกวัดแกว่งทำให้เกิดแสงสว่างเหมือนดาวประกาย ฝ่ายพวกลิงที่เฝ้ารักษาพระรามเข้าใจว่าเป็นดวงดาวประกายจริงจึงพูดต่อๆกันไปว่าพระรามพ้นเคราะห์แล้ว จึงพากันหลับนอนละเลยไม่ตรวจตราตามหน้าที่

พญาไมยราพเห็นดังนั้นจึงเอายาสะกดใส่กล้องแล้วเป่าไปทำให้เหล่าวานรทั้งหลายหลับสนิท แล้วไมยราพก็ เดินต่อไปถึงปากหนุมานเห็นสุครีพและหนุมานนั่งหลับจึงเดินเข้าไปในปากหนุมาน เห็นพวกลิงนอนหลับทับกัน เหลือแต่พิเภกและพระลักษณ์ซึ่งนั่งเฝ้าพระรามอยู่ ไมยราพจึงหมอบเข้าไปแล้วเอายาสะกดใส่กล้องแล้วร่ายพระเวทและกลั้นใจเป่าซ้ำไปอีกสามทีทำให้พิเภก พระราม และพระลักษณ์หลับไหลไปแล้วพญาไมยราพก็ช้อนเอาพระรามขึ้นใส่เหนือบ่าแล้วออกมาจากปากหนุมานแล้วรีบแทรกแผ่นดินกลับไปเมืองบาดาล

เมื่อถึงเมืองบาดาลก็สั่งอำมาตย์ยักษ์ให้รีบเอาพระรามไปใส่ไว้ในกรงเหล็กที่ดงตาลและให้พวกยักษ์เฝ้า พร้อมกันนั้นได้สั่งนางพิรากวนตักน้ำใส่ที่กระทะใหญ่ซึ่งตั้งไว้ที่หน้าพระลานและในรุ่งเช้าจะได้จัดการต้มพระรามและไวยวิก ลูกนางพิรากวนให้ตายพร้อมกัน ฝ่ายหนุมานเมื่อต้องยาสะกดของไมยราพก็หลับไม่ได้สติ ครั้นถูกลมพัดก็ตื่นฟื้นกายเห็นไม่พบพระรามก็รีบปลุกพระลักษณ์ พิเภกและสุครีพ

(ห้องที่ 54) หนุมานจึงอาสาไปไปช่วยพระรามที่เมืองบาดาลตามที่พิเภกแนะนำ คือ ไปยังสระบัวต้นทางที่จะไปเมืองบาดาลเห็นบัวดอกหนึ่งใหญ่เท่ากับกงรถจึงหักก้านบัวออกแล้วนิมิตตนเองลอดไปตามสายบัว แล้วแลเห็นกำแพงล้อมป้อมค่ายมีหมู่ยักษ์นับพันเฝ้า
ด่านแรก หนุมานจึงฆ่าหมู่ยักษ์และช้าง
ด่านที่สอง ทำลายภูเขาเหล่าเพลิงกรดจนดับสิ้น
ด่านที่สาม จับขยี้ยุงซึ่งตัวเท่าแม่ไก่
ด่านที่สี่ พบมัจฉานุซึ่งเป็นลูกของหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉาและเป็นบุตรบุญธรรมของพญาไมยราพ เมื่อสู้รบกันเป็นเวลานานแต่ไม่ปรากฏแพ้ชนะ จึงได้ร้องถามว่าเจ้าเป็นลูกเต้าผู้ใด มัจฉานุตอบจึงได้ทราบว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน มัจฉานุจึงขอโทษที่มาสู้รบหนุมานจึงถามมัจฉานุถึงหนทางที่จะไปเมืองบาดาล มัจฉานุตอบว่าพญาไมยราพเลี้ยงตนมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่มีพระคุณดั่งบิดาบังเกิดเกล้า หากจะให้บอกทางไปยังเมืองบาดาลก็เหมือนตนเองเป็นคนอกตัญญูแล้วบอกใบ้ว่า “บิดาลงมาทางไหน ทางนั้นจะไปยังมีอยู่ จงเร่งพินิจคิดดู ก็จะรู้ด้วยปรีชาชาญ”

(ห้องที่ 55) หนุมานได้ฟังดังนั้นก็คิดได้ จึงหักก้านบัวแล้วลอดไปตามไส้บัวจนถึงที่อยู่ของไมยราพและได้พบนางพิรากวนจึงถามนางว่าได้นำพระรามไปขังไว้ที่ใด นางตอบว่าขังอยู่ที่ดงตาลท้ายเมืองบาดาลแต่การที่จะผ่านเข้าไปถึงที่อยู่ไมยราพจะต้องผ่านนายประตูซึ่งมีตราชูชั่งน้ำหนัก หนุมานจึงคิดอ่านผ่านด่านที่ห้าซึ่งมีตราชูคอยชั่งน้ำหนักโดยแปลงตัวเป็นใยบัวติดสไบของนางพิรากวนเข้าไป เมื่อนางเดินไปที่ด่านชั่งน้ำหนักปรากฏว่าตราชูเกิดลั่นเดาะหักลงมา พวกยักษ์จึงถามว่าพาใครเข้ามาจึงทำให้ตราชูหัก นางพิรากวนตอบว่า ตนมาผู้เดียวดังที่เห็นอยู่ส่วนการที่ตราชูหนักนั้นก็มันเก่าคร่ำคร่าใช้มากกว่าแสนปีไม่ดีหักเองจะโทษใคร พวกยักษ์ได้ฟังนางพิรากวนชี้แจงก็เห็นจริงดังที่นางพิรากวนว่าจึงได้แต่เหลียวดูหน้ากันไปมาและมิได้ตอบโต้นางพิรากวน

(ห้องที่ 56) เมื่อนางพิรากวนเดินผ่านประตูเข้ามาถึงหน้าพระราม จึงบอกหนุมานว่า ไมยราพนอนหลับอยู่ที่ปราสาท ส่วนพระรามและไวยวิกถูกขังไว้ในกรงเหล็กที่ดงตาลท้ายเมือง หนุมานจึงร่ายเวทอำพรางตัวรีบไปที่กรงขัง เมื่อมาถึงก็ร่ายมนต์สะกดหมู่ยักษ์ที่เฝ้าพระราม ครั้นแล้วหนุมานก็เห็นพระรามนั่งหลับอยู่ในกรงเหล็กใหญ่ก็ก้มลงกราบและทำลายกรงเหล็กแล้วช้อนองค์พระรามรีบพาเหาะจากเมืองบาดาลมาถึงเขาสุรกานต์จึงวางองค์พระรามพักไว้ที่แท่นฝากเทวดาฟ้าดินปกปักรักษา เพื่อกลับมาฆ่าไมยราพ


ระหว่างการต่อสู้ทำอย่างไร หนุมานก็ไม่สามารถฆ่าไมยราพได้จึงร้องถามนางพิรากวนว่าเป็นเพราะเหตุใด นางตอบว่า ไมยราพถอดจิตออกเป็นตัวผึ้งใส่กล่องแก้วแล้วเอาลงไปซ่อนไว้ในยอดเขาตรีกูฏ หนุมานจึงนิมิตร่างใหญ่เท้าเหยียบอกไมยราพแล้วง้างมือไปที่ยอดเขาคว้าตัวผึ้งที่เป็นหัวใจของไมยราพแล้วขยี้ ไมยราพถึงแก่ความตาย หนุมานกลับไปถอดตรุให้ไวยวิกแล้วตั้งให้เป็นเจ้าเมืองบาดาลแล้วให้มัจฉานุเป็นอุปราช หิ้วเศียรไมยราพเหาะกลับมายังเขาสุรกานต์


โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 14:48





โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 14:49
หนุมาน ขึ้นชื่อในเรื่องเจ้าชู้ ความเจ้าชู้ไม่มีเป็นรองใคร สตรีเพศที่ได้พูดคุยใกล้ชิดกับหนุมาน มักไปไม่รอด(เซ็นเซอร์)
นางสุพรรณมัจฉาก็หลีกหนีไม่พ้นความเป็นไปอันนี้เช่นกัน  นอกจากจะสั่งการให้เหล่ามัจฉา บริวารทั้งหลายนำก้อนหินกลับมาถมที่เดิม จนถนนสู่กรุงลงกาสำเร็จเรียบร้อย
นางยังลุ่มหลงในเสน่หาที่ ขุนกระบี่ทหารเอกของพระราม ที่หว่านไว้ อย่างหัวปักหัวปำ ทุกวันทุกคืนมีแต่ความหลงใหลในตัวหนุมาน
นางยอมพลีกาย พลีใจให้กับหนุมานหลายวัน หลายราตรี  เมื่อถึงเวลาอันควรก็แยกลาจากกันไป
หนุมานคงไม่มีปัญหาอะไร แต่นางสุพรรณมัจฉาล่ะจะทำอย่างไรต่อไป  งานที่ได้รับบัญชามาจากบิดาคือทศกัณฐ์ก็ไม่สำเร็จ ล้มเหลวไม่เป็นท่า
แถมยังต้องพลาดท่าเสียที ตกเป็นเมียของหนุมานไปอีกตนหนึ่ง   คิดดังนั้นจึงต้องหลีกลี้หนีไปให้ไกลจากกรุงลงกา....


เมื่อนางสุพรรณมัจฉา หลงในเสน่ห์ของหนุมาน จนถึงขั้นพลาดท่าเสียที มีสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับหนุมานไปแล้ว จะกลับกรุงลงกาก็ไม่ได้
เพราะเกรงว่าบิดาคือทศกัณฐ์ จะลงโทษเอาได้  จึงหลีกหนี ลี้ภัยไปอาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง พร้อมกับทายาทของหนุมานที่จุติขึ้นมาในครรภ์
วันเวลาล่วงผ่านเลยไปหลายปี นางสุพรรณมัจฉาเฝ้าฟูมฟัก สายเลือดของตัวเองอย่างทะนุถนอม เมื่อได้เวลานางก็ให้กำเนิดลูกน้อยออกมา แต่การให้กำเนิด
ของนางแตกต่างจากมนุษย์ เพราะนางมีกายท่อนล่างเป็นปลา  ลูกน้อยออกจากครรภ์ของนางโดยการ สำรอก
ลูกน้อยที่เกิด มีอายุราว 6 ปี  มีผิวกายขาวเผือกเหมือนเช่นหนุมาน ซึ่งเป็นบิดา หน้าตาแทบจะเรียกได้ว่าถอดพิมพ์ออกมาเลยทีเดียว
นอกจากนี้เด็กน้อย ยังมีส่วนที่เหมือนแม่อีกนั่นคือ มีหางเป็นปลา  เมื่อเห็นลูกน้อยออกมาลืมตาดูโลก นางก็ได้อธิษฐานต่อบรรดาเทวดานางฟ้าทั้งหลาย
ให้นางและลูกชายมีแต่ความปลอดภัย  เทวดานางฟ้าทั้งหลายจึงได้พากันมาแสดงตนให้นางได้เห็นตามคำอธิษฐาน และอำนวยพรให้ตามที่ประสงค์
แถมช่วยกันตั้งชื่อให้ เด็กน้อยว่า มัจฉาณุ  แต่เหมือนมีเวรกรรม ตามซ้ำ นางสุพรรณมัจฉามีโอกาสได้ชื่นชมบุตรของนางเพียงช่วงระยะเวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม
ก็จำต้องพลัดพรากจากสายเลือดตัวน้อยอันเป็นที่รัก  ก่อนจากจากได้เล่าถึงชาติกำเนิดให้มัจฉาณุลูกน้อยได้ฟังว่า มีบิดาชื่อ หนุมาน เป็นทหารของพระราม
มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครคือ มีมาลัยกุณฑล ขนแก้ว เขี้ยวเพชร เหาะเหินเดินอากาศได้ และสามารถหาวเป็นดาวเป็นเดือน
อนิจามีพ่อก็ไม่เคยเห็นหน้า มีแม่ก็ต้องพลัดพรากจากกัน  แต่เด็กน้อยครึ่งลิงครึ่งปลานาม มัจฉาณุ ก็ยังโชคดีเมื่อ ไมยราพ เจ้าแห่งเมืองบาดาล
เดินทางมาพบเข้าในระหว่างที่เด็กน้อยนั่งเล่นอยู่บนหาดทรายตามลำพัง  ชะตาช่างต้องตรงกันเหลือเกิน เจ้าเมืองบาดาลเกิดความรัก ความเมตตาต่อเด็กน้อย
เป็นอย่างยิ่ง   ได้รับเอาไว้เป็นลูกบุญธรรม  นำไปเลี้ยงดูฟูมฟักเหมือนดั่งสายเลือดของตนเอง และยังให้รักษาตำแหน่งด่านหน้าเมืองบาดาลอย่างสมเกียรติ์



โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 14:50
พระลักษณ์ พระรามถูกไมยราพ ลักพาตัวลงไปคุมขังไว้ในเมืองบาดาล  
ไมยราพ ทำไปเพราะเพื่อนรักคือทศกัณฐ์มาขอร้องให้ช่วย
มีการวางกำลังป้องกันการแย่งชิงตัวจากฝ่ายหนุมาน หลายชั้น โดยชั้นสุดท้ายชั้นในสุดให้เป็นหน้าที่การควบคุมดูแลของ
มัจฉาณุ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงอุปราช     หนุมานตีฝ่าทุกด่านมาได้อย่างง่ายดายจนกระทั่งเข้ามาถึงด่านสุดท้าย
เกิดการต่อสู้กับ มัจฉาณุ อย่างดุเดือดเข้มข้นผลัดกันรุก ผลัดกันรับ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำบาดเจ็บจนล้มลงไป
สักพักก็กลับมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นมาเหมือนเดิมอีก   เวลาผ่านพ้นไปหลายเพลา    ขุนกระบี่ทหารเอกอย่างหนุมานก็เกิดความสงสัย
ว่าทำไมเจ้าเด็กน้อย หน้าตาคล้ายตัวเอง มีหางเป็นปลาตนนี้ เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ทำไมถึงมีฤทธิ์เดชมากมายเกินตัว
สามารถต่อกรกับตนได้หลายเพลงอาวุธ    จึงร้องถามไปว่าเป็นลูกของใคร
มัจฉาณุ ร้องบอกข้าคือลูกของหนุมาน แม่ข้าคือนางสุพรรณมัจฉา   ทันใดหนุมานก็รีบร้องบอกไปว่าข้านี่เอง หนุมาน
ลิงน้อยมัจฉาณุ ไม่เชื่อ จนหนุมานต้องแสดงฤทธิ์ให้เห็นโดยการ หาวเป็นดาวเป็นเดือน
ด้วยความดีใจ จึงก้มวันทา สองพ่อลูกเข้าสวมกอดกันอย่างดีใจ  แต่มัจฉาณุบอกว่า  ไมยราพเจ้าเมืองบาดาล
เป็นผู้มีพระคุณ เลี้ยงดู อุ้มชูมาอย่างดีก็เปรียบดังพ่อบุญธรรมคนหนึ่ง ไม่สามารถจะปล่อยให้หนุมาน เข้าไปในเมืองบาดาลได้โดยง่าย
เพราะนั่นแสดงถึง ความอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณได้
แต่หนุมานก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้า  จึงบอกใบ้ให้ทราบถึงการเข้าไปในเมืองบาดาล  โดยสามารถหักก้านบัว แล้วแปลงร่างสอดแทรก
ไปตามสายบัว ก็จะสามารถเข้าไปถึงชั้นในของเมืองบาดาลได้      หนุมานสามารถปฏิบัติภารกิจสำเร็จฆ่าไมยราพลงได้
และแย่งชิงตัวพระลักษณ์ พระรามกลับคืนมา  ทหารเอกแต่ละคนก็ได้รับการปูนบำเหน็จ กันโดยทั่วหน้า
แม้แต่มัจฉานุก็ได้ เลื่อนตำแหน่งเป็น พญาหนุราช และให้ไปครองกรุงมะลิวัน
ทั้งหมดนี่คือ ประวัติของมัจฉานุอย่างย่อ
   
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 14:55
ทิดเต๋าเผาพระอาจารย์ ตอน อานุภาพยันต์เกราะเพชร

เรื่องคุณไสยนี่นะครับ มีมานานมาก เอาแบบที่ผมจำ ๆ ได้ ก็สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังดำรงขันธ์อยู่ละครับ เป่ายันต์กันทีไรเก็บตะปูได้เป็นกิโล ๆ หลวงพี่ท่านเล่าว่า เจอตะปูทีไรเป็นต้องแหย่กันว่า

"ดูสิ..นกพิราบมันคาบตะปูมาเล่นอีกแล้ว.."

โห..คาบมาทีเป็นกิโล ๆ ฝูงมันคงใหญ่มาก จนครั้งหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ต้องประกาศออกไมค์กันไปเลยครับว่า

"เออ..พวกที่ส่งตะปูมา ต่อไปอย่าส่งมานะ ไอ้ตะปูหงิก ๆ งอ ๆ มันใช้ในการก่อสร้างไม่ได้ ถ้าจะส่งให้ส่งเหล็กเส้นมาเลย เอาสักตันสองตันก็ได้ ฉันจะได้เอาไปสร้างวัด" เรียกเสียงหัวเราะจากลูกหลานได้เป็นการใหญ่ แถมมีการสำทับต่อด้วยว่า

"ไอ้คนที่มาทำนี่ ไปเลือกเอาได้เลย ลูกหลานฉันจะเลือกเอาคนไหนก็ได้ ไปทำของใส่เขาเลย ลูกหลานเอ๊ย..ถ้าเขาจะมาทำก็ปล่อยให้เขาทำนะลูก นอนเฉย ๆ ปล่อยให้เขาทำ แต่ถ้ามันจะเตะละก็..สู้มันนะลูก"

แล้วบางทีก็มีการปิดท้ายด้วยว่า "นี่..ตอนนี้เขาไปยืนปรึกษากันอยู่ที่ป่าไผ่ กำลังสงสัยกันอยู่ว่า ที่มากันนี่ พระรู้ได้อย่างไร" ฮ่า..ฮ่า..

หลวงพี่ท่านเล่าให้ฟังว่า เขาจะมาทางไหนหลวงพ่อท่านรู้หมด บางทีบอกไว้ก่อนทั้งรูปร่างหน้าตา ผู้ชายกี่คน ผู้หญิงกี่คน พอถึงเวลาไปดักดูก็ปรากฏว่ามีจริง ๆ

อานุภาพของยันต์เกราะเพชรนี่คุ้มกันได้จริง ๆ ขนาดตะปูหล่นมาเห็น ๆ ยังไม่ได้กิน ส่วนผมเองได้มีโอกาสไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรด้วยตนเองครั้งล่าสุด ก็เป็นที่วัดท่าขนุน ที่หลวงพี่เป่ายันต์ครั้งแรกนั่นแหละครับ

ในด้านของผลนั้น ท่านอื่นเป็นอย่างไรผมไม่ทราบ (มาบอกเล่ากันบ้างสิครับ) ส่วนผมเองหลังจากเข้าพิธี มีอยู่ครั้งหนึ่ง แบบว่าไม่มีอะไรจะทำ ปีนขึ้นต้นไม้ไปเก็บบอลกับรุ่นน้องอีกคน

ปีนไปปีนมา รุ่นน้องคนนั้นร้องโอ๊ยดังลั่น ร่วงจากต้นไม้ร้องว่า "ต่อ ๆ..!" ผมก็คิดว่า ไอ้ห่...ตูก็ปีนมาสูงขนาดนี้ยังจะให้ไปต่ออีก ไม่ใช่ครับ ต่อจริง ๆ ครับ ต่อตัวเบ้อเริ่มประมาณ ๕ - ๖ ตัวได้ (นับไม่ทัน) บินว่อนรอบตัวเลย..!

ครั้นจะโดดลงไปก็สูงครับ ขาหักแหงแก๋เลย (ปรากฏว่าไอ้รุ่นน้องท่านนั้นขาหักจริง ๆ ครับ กรรม..!) ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ใจนึกถึงยันต์เกราะเพชรอย่างเดียว เพราะท่านว่ากันพิษได้ ท่องแค่ "อิติปิโส ภควา ๆ" แค่นี้จริง ๆ ไม่มียาวกว่านี้..!

จะไปซ้ายก็ไม่ได้ ไปขวาก็ไม่ได้ ขึ้นบนก็ไม่ได้ โดดลงล่างดูท่าจะฉิ..หายแน่นอน ก็เป็นอันจำยอมให้มันต่อยครับ ยืนมันอยู่บนต้นไม้นั่นแหละครับ ปรากฏว่ามันต่อยไม่เข้าแฮะ..! สงสัยมันต่อยรุ่นน้องเราจนหมดฤทธิ์เหล็กในทื่อไปแล้ว จึงค่อย ๆ ปีนกลับลงมา

ต่อมาภายหลังรุ่นน้องคนนี้ทราบว่า จะมีพิธีเป่ายันต์ที่วัดท่าขนุน ก็มาชวนผมไป ผมไม่ว่าง มันก็อุตส่าห์ตะกายไปของมันคนเดียวจนได้ ส่วนครั้งล่าสุดที่เป่ายันต์นั้นพอดีผมไม่ได้ไป ตอนเช้าวันเสาร์(ยังไม่ตื่น) มีเสียงโทรศัพท์จากหลวงพี่หน่อย ท่านเมตตาโทรมาบอก "ทิด..พิธีจะเริ่มแล้ว เตรียมรับนะ อาจารย์ท่านเริ่มทำพิธีแล้ว.."

ผมก็แบบครับ ๆ หลวงพี่ ว่าแล้วก็นอนต่อ(โห..มันวันหยุด..!)ก็นอนภาวนาไปเรื่อยครับ พุทโธ ๆ แบบหลับ ๆ ตื่น ๆ สัก ๑๕ นาที มันคันคะเยอขึ้นมาเลยครับ คันจนนอนต่อไม่ไหว ต้องลุกขึ้นมาอาบน้ำ

แบบนี้จะเรียกว่ามีผลหรือไม่มีผล ก็แล้วแต่วิจารณญาณแล้วกันนะครับ แต่หลวงพี่นี่ท่านลองเป็นประจำ แบบที่ผมเห็นมากับตาเลยคือ วันหนึ่งมันมีงูกะปะเลื้อยขึ้นมาบนเกาะ ดูท่าคงจะมากินลูกไก่ป่า เพราะสมัยนั้นไก่ป่าที่เกาะจะมีเยอะมาก พอดีหลวงพี่ท่านมาพบเข้า

เผอิญผมผ่านมาพอดี เห็นหลวงพี่ท่านคว้าหมับเลยครับ ไอ้เจ้างูมันก็แว้งกัดทันที ถูกบริเวณข้อมือแบบจมเขี้ยวเลยครับ ท่านยังยกมาโชว์ให้ดูอีกว่า งูที่มีลักษณะแบบนี้ พิษมันจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ เหมือนท่านกำลังถ่ายทำสารคดีเลยทีเดียว..!

ผมได้แต่ยืนงง ๆ ปนอึ้ง บอกเสียงสั่น ๆ ว่า “เอา..มันไปปล่อยเถอะครับ..” ท่านก็เลยจับเจ้างูนั่นไปปล่อย พอท่านเดินกลับมา ผมก็รีบบอกหลวงพี่ปรีชาว่า “หลวงพี่ ๆ หลวงพี่เล็กโดนงูกัด..!” หลวงพี่ปรีชาท่านก็เดินแบบใจเย็นไปดู...


"โห..นี่มันงูกะปะเลยนี่หว่า..!"


“งูกะปะนะผมรู้ เพราะเมื่อกี้เพิ่งดูหลวงพี่เล็กเออร์วินมา ท่านโดนมันกัดเต็มข้อเลย จะเอาอย่างไรกันดี พาส่งโรงพยาบาลหรือจะพยาบาลเบื้องต้นกันอย่างไรดี..”

ผมนี่ลนเลยครับ กลัวพระอาจารย์จะตาย หลวงพี่ท่านเหมือนจะรู้ใจ บอกว่า "คนโดนกัดยังไม่ทันเป็นอะไร ไอ้คนยืนดูมันจะเป็นจะตาย..!" โห..พูดอย่างกับว่าท่านไม่ได้เป็นคนโดนซะอย่างนั้น...

ต่อไปเป็นขั้นตอนวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตามแบบฉบับของเกาะพระฤๅษี
๑. เดินไปที่หอฉัน
๒. ตรงไปที่ตู้ยาเก็บชุดรักษาพยาบาล
๓. เหยาะ "เบตาดีน" เบตาดีนจริง ๆ ครับ เหยาะ ๆ แล้วก็ล้างแผล ปากก็บ่นว่า

"แผลนี่ต้องรีบล้าง เดี๋ยวบาดทะยักมันจะกินเอา"

อ๊ากกก..เพิ่งเคยเจอ โดนงูกัดเหยาะเบตาดีน กลัวบาดทะยักจะกิน..! ไม่กลัวพิษงู หลวงพี่ปรีชาท่านก็นั่งดู นั่งคุยกับหลวงพี่ พิจารณากันว่าแผลนี้เป็นอย่างไร ลึกแค่ไหน รอยเขี้ยวมันเป็นอย่างไร ส่วนผมนี่คิดอย่างเดียว “ทำไมไม่ไปโรงพยาบาล..!”

หลวงพี่ปรีชาหันมาเห็นผมยืนหน้าซีดอยู่ ก็บอกยิ้ม ๆ ว่า "ไม่เป็นไรหรอก อาจารย์ท่านโดนประจำ" อ๋อ..ไอ้ที่เบตาดีนจะหมด ๆ นี่คือโดนประจำ ตูจะบ้าตาย..!

หลวงพี่ท่านชี้ให้ดูว่า “นี่..พิษมันจะวิ่งอยู่แค่นี้ (จากแผลถึงข้อศอก) ถ้าเคยได้รับยันต์เกราะเพชรมาพิษมันจะแล่นอยู่ไม่เกินนี้ ไม่ต้องห่วง ผมลองมาแล้วแทบทุกพันธุ์..! นี่แหละอานุภาพยันต์เกราะเพชร..!”

ครับ ๆ ไม่ต้องลองให้ดูก็ได้ครับ หัวใจผมจะวายตาย เอาไว้จะซื้อเบตาดีนถวายตุนไว้แล้วกันนะครับพระอาจารย์..!

ว่าจะพิมพ์เรื่องของคุณไสย ดันมาเรื่องยันต์เกราะเพชรไปได้ซะอย่างนั้น เอาเป็นว่าถ้านึกได้ จะมาพิมพ์ไว้เตือนความจำต่อแล้วกันนะครับ

ขอย้ำนะครับ ว่าบันทึกทั้งหลายเหล่านี้ ผมไม่ได้รับคำสั่งจากท่านผู้ใด หรือได้รับผลประโยชน์อันใดที่เป็นวัตถุ ข้าวของเงินทอง ของมีค่าใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ผมได้อยู่อย่างเดียวนั่นคือ ความชื่นใจในสังฆานุสติกรรมฐาน และได้ระลึกนึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เมตตาสั่งสอนอบรมผมมา จึงนำมาบันทึกเพื่อเตือนความจำของตนเอง ส่วนท่านใดผ่านมาพบและได้ประโยชน์จากการนี้ ผมขอโมทนาด้วยนะครับ

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-9 15:00
แสนตรีเพชรกล้า

แม่ทัพคนสำคัญของพระเจ้าเชียงใหม่ ในวรรณกรรมขุนช้างขุนแผน คือ แสนตรีเพชรกล้าเป็นแม่ทัพม้า ทหารเอกของพระเจ้าเชียงใหม่ เป็นศิษย์ของอาจารย์ศรีแก้วฟ้าแห่งถ้ำวัวแดง มีวิชาอาคมขลัง อยู่ยงคงกระพัน มีรอยสักทั้งตัว ตั้งแต่รุ่นหนุ่มก็ไม่ได้อาบน้ำเลยเพราะเกรงว่าจะล้างว่านยาที่ทาตัวออกไปหมด เมื่อจะออกรบจึงจะอาบน้ำแช่เครื่องรางวิเศษผสมกับว่านยาซึ่งเป็นน้ำเสี่ยงทายด้วย ถ้าน้ำมีสีเหลืองจะได้ชัยชนะ ถ้าน้ำมีสีแดงจะแพ้ถึงตาย ครั้งที่ต้องรบกับขุนแผนและพลายงามน้ำในวันนั้นมีสีแดง แต่ก็แข็งใจออกไปรบแล้วก็ถูกทหารของขุนแผนใช้หลาวสวนทวารถึงแก่ความตาย

ดังคำกลอน...
  กล่าวถึงทัพอัสดรตรีเพชรกล้า
อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา อยู่คงศาสตราวิชาดี
แขนขวาสักรงเป็นองนารายณ์ แขนซ้ายสักชาดเป็นราชสีห์
ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง
สักอุระรูปพระโมคคลา ภควัมปิดตานั้นสักหลัง
สีข้างสักอักขระนะจังงัง ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา
ฝังเข็มเล่มทองทั้งสองไหล่ ฝังเพชรเม็ดใหญ่ไว้แสกหน้า
ฝังก้อนเหล็กไหลไว้อุึรา ข้างหลังฝังเทียนคล้าแก้วตาแมว
เป็นโปเปาปุปปิบหยิบทั้งกาย ดูเรี่ยรายรอยร่องเป็นถ่องแถว
แต่เกิดมาอาวุธไม่พ่องแพว ไม่มีแนวหนามขีดสักนิดเดียว
สูงใหญ่ รูปร่างเหมือนอย่างเสือ กำลังเหลือเนื้อหนังก็แน่นเหนียว
หนวดโง้งโก่ง ฟั่นพันเป็นเกลียว ฟันขาวปากเขียวดังปลิงควาย
นัยน์ตาดำคล้ำคล้ายกับตาเสือ ขอบตาแดงเรื่อดังชาดป้าย
คิ้วแระหมวดหนวดแดงดูแรงร้าย ผมมุ่นมวยคล้ายกับโยคี
แต่รุ่นหนุ่มคุ้มใหญ่ไม่อาบน้ำ เพื่อนตำแต่ว่านยาทาขัดสี
ไม่นอนด้วยภรรยาทั้งตาปี ต่อศึกมีเมื่อไรได้อาบน้ำ
จะไปทัพจึงหาบรรดาว่าน มาเสกอ่านอาคมถมถนำ
เครื่องรางตะกรุดลงองค์ภควัม บริกรรมเสกเป่าเข้าทันใด
แล้วตักน้ำตีนท่ามาใส่ขัน หยิบเครื่องอานว่านนั้นเอาลงใส่
เสกเดือดพล่านพลั่งดังตั้งไป เห็นประจักษ์วักได้ใส่หัวพลัน
หยิบเครื่องอานว่านยาขึ้นมาไว้ เพชรหล้าลงไปในแม่ขัน
ประจงจบเคารพแล้วอาบพลัน ดูสำคัญในนทีจะมีลาง
ถ้าจะเกิดอันตรายวายชีวิต ในนิมิตรน้ำแดงเป็นแสงฝาง
ถ้าไม่ชนะไม่แพ้แต่ปานกลาง น้ำเป็นอย่างสีรงลงลาย
ถ้้าจะไปมีชััยแก่ข้าศึก น้ำเลื่อมดังผลึกวิเชียรฉาย
ครั้งนั้นขาดชันษาชะตาตาย นิมิตสายชลธีเป็นสีแดง
เพชรหล้ามุ่งเขม้นเห็นนิมิตร รู้แท่แน่จิตประจักษ์แจ้ง
น้ำอย่างสีฝางลางร้ายแรง นึกแสยงสยดสยอนถอนฤทัย
เป็นสุึดทุกข์ลุกออกมาผลัดผ้า ประหนึ่งว่าไม่ดำรงทรงกายไ้ด้
แล้วนึกว่าชาติทหารอันชาญชัย ถึงบรรลัยก็ให้ลือฝีมือลาว.

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-10 18:18
อภินิหารหลวงปู่เผือก ตอน แก้วฟ้าท่องสวรรค์





พูดถึงเรื่องของนรกและสวรรค์แล้ว ต้องบอกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างมีความเป็นสากลครับ หนึ่งคือเกือบจะทุกศาสนาต่างมีเหมือนๆ กัน สองคือเป็นเรื่องที่คนทั่วไปรู้จักกันดีทั้งๆ ที่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็น คำถามจึงมีต่อมาว่าถ้าอย่างนั้นแล้วนรกและสวรรค์ตั้งอยู่ที่ไหน..

“บนโลกหรือนอกโลก”

บางคนบอกว่านรกและสวรรค์มีอยู่จริงและตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เพียงแต่ที่ตั้งนั้นอยู่ต่างมิติจากพวกมนุษย์ บางคนก็บอกว่านรกและสวรรค์เป็นเรื่องของนามธรรมที่มนุษย์ได้บัญญัติขึ้น อย่าได้คิดไปแตะต้องเลยเพราะแม้แต่จะมองก็ยังไม่เห็น ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นกันอย่างนี้ การมีอยู่จริงจึงเป็นเรื่องที่ฟังแล้วค่อนข้างทำใจให้เชื่อยาก

จะมีคำตอบให้กับเรื่องนี้อย่างไรครับ...หากว่าวันหนึ่งเราถูกขอร้องให้ต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

บางทีมันอาจจะเป็นคำตอบที่สั้นและห้วนที่สุดเท่าที่เราเคยตอบ ประมาณว่าถ้าไม่ตอบจะดีกว่า หรือบางทีคำตอบของเราอาจจะต้องอธิบายกันอย่างยืดยาว และต้องใช้ข้อมูลมากปริมาณมาค้ำยันคำตอบ



(รูปหล่อหลวงปู่เผือกองค์แรก ปัจจุบันอยู่ที่พุทธอุทยานธรรมโกศล)

ครูแก้ว อัจฉริยกุล หรือแก้วฟ้า “ศิลปินอมตะของเมืองไทย” นอกจากครูแก้วจะมีผลงานการประพันธ์เพลงแล้ว ท่านยังเป็นเจ้าของคณะละครวิทยุแก้วฟ้าที่โด่งดัง ถึงในช่วงนั้นครูแก้วจะไม่มีเวลาว่างมากนัก แต่ท่านก็ยังหาโอกาสมานมัสการหลวงปู่เผือกและหมั่นปฏิบัติธรรมอยู่เสมอๆ

อาจกล่าวได้ว่าครูแก้ว อัจฉริยกุลคือหนึ่งในผู้สนใจและศึกษาลงไปในเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจังมากกว่าจะมองว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลไม่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะการนั่งสมาธิเพื่อปรารถนาจะได้เข้าพบหลวงปู่เผือก ซึ่งถ้าเราจัดหมวดหมู่ของการเรียนรู้แล้ว ต้องบอกว่าประสบการณ์ของครูแก้วสมควรจัดอยู่ในจำพวกเรื่องที่รู้เฉพาะตัวครับ

เพื่อนของผม(บางคน) ให้ความเห็นว่าเรื่องราวแนวนี้ถึงแม้ตัวเขาจะเชื่อว่ามันเป็นจริง แต่เมื่อยังหาเหตุผลมารองรับไม่ได้ก็สมควรเก็บเงียบไว้ก่อน

ในขณะที่เพื่อนอีกบางคนก็ขอแสดงทัศนะบ้างว่า เรื่องแบบนี้มีเกิดขึ้นเกือบจะรอบโลกแล้ว โดยเฉพาะในเมืองไทยน่าจะมีสถิติการเกิดเรื่องแบบนี้มากที่สุด เขาว่า

“บนเส้นทางของการเรียนรู้ สมควรได้รับการบอกเล่ามากกว่าจะเก็บไว้ในใจ”

อีกประการหนึ่งคือเรื่องประสบการณ์ทางจิตมันไม่เหมือนการตอบข้อสอบที่ต้องใช้ถูกผิดมาตัดสิน เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนๆ หนึ่ง ไม่จำเป็นว่าต้องเกิดขึ้นกับคนอีกหนึ่งหรือหลายคน

เรื่องของครูแก้ว อัจฉริยกุลที่ปรากฏในหนังสืออภินิหารหลวงปู่เผือก เป็นการเขียนจากคำบอกเล่าของครูแก้วเอง งานนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นทักษะของการเล่าเรื่องแบบมืออาชีพแล้ว ความสามารถในการเรียบเรียงเรื่องราวและถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรถือเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งของผู้ที่เขียนนำเสนอครับ

“สมัยก่อนโน้น ถ้าจะมีใครกล่าวถึงเรื่องของเมืองสวรรค์เมืองนรกขึ้นมา ใครคนนั้นก็จะถูกคนกลุ่มใหญ่เย้ยหยันเอาว่านำเรื่องเหลวไหลไร้สาระมาพูด หากจะมีคนยอมรับฟังและเชื่อถืออยู่บ้างก็จะเป็นเพียงคนกลุ่มน้อย ซึ่งส่วนมากเป็นคนเฒ่าคนแก่หัวธรรมะธรรโมเท่านั้น

แต่ตกมาถึงยุคสมัยนี้ เรื่องเมืองนรกเมืองสวรรค์ได้มีผู้ศึกษาค้นคว้ากันมาก แม้ในกลุ่มคนสมัยใหม่ที่มีการศึกษาสูงทั้งหนุ่มทั้งสาวต่างก็ยอมรับแล้วว่านรกสวรรค์มีจริง”

“แต่แม้ว่าบุคคลกลุ่มใหญ่ในยุคนี้จะยอมรับนับถือว่านรกสวรรค์มีจริง ซึ่งเป็นการกล่าวตามทฤษฏีที่ได้เคยศึกษาค้นคว้ามา หากก็ยังมีคนเป็นจำนวนน้อยที่จะมีความสามารถเช่นนั้นและจะต้องเป็นบุคคลที่มีจิตเป็นสมาธิสูง เนื่องจากมีหนทางเดียวที่มนุษย์จะเดินทางไปสู่เมืองนรกเมืองสวรรค์ได้ก็ด้วยทางสมาธิจิตเท่านั้น

และบัดนี้ บางกอกไทม์ก็ได้พบกับบุคคลอีกผู้หนึ่ง ซึ่งโดยแท้จริงแล้วจิตของเขายังไม่สูงส่งจนสามารถท่องเที่ยวไปสู่นรกสวรรค์ได้ แต่ด้วยอำนาจปาฏิหาริย์อันมหัศจรรย์ ทำให้เขาผู้นี้มีโอกาสไปท่องสวรรค์ชั้นฟ้ามาแล้วหลายครั้งหลายคราทีเดียว”



จะว่าไปแล้วในอดีตที่ผ่านมา วงการหนังสือพระเครื่องของเมืองไทย ได้มีผู้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระเครื่องอย่างมีคุณภาพมากมายหลายท่านครับ ทุกวันนี้บทความบางตอนบางเรื่องของนักเขียนเหล่านั้น ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างอิงถึงบริบทต่างๆ เกี่ยวกับพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลัง  ซึ่งก็มีทั้งการอ้างอิงในเชิงวิชาการและการอ้างอิงในเชิงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์

อาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์ เป็นนักเขียนเรื่องพระเครื่องที่สำคัญอีกท่านหนึ่งของเมืองไทย ผลงานของท่านมีทั้งการเขียนหนังสือแบบเป็นเล่มๆ และเขียนในลักษณะของการเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือทั่วไป

ผลงานของอาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายก็คือหนังสือ “นามานุกรมพระเครื่อง” ซึ่งนามานุกรมพระเครื่องเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระเครื่อง พุทธลักษณะและประวัติของพระเครื่องรุ่นต่างๆ มากเกินกว่าร้อยรุ่น

ถึงผลงานของอาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์อาจจะไม่ได้รับความนิยมมากเท่าผลงานของอาจารย์ตรียัมปวาย ซึ่งเป็นนักเขียนร่วมยุคสมัยเดียวกัน แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่าแนวทางการนำเสนอในแบบของอาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์ ที่เน้นและเจาะลึกในเรื่องที่เกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ความเชื่อ รวมไปถึงเรื่องลึกลับต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ถือเป็นอีกมิติหนึ่งของการนำเสนอที่ถูกใจชาวบ้านเป็นอย่างมาก



ในสมัยนั้น(พ.ศ.๒๕๐๐) หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์จัดว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จทั้งในด้านยอดขายและความนิยม ทั้งนี้เป็นเพราะว่าหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์เป็นหนังสือพิมพ์ที่คงเอกลักษณ์ในด้านการนำเสนอข่าวแบบชาวบ้านๆ ประมาณว่าเรื่องแปลกๆ เรื่องลึกลับๆ รวมไปถึงความเชื่อในด้านต่างๆ ของสังคมในยุคนั้น  

ว่ากันว่าหากต้องการจะทราบว่าพระพุทธรูป พระเครื่องหรือพระเกจิอาจารย์ รุ่นไหน องค์ใด มีอภินิหารอย่างไร สามารถหาอ่านเรื่องราวอย่างจุใจได้จากหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ใน “คอลัมน์พระเครื่อง” ที่เขียนโดยอาจารย์พินัย ศักดิ์เสนีย์..  

ประสบการณ์จำนวนมากมายที่เกี่ยวกับเรื่องความลึกลับและความเชื่อ ได้ถูกรื้อค้นขึ้นมาจากบรรดาผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง โดยการเดินทางเข้าสัมผัส-สัมภาษณ์ด้วยตัวของอาจารย์พินัยเอง ซึ่งเมื่ออาจารย์พินัยได้พิจารณาไตร่ตรองแล้วว่าเรื่องเหล่านั้นมีความเหมาะสมและสมควรที่จะเล่าสู่กันฟัง นั่นย่อมหมายถึงการที่ปลายปากกาจะถูกจิกลงบนหน้ากระดาษเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางและความอัศจรรย์ที่ท่านได้รับจากการไปเยือนบุคคลที่ประสบกับเหตุการณ์นั้นๆ  

อย่างเช่นกรณีของ “ครูแก้ว อัจฉริยะกุลกับการท่องสวรรค์” ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ฉบับประจำวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๒  

“ศิลปินแก้วฟ้าเผยประสพการณ์มหัศจรรย์กับบางกอกไทม์ ยืนยันเรื่องสวรรค์มีแน่ๆ ได้ประสบมาแล้วกับตนเอง...”



รายละเอียดมีอยู่ว่าหลังจากที่ครูแก้วประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้รับบาดเจ็บขาหักและกระดูกสะบ้าหัวเข่าแตก ท่านได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลแต่ก็ไม่ดีขึ้น วันหนึ่งครูแก้วได้พบวิญญาณศักดิ์ของหลวงปู่เผือก อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดสาลีโข ซึ่งประทับร่างของหลวงพ่อสมภพ เตชะปุญโญ หลวงปู่เผือกได้รับครูแก้วไว้เป็นลูกบุญธรรมเนื่องด้วยอดีตชาติที่ผ่านมาครูแก้วเคยเกิดมาเป็นลูกของท่านแล้วในชาติหนึ่ง  

เมื่อหลวงปู่เผือกได้ทำการรักษาอาการบาดเจ็บของครูแก้วจนหายขาด ทำให้ครูแก้วบังเกิดความเคารพเลื่อมใสในวิญญาณของหลวงปู่เผือกอย่างจริงใจจึงได้นิมนต์หลวงพ่อสมภพเพื่อให้ประทับร่างวิญญาณของหลวงปู่เผือกเพื่อจะได้สอนให้ท่านปฏิบัติวิปัสสนา โดยครูแก้วได้เดินทางไปนั่งฝึกสมาธิกับหลวงพ่อสมภพในสถานที่ซึ่งหลวงปู่เผือกท่านได้กำหนดให้รวม ๓ ครั้ง คือถ้ำแห่งหนึ่งในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ๑ ครั้ง เชิงผาลาดในเขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ ๑ ครั้งและที่ถ้ำแก่งละว้า จังหวัดกาญจนบุรีอีก ๑ ครั้ง  

ครูแก้วเล่าว่าเมื่อได้ฝึกสมาธิจิตตามคำสั่งของหลวงปู่เผือกดังกล่าวแล้ว คืนวันหนึ่งในปี ๒๕๐๘ หลวงปู่ได้สั่งให้นั่งสมาธิเพื่อส่งกระแสจิตติดตามท่านไป ซึ่งในขณะนั้นหลวงปู่เผือกท่านได้ประทับอยู่ในร่างของหลวงพ่อสมภพและคอยให้คำแนะนำสอบถามความเป็นไปอย่างใกล้ชิด โดยวิธีเข้าสมาธิก็คือ

ให้กราบพระและนั่งทำจิตให้สงบ สักครู่หลวงปู่ก็สั่งให้ทำจิตให้เหมือนขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านแล้วให้มองไปทางขอบฟ้าไกลๆ จะเห็นภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่งตั้งอยู่



เมื่อครูแก้วปฏิบัติตามและเห็นตามนั้นแล้ว หลวงปู่เผือกท่านก็ได้สั่งให้ครูแก้วอธิษฐานจิตให้ไปอยู่บนภูเขาแล้วก็ให้มองลงไปเบื้องล่าง ครูแก้วเล่าว่าเมื่อตัวท่านได้มองลงไป ท่านได้เห็นพระอุโบสถหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำ มีบัวสีต่างๆ ชูดอกบานสะพรั่ง รอบๆ พระอุโบสถมีกำแพงแก้วล้อมไว้อีกขั้นหนึ่ง  

หลวงปู่เผือกท่านได้สั่งให้ครูแก้วเข้าไปในพระอุโบสถนั้น เมื่อครูแก้วได้เข้าไปตามคำสั่งของหลวงปู่เผือก ท่านได้เห็นว่าตรงกลางของพระอุโบสถมีพานตั้งอยู่บนที่บูชาและในพานนั้นมีแสงสว่างเจิดจ้า หลวงปู่เผือกได้สั่งให้ครูแก้วกราบพานนั้น ๓ หนและให้เดินชมรอบๆ เป็นทักษิณาวัฏ ๓ รอบ โดยสถานที่แห่งนี้หลวงปู่เผือกท่านได้บอกครูแก้วว่าเป็น “พระจุฬามณีที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว” (อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์)

หลังจากนมัสการพระเขี้ยวแก้วและได้ชมครบสามรอบแล้ว หลวงปู่เผือกท่านได้สั่งให้ครูแก้วเดินทางต่อไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งเพื่อพบกับตัวของหลวงปู่เผือก ซึ่งเมื่อครูแก้วเดินทางไปถึงจุดนัดพบท่านก็เห็นว่าที่เชิงเขามีวิหารสวยงามตั้งอยู่หลังหนึ่ง รอบๆ บริเวณวิหารมีต้นดอกซ่อนกลิ่นปลูกเอาไว้เป็นแปลงๆ เต็มไปหมด และเมื่อครูแก้วได้เดินตรงไปยังวิหารก็มีคนๆ หนึ่งออกมาถามว่า

“จะมาหาใคร”  

ครูแก้วจึงตอบว่าจะมาหาหลวงปู่เผือกเพราะตัวท่านเป็นลูกของหลวงปู่เผือก เมื่อครูแก้วได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบและท่านได้เข้าไปข้างในแล้ว ท่านได้เห็นหลวงปู่เผือกนั่งอยู่บนตั่งกลางวิหารและมีพระสงฆ์นั่งรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก ครูแก้วจึงได้ตรงเข้าไปกราบหลวงปู่เผือกและบรรดาพระสงฆ์เหล่านั้นด้วยความปลื้มปิติ

ซึ่งครูแก้วเข้าใจว่าหลวงปู่เผือกท่านได้แบ่งภาคมาประทับร่างและเป็นผู้นำพาท่านไปพบกับหลวงปู่เผือกด้วยตัวของหลวงปู่เผือกเอง และสถานที่อยู่ของหลวงปู่เผือกที่ท่านได้เข้ามาพบ  ในภายหลังครูแก้วได้ทราบต่อมาว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นพรหม



ครูแก้วเล่าต่อไปอีกว่า เมื่อท่านได้นมัสการหลวงปู่เผือกเรียบร้อยแล้ว ท่านได้รับคำสั่งจากหลวงปู่เผือกให้เดินทางต่อไปเพื่อนมัสการหลวงปู่ฤาษี ซึ่งสำนักของหลวงปู่ฤาษีตั้งอยู่บนภูเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ต่ำลงไป เมื่อครูแก้วเดินทางไปถึงภูเขาลูกนั้นก็พบว่ามีโยคีจำนวนมากนั่งอยู่ตามโขดหินและถ้ำเล็กๆ รอบๆ ภูเขา

บรรดาโยคีเหล่านั้นต่างก็นั่งบริกรรมในท่าต่างๆ กัน บางรูปยืนกางแขน บางรูปยืนขาเดียว บางรูปเอาศีรษะตั้งกับพื้นและบางรูปก็สวดมนต์เสียงดังมากตลอดเวลา และเมื่อครูแก้วเดินเข้าไปก็มีโยคีมาถามว่า

“มาหาใคร”

เมื่อครูแก้วตอบว่ามาหาปู่ฤาษี ท่านจึงได้รับการนำพาเข้าไปยังในถ้ำและเห็นหลวงปู่ฤาษีนั่งอยู่บนอาสนะเป็นหินและมีหน่อไม้ทองคำส่องแสงแวววาวอยู่หน้าอาสนะของท่านดอกหนึ่งด้วย รอบๆ อาสนะของหลวงปู่ฤาษียังมีสมุดข่อยจดตำหรับตำราต่างๆ กองอยู่เป็นตั้งๆ มากมาย  

หลังจากที่ครูแก้วได้นมัสการและตอบคำถามบางข้อของหลวงปู่ฤาษีเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้รับอนุญาตให้ออกชมทิวทัศน์บริเวณรอบๆ ภูเขา ซึ่งมีลำธาร ต้นไม้และดอกไม้สวยงามมาก จากนั้นครูแก้วจึงได้รับคำสั่งจากหลวงปู่เผือกให้เดินทางกลับไปตามเส้นทางเดิมคือกลับแวะนมัสการหลวงปู่เผือก พระเขี้ยวแก้วที่จุฬามณี จนถึงบ้านก็ลืมตาขึ้น



ครูแก้วได้เล่าเพิ่มเติมต่อว่า หลังจากที่ท่านได้ขึ้นท่องสวรรค์ด้วยการนำพาของหลวงปู่เผือกในครั้งนั้นแล้ว ต่อมาท่านยังได้ทำสมาธิเดินทางไปยังสถานที่เดิมอีกหลายครั้ง โดยในครั้งหลังๆ นี้จะเป็นการเดินทางไปด้วยตนเอง โดยเพียงแต่รับคำแนะนำและการฝึกปฏิบัติจากหลวงปู่ล่วงหน้าเท่านั้น  

แต่ต่อมาภายหลังครูแก้วท่านได้มีภารกิจมากขึ้น ทำให้ท่านไม่มีเวลาปฏิบัติวิปัสสนา ครั้นเมื่อขาดการปฏิบัติติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน ในที่สุดการส่งกระแสจิตไปสวรรค์จึงไม่สามารถกระทำได้อีก ซึ่งในประเด็นการเดินทางไปสวรรค์นี้ครูแก้วบอกว่า ขณะที่ท่านได้ส่งกระแสจิตออกท่องเที่ยว ท่านมีสติและรู้สึกตัวตลอดเวลา ภาพที่เห็นก็ชัดเจนอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงมิใช่เป็นการนั่งฝันแต่อย่างใด

สำหรับหลวงปู่ฤาษีนั้น ครูแก้วบอกว่าท่านชื่อ “ฤาษีแสงอาทิตย์” มีความคุ้นเคยกับหลวงปู่เผือกตั้งแต่สมัยที่หลวงปู่เผือกยังมีชีวิตอยู่และส่งญาณพบกันจึงได้คุยกันทางญาณจนมีความคุ้นเคย หลวงปู่ฤาษีท่านเป็นชาวภารตะและแต่งตัวคล้ายโยคี เวลาพูดด้วยต้องใช้ภาษาทางจิตโต้ตอบกัน รูปร่างลักษณะของหลวงปู่ฤาษีครูแก้วบอกว่าในขณะที่ท่านได้พบดูไม่ออกมาจะเป็นคนแก่หรือคนหนุ่ม

  

ครูแก้วจึงสันนิษฐานว่าหลวงปู่ฤาษียังมีชีวิตอยู่และจะต้องมีอายุที่ยืนยาวนานแน่ๆ เพราะตอนที่หลวงปู่ฤาษีนัดพบกับหลวงปู่เผือกจะอยู่ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ในส่วนสถานที่พำนักของหลวงปู่ฤาษีนั้น ครูแก้วให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นสถานที่บนโลกมนุษย์ ไม่ได้อยู่บนสวรรค์เหมือนหลวงปู่เผือกและพระจุฬามณีที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว เหตุผลคือเพราะทั้งหลวงปู่ฤาษีและโยคีท่านอื่นๆ ที่ครูแก้วได้มองเห็นต่างเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตทั้งสิ้น...  

ครับ-เรื่องราวของครูแก้ว อัจฉริยกุลกับหลวงปู่เผือก ธัมมะโกศโล หรือพระครูธรรมโกศล เป็นเรื่องของ “ความเชื่อและความศรัทธา” ที่ค่อนข้างเด่นชัดและยืนยงมาอย่างยาวนาน ดังจะเห็นได้จากกิจกรรมหลายๆ อย่างของครูแก้วที่ท่านได้ร่วมทำกับบรรดาลูกศิษย์ท่านอื่นๆ เช่นการมีส่วนร่วมในการขออนุญาตหลวงปู่เผือก เพื่อหล่อรูปเหมือนหลวงปู่เผือกให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป  

ซึ่งในการหล่อรูปเหมือนของหลวงปู่เผือกก็มิใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ครับ เนื่องจากลูกศิษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยมีใครได้พบหรือเห็นหลวงปู่เผือกสักคน ดังนั้นการหล่อจึงต้องใช้บริการจากอาจารย์พนม สุวรรณบุณย์ ที่ต้องเพียรนั่งหลับตาเข้าสมาธิจึงจะสามารถเห็นรูปร่างของหลวงปู่เผือกได้



(ภาพที่ปรากฏในสมาธิของอาจารย์พนม สุวรรณบุณย์)

อย่างไรก็ตามในยุคสมัยนั้น เรื่องของการนั่งสมาธิและสามารถเห็นบางสิ่งบางอย่างได้นั้น มีเกิดขึ้นกับครูบาอาจารย์หลายท่าน เช่น อาจารย์ทวี ทิวแก้ว หลวงพ่อบ๋าวเอิง ฯลฯ ในส่วนของครูแก้ว อัจฉริยกุล ถึงแม้ท่านจะมีคุณธรรมและสมาธิไม่ถึงท่านเหล่านั้น แต่ก็ด้วยการยื่นมือเข้ามาช่วยของหลวงปู่เผือก จึงทำให้ครูแก้วสามารถเห็นสิ่งที่แปลกมหัศจรรย์ได้พอสมควร  

จริงอยู่ถึงแม้เรื่องเหล่านี้จะพิสูจน์ไม่ได้ชัดเจนในเชิงประจักษ์ แต่ในแง่ของจิตวิญญาณแล้ว เรื่องเหล่านี้เหมือนเป็นฉากสะท้อนว่าบางสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นไม่ใช่ว่ามันจะไม่ได้มีอยู่จริง

คติความเชื่อในเรื่องของนรกและสวรรค์นี้ ค่อนข้างมีความหลากหลายและอาจไม่สอดคล้องตรงกันเท่าใดนัก ประมาณว่าต่างคนต่างเห็น จึงมิอาจหาข้อยุติได้ชัดเจน

แต่สำหรับลูกศิษย์ของหลวงปู่เผือกและหลวงพ่อสมภพแล้ว เรื่องของครูแก้ว อัจฉริยกุลหรือแก้วฟ้า ถือเป็นประสบการณ์หนึ่งในอีกหลายร้อยหลายพันประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับลูกศิษย์สำนักนี้



ย้อนหลังไปในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุงศรีอยุธยาต้องตกเป็นของพม่า..

พระภิกษุองค์หนึ่งต้องรับภาระในการคุ้มครองคนไทยอพยพหนีภัยสงครามจากกรุงศรีอยุธยามาจนถึงสุดแนวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งบริเวณนั้นมีทุ่งข้าวสาลีขึ้นเต็มไปหมด

ปัจจุบันพระภิกษุรูปนั้นได้กลายมาเป็นทิพย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ คอยคุ้มครองบรรดาลูกศิษย์และผู้ที่เคารพเลื่อมใสอย่างใกล้ชิดมากที่สุด โดยไม่แบ่งเพศ วัย หรือฐานะ

ขอเพียงผู้นั้นเอ่ยภาวนา

“อะระหัง สุคะโต ภะคะวา”

...สวัสดีครับ



ขอขอบคุณ เอกสารอ้างอิง หนังสืออภินิหารหลวงปู่เผือก โดย ประจวบ สาเกตุ  คุณภาค ที่กรุณาส่งหนังสือมาให้ คุณพรชนก สุขพงษ์ไทยกับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำ และกำลังใจจากคุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรีครับ


โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-19 16:39
อาถรรพ์ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรฯที่วัดป่าแก้ว


เรื่องยาวหน่อย อ่านดูไปเรื่อยๆครับ..น่าสนใจดี

                                 



เรื่องนี้มีหลักฐานและถูกเล่าขานกันนานแล้ว เป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์หลายรูป ที่เล่าตรงกันเกี่ยวกับขุมทรัพย์โบราณมูลค่ามหาศาลภายใน "วัดป่าแก้ว" หรือ วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา วัดนี้ตามประวัติกล่าวไว้ว่า เดิมเป็นวัดราษฎร์เรียกกันว่าวัดป่า ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับวัดสำคัญประจำนครอโยธยาเดิมคือวัดพนัญเชิง วัดมเหยงค์ วัดกุฎีดาว และวัดอโยธยา ครั้งถึงแผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงให้ขุดศพเจ้าแก้วเจ้งไท เชื้อพระวงศ์ที่เป็นอหิวาตกโรคตาย ขึ้นพระราชทานเพลิงที่วัดนี้แล้วทรงซ่อมแซมบูรณะเจดีย์วิหาร ก่อนจะทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวง พระราชทานนามว่า "วัดเจ้าพญาไท" ให้เป็นที่พำนักของพระพนรัต ซึ่งเป็นพระสังฆราชฝ่ายอรัญวาสี และด้วยอาณาเขตของวัดที่กว้างใหญ่ ชาวบ้านจึงนิยมเรียกชื่อ "วัดใหญ่" ตั้งแต่นั้นมา

จนล่วงมาถึงปี พ.ศ. 1991 - 2031 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระสงฆ์ไทยคณะหนึ่งนำกันออกไปอุปสมบทแปลงเป็นสิงหนีนิกาย และศึกษาพระพุทธศาสนา ณ สำนักพระพนรัต มหาเถระในลังกาทวีป สำเร็จแล้วกลับมาตั้ง "คณะป่าแก้ว" ที่ "วัดเจ้าพญาไท" จึงนิยมเรียกชื่อกันว่า "วัดเจ้าพญาไทคณะป่าแก้ว" ภายหลังเรียกเหลือสั้นลงแค่ "วัดป่าแก้ว" และเปลี่ยนเป็น "วัดใหญ่ชัยมงคล" ในปัจจุบัน

วัดโบราณเก่าแก่ในเขต จ.พระนครศรีอยุธยา หลาย ๆ วัดเป็นที่รู้จักดีในหมู่เซียนพระ และนักเล่นของเก่าแก่ว่าจะต้องมีสมบัติมีค่ามหาศาลฝังไว้ใต้ดิน และแน่นอนว่าแต่ละที่จะต้องมี "ภูต" ที่เรียกว่า "ปู่โสม" เฝ้าอยู่ คนที่เชื่อและขยาดในอิทธิฤทธิ์มักไม่กล้าเข้าไปยุ่ง แต่กับกลุ่มคนที่ชอบลักลอบเข้าไปขุด พวกนี้จะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะกิเลสและความละโมบที่มีอยู่ ทำให้ตามืดบอด มองไม่เห็นหายนะและความตายจากคำสาปแช่งที่กำลังจะมาถึง

วัดป่าแก้วหรือวัดใหญ่ชัยมงคล ในอดีตมักจะมีพระธุดงค์แวะเวียนมาปักกลดแสวงหาความวิเวกอยู่เป็นประจำ สมัยนี้เล่ากันว่าบริเวณวัดมีแต่ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นและเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เช่น งูเหลือม งูจงอาง เป็นสถานที่อันตราย เปลี่ยว และยังลือกันว่า "ผีดุ" จนชาวบ้านได้กล้าย่างกรายเข้าไป แต่ก็ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ใช้สถานที่นี้เป็นที่ปักกลดท่านคือ "หลวงปู่สีโห" พระป่ากรรมฐาน ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระปรมาจารย์กรรมฐานแห่งภาคอีสาน

"หลวง ปู่สีโห" ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นเดียวกัน หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัย แต่ไม่ชอบอยู่วัดเพราะท่านรักที่จะอยู่ตามป่า ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" มากจนได้รับการยกย่องว่า มีเมตตาและพลังจิตแก่กล้า มีอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์และอภิญญา

หลวงปู่สีโหท่านเคยมาปักกลดอยู่ในวัดป่าแก้ว ใกล้กับพระเจดีย์องค์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงสร้างเฉลิมฉลองพระเกียรติ ภายหลังที่มีชัยแก่พม่าแล้ว ขณะที่ท่านพำนักอยู่ได้มีคนกลุ่มใหญ่พากันเข้ามาภายในวัดมองดูลักษณะคล้าย พวกโจร คนเหล่านี้มาขอร้องให้หลวงปู่ถอนกลดย้ายไปจากที่นั่น หลวงปู่ถามว่าเหตุใดจึงมาไล่ท่าน คนพวกนั้นตอบตามตรงว่าพวกเขาจะมาขุดทรัพย์ตามลายแทง แต่ไม่อยากให้หลวงปู่ร่วมรับรู้ด้วย และยังได้เล่าต่อไปว่าภายในเขตกรุงศรีอยุธยานี้มีลายแทงโบราณ บอกที่ซ่อนทรัพย์สมบัติไว้มากมายถึง 713 แห่ง พวกเขาขุดพบมาแล้ว 5 แห่ง และตามลายแทงยังบ่งบอกไว้ว่าในบริเวณรอบพระเจดีย์ใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรฯ สร้างนี้มีขุมทรัพย์อยู่ถึง 27 ขุม มีข้าวของเงินทอง และเพชรนิลจินดาอยู่มากมาย จากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้เอาสมุดข่อย ซึ่งเขียนด้วยอักขรไทยโบราณมีรูปแสดงที่ตั้งขุมทรัพย์ใต้ดินในบริเวณรอบ ๆ พระเจดีย์ให้หลวงปู่ดู นอกจากนี้ในสมุดข่อยยังมีแผนที่แสดงขุมทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วกรุงศรีอยุธยาอีกมากมายนับไม่ถ้วน และที่น่ากลัวก็คือ ภายในสมุดข่อยเล่มนั้นมีอยู่หน้าหนึ่งเป็นผ้าเยื่อไม้ซีด ๆ ปรากฏคำสาปแช่งเอาไว้ด้วยโดยที่ไม่รู้ว่า กลุ่มโจรพวกนี้ จะเห็นหรือไม่

เรื่องขุมทรัพย์รายรอบพระเจดีย์นี้เป็นเรื่อง ที่คนโบราณว่าไว้จริง ซึ่งหัวหน้าแม่ชีท่านหนึ่งที่วัดใหญ่ชัยมงคลเคยเล่าให้ผู้เขียนฟัง ในสมัยที่ท่านเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ใหม่ ๆ นอกจากจะได้เห็น "ดวงพระวิญญาณ สมเด็จพระนเรศวรฯ" แล้วท่านยังเคยเห็น "ทองลุก" ซึ่งเป็นไฟพะเนียงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าตรงบริเวณหน้าพระเจดีย์องค์นี้ ซึ่งคนโบราณบอกไว้ว่าถ้าเห็นลักษณะนี้แสดงว่า ใต้ดินบริเวณนั้นต้องมีสมบัติฝังอยู่แน่นอน สำหรับที่มาของขุมทรัพย์เหล่านี้ตามลายแทงโบราณได้บอกไว้ว่าเป็นมหาสมบัติ อันล้ำค่า ของอดีตพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาหลายพระองค์ ที่สมเด็จพระนเรศวรทรงขุดพบ และนำมาฝังไว้ตามคำแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์ป่าแก้ว ผู้เป็นอาจารย์ของพระองค์จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย แก้อาถรรพณ์ดวงเมืองที่ตกต่ำ ร่วงโรยมานานให้รุ่งเรืองขึ้นในยุคสมัยของพระองค์
การขุดสมบัติของกลุ่มโจรในวันนั้นเล่าว่ามีการนำอาจารย์ทาง ไสยศาสตร์มาทำพิธีด้วย มีการเสกไข่เสี่ยงทายและพบไข่เป็นสีต่าง ๆ เช่น สีเหลือง แดง เขียว ดำ ซึ่งบอกให้รู้ว่ามีขุมทรัพย์ประเภททองคำ เพชรนิลจินดา และเงินตราโบราณอยู่มากมาย ทำให้พวกโจรดีใจกันมาก แล้วก็ช่วยกันทำการขุด เมื่อขุดลงไปประมาณ 7 ฟุต ก็พบโครงกระดูก 4 โครง นอนหัวชนกันหันเท้าชี้ไป 4 ทิศ และพอขุดลงไปอีกจอบก็ไปกระทบกับพื้นคอนกรีตโบราณ ซึ่งเป็นหลังคาอุโมงค์เก็บสมบัติ จึงพยายามช่วยกันแซะปากอุโมงค์ให้กว้างขึ้น และน่าประหลาดที่ภายในอุโมงค์มีกระแสลมแรงมาก พัดออกมาตลอดเวลา คล้ายมีพัดลมขนาดใหญ่อยู่ข้างใน อาจารย์ทางไสยเวทย์ที่ร่วมทีมจึงทดลองเอาด้ามเสียมแหย่ลงไปดูปรากฏว่า เสียมถูกกระแสลมตีเศษเหล็กกระจาย ทำให้แน่ใจว่าภายในหลุมนี้มี "หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" ที่คนโบราณผูกไว้สำหรับป้องกันขุมทรัพย์

"หุ่นพยนต์" หรือ "จักรพยนต์" นี้ทำด้วยเหล็กกล้าเนื้อดี และคมกริบเคลื่อนไหวด้วยกลไกที่ผลักดันจากแสง และอากาศที่อัดลงไป นอกจากนี้ยังมีการปลุกเสกลงอาถรรพณ์ ด้วยเวทมนตร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีวิญญาณสิงสถิตย์อยู่ หากจะทำลายก็ต้องแก้ด้วยเวทมนตร์ แต่สำหรับกลุ่มโจรเหล่านี้ แม้จะมีอาจารย์ทางไสยศาสตร์ มาคอยแก้อาถรรพณ์อยู่ด้วยก็ยังทำได้ยาก เพราะขณะกำลังทำพิธีล้างอาถรรพณ์หุ่นพยนต์นั้น อุโมงค์ขุมทรัพย์ก็ได้เลื่อนออกไป เสียงดังครืด ๆ เป็นที่น่าอัศจรรย์ หนำซ้ำยังมีดินถล่มลงมาถมปากอุโมงค์จนเต็ม เป็นการปิดไม่ให้คนเหล่านั้นได้ล่วงล้ำเข้าไปอีก แต่ถึงจะเจออภินิหารซึ่งหน้าเช่นนี้ กลุ่มโจรก็ยังไม่ย่อท้อ ตั้งใจว่าจะเริ่มขุดใหม่ในวันรุ่งขึ้น

ดึกดื่นคืนนั้นพวกโจรกลับกันหมดแล้ว ได้ปรากฏร่างใหญ่โตของคน 4 คน ซึ่งไม่มีหัวมายืนอยู่หน้ากลดหลวงปู่สีโห ทั้งหมดคือภูตที่คอยเฝ้ามหาสมบัติให้สมเด็จพระนเรศวรฯ มาแจ้งให้หลวงปู่ทราบว่า กลุ่มโจรเหล่านี้มาขุดพระราชทรัพย์อันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ ที่ทรงสาปแช่งไว้ แล้วยังทำพิธีไสยศาสตร์ ทำลายข่ายอาถรรพณ์ที่พระครูปุโรหิตโบราณาจารย์ทำไว้ให้เสื่อมอีก เท่ากับเป็นการทำลายดวงชะตาของบ้านเมือง พวกตนจะมาเอาชีวิตไปให้หมดแต่ติดขัดว่ามีหลวงปู่อยู่ด้วย จึงมาแจ้งให้ทราบ แต่หลวงปู่สีโห ซึ่งท่านได้ชื่อว่าเป็นพระที่มีจิตเมตตา ท่านจึงได้ขอบิณฑบาตชีวิตคนเหล่านั้น ขอแค่ดัดนิสัยให้เข็ดหลาบก็พอ ทำให้วิญญาณทั้ง 4 นิ่งอึ้ง และบอกว่าต้องให้หลวงปู่ลองพูดกับพญายมบาลเอง พวกเขาไม่มีอำนาจอะไร เพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้นพูดเสร็จก็เดินหายเข้าไปในองค์พระเจดีย์

หลวงปู่สีโหจึงเข้าฌานติดต่อกับพญายมบาล เมื่อพญายมบาลเปิดบัญชีดูจึงรู้ว่าพวกขุดลักพระราชทรัพย์เหล่านี้ ดวงยังไม่ถึงฆาตในตอนนี้ แต่กรรมหนักกำลังจะตามมาในไม่ช้า แต่ถึงอย่างไรพวกนี้ก็ควรจะได้รับผลจากคำสาปแช่งบ้างจะได้หลาบจำ เป็นอันว่าท่านพญายมตกลงจะไว้ชีวิตพวกโจร ครั้นรุ่งเช้าหลวงปู่สีโหตื่นขึ้นจะไปสรงน้ำ เพื่อออกบิณฑบาตก็ได้เห็นโจรกลุ่มนั้นกำลังนอนดิ้นทุรนทุราย เอามือกุมท้องบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด ขอให้หลวงปู่ช่วย ขณะเดียวกันบนองค์พระเจดีย์ใหญ่ก็เกิดเสียงดังครืน ทำให้ทุกคนหันไปดู เพราะคิดว่าพระเจดีย์จะถล่ม แต่แล้วก็พากันตกตะลึง เมื่อเห็นชายผู้หนึ่งเดินลงมาจากพระเจดีย์พร้อมด้วยผีหัวขาดร่างใหญ่โต และพากันเดินหายไปทางกำแพงแก้วด้านทิศใต้ พวกโจรในที่นั้นร้องอุทานด้วยความตกใจสุดขีด หลวงปู่จึงบอกว่า "พวกเขาคือปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้า" พอได้ยินหลวงปู่พูดเช่นนี้ พวกโจรทั้งหมดก็เกิดความกลัว ตาหูเหลือกลาน จนอาการปวดท้องกำเริบ ทำให้หมดสติไปตามๆกัน หลวงพ่อเห็นแล้วก็ยิ่งเกิดความสังเวชที่เห็นโจรเหล่านี้ถูกลงโทษ เช้าวันนั้นท่านจึงจาริกออกจากอยุธยาไป ปล่อยให้โจรเหล่านั้นนอนสลบไสลเฝ้าขุมทรัพย์ภายในวัดป่าแก้วไปตามยถากรรม

"ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" นั้นมีจริงหากใครไม่เชื่อคิดลบหลู่ลองของก็เชิญพิสูจน์ได้ที่ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดใหญ่ชัยมงคล" จ.อยุธยา เพราะสมบัติมีค่ามหาศาล ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรฯ ณ ปัจจุบันก็ยังคงฝังอยู่ใต้ดินรอบองค์พระเจดีย์นั่นเอง ซึ่งคงต้องรอผู้มีบุญ ผู้มีวาสนาขุดขึ้นมาใช้เป็นพระราชทรัพย์บำรุงแผ่นดิน และพระพุทธศาสนาในยุคต่อ ๆ ไป
                                
                      พระเจดีย์ชัยมงคลเป็นพระเจดีย์ที่สมเด็จพระ นเรศวรมหาราช โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์เฉลิมพระเกียรติในคราวยุทธหัตถีมีชัยชนะ สมเด็จพระมหาอุปราชาแห่งพม่าเมื่อ พ.ศ. 2135 เป็นปูชนียวัตถุสำคัญแห่งหนึ่งของชาติไทย เป็นนิมิตหมายของเอกราช เตือนใจให้ระลึกถึงความกล้าหาญและความเสียสละของบรรพบุรุษ เป็นสัญลักษณ์แห่งอภัยทานของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันเนื่องมาจากธรรมอันประเสิรฐแห่งพระพุทธศาสนา

เรื่องขุมทรัพย์มีจริงครับ.เพียงแต่ว่าอยู่ตรงไหนเท่านั้นเอง แต่ประวัติศาตร์แล้วยังไม่มีการขุดหาอย่างเป็นทางการมีแต่พวกลักลอบเข้าไปขโมยและก็มีอันเป็นไปทุกครั้ง..

ที่มา.http://board.palungjit.com
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-19 16:45
เนื้อหาส่วนนี้ได้คัดลอกมาจาก http://www.pantipmarket.com/mall/jaybbg/index.php?node=webboard&page=details&id=22092

        ...กฎข้อห้ามของพรานล่าสัตว์...ที่ยึดถือ มาแต่โบราณ...เรื่องพวกนี่ควรจะเชื่อและไม่ลบหลู่ครับ...เช่นไม่ยิงสัตว์ที่ ท้องหรือมีลูกอ่อนๆ จะรู้ได้ไงว่าสัตว์นั้นมีลูกหรือกำลังท้อง ต้องหัดสังเกตเองครับ เช่นซูมกล้องส่องนกอยู่ แต่ที่ปากนกคาบแมลงหรือใส้เดือนไว้ตลอด เดาได้เลยครับว่ามันหาอาหารเอาไปป้อนลูกอ่อนของมัน - ยิงสัตว์ต้องยิงให้ตายอย่าปล่อยไปขณะที่สัตว์บาดเจ็บอยู่(เพราะเป็นอันตราย กับพรานอื่น)...ไม่พูดจาหยาบคายขณะออกล่า ....นั่งห้างกลางคืนปวดขี้ปวดเยี่ยวยังไงก็ห้ามลงจากห้างเด็ดขาด มีคนมาเรียกหรือตามให้กลับบ้านก็ห้ามลง ต้องรอจนรุ่งเช้า(บ้างก็กลัวเป็นเสือสมิง-ผีป่า ผีโป่ง ต้องโยนไฟให้คนที่มาเรียกจุดให้ดูก่อน ถ้าจุดไฟได้ก็ลงจากห้างได้..ถ้าไม่ยอมจุดไฟก็ยิงหัวได้เลย)....ไม่ยิงสัตว์ มั่ว ประเภทคะนองปืน เจอตัวอะไรก็ยิงด่ะไปหมด...ห้ามเผาป่าเพื่อให้หญ้าอ่อนระบัดขึ้นใหม่ และมาแอบซุ่มยิงเก้งกวาง-กระต่าย...ห้ามทำปืนผูก(เพราะเป็นอันตรายกับพราน อื่นๆ พรานเก่าๆตายกันมากเพราะโดนปืนประเภทนี้จากพรานรุ่นใหม่ๆที่นำปืนไปผูกไว้ ตามด่านสัตว์เดิน โดยฝืนกฎของพรานเก่าๆ พรานเก่าแทบสูญพันธุ์ ตายแล้วแถมถูกประณามจากชาวบ้านอีก)....ไม่มั่นใจในเป้าอย่ายิง(อาจจะเป็นพวกพรานด้วยกัน นั่งขี้หัวผลุ่บๆโผล่ ๆในดงหญ้าคาหรือที่รกทึบ เพื่อความเป็นส่วนตัว มีประวัติพรานใหญ่ตายคากองขี้ก็แยะเพราะโดนปืนจากพรานกรุง พวกนิยมส่องสัตว์กลางคืน)....ไม่ทิ้งขยะหรือของเหลือใช้ ที่ไม่ใช่ของป่าไว้ในป่า หากจำเป็นจริงต้องกลบฝัง (จะเห็นว่ามีมาแต่โบราณเลย อาจจะเป็นเรื่องกลิ่น ที่สัตว์จะกระสากลิ่นคนเราจากสิ่งของเร็วมาก ทำให้เตลิดหากินในป่าที่ลึกเข้าไปอีก)...ห้ามถ่มน้ำลายในป่า...ต้องทำการข่ม ป่าด้วยการไหว้เจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขาทุกครั้ง เมื่อออกล่าสัตว์ในพื้นที่นั้นๆ เซ่นไหว้ด้วยข้าว ยาเส้น- หมากพลู ที่เตรียมไป...อยากยิงอยากได้อะไรก็ขอท่านไป....(เมื่อเอ่ยขอแล้ว ห้ามยิงสัตว์ที่ไม่ได้ขอเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเกิดเภทภัย เช่นขอเก้งกวาง แต่ไปยิงกระทิง จะเกิดฝนถึงพายุใหญ่ จนพรานอยู่ไม่ได้ หรือติดตามกระทิงที่ยิงไม่ได้ เผลอๆถูกฟ้าผ่าตายอีก เพราะไปทำผิดกฎที่ขอไว้)....ห้ามทำห้างบนต้นไทร...ห้ามนั่งห้างบนต้นไม้ที่ มีรากโผล่ขึ้นมาบนผิวดินเด็ดขาด(เพราะต้นไม้พวกนี้มีผีหรือเจ้าที่ สิงอยู่)....ห้ามทำลูกห้างเกินจำนวน(ผมจำไม่ได้ว่าต้องใช้ไม้กี่ท่อนที่มาทำ ลูกห้าง แต่ห้ามถึงสิบท่อนแน่ การนั่งห้างถึงได้ลำบากมากเพราะมีกฎนี้อยู่ จะหาไม้มาทำแยะๆจะได้นั่ง-นอนแบบรอสบายๆอุราไม่ได้เลย)...ห้ามหลับบนห้าง เด็ดขาด...พรานบางคนนั่งหลับ แล้วโดนงูเหลือม-หลามเลื้อยขึ้นไปรัด ก็มีแยะเป็นตำนานเลยเรื่องพวก นี้...ห้ามนั่งห้างที่มียอดไม้ติดชิดๆกันหรือกิ่งก้านใกล้ๆกัน เพราะงูเหลือม-หลามมันจะเข้ามาทางหัวพรานเลยโดยการทิ้งตัวลงมารัดและเขมือบ แบบตื่นๆเนี่ยแหละ เพื่อนพรานมาวู้เรียกตอนเช้า ก็ไม่เห็นแล้วงูเอาไปย่อยแล้ว(มีพรานหลายคนที่หายตัวสาบศูนย์ไปเลยจากบน ห้าง...การนั่งห้าง งูเหลือม-หลามคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับพรานที่ชอบเข้าป่าลึกๆ)..... พรานเก่าแก่ชาวกระเหรี่ยงบางคนจะใช้เชือกกล้วยมาทำเป็นเข็มขัด และสร้อยคอ เวลาขึ้นนั่งห้าง (งูเหลือม-หลามจะแพ้ตบะกลิ่นยางจากเปลือกของต้นกล้วยยิ่งแห้งยิ่งดี เคยอ่านเจองูเหลือมเขมือบกินพรานคาไว้ครึ่งตัว เพราะไปติดตรงเอวที่มีเชือกกล้วยผูกไว้ จะกลืนก็ไม่ได้จะคายก็ไม่ออก เพราะถ้าสัมผัสกับเชือกแล้วงูหลาม-เหลือมมันจะนิ่งเลยไม่ค่อยขยับตัว ตัวที่กินพรานเลยขยอกน้ำย่อยจากท้องให้ย้อนขึ้นมาที่ปาก เพื่อจะพยายามย่อยพราน และมีกลิ่นคาวเหม็นคลุ้งไปหมด).....ห้ามนั่งบังไพรตามโป่งดิน บริเวณที่มีดินโป่งต้องหาต้นไม้ทำห้างอย่างเดียว (พรานโบราณเชื่อเรื่องผีโป่งมาก...ผีโป่งมีลักษณะเป็นลูกไฟกลมๆลอยไปลอยมามี เสียงร้องกรีดแหลมเหมือนเสียงผู้หญิงหรือเด็กเล็ก)....ห้ามตั้งแคมป์ใน บริเวณที่ใกล้แหล่งน้ำ(เพราะช้างป่าจะมาเหยียบเอาได้)...กินน้ำจากป่าต้องนำ มาต้มก่อนทุกครั้ง(มีเชื้อมาลาเลีย) วันพระห้ามออกล่าเด็ดขาด...ไม่ตีงูจงอาง...(เพราะกลัวคู่ของมัน)...ไม่นำลูก ของสัตว์ป่ามาขาย-ไม่ทำลายสัตว์ที่กำลังเป็นแม่....ห้ามมีเพศสำพันธ์กันใน ป่า
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-8-19 16:48
นายเภา   แสนดี   ชาวบ้านตากลางอายุ  ๗๕  ปี   เป็นหมอช้างที่ยังมีชีวิตอยู่ได้เล่าตำนานพระมอเฒ่า   หรือพระหมอเฒ่าซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในบรรดาหมอช้างทุกคน   เมื่อวันที่  ๑๘  สิงหาคม  ๒๕๓๗ให้หลวงพี่หาญหลานชายที่บวชจำพรรษาอยู่ที่วัดในหมู่บ้านตากลาง   ตำบลกระโพ   อำเภอท่าตูมจังหวัดสุรินทร์   มีความว่า            

พระ หมอเฒ่าคนสุดท้ายของชาวส่วยหรือชาวกูยที่มีอาชีพคล้องช้างป่า   มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทุกสารทิศในความสามารถเกี่ยวกับการจับช้างป่า ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงาน   ต่อมาได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียงอยู่กันมาจนมีลูกชายหนึ่งคนชื่อ  “ก่อง”  หรือภาษาส่วยเรียกว่า “อาหก่อง” เป็นที่รักและห่วงใยของพ่อแม่เป็นอย่างมาก   เมื่อเติบโตเข้าสูวัยหนุ่มก็ได้รับตำแหน่ง “กำรวงปืด”  (ครูบาใหญ่)   ตามประเพณีที่มีพ่อเป็นพระมอเฒ่าโดยไม่ต้องไต่เต้าตามลำดับ   โดยประเพณีที่สืบทอดกันมาได้กำหนดไว้ว่าผู้มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาหมอช้าง ถ้ามีลูกคนแรกเป็นชายให้หมอช้าง ทั้งหลายนำเอาเปลือกต้นกระโดนมารองรับตัวเด็กให้นอนพร้อมกับประกาศยกฐานะ หรือตำแหน่งหมอช้างคือ“กำรวงปืด”ให้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนใดๆ   แต่ถ้าลูกคนแรกเป็นผู้หญิงก็จะไม่มีสิทธิพิเศษดังกล่าว

ก่องหรืออาหก่อง   เป็นทายาทสืบทอดมรดกทุกอย่างต่อจากพระมอเฒ่าที่พ่อแม่ภาคภูมิใจมากเพราะ ตั้งแต่เล็กจนโตก่องเป็นเด็กดี   มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่และขยันขันแข็ง   พระมอเฒ่าจึงคิดที่จะถ่ายทอดวิชาทุกอย่างให้กับลูกชาย   ให้มีความสามารถทุกอย่างโดดเด่นเหนือชายหนุ่มทุกคนในบ้าน

วัน หนึ่งพระมอเฒ่าได้พาลูกและภรรยาออกไปเรียนรู้การคล้องช้างโดยไม่บอกใครเลย เพราะต้องการตามใจลูกที่ไม่ต้องการให้ใครรู้หรืออาจเป็นเพราะความประมาทของ พระมอเฒ่าด้วย   ประกอบกับความเย่อหยิ่งในความสามารถของตนเองที่ไม่มีใครเทียบเท่า   จึงคิดว่าจะทำอะไร หรือทำอย่างไรก็ได้

ย้อนกลับไปในอดีต  “อาหก่อง”  เกิดเป็นลูกช้างป่า   ถูกพระมอเฒ่าคล้องมาได้   เมื่อนำมาฝึกอย่างหนักในหมู่บ้านก็ทนกับสภาพสิ่งแวดล้อมไม่ได้จึงตรอมใจ ตาย   แล้วกลับชาติมาเกิดเป็นลูกชายของพระมอเฒ่า   อาหก่องสามารถจำชาติก่อนได้ทุกอย่างจึงคิดถึงแม่ช้างป่าตลอดเวลา   โดยเฉพาะเวลาที่เห็นบรรดาหมอช้างออกไปคล้องช้างในป่าก็ยิ่งคิดถึงแม่มากขึ้น

เมื่อกลับชาติมาเป็นคน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เกิดมาเป็นลูกของพระมอเฒ่าแล้ว   ก็ได้โอกาสเหมาะที่รอคอยมานาน   ในตอนที่พระมอเฒ่าจะพาภรรยาและตนออกไปคล้องช้าง   ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วการออกไปคล้องช้างในป่านั้น   ได้ห้ามนำภรรยาไปด้วย   นอกจากนี้ก็ห้ามให้ลูกนั่งบนช้างเชือกเดียวกันกับพ่อด้วย   แต่พระมอเฒ่าก็ละเลยไม่ปฏิบัติตาม   ซึ่งถือว่าผิดธรรมเนียมประเพณีอย่างร้ายแรง ทั้งนี้อาจเนื่องจากเชื่อว่าตนเองเป็นผู้มีตำแหน่งสูงสุด   มีความสามารถที่จะดูแลภรรยาและลูกได้

นอกจากนี้ยังต้องการให้อาหก่องไม่ต้อง ลำบากในการหุงหาอาหารจึงให้ภรรยาไปคอยหุงหาอาหารให้ ที่สำคัญคือต้องการฝึกลูกชายให้เป็นคนเก่งโดยไม่ต้องการให้ใครรู้

ก่อนออกไปคล้องช้างป่าและระหว่างการ เดินทางไปคล้องช้างในป่าลึก   อาหก่องได้ขอร้องให้พ่อคล้องเอาช้างผู้เป็นแม่ช้าง   โดยให้เหตุผลว่าเมื่อคล้องได้แม่ช้างแล้วลูกช้างก็จะต้องติดตามผู้เป็นแม่ ช้างมาด้วย   แต่พระมอเฒ่าผู้เป็นพ่อได้บอกว่าโดยธรรมเนียมการคล้องช้างนั้นจะไม่คล้องเอา แม่ช้าง

การคล้องช้างจะคล้องเอาเฉพาะลูกช้าง   เพราะต้องการให้แม่ช้างอยู่ในป่าเพื่อผลิตลูกช้างให้อีกต่อๆ ไป และถ้าคล้องเอาแม่ช้างไปด้วยจะทำให้การฝึกลูกช้างเป็นไปด้วยความยากลำบาก   ลูกช้างจะคลอเคลียกับแม่ช้าง   และไม่สนใจการฝึกซ้อม   ความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกเป็นอยู่เรื่อยๆ เพราะต่างคนต่างยืนยันความเห็นของตนเอง   ไม่มีใครยอมใคร   เมื่อถึงบริเวณดงช้างพระมอเฒ่าได้นำภรรยาพร้อมด้วยสัมภาระต่างๆ   ไปไว้ที่จันรมย์ (ที่พัก) ใกล้ต้นหว้าใหญ่   เพื่อให้ภรรยาเตรียมหุงหาอาหารไว้คอยตนกับลูกชาย   โดยให้ภรรยาอยู่ตามลำพังเพียงผู้เดียว

ต่อจากนั้นพระมอเฒ่าก็เริ่มพิธีเบิก ไพร (เปิดป่า)   จัดหนังปะกำมาวางบนหลังช้างไม้คันจามและอุปกรณ์ที่จำเป็น   โดยให้อาหกร่องเป็นมะนั่งท้ายบนช้างต่อ   เสร็จแล้วก็พากันขับช้างเข้าสู่ป่าทึบที่ช้างอาศัยอยู่   เดินทางไปได้ซักครู่ใหญ่พระมอเฒ่าก็มองเห็นโขลงช้างใหญ่กำลังกินอาหารอยู่ กันอย่างเงียบๆ

พระมอเฒ่าจึงได้ขับช้างอาสาเข้าใส่ กลุ่มช้างโขลงนั้นทันที   บังเอิญว่าช้างโขลงนั้นมีแม่ช้างซึ่งในอดีตเคยเป็นแม่ของอาหก่อง   พร้อมน้องๆ และเพื่อนๆ อีกมากมายอยู่ด้วยกัน   อาหก่องเมื่อเห็นดังนั้นก็ตะโกน บอกพ่อให้คล้องเอาแม่ช้างโดยเร็วหลายๆ ครั้ง   แต่พระมอเฒ่าไม่สนใจเพราะต้องการคล้องลูกช้างเท่านั้น   อาหก่องได้เห็นพ่อไล่กวดลูกช้าง   เห็นภาพที่แม่ช้างพยายามปกป้องลูกช้างให้วิ่งหนีโดยเร็ว   ได้เห็นสภาพแม่ช้างที่ตกใจ   เห็นแม่ช้างเหนื่อยหอบเพราะแม่ช้างแก่มากแล้ว

จึงตัดสินใจกระโดดขี้หลังแม่ช้างไป   ฝ่ายแม่ช้างเมื่อเห็นคนกระโดดขี้หลังก็ตกใจกลัวสุดขีดจึงเร่งความเร็วในการ วิ่งสุดชีวิต   ทำให้ห่างออกไกลจากพระมอเฒ่าเรื่อยๆ   ฝ่ายช้างตอเมื่อไม่มีผู้ขับขี่หรือบังคับก็ไม่ใส่ใจที่จะวิ่งไล่กวดโขลงช้าง อีกต่อไป

ทางด้านพระมอเฒ่าก็ตกใจที่เห็นอา หก่องกระโดดขี้หลังแม่ช้างไป   และด้วยความเป็นห่วงลูก พระมอเฒ่าก็ได้ร้องเรียกหาอาหก่องๆๆๆ ไปเรื่อยๆ   โดยไม่สนใจฝูงลูกช้างอีกต่อไป   แต่กลับให้ช้างวิ่งตามแม่ช้างเพื่อติดตามหาอาหก่อง   ได้ยินเสียงอาหก่องร้องตอบมาว่า   กู๊กๆๆๆๆ   แต่เสียงนั้นก็ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ   เพราะแม่ช้างเองก็รีบหนีให้เร็วสุดชีวิตเพราะมีคนอยู่บนหลังของตนเอง

จนในที่สุด แม่ช้างที่อาหก่องกระโดดขึ้นขี่ก็หายไปพร้อมกับความมืดที่เริ่มปกคลุมป่า   พระมอเฒ่าเสียใจมากและได้พยายามค้นหาอาหก่องท่ามกลางความมืด   แต่ก็ไม่มีวี่แววและเสียงขานตอบจากลูกชายเลย   เมื่อดึกมากแล้วพระมอเฒ่าก็ตัดสินใจกลับไปหาภรรยาพร้อมช้างคู่ใจ   ระหว่างทางก็ตัดพ้อว่าลูกทิ้งพ่อแม่ที่แท้จริงไปได้ลงคอ   ทั้งที่ตนเองหวังดีอยากให้อาหก่องเก่งกว่าคนอื่นๆ   ทำไมลูกถึงไม่เข้าใจพ่อแม่เลย

พระมอเฒ่าได้แต่ร่ำไห้มาตลอดทาง   เมื่อมาถึงต้นหว้าใหญ่ก็ได้ร้องเรียกภรรยาแต่ไม่มีเสียงใครตอบรับ   ก็เข้าใจว่าภรรยาคงนอนหลับแต่เมื่อเดินเข้าไปหาก็ไม่เห็นภรรยานอนอยู่จึง เดินเรียกหาภรรยาไปเรื่อยๆ   แต่ก็ไม่พบ   ด้วยความเหนื่อยล้าและความมืดปกคลุมไปทั่ว   พระมอเฒ่าจึงตัดสินใจว่าจะตามหาภรรยาในตอนกลางวันแทน

เมื่อถึงเวลาเช้าพระมอเฒ่าจึงเดิน ตามหาภรรยาตนเองอีกครั้ง   ปรากฏว่าเจอเลือดและเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายอยู่เป็นบริเวณกว้าง   พระมอเฒ่าเกิดความสงสัยจึงเดินตามหาไปทั่ว   ในที่สุดก็พบแขนข้างหนึ่งของภรรยาอยู่บนพื้นที่มีเลือดกระจายอยู่ทั่ว บริเวณ   จึงเข้าใจว่าเสือได้กัดกินภรรยาของตนเองไปแล้ว   พระมอเฒ่าทั้งตกใจและเสียใจเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ   ได้แต่ร่ำร้องไห้จวนจะขาดใจตาย ตามลูกและภรรยาไปด้วย   ความเสียใจบวกกับความเหนื่อยล้าของพระมอเฒ่าทำให้หมดกำลังที่จะคิดทำอะไรต่อ ไป   จึงได้นำแขนข้างหนึ่งของภรรยาขึ้นหลังช้างและนอนนิ่งๆ   อยู่บนหลังช้างเพื่อให้ช้างพากลับบ้าน

เมื่อถึงหมู่บ้านชาวบ้านต่างสงสัยว่าพระมอเฒ่าหายไปไหน   ภรรยาและอาหก่องหายไปไหน

เมื่อถูกชาวบ้านถามมากๆ ยิ่งไปตอกย้ำความเสียใจให้กับพระมอเฒ่ามากยิ่งขึ้น   พระมอเฒ่าไม่ตอบชาวบ้านแต่อย่างใด   ได้แต่บอกว่าตนเองไม่เหลืออะไรแล้ว   จะเหลือก็เพียงแขนของนางเท่านั้น   ทุกคนต่างดูสัมภาระของพระมอเฒ่าที่อยู่บนหลังช้าง   เมื่อทุกคนเห็นแขนข้างหนึ่งและอุปกรณ์อื่นๆ   แต่ไม่เห็นภรรยาและอาหก่องลูกชายของพระมอเฒ่าก็คาดเดากันพอเข้าใจเรื่องราว ต่างๆ ได้บ้าง   พระมอเฒ่าได้ฝากส่วนแขนของนาง (หมายถึงแขนของภรรยา)   ให้ทุกคนช่วยกันจัดการแล้วแต่ความเหมาะสมด้วย

ส่วนคนที่จะไปคล้องช้างถ้าอยากได้ ช้าง   หรือทำอะไรเกี่ยวกับช้างก็ให้ขออาหก่องทุกครั้ง เพราะอาหก่องถือว่าเป็นเจ้าของช้างในป่าทั้งหมดไปแล้ว   และก่อนสิ้นใจพระครูปะกำ (เป็นตำแหน่งรองจากพระมอเฒ่า)   ได้เข้าไปกอดพระมอเฒ่าพร้อมกับจับหนังปะกำไว้   เป็นการรับมอบพิธีการคล้องช้างไว้ต่อจากพระมอเฒ่า   โดยให้สัญญาว่าจะรักษาให้สุจริตและรักษาให้เคร่งครัด   แต่ไม่ขอรับตำแหน่งเทียบเท่าพระมอเฒ่า   จะขอรับเพียงตำแหน่งพระครูปะกำเท่านั้น  ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าในปัจจุบันไม่มีตำแหน่งพระมอเฒ่า   จะมีเพียงตำแหน่งครูบาใหญ่หรือตำแหน่งกำรวงปืด   ซึ่งเป็นตำแหน่งที่รองลงมาเท่านั้น  ต่อมาก็มีการประชุมหารือและตกลงกันในบรรดาหมอช้างว่าจะเอาแขนนางไว้ในบวง บาศก์ทุกครั้งที่ทำหนังปะกำจึงเรียกบ่วงบาศก์ว่า  “แขนนาง”  และกิจกรรมที่เกี่ยวกับช้างทุกครั้งก็จะพูดถึงหรือเรียกหา  “อาหก่อง” มาจนถึงปัจจุบัน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   การคล้องช้างก็ไม่มีการนำภรรยาหรือผู้หญิงติดตามไปด้วยเลย   มีการบัญญัติว่าเป็นข้อห้ามที่ต้องถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด   รวมทั้งห้ามไม่ให้พ่อกับลูกขี่ช้างเชือกเดียวกันเด็ดขาด   ก่อนออกไปคล้องช้างทุกคนต้องผ่านการทำพิธีปะซะปะซิเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ก่อนออกเดินทาง   เมื่อคล้องช้างเสร็จแล้วแม้ว่าจะได้ช้างหรือไม่ได้ช้างมาด้วยก็ตามต้องมาทำ พิธีใหม่อีกครั้ง เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ   ถ้าไม่ได้ช้างก็ต้องหาสาเหตุว่าใครทำผิดข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติใดบ้าง   ถ้าไม่มีใครยอมรับก็จะถือว่าผู้ที่ทำผิดข้อห้ามนั้นจะมีอันเป็นไปเอง   บางครั้งก็จะมีอาการเจ็บปวดหรือมีอันเป็นไปต่างๆ นานา   ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีมาจนถึงทุกวันนี้

จากเรื่องเล่านี้พอสรุปได้ว่าในการ อยู่รวมกันเป็นกลุ่มชนหรือการทำงานเป็นกลุ่มนั้น   ทุกคนจะต้องเคารพกฎ   ระเบียบ   กติกาของหมู่คณะอย่างเคร่งครัด   ทุกคนจะต้องสามัคคีกัน   มีจิตใจบริสุทธิ์คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน   ถ้าใครมีจิตใจไม่บริสุทธิ์   ไม่เคารพกฎ  ระเบียบ   กติกาหรือเห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่นก็จะได้รับผลร้ายตอบแทนทั้งกับตนเองและครอบครัว

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-29 16:52
อาถรรพ์เนินดินลี้ลับ  ปริศนาศิลาแลง  ในตำนานวัดโบราณ ตอนที่ ๑  : เรื่องเล่าโดยลุงเสียน  บุญรอดรัมย์
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=318750
         
                            สภาพเนินดินรกร้างที่คุ้มบ้านโคกกระดี่
ห่างจากบ้านบัวไปทางทิศตะวันตกราว ๑ กิโลเมตร จะเป็นที่ตั้งของคุ้มบ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “โคกกระดี”
ที่กลางคุ้มบ้านแห่งนี้  จะมีเนินดินใหญ่รกร้างซึ่งถูกปกคลุมด้วยแมกไม้จนหนาทึบ  และบนเนินดินแห่งนั้นยังพบว่ามี “ทมอบายกรีม” หรือ “ศิลาแลง”  จมลึกอยู่ในดินเป็นจำนวนมากมาย  คนเฒ่าคนแก่แต่โบราณเชื่อกันว่ามันเป็นซากชิ้นส่วนของ “วัดโบราณ” ที่สร้างขึ้นมาในสมัยขอมเรืองอำนาจ
นอกจากความเชื่อที่ว่าแล้ว  ยังมีเรื่องราวที่เล่าขานต่อ ๆ กันมาอีกว่า
ในช่วงฤดูน้ำหลาก  พระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ยังวัดโบราณแห่งนั้น  จะต้องพายเรือออกมาบิณฑบาตและรับกิจนิมนต์ยังหมู่บ้านที่อยู่อีกฟาก  เนื่องจากในช่วงฤดูดังกล่าว  ทางเกวียนเล็ก ๆ ที่ใช้สัญจรไปมาระหว่างหมู่บ้านกับวัด  จะถูกน้ำหลากเข้าท่วมจนดูเหมือนกับว่าเป็นทะเลสาปขนาดใหญ่  
ครั้นพอน้ำลดระดับลง  ผู้ปกครองหมู่บ้านในเวลานั้น  ได้ทำการเกณฑ์แรงงานคนให้มาช่วยกันขุดดินปั้นเป็นคันทำนบกั้นน้ำ  ซึ่งนอกจากจะสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้แล้ว  คันทำนบยังกลายเป็นเส้นทางสำคัญของคนสมัยนั้นที่ใช้เดินทางไปทำบุญสุนทานยังวัดโบราณที่ว่า  
แต่อย่างไรก็ตาม  ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานชิ้นใดที่จะบอกได้ว่า  วัดโบราณกับทำนบกั้นน้ำดังกล่าว สร้างขึ้นในยุคไหน  และใครเป็นคนมาสร้าง  เนื่องจากเรื่องเล่าที่ว่ามานี้  ก็เล่าต่อกันมาหลายต่อหลายรุ่น แม้แต่ผู้อาวุโสที่อายุ ๘๐ กว่าปี  ท่านก็ยังบอกว่าฟังมาจากตายายของท่านอีกต่อหนึ่ง  
  
      
       ถนนสายบ้านบัว - หนองทะลอก (ทำนบคันดินโบราณในตำนาน)
                     
นอกจากความเชื่อที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมาแล้ว   เรื่องเล่าจากความทรงจำของ “ลุงเสียน  บุญรอดรัมย์”  ซึ่งในช่วงวัยรุ่นเคยต้อน
ฝูงควายเข้าไปเลี้ยงยังเนินดินรกร้างแห่งนั้นอยู่เป็นประจำ  ก็นับเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ช่วยทำให้ภาพของวัดโบราณมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ลุงเสียน  ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่  เล่าให้ฟังว่า
“เมื่อก่อนจะเป็นเนินดินสูงมาก  มีต้นไม้ขึ้นรกทึบ  ตรงกลางเนินจะมีกองศิลาแลงรูปทรงคล้ายฐานเจดีย์กว้างประมาณ ๓ x ๓ เมตรอยู่ ๑ กอง  รอบ ๆ เนินดินจะมีทะมอบายกรีม (ศิลาแลง) เรียงรายเป็นกำแพง สูงประมาณ ๑ เมตร  ทางด้านทิศตะวันออกเป็นเหมือนซุ้มประตูทางเข้า  ตรงซุ้มจะมีแผ่นหินสลักอักษรตกอยู่ ๑ แผ่น  ตาของลุงบอกว่าเป็นภาษาเขมรต่ำ  ถัดจากกำแพงก็จะเป็นคูน้ำล้อมรอบ ๑ ชั้น สมัยนั้นน้ำจะขังเต็ม เป็ดไก่ของชาวบ้านก็จะปล่อยมาเล่นน้ำที่นี่  ควายของลุงก็มากินน้ำที่นี่”
นอกจากบอกเล่าถึงภาพของวัดโบราณจากความทรงจำแล้ว  ลุงเสียน  ยังเล่าถึงความลี้ลับซึ่งลือกันในหมู่ชาวบ้านและที่เจอมากับตัวเองอีกว่า
“จากที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังต่อ ๆ กันมาก็คือ  ทุกคืนวันโกน  วันพระ  ชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นจะได้ยินเสียงมโหรีปี่กลองสลับกับเสียงคนพูดคุยกันดังแว่วมาจากวัดโบราณเหมือนกับมีงานบุญ  บางคนก็ฝันเห็นคนชุดขาวมาบอกให้ช่วยกันดูแลรักษา   แต่ลุงไม่เคยได้ยิน  แต่ที่เจอกับตัวเองและจำมาถึงทุกวันก็คือ  วันนั้นประมาณ ๔ โมงเย็นลุงกำลังต้อนฝูงควายกลับบ้าน  พอจะเข้าบ้านก็มีคนแก่ใส่ชุดสีขาวสะพายย่ามเดินมากับเด็กผมจุก   
        
                               อีกมุมหนึ่งของเนินดินรกร้าง
พอเดินมาถึงแกก็ถามลุงว่า  “ไอ้นายวัดเก่าอยู่ตรงไหน” ลุงก็ชี้ทางบอกแก  ก็คิดในใจว่าตาคนนี้คงจะมาทำพิธีขอหวย  ตอนนั้นก็รีบต้อนควายกลับบ้าน  เอาควายเข้าคอกเสร็จก็รีบกลับมาหาตาแก่คนนั้นกะว่าจะมาขอหวย แต่เรียกหาอยู่หลายรอบก็ไม่เจอ  เวลาพูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ยังแปลกใจอยู่ว่าแกหายไปทางไหนเร็วจังทั้งที่บ้านลุงกับคูโบสถ์อยู่ใกล้กันนิดเดียว”
นอกเหนือจากความลี้ลับที่ว่ามาแล้ว  อาถรรพ์บนเนินดินรกร้างแห่งนั้น  ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่ทำให้หลายคนหวาดผวา  โดยเฉพาะคนที่กระทำการลบหลู่ล่วงเกิน ในเรื่องนี้ลุงเสียนเล่าเพิ่มเติมว่า
“ประมาณปี  ๒๕๑๘  มีคนมาแอบขุดหาของเก่า ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเป็นคนที่ไหน  มารู้ตอนหลังว่าเป็นชาวบ้านอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งที่ไกลออกไป  ที่รู้เพราะมีข่าวลือมาว่า  คนในหมู่บ้านนั้นตายไปหลายคน  ญาติพี่น้องเชื่อว่าที่ตายก็เพราะโดนอาถรรพ์จากการมาขุดหาของเก่าที่บ้านบัว  หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป หลวงพ่อกับชาวบ้านบัวก็พากันขนทมอบายกกรีมกับวัตถุโบราณบางส่วนมาไว้ที่วัดเพื่อความปลอดภัย”
หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าจากลุงเสียนแล้ว  ผมกับพรรคพวกในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่ง  ได้พากันเข้าไปสำรวจซากวัดร้างที่ว่า  และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็เข้าไปอีกครั้ง  แต่เอาไว้คราวหน้าผมจะเอาเรื่องที่ไปสำรวจมาเล่าสู่กันฟังครับ  
หมายเหตุ : สำหรับเรื่องเล่าเรื่องนี้  ในนาม “ชาวบ้านบัว” ขอขอบพระคุณ “ลุงเสียน  บุญรอดรัมย์”  ที่กรุณาบอกเล่าเรื่องราวอันมีค่านี้ไว้ให้ลูกหลานชาวบ้านบัวได้รับฟัง  นับเป็นวิทยาทาน  เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ในการบันทึกประวัติศาสตร์ของหมู่บ้าน  ขอให้ดวงวิญญาณของท่านจงไปสู่สรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ด้วยเทอญ

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-29 16:54
“ตอนเหล็กไหล”
ถ้ำมรณะ
        อากาศยามเช้าของฤดูหนาววันนี้ มันช่างหนาวเย็นยะเยือกทะลวงไปจับขั้วหัวใจ ละอองหมอกสีขาวนวลปกคลุมไปทั่วหมู่บ้าน ที่ลานบ้านของผมมีพ่อแม่เพื่อน ๆ และเพื่อนบ้านอีกหลายคน มานั่งล้อมกองไฟเพื่อเอาความอบอุ่น แม้เดวงตะวันจะโผล่พ้นขอบเขาขึ้นมามากแล้ว ความหนาวเหน็บในปีนั้นก็ดูจะยังไม่สร่างซาลง กลิ่นจากกระบอกข้าวหลามที่ตั้งเผาอิงอยู่ข้างกองไฟ ส่งกลิ่นหอมยวนยั่วน้ำย่อยในกระเพาะให้ไหลออกมา กลิ่นข้าวหลามเผาทำให้ผมหวนคิดไปถึงเรื่องราวอาถรรพ์มรณะ ที่ซ่อนตัวอยู่ภายในถ้ำใหญ่แห่งภูเขาควาย ที่ยืนทะมึนเสียดฟ้าท้าแดด ท้าลม ท้าหนาว  ท้าฝน ท้าแล้ง มานานนับพัน ๆ ปี อยู่ ณ แดนดินถิ่นล้านช้างโพ้น ซึ่งมองจากหมู่บ้านของผมไปเห็นชัดเจนเหมือนมันอยู่ที่ชายหมู่บ้านนี้เอง
        ภาพเหตุการณ์เรื่องราวอาถรรพ์ที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟัง มันผุดขึ้นมาชัดเจนในมโนสำนึกของผม   สามเณรอายุประมาณสัก 18 ปีเนื้อตัวมอมแมม ตามใบหน้าเลอะเทอะไปด้วยคราบเหงื่อ ตามผ้าจีวรที่ห่มกายยับยู่ยี้ไม่เป็นระเบียบนั้น เต็มไปด้วยคราบด่างดวงของเลือดมนุษย์   ในมือทั้งสองของเณรน้อยถือห่อผ้าจีวรขาดๆ มาสองห่อ หน่อเนื้อเชื้อศาสนามีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นัยตาทั้งสองเหมือนคนสติไม่สมบูรณ์มันเหม่อลอยและหวาดหวั่น ท่านเดินโซซัดโซเซมาจากทิศทางของภูเขาควาย ภูเขาที่ผู้คนทั้งหลายเลื่องลือถึงเรื่องอาถรรพ์ดิบทั้งหลาย
“เอ้า.นั่นเณรน้อยเจ้าไปไหนมานะ และในมือของเจ้ามันห่ออีหยัง (ห่ออะไร) ละหือ?” พระที่ดูมีอายุมากกว่าเอ่ยทักถามเณรน้อย ที่กำลังเดินกระหืดกระหอบก้มหน้าก้มตา แทบจะเดินชนกับคณะพระธุดงค์สามรูปที่กำลังเดินสวนทางมุ่งหน้า ไปยังทิศทางเดียวกันกับที่เณรน้อยกำลังเดินจากมา ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่แฝงไว้ด้วยพลังแห่งเมตตา ทำให้เชื้อพระศาสนาตัวน้อยหยุดชะงัก “โอ...หลวงพ่อขอรับ ชะ..ช่วยผมด้วย” สามเณรผู้มีใบหน้าซีดเผือดเหมือนเพิ่งได้สติ พูดละล่ำลักพร้อมกับทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง
“ไหน..ๆ ค่อย ๆ ตั้งสติให้ดีสิ๊ลูกเณร เจ้าจะให้พวกหลวงพ่อเนี้ย ช่วยอะไรเจ้า เจ้ามาจากไหน และ เป็นอะไรกันแน่ ดูท่าทางเจ้าจะตกใจเอามาก ๆ เลยทีเดียว” นักรบแห่งกองทัพธรรมที่มีอายุอ่อนกว่าองค์แรก เอ่ยถามเณรน้อย ต่างรอฟังคำตอบที่ดูว่าน่าจะมีอะไรที่นำความตื่นตระหนกตกใจมาสู่สามเณรแน่
        เป็นไปตามความคาดคิดจริง ๆ เรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวค่อย ๆ ไหลพรั่งพรูออกจากปากอันสั่นระริกของลูกเณร  “เอาละ ๆ เณรน้อยเอ๋ย เจ้าหายกลัวได้แล้วเน้อ ตอนนี้เจ้านะ กำลังอยู่ต่อหน้าเฮาหลวงพ่อเสาร์ หลวงพ่อมั่น หลวงพ่อสิงห์ แล้ว เจ้าฮู้จักหลวงพ่อทั้งสามมั๊ยละหื้อ ?” จบคำปลอบประโลมและแนะนำตัว
หน้า 3
ของพระผู้เป็นหัวหน้าและยังเป็นพระอาจารย์ของพระอีกสององค์ เณรน้อยก็เหมือนได้น้ำทิพย์ชโลมใจ อาการหวาดกลัวและตื่นตระหนกเหมือนคนจะเป็นบ้าเมื่อสักครู่ ได้มลายหายเป็นปลิดทิ้ง หน่อเนื้อเชื้อพระพุทโธยิ้มทั้งน้ำตา   ก้มลงกราบแทบเท้าพระอริยะเจ้าทั้งสามอย่างไม่ต้องคิดอะไรอีก
“เออนี้  เจ้าเณรน้อย เจ้ายังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่า ในห่อผ้านั้นนะมันคืออะไร หือ?” มันคือเศษผ้าจีวร เศษรองเท้า และก็ใบสุทธิของหลวงพี่ทั้งห้าองค์ที่มรณะไปแล้วนั่นแหละขอรับ ผมกำลังจะเอาไปให้ญาติโยมของท่านเพื่อเป็นหลักฐานขอรับหลวงพ่อ” “อืม..เอายังงี้ หนทางที่เจ้ากำลังจะเดินต่อไปข้างหน้านั้นมันยังอีกไกลนา เจ้าซ่อนห่อผ้าเอาไว้แถวนี้ก่อนเถอะนะ แล้วเจ้าก็นำทางหลวงพ่อกลับไปที่ถ้ำเหล็กไหลอีกครั้งก่อน” สามเณรน้อยมีอาการหวาดหวั่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเอ่ยถึงสถานที่แห่งนั้น แต่เมื่อถูกปลอบใจก็คลายความหวาดหวั่นลง แล้วออกเดินนำทางคณะอริยะธุดงค์ตามคำสั่งของหลวงปู่เสาร์ผู้เป็นหัวหน้าคณะ   เหตุผลทราบภายหลังว่า “ถ้าให้เณรน้อยกลับบ้านเพียงลำพังจะตายด้วยเป็นเหยื่อของเสือร้าย ให้เดินตามหลังก็มีอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน และครูบาอาจารย์ทั้งสามก็เล็งแลเห็นด้วยอนาคะตังสะญาณว่า เฌรตัวน้อยๆ รูปนี้จะเป็นขุนศึกแห่งกองทัพธรรมอีกรูปหนึ่งในโลกพระบวรพุทธศาสนา”

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-29 16:55
สู่แดนอาถรรพ์
        คืนนั้นสี่เชื้อพุทธวงศ์ต้องปักกลดค้างคืนที่ท้ายหมู่บ้านป่าที่อยู่ระหว่างหนทาง หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จ ก็รีบออกเดินทางด้วยหนทางข้างหน้านั้นต้องป่ายปีนเขาเป็นช่วงๆ และเป็นหนทางที่เต็มไปด้วยตัวทาก ขวากหนามต้นไม้น้อยใหญ่เครือเขาเถาวัลย์อันหนาทึบ ขุนเขาทะมึนที่ยืนตระหง่านเสียดฟ้าอยู่เบื้องหน้านั้น มองดูด้วยสายตาเปล่ามันเหมือนอยู่ห่างเพียงชั่วไก่บินตก แต่ความจริงแล้วต้องใช้เวลาในการเดินทางนับจากหมู่บ้านนี้ไป และในช่วงเพลาดวงตะวันเพิ่งจะโผล่พ้นเหลี่ยมเขาเพียงไม่กี่อึดใจ  จะถึงจุดหมายปลายทางอย่างเร็วก็ช่วงก่อนเพลนิดหน่อย
สี่หน่อพุทธางกูร มาถึงจุดหมายปลายทางตอนตะวันตรงศีรษะพอดี ช้ากว่าคาดคะเนหนทางด้วยสายตา ภาพเหตุการณ์ที่พรั่งพรูออกจากปากของสามเณรน้อยเมื่อวานนี้  ได้ปรากฏชัดขึ้นในทิพย์จักขุของสามหน่ออริยะเจ้า   พระหนุ่มวัยประมาณ สัก 30 เศษ ๆ ถึง 40 ปี จำนวน 5 รูป กำลังเดินออกจากถ้ำ เสียงสวดมนต์บทพุทธคุณต่าง ๆ สลับกับสวดคาถาภาษาแปลก ๆ ดังก้องกังวานสะท้านป่า พระรูปที่เดินนำหน้าในมือถือขันบรรจุน้ำผึ้งป่า ปากก็สวดคาถาไปด้วย รูปที่สอง  ถือมีดหมอยาวประมาณเกือบศอกขาววาววับเมื่อต้องแสงวตะวันยามใกล้เที่ยง อีกสามรูปที่เดินตามหลังก็พนมมือสวดพุทธมนต์และคาถาเสียงก้องกังวานสะท้อนหุบเขา ฟังแล้วชวนขนพองสยองเกล้า แต่สิ่งที่น่าตื่นตะลึงและน่าขนพองยิ่งกว่าก็คือ สายแร่เหล็กสีดำ
หน้า 4
ปนเขียวปีกแมลงทับมันแวววาวพราวพรายระยับยามต้องแสงตะวัน    ที่สาดแสงส่องลอดกิ่งไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนา แน่นอยู่ที่บริเวณปากถ้ำ มันยืดตัวออกมาจากถ้ำตามดูดกินน้ำผึ้งในขันที่พระถืออยู่ในมือ มันมีลักษณะลำตัวกลมเกลี้ยงเหมือนลำตัวของอสรพิษยักษ์ที่มีขนาดลำตัวเท่ากับต้นตาลต้นใหญ่ที่สุด แต่ไม่มีสีสันอื่นๆ เหมือนงู มันไม่มีลูกนัยน์ตาแต่มันสามารถยืดตัวตามแหล่งอาหาร ที่พระผู้ปรารถนาในตัวของมันถือเดินล่อออกมาจากในถ้ำได้อย่างไร น่าแปลกประหลาดนัก หัวของมันจุ่มลงในขันน้ำผึ้งเหยื่อล่อโดยไม่ยอมถอน สมดังพุทธภาษิตที่ว่า “ผู้ที่ตกเป็นทาสของความอยาก ย่อมพินาศทั้งในโลกนี้แหละโลกหน้า”
พระจอมขมังเวทย์ทั้งห้า เดินออกห่างจากปากถ้ำราว ๆ สัก 30 วา ก็เดินวนรอบต้นไม้ใหญ่ขนาด 5 คนโอบต้นหนึ่ง เดินวนอยู่หลายรอบ สายแร่เหล็กอาถรรพ์ที่หลงใหลในรสชาติอันโอขะของน้ำผึ้งป่า ได้พันโอบรอบต้นไม้ใหญ่นั้น ดั่งพญางูเหลือมยักษ์กำลังพันรอบรัดเหยื่อตัวมหึมาฉะนั้นแล  
เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว ภิกษุผู้เรืองเวทย์ทั้งห้าก็หยุดเดิน เพื่อกระทำสุดยอดพิธีช่วงสุดท้ายให้เสร็จทันฉันเพล   มุมหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากจุดประกอบพิธีกรรมอาถรรพ์ประมาณสัก 20 วา    เณรน้อยรูปหนึ่งกำลังนั่งเผาข้าวหลามตามคำบัญชาของพระอาจารย์ทั้งห้า ข้าวหลามที่อิงผิงเปลวไฟอยู่ขณะนี้มันคืออาหารมื้อเพลในวันนี้   เณรน้อยเบิกตาโพลงตะลึงค้างเป็นเวลาหลายนาทีแล้ว ตั้งแต่กลุ่มหลวงพ่อหลวงพี่เดินสวดมนต์สวดคาถาพาสายเหล็กสีดำมะเมื่อมออกมาจากถ้ำ  ขนาดไฟโหมลุกไหม้กระบอกข้าวหลามที่กำลังหอมกรุ่นกำลังได้ที่ดีแล้ว เจ้าเณรก็ยังไม่รู้สึกตัวเลย ก็ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าเพียงชั่วไม่กี่วาชีวิตทั้งชีวิตนี้ ก็ไม่สามารถจะหาดูได้ที่ไหนแน่นอน มันน่าตื่นเต้นน่าสะพรึงกลัว น่าขนพองสยองเกล้าเกินจะคณาได้

เหล็กกายสิทธิ์
        เปรี้ยง.....เฟี้ยว....บึ้ม   สวบ.....สามเณรผู้ทำหน้าที่เตรียมภัตตาหารเพล เกิดอาการช๊อค ตาค้างเติ่ง สติเตลิดเปิดเปิงหายไปในบัดเดี๋ยวนั้น  ฉับพลัน..เมื่อพระรูปที่สองผู้รับหน้าที่ตัดเหล็กอาถรรพ์ เงื้อมีดลงอาคมวาววับที่เตรียมมายกขึ้นสุดแขน แล้วฟันฉับลงไปที่ลำตัวของสายแร่เหล็กผีสิงนั้น หวังให้ขาดสะบั้นด้วยมีดเดียว และสายแร่เหล็กมหัศจรรย์ที่พันรอบอยู่ที่ต้นไม้นี้ มีน้ำหนักนับหลายร้อยกิโล หากนำออกไปแลกเป็นเงินแล้วคงจะเป็นจำนวนเงินนับแสนล้านเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติของมันใคร ๆ ก็แสวงหาอยากได้ไว้ครอบครอง
        เมื่อคมมีดอาคมกระทบกับลำตัวของเหล็กกายสิทธิ์  พลันก็เกิดเสียงกัมปนาทสะท้านไปทั่วขุนเขาอันสลับซับซ้อน  สะท้อนสะเทือนเหมือนเทือกภูเขาที่ยืนทะมึนซับซ้อนนั้นจะถล่มทะลายเป็นจุนมหาจุน ก่อนที่สติของเณรน้อยผู้เป็นอุปัฏฐากเหล่าภิกษุจอมเวทมนต์จะเตลิดเปิดเปิง   ได้มองเห็นแสงสีประหลาดปรากฏเจิดจ้า
หน้า 5
ไปทั่วผืนป่าทึบ มันฟาดเปรี้ยงลงมายังจุดกระทำพิธีนั้น  มันเหมือนสายฟ้าขนาดยักษ์ฟาดลงมาจากเบื้องบนนภากาศ  ฝุ่นผงสีขาวขุ่นปนสีแดงฉานปลิวคลุ้งตลบไปทั่วบริเวณ สิ้นเสียงแผดก้องกัมปนาทนั้นสิ่งที่เห็นเต็มตา ทำให้เณรน้อยผู้อุปัฎฐากเกือบจะเป็นบ้าตาย เศษเนื้อ เศษจีวรกระจัดกระจาย และที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็คือ ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นและอีกมากมายที่ขึ้นหนาแน่นอยู่บริเวณหน้าถ้ำใหญ่นั้น กลับไม่มีอันตรายใดๆ ทุกต้นยังยืนตระหง่านอยู่อย่างนั้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ทั้งๆ ที่เสียงระเบิดกัมปนาทจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้านป่าไม่ผิดอะไรกับเสียงระเบิดนับหมื่นๆ ตัน ในมหาสงครามโลกที่ทิ้งลงมาจากเครื่องบินเพื่อถล่มทลายมวลมนุษย์ด้วยกัน มีแต่หยดเลือดสดๆ ที่สาดกระจายตามพื้นดินและบนต้นไม้ เลือดสดๆ ของห้าภิกษุผู้ละโมบไหลรินหยดติ๋งๆ ลงมาจากใบไม้อาบนองพื้นแม่พระธรณี เศษเนื้อติดมันและเลือดสด ตับไตไส้ปอดกระจุยกระจายห้อยต่องแต่งอยู่ตามกิ่งไม้น้อยใหญ่ เสียงดัง..สวบ..เฟี้ยว...กังวานสะท้านถ้ำนั้นคือเสียงหดตัวกลับเข้าสู่คูหาถ้ำของสายแร่เหล็กจอมมรณะนั้นเอง
        สามเหล่ากอหน่อพุทธวงศ์ผู้สำเร็จแล้วซึ้ง “วิชาสาม” วิชาว่าด้วย “หูทิพย์” “ตาทิพย์”และ “วิชารู้ใจผู้อื่น” ได้ยกมือพนมขึ้นพร้อมกัน เพื่อสวดมนต์บทพระธัมมะสังคินี หรือพระอภิธรรมเจ็ดบท แล้วปิดท้ายด้วยบังสุกุล และอุทิศบุญส่งดวงวิญญาณห้าภิกษุ ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นผีเปรตเดินวนเวียนด้วยความทุกข์เวทนา อยู่ตรงสถานที่แห่งนั้นเอง “ไปสู่สุคติโลกสวรรค์เถิด เจ้าผีเปรตผู้ละโมบเอย พวกเราขออุทิศบุญให้ จงพากันอนุโมทนาเอาเถิด พวกเราขอปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากความเป็นผีเปรต ณ บัดนี้”
สิ้นเสียงสวดมนต์ และคำแผ่เมตตาของสามอริยะ ก็เกิดลมผันผวนหมุนขึ้นมาในบัดดลนั้น ต้นไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ในบริเวณนั้น พัดสะบัดใบและโยกต้นไปมาจนเกิดเสียงเสียดสีกัน ฟังเป็นเสียงหวีดหวิวโหยหวนคล้ายเสียงของผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกขเวทนาอันแสนสาหัส แล้วพลันก็เปลี่ยนเป็นเสียงระเริงคล้ายเสียงของคนที่เพิ่งพ้นจากความทุกข์อันแสบร้อน แล้วพลันได้พบกับความสุขอันน่าพึงใจที่สู้เฝ้ารอคอยมาแสนนาน เพียงชั่วไม่กี่อึดใจบรรยากาศก็เข้าสู่สภาวะปกติ กลิ่นดอกไม้ป่าในฤดูเหมันต์ที่ขึ้นดาษดื่นหลากสีหลากสายพันธุ์มีมากมาย โชยกลิ่นหอมกรุ่นเคลียเคล้ามากับสายลมอ่อนยามตะวันบ่าย ทั่วบริเวณกลางหมู่ขุนเขาอันสูงชันและลึกลับซับซ้อน  อากาศช่างปลอดโปร่งบริสุทธิ์ดีเหลือเกิน เสียงวิหคนกป่านาๆ ชนิด ร้องประสานเสียง กิ่งไม้โยกไปมาใบเสียดสีกันยามต้องสายลมฟังแล้วแสนไพเราะดุจเสียงดุริยางค์แห่งแมนสรวง  บางครั้งก็ฟังคล้ายเสียงของหมู่มนุษย์มากมายพูดคุยกันทักทายกัน ระหว่างมาคอยต้อนรับแขกพิเศษสุดที่มาจากแดนไกล เดินทางมาเพื่อให้สิ่งของที่มีค่าที่สุดที่พวกตนอยากได้และเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-29 16:55
ตัดเหล็กไหล
หลังจากบอกกล่าวเหล่าเทพาอารักษ์ที่ปกปักรักษาถ้ำอาถรรพ์เสร็จแล้ว พระอาจารย์เสาร์ผู้เป็นอาจารย์
หน้า 6
ใหญ่ก็บัญชามอบหมายหน้าที่ต่างๆให้เหล่าอริยะศิษย์ พระอาจารย์สิงห์รับหน้าที่ถือขันบรรจุน้ำผึ้ง พระอาจารย์มั่นรับหน้าที่เป็นผู้ตัดเหล็กกายสิทธิ์ เณรน้อยผู้ติดตามดูแลเทียนไม่ให้ดับ พระอาจารย์ใหญ่เริ่มกล่าวสัคเคอัญเชิญเทวดามาร่วมประชุมฟังพระธรรม แล้วจากนั้นก็เริ่มสาธยายพุทธมนต์บทต่างๆ เป็นลำดับๆ ไป   จากน้ำเสียงและท่วงทำนองที่เรียบๆ เบาๆ ก็ค่อยๆ ดังขึ้นๆ แล้วสลับเป็นเสียงหนักเสียงเบา เสียงสวดนั้นดังก้องกังวานสะท้อนสะเทือนไปทั่วถ้ำ ฟังแล้วชวนให้ขนพองสยองเกล้า เสียงสวดของหลวงพ่อช่างมีพลังมีความขลังอย่างน่าพิศวง
        เวลาผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูป ก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ชวนให้ขนลุกชูชัน บนผนังถ้ำที่แสงเทียนส่องกระทบมองเห็นหัวตะปุ่มตะป่ำคล้ายผนังถ้ำมันเป็นโรคขึ้นตุ่มตาเต็มไปทั่วผิวมีมากมายมหาศาล เป็นพืดกระจายเต็มไปทั่วบริเวณผนังถ้ำที่อยู่เบื้องหน้ามันลามเข้าไปในถ้ำชั้นในสุดสายตาที่มองเห็น ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้นแน่ มันส่องประกายแพรวพรายมะเมื่อม มันค่อยๆ ขยับตัวเคลื่อนไหวดูน่าสะพรึงกลัวจับขั้วหัวใจ เณรน้อยรู้สึกกระสับกระส่ายหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด หวาดหวั่นพรั่นพรึงจนแทบจะควบคุมสติไม่อยู่เหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลอาบหน้าและเปียกชุ่มจีวรไปทั้งตัว  อากาศภายในถ้ำมันทั้งอบทั้งอ้าวเหม็นกลิ่นสาบสางแทบจะสำลักตาย เจ้าเณรน้อยรู้สึกหนาวสะท้านเหมือนจะเป็นไข้ ขากรรไกรกระทบกันเบาๆ ด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ให้เกิดเสียงดังเกรงจะรบกวนการประกอบพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ใจหนึ่งก็กลัวจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนวันก่อน ใจหนึ่งก็มั่นใจในกิตติศัพท์ชื่อเสียงของหลวงพ่อทั้งสาม พระอาจารย์ใหญ่ผู้รู้สภาวะหันไปยิ้มปลอบโยน พร้อมยกมือขึ้นตบศีรษะเณรหนุ่มน้อยเบาๆ ทำให้กำลังใจกลับคืนมาเกือบเต็มร้อย แต่ก็ยังหวาดๆ กับภาพเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาในขณะนี้  
        ตุ่มแร่เหล็กมรณะอันใหญ่ที่สุดกว่าเพื่อนดูท่าจะเป็นหัวหน้า มันส่ายหัวไปมาแล้วก็ค่อยๆ ยืดตัวออกจากผนังถ้ำมองดูลักษณะไม่ผิดไปจากลำตัวและหัวของอสรพิษร้ายเลย มันส่ายหัวไปมาเพื่อมองหาเหยื่อ กลัวมันจะฉกพระอาจารย์มั่นและพระอาจารย์สิงห์ก็ปานนั้น เพราะท่านทั้งสองนั่งอยู่ใกล้ๆพวกกองทัพแร่เหล็กอาถรรพ์อันน่าขยะแขยงนั้นห่างสักสองวา  เสียงสวดพุทธมนต์กังวานขึ้นกว่าเก่า มันช่างมีพลังอย่างประหลาดลึกล้ำยิ่งนัก  ทันใดนั้นเจ้าแร่เหล็กมีชีวิตก็พุ่งหัวลงมาที่ขันน้ำผึ้ง ที่พระอาจารย์สิงห์ถืออยู่ในมือ มันเริ่มดูดกินน้ำผึ้งป่าซึงเป็นอาหารจานโปรดของมันอย่างเอร็ดอร่อยจนเกิดเสียงดังจวบๆลั่นถ้ำ พอได้จังหวะอันควรแล้ว พระอาจารย์เสาร์ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ ก็พยักหน้าให้สัญญาณพระผู้เป็นศิษย์เอกให้ลงมือทำการได้  พระอาจารย์มั่นจ่อคมหญ้าคาที่เตรียมมาหนึ่งใบลงบนตำแหน่งคอของแร่เหล็กกายสิทธิ์นั้น ถึงเวลานี้เณรน้อยผู้เป็นศิษย์ทั้งหวาดหวั่นทั้งงุนงง “ขนาดมีดหมอเล่มเบ้อเริ่มเทิ่มแถมยังคมกริบ ยังจัดการกับเหล็กผีสิงนี้ไม่ได้ ประสาอะไรกับหญ้าคาต้นเล็กๆ คมทื่อๆ จะจัดการกับความแข็งแกร่งของเหล็กอาถรรพ์นี้ได้รึ” พระอาจารย์ผู้รับหน้าที่เฉือนคอเหล็กมรณะหันมายิ้มน้อยๆ ให้กับลูกเณรผู้สงสัย  การรู้วาระจิตของผู้อื่นเป็นเรื่อง
หน้า 7
ธรรมดาของท่านอยู่แล้ว พระผู้เป็นอริยะกดคมหญ้าคาลงบนสายแร่เหล็กอาถรรพ์นั้นเบาๆ “เพล้ง....” ขันลงหินที่บรรจุน้ำผึ้งจนเต็ม ร่วงหลุดจากมือของพระอาจารย์สิงห์ลงกระทบกับพื้นถ้ำ อันเป็นหินศิลาเนื้อแข็งแกร่ง น่าประหลาดยิ่งนัก ธรรมดาอันว่าขันลงหินนี้ หากร่วงหล่นลงสู่พื้นที่แข็งแกร่งป่านนี้ ขันนี้ก็จะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทันที  แต่นี่น่าประหลาดเป็นนักหนา ไม่เพียงแต่จะไม่แตกหรือบิ่นแล้ว น้ำผึ้งที่บรรจุอยู่เต็มเกือบล้นในขันนั้น ยังกลับไม่หกหรือกระฉอกออกมาจากขันแม้เพียงสักหยดเดียว
        พระอาจารย์มั่น ล้วงมือลงในขันน้ำผึ้งนั้นหยิบเอาวัตถุสีดำมะเมื่อมออกมา มันมีลักษณะกลมเกลี้ยงเหมือนลูกแก้วที่เด็กโยนเล่น ขนาดก็ประมาณเท่าๆนั้นเช่นกัน ความแปลกประหลาดไม่เพียงแต่คมหญ้าคาจะตัดเหล็กมรณะจอมหนังเหนียวได้ อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นๆกับตาก็คือหลวงพ่อมั่นท่านตัดเหล็กอาถรรพ์นั้นมีความยาวเกือบศอก และก็เป็นท่อนกลมๆ คล้ายกระบอกข้าวหลาม แต่ไฉนพอขาดออกจากกันแล้วกลับกลายเป็นก้อนกลมเกลี้ยงแถมมีขนาดเล็กเหลือเพียงเท่ามะขามป้อมหรือลูกแก้วของเล่นเด็กๆไปได้  นี้แหละหนออาถรรพ์ของธรรมชาติมันเกินที่มนุษย์ปุถุชนคนมีกิเลสหนาจะเข้าใจและเข้าถึงได้

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-29 16:56
ล้างอาถรรพ์   
พิธีกรรมเฉือนคอโคตรเหล็กจอมอิทธิฤทธิ์ดำเนินการต่อไป และทุกครั้งที่ท่านพระอาจารย์มั่นตัดเหล็กไหลมรณะเหตุการณ์ก็จะเหมือนกันทุกครั้งไป   คือขันน้ำผึ้งจะร่วงหลุดจากมือของท่านพระอาจารย์สิงห์ มันคงจะหนักมากสินะจึงไม่สามารถจะต้านทานความหนักหน่วงนั้นได้ เหล็กกายสิทธิ์ที่หมู่มนุษย์ผู้ละโมบใฝ่หาอยากได้ครอบครอง จนต้องพากันเอาชีวิตมาเซ่นสังเวย ณ ที่แห่งนี้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วนนับแต่อดีตจวบจนวันที่สามพระอริยะมาปรากฏกายขึ้น ณ แดนอาถรรพ์แห่งนี้ ถูกหลวงพ่อมั่นตัดแจกจนครบทุกรูปรวมถึงตัวท่านเองด้วย
        เอาหละพิธีก็สิ้นสุดลงเท่านี้ ต่อจากนี้พวกเรามาสวดส่งผีเปรตทั้งหลายที่อยู่หนาแน่นเต็มไปหมดทั้งในถ้ำและนอกถ้ำแห่งนี้เถิด   หลวงพ่อเสาร์ผู้เป็นพระอาจารย์เอ่ยขึ้นเมื่อสิ้นสุดพิธีศักดิ์สิทธิ์ลง   ผีเปรตที่พระอาจารย์ใหญ่พูดถึงนั้นก็คือ ดวงจิตวิญญาณของทั้งพระทั้งคน ที่พากันเดินทางเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ด้วยหวังจะมาเอาเหล็กกายสิทธิ์ไปครอบครองและขายให้พวกมหาเศรษฐี   ด้วยใครๆ ก็รู้ว่า “เหล็กไหล” มันคือแร่ธาตุที่มีอานุภาพและอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลให้ผู้ทีเป็นเจ้าของมัน จะประสบแต่ความสมหวังในชีวิตทุกประการ อาวุธใดๆ ก็ทำอันตรายไม่ได้ ฐานะการเงินการงานก็มีแต่ดีขึ้นๆ รวยขึ้นๆ มันเป็นเหล็กสารพัดนึกหรือแก้วสารพัดนึกนั่นแหละ ด้วยเหตุนี้ผู้คนทั้งหลายจึงพร้อมที่จะเสี่ยงความตายเพื่อจะให้ได้มาซึ่งของวิเศษอันนี้
        สามมหาสมณะผู้เข้าถึงแดนมรรคธรรมขั้นสูงแล้ว     เริ่มพิธีสวดแผ่เมตตาและบังสุกุลส่งเหล่าดวงจิต
หน้า 8
วิญญาณแห่งผีเปรตทั้งหลาย ที่ทนทุกข์ทรมานมานานแสนนาน ให้หลุดพ้นจากความเป็นเปรตร้าย และให้ไปผุดไปเกิดในอัตภาพที่ดีกว่า  เวลาผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูปพิธีปลดปล่อยดวงจิตวิญญาณฝูงผีร้ายที่ทนทุกข์ทรมานมาชั่วกาลนานก็สิ้นสุดลง บรรยากาศที่แสนอึดอัดเหมือนมีคนนับแสนๆ ล้านๆ มาแออัดยัดเยียดแย่งอากาศกันหายใจอยู่ในห้องเดียวกัน ก็ค่อยๆ ปลอดโปร่งโล่งขึ้น สายลมเย็นพัดโชยแผ่วๆ แล้วค่อยๆ แรงขึ้นๆ จับทิศทางไม่ได้ว่ามาจากทิศทางไหนแต่มันพัดมาจากภายในถ้ำแล้วผ่านผิวกายสี่สมณะศิษย์พระตถาคตเจ้า ออกไปสู่ปากถ้ำที่อยู่ห่างออกไปประมาณสักห้าสิบวา คงจะมีปล่องอากาศขนาดใหญ่อยู่จุดใดจุดหนึ่งของถ้ำ  ความจริงแล้วภายในคูหาถ้ำแห่งนี้มันดูลึกลับสลับซับซ้อนมาก มีตรอกซอกถ้ำเป็นคูหาคล้ายๆห้องนอนมากมาย แต่ละห้องๆอาจสามารถบรรจุคนได้ห้องละเป็นร้อยๆคน และถ้ำอาถรรพ์นี้มีขนาดกว้างใหญ่มากคงบรรจุคนได้นับเป็นพันคนหรือมากกว่านั้น มีหมู่หินย้อยเป็นพวงระย้ายามต้องแสงไฟจากเปลวเทียนแพรวพรายระยับละลานตา สุดสวยงามดุจดั่งโคมไฟระย้าประดับเพชรในเวียงวัง บรรยากาศรอบๆ กายของสี่สมณะเจ้าบัดนี้ปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างแปลกประหลาด ผิดกับช่วงเวลาที่ผ่านมามันอึดอัดเหม็นอับสาบสาง จนหายใจแทบจะไม่ออก กลิ่นดอกไม้ป่าหลากหลายสายพันธุ์โชยเคลียเคล้ามากับสายลมยามบ่าย หอมชื่นใจคลายความตึงเครียด เสียงหวีดหวิวโหยหวนแล้วกลับกลายคล้ายเสียงผู้คนมากมายสาธุการแล้วหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข เสียงนั้นอื้ออึงแล้วค่อยๆลอยจางห่างไกลออกไปทางปากถ้ำตามกระแสสายลม   ที่กำลังพัดพลิ้วโชยผ่านไป
จากนั้นสามอริยะเจ้าก็หันไปสวดพุทธมนต์อัญเชิญกลุ่มมหาเหล็กไหลให้พากันอพยพ หลบลี้คนผู้ลโมบไปอยู่ในถ้ำที่ห่างไกลใจกลางป่าทึบดงดิบอันไกลโพ้น ณ ที่แห่งนั้นแม้นใครจะเก่งกล้าปานใดก็ไปไม่ถึง  “พวกเจ้าจงไปอยู่ในถ้ำที่อยู่ห่างไกลเมืองคนที่สุด จงพากันไปอยู่ในถ้ำแก้วเมืองพนมฉัตรของชาวบังบดโพ้นเถิด จะเป็นที่อยู่ที่เหมาะสมของพวกเจ้า ความตายความหายนะของหมู่มนุษย์ผู้โลภมากทั้งหลายก็จะได้ยุติสิ้นสุดหยุดลงเสียที” เสียงเรียบๆ ยะเยือกเย็นแต่ดังกังวานสะท้านถ้ำมหาอาถรรพ์ของพระอาจารย์เสาร์จบลง   ก็เกิดภาพอัศจรรย์พันลึกขึ้นในทันใด ณ บริเวณเพดานถ้ำที่เต็มไปด้วยหัวตะปุ่มตะป่ำดำมะเมื่อมของหมู่แร่เหล็กกายสิทธิ์ เกิดภาพอันน่าขนพองสยองเกล้าขึ้น เกิดการขยับตัวและเคลื่อนไหวของหมู่แร่เหล็กมรณะ คราวนี้เห็นกับตาว่ามันมีมากมายมหาศาลดูยุบยับเต็มไปหมดชวนให้ขนลุกซู่ชูชันขยะแขยงเกินคำบรรยาย หลวงพ่อมั่นพูดขึ้นมาลอยๆ ดั่งรู้ถึงความคิดของเณรน้อย “ไม่ใช้เป็นแสนดอก เป็นล้านๆ ตัวเลยละ หึๆๆ” พูดพร้อมกับหันมาทางเณรน้อยลูกศิษย์ใหม่พร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ เล่นเอาหน่อเนื้อพุทธางกูรตัวน้อยสะดุ้งโหยง   พระอาจารย์ชั่งรู้ใจจริงๆ มันตรงกับความคิดของตนในขณะเลย ท่านเฉลยข้อสงสัยแก่เณรน้อยแล้ว เสียงเฟี้ยว...เคว้ง..ดังอึงคะนึงสะท้อนสะท้านไปตามซอกคูหาหินและหินย้อยระย้า ดังกังวานสะท้านดั่งระฆังพันๆใบถูกเคาะพร้อมๆกัน ฟังแล้วชั่งสะท้อนสะเทือนไปสุดขั้วหัวใจจนเกิดอาการหนาวสะท้านไปทั้งตัวขากรรไกรของสามเณรผู้ศิษย์ใหม่สั่นกระทบกันดังแก็กๆๆ ลั่นถ้ำ       แข่งกับเสียงการเคลื่อนทัพของหมู่มหาเหล็กอาถรรพ์
หน้า 9
ส่วนสามพระอาจารย์ท่านอยู่ในอาการสงบหลับตาแน่วนิ่งกำหนดพลังจิต ส่งกองทัพมหาเหล็กกายสิทธิ์ไปสู่ดินแดนอันอยู่แสนไกล
        เรื่องราวเหล็กอาถรรพ์แร่มรณะ ความตายของผู้ปรารถนาจะครอบครองมัน  ถึงเวลาปิดฉากลงเสียที เหล็กไหลเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่และเป็นผู้ไม่มีความโลภเท่านั้นจึงจะได้เป็นเจ้าของ และที่สำคัญคือ เหล็กไหลเป็นของคู่บารมีเฉพาะผู้มีบุญบางคนเท่านั้น เลิกคิดที่จะแสวงหาต่อไปอีกเลยสูเจ้าทั้งหลายเอ๋ย ถ้าสูเจ้ามีบุญคู่ควรกับเหล็กไหล เหล็กไหลก็จะมาหามาอยู่กับสูเจ้าเอง เงินสักกี่แสนกี่ล้านหรือหมดทั้งโลกนี้รวมกันมา ก็ซื้อเหล็กกายสิทธิ์ไม่ได้แม้แต่สักก้อนเท่านิ้วก้อย ดอก หึๆๆ  สาธุ

บทที่ 2
“ตอนพนมฉัตรนคร”
ริมทะเลสาบกลางขุนเขา
        ท่ามกลางหมู่เทือกเขาน้อยใหญ่อันสลับซับซ้อนและยาวเหยียดนับเป็นแสนๆ กิโลเมตร เป็นม่านฉากกั้นระหว่างประเทศเวียดนามและประเทศลาวนั้น  มีขุนเขาลูกหนึ่งใหญ่มหึมาสูงทะมึนเสียดฟ้านอนทอดกายสงบนิ่งมาเป็นเวลานานนับล้านๆ ปี  มันแวดล้อมไปด้วยป่าไม้ดงดิบหนาทึบทั้งน้อยและใหญ่ แมกไม้นาๆ พันธุ์ ดอกไม้ กล้วยไม้ป่า นับล้านๆ ชนิดดารดาษงดงามเกินจะเอ่ยถ้อยคำใดๆบรรยาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเหล่าสัตว์ป่าดงดิบ อาทิ หมูเขี้ยวตันตัวเท่าลูกช้างมากมายหนาแน่นอยู่กันเป็นโขลงๆ ช้างป่า เสือทุกชนิด อีกทั้งเสือสมิงจอมอาถรรพ์   อสรพิษใหญ่ยักษ์มากมาย  เก้ง กวาง วัวกระทิง   ลิง ค้าง บ่าง ชะนี และสัตว์ต่างๆ ที่หมู่มนุษย์ทั้งหลายที่อยู่ในถิ่นเจริญยังไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จักอีกมากมาย  ทั้งยังมีฝูงผีป่า ผีโป่ง ผีปอบ ผีกองกอย ผีโพลง ผีกระสือ ผียักษ์  อาถรรพ์ลี้ลับอีกมากมายเกินจะคณานับ   ธรรมชาติช่างมีฝีมือในการผสานผสมกันระหว่าง อาถรรพ์หฤโหดและความอ่อนโยนสวยงามต่างๆ เช่น มวลหมู่แมกไม้ ขุนเขาทะมึนเสียดฟ้า ป่าดิบดงทึบ สายน้ำตก ดอกไม้ สัตว์ป่าอ่อนโยน สัตว์โหด ผีร้าย เหล่ายักษ์ทมิฬ เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ กลมกลืนสมานฉันท์หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้อย่างลงตัวไร้ปัญหา   มีเพียงประติมากรรมชิ้นเดียวเท่านั้นที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้นแล้วควบคุมมันไม่ได้ ซ้ำมันยังหันกลับไปเล่นงานผู้สร้างมันขึ้นมาเองเสียอีก ปติมากรรมที่แสนจะเลวร้ายและเนรคุณชิ้นนี้ก็คือ “ฅ. คน” นี้เอง
        แดนดินถิ่นอาถรรพ์ดิบ ธรรมชาติที่งดงามดั่งเมืองเนรมิตที่ผมกำลังเขียนบรรยายอยู่นี้   มันคือเทือก “ภูเขาควาย”ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความอัศจรรย์พันลึก ความตาย ความเป็นอมตะ และความลึกลับต่างๆ เกิน
หน้า 10
ที่หมู่มวลมนุษย์ผู้ล้นเหลือด้วยกิเลสจะเกิดความเชื่อได้  แต่มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นมานานนับล้านๆ ปีแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครจะไปเปลี่ยนสภาวะอาถรรพ์ดิบนี้ได้   นอกจากจะเอาชีวิตไปเซ่นสังเวยความโหดดิบเท่านั้น
“เอาหละ...เราพักปักกลดกันที่ตรงนี้ก็แล้วกันคืนนี้”  หลวงปู่แพงตาผู้เป็นหัวหน้าคณะและเป็นพระอาจารย์ของสองสมณะผู้ติดตามเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ  เมื่อเดินสำรวจดูทิศทางของน้ำป่า ทางเดินของสัตว์ป่า เห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว สามหน่อพุทธวงศ์ก็โดยมีพระสองรูป   สามเณรวัยสิบเจ็ดหนึ่งรูป ก็แยกย้ายกันไปกำหนดหาที่ปักกลดโดยหลวงปู่แพงตาผู้อาจารย์แนะนำทิศทางให้  หลวงปู่แพงตาขณะนั้นท่านมีอายุอยู่ราวๆ สัก 50 ปี หลวงปู่คำตาซึ่งเป็นพระอาจารย์ของผมเอง ท่านมีอายุ 45 ปี สามเณรน้อยผู้ติดตาม (ผมไม่รู้จักท่านจึงไม่บอกชขื่อ) มีอายุสิบเจ็ดปี   สถานที่พักปักกลดคืนนี้อยู่บริเวณริมน้ำตกใหญ่สวยงามมาก มีชั้นหมู่หินใหญ่น้อยสลับซับซ้อนไต่ตัวลงมาจากยอดเขาสูงชันเสียดฟ้า ซึ่งเป็นทางมาแห่งสายน้ำตกอันสวยงามอลังการนั้น   ธารน้ำตกสาดสายกระแทกโขดหินซับซ้อนดังซ่าๆ โซ่ๆ สนั่นป่าดิบ เคล้าคลอด้วยเสียงนกป่าและสัตว์ป่านาๆ ชนิด ที่กู่ร้องหากันในยามใกล้อัสดงผสมผสานเสียงพระพายยามสนธยาพัดโชยสะบัดกิ่งไม้ยางยูงที่ทอดตัวสูงเสียดเมฆา ฟังแล้วชวนคะนึงถึงเสียงเพลงและเสียงทิพยดนตรีของเหล่าคนธรรพ์ที่บรรเลงเพลงสรรเสริญหมู่เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ ชวนให้ดวงจิตเคลิบเคลิ้มระคนเคว้งคว้างวังเวงขนตามตัวชูชันลุกซู่อย่างประหลาด กลิ่นดอกไม่ป่านาๆ พันธุ์ที่ขึ้นดารดาษอยู่ทั่วบริเวณโชยกลิ่นมาตามสายลมอ่อน กระทบจมูกหอมเย็นระรื่นใจ   ลำแสงสุดท้ายของดวงสุริยาส่องลอดช่องว่างของค่าคบไม้ สาดลงมากระทบสายธารน้ำตกที่ไหลซ่าไปทางทิศคะวันตก มองเห็นเป็นแสงระยิบระยับ ดุจเทพยุดานำเอาเกล็ดเพชรนิลจินดามาโปรยบูชาผืนแผ่นแม่พระคงคา ธรรมชาติยามนี้ช่างแสนสวยงามดั่งนั่งอยู่ท่ามกลางเมืองแมนแดนสวรรค์   สามสมณะหน่อพระไตรรัตน์แก้ว นั่งล้อมวงฉันน้ำร้อนดับเวทนาที่เกิดจากการหิวกระหาย ความเหน็ดเหนื่อยจากการบุกป่าฝ่าดงดิบมาตั้งแต่เพลาเช้า สร่างซาลงแล้วก่อนจะแยกย้ายกันเข้ากลดที่ปักห่างกันชั่วเรียกกันถึง   หลวงปู่แพงตาผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้เอ่ยเตือนสติสองศิษย์ที่มีอายุต่างกันกันด้วยเสียงเรียบๆ ขึ้นว่า “ท่านคำตา และ ลูกเณรเอ๋ย การอยู่ป่าดงดิบนั้นทุกก้าวและลมหายใจเข้าออก ล้วนแต่อันตราย ศีลที่บริสุทธิ์เท่านั้นที่จะรักษาชีวิตของเราไว้ได้ โดยเฉพาะเหล่ากอหน่อสมณะอย่างพวกเรา อาวุธสำคัญที่มีพะลานุภาพสูงที่สุดมีอยู่สองอย่างคือ ศีล และ สติ เท่านั้น จงรักษาศีลและเจริญสติให้มากๆ ภัยใดๆ ก็จะกล้ำกรายไม่ได้”

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-29 16:57
เส้นทางสู่นครพนมฉัตร
        เสียงไก่ป่าส่งเสียงขันประสานรับกันทอดยาวเป็นคำรบที่สาม  บ่งบอกถึงเวลาสว่างแล้ว ลมยามอรุณรุ่งสางโชยสะบัดน้ำค้างจากหมู่ใบไม้หลุดร่วงพรูลงกระทบหลังคากลดดังซ่า.. .เหล่าวิหกนกไพรส่งเสียงกู่หากัน
หน้า 11
เพื่อถามไถ่กันว่าราตรีนี้หลับสบายดีกันไหม ปลอดภัยกันหรือเปล่า ยังอยู่กันครบกันหรือไม่ วันนี้จะไปหาอาหารกันที่ไหนกันดี  เสียงเสือสมิงดังสะท้านป่าเป็นระยะๆ เสียงแปร๋นๆ ของช้างป่าหัวหน้าโขลง ร้องให้สัญญาณแก่พลพรรคว่าตะวันจะขึ้นแล้ว สัตว์ป่ากลางวันทยอยส่งเสียร้องหากันอึงคะนึงไปทั่วป่าดิบไพรหนาค่อยๆกลบเสียงสัตว์กลางคืนให้ห่างจางไป  เหล่ามวลบุปผาป่าที่แสนงามก็ไม่น้อยหน้าพากันแย้มกลีบบาน ปล่อยกลิ่นหอมรัญจวนใจคลุ้งไปทั่วผืนป่าริมสายธารน้ำตกอันใสเย็นยะเยือกนั้น แม้เวลาอรุณจะแก่กล้าดวงสุริยะเทพปรากฏกายขึ้นเหนือยอดเขาอันสูงชันเสียดฟ้าแล้วก็ตาม  แต่ลำแสงอันทรงพะลานุภาพแห่งสุริยะขัยก็ยังไม่อาสามารถแหวกม่านหมอกอันหนาทึบที่แผ่ปกคลุมผืนป่านั้นได้เต็มที่  บรรยากาศทั่วบริเวณยังสลัวมัวครึ้มยังกับว่าเพิ่งจะตีห้า  แต่สมณะผู้ช้ำชองป่าดิบอย่างหลวงปู่แพงตา ก็กำหนดรู้เวลาอันควรแก่การลุกขึ้นทำกิจแห่งการเจริญสมณะธรรม   ท่านส่งเสียงกระแอมไอให้สัญญาณปลุกสองศิษย์สมณะผู้ติดตาม ไถ่ถามถึงการพักผ่อนในรัตติกาลที่ผ่านมา   เมื่อทราบว่าศิษย์ทั้งสองยังสุขสบายดี   ก็สั่งสำทับให้ลุกขึ้นทำกิจแห่งธุดงควัตรให้ถึงพร้อมเพื่อความไม่ประมาทและผิดข้อวัตรปฏิบัติแห่งเหล่ากอผู้เคร่งธรรม
        เสียงน้ำตกยังคงส่งเสียงโซ่ซ่ารักษาหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ซื่อตรง   ละอองฟองฝอยของมันปลิวกระจายสร้างความชุ่มฉ่ำให้แก่มวลนาๆพฤกษาที่อยู่ล้อมรอบมัน เป็นอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนานมาแล้ว   แผ่เมตตา ถอนฌานสมาธิแล้ว ก็ออกจากลดพากันเดินมุ่งสู่สายธารน้ำตกอันกว้างใหญ่คล้ายทะเลสาบกลางขุนเขาป่าใหญ่ดงดิบ เพื่อชำระรูปกายที่คายของโสโครกออกมาท่วมสรีระตลอดราตรีกาล
        ชำระความเหม็นของผิวกายอันเน่าเปื่อยอยู่ตลอดเวลาด้วยธารน้ำใสจากธรรมชาติ  สดชื่นอิ่มเอิบด้วยอากาศที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้มลภาวะ  ห่มดองครองจีวรเป็นปริมณฑลดีแล้วก็เดินกลับสู่สถานที่ๆ ปักกลด ปลดบาตรที่แขวนบนกิ่งไม้ลงมา เทน้ำที่กรองดีแล้วลงในบาตร ล้วงมือลงในบาตรคนไปมา แล้วก็ยกขึ้นฉัน   รู้สึกสดชื่นอิ่มเอมประดุจได้รับรสแห่งอาหารทิพย์จากเหล่าเทพยุดา   ความหิวโหยหายไปในบัดดล ความกระปี้กระเป่ากระฉับกระเฉงบังเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์
“เทวดาจะมาอุปัฏฐากถวายอาหารทิพย์ให้พระธุดงค์ ที่มีศีลดี ศีลบริสุทธิ์ เทวดาเขาอยากได้บุญมากๆ เพราะบุญคือของวิเศษของพวกเทวดา” หลวงปู่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่บรรลุธรรมแล้วจะบอกตรงกันอย่างนี้ การพักปักกลดท่ามกลางผืนป่าดิบขุนเขาซับซ้อนห่างวไกลบ้านเมือง ได้ผ่านไปอย่างปลอดภัย รอยตีนเสือรอยใหญ่ๆ เดินขวักไขว่ไปมา วนไปกลดนั้นทีกลดนี้ที รอยงูใหญ่เท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่สองรอยเลื้อยวนใกล้ๆ กลดทั้งสามหลัง
“เมื่อคืนเป็นยังไงกันบ้าง เห็นเพื่อนๆ เจ้าถิ่นมาเยี่ยมเยียนกันบ้างไหมละ หึๆๆ ?” เสียงพระผู้เป็นอาจารย์ใหญ่เอ่ยถามศิษย์ผู้ติดตามทั้งสอง หลังจากฉันเพลเสร็จแล้ว สมณะทั้งสามนั่งพักรับภัตตาหารที่ใต้
หน้า 12
ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ กระท่อมของชาวบ้านป่าที่เป็นเจ้าภาพอาหารเพลวันนี้  หมู่บ้านป่าแห่งนี้อยู่ระหว่างเส้นทางธุดงค์เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ชาวบ้านจะคุ้นเคยกับพระธุดงค์ดี
“ผมกลัวเกือบขาดใจตายเลยละครับหลวงพ่อ เสืออะไร งูอะไรก็ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ตัวมโหฬารขนาดนั้น อึ๋ย..น่ากลัวจริงๆ ผมเกือบจะลืมคำสั่งของหลวงพ่อแล้วตอนที่เห็นพวกมันมา” สามเณรหนุ่มน้อยให้คำตอบและเล่าความรู้สึกในขณะที่เผชิญหน้าจอมสมิงร้าย และเจ้าแห่งอสรพิษตัวมหึมา ที่มาวนเวียนอยู่รอบกลดและยืนจ้องมองเข้ามาในกลดโดยไม่พูดไม่จาอะไร ซึ่งขณะนั้นสามเณรเพิ่งลืมตาจากสมาธิ กำลังจะเอนตัวลงนอน เจ้าถิ่นทั้งสามตัวไม่รู้ว่ามาจากทิศไหน โดยเฉพาะเจ้าสมิงยักษ์เดินวนเสร็จมันดันยืนถลึงตามองเข้ามาในมุ้งกลด  ขนาดอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาล ยังมองเห็นดวงตาอันเขียวปัดของมันชัดเจน เสียงขู่คำรามของมันเล่นเอาผู้ถูกทักทายแทบจะคลั่งตายให้ได้ “มันเป็นเสือจริงงูจริงหรือเปล่าขอรับหลวงพ่อ” สามเณรเอ่ยถามผู้เป็นพระอาจารย์ขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยังแสดงถึงความหวั่นหวาดอยู่ ผู้เป็นพระอาจารย์ทั้งสองหันหน้าสบตากันกันแล้วยิ้มน้อยๆ  แต่ก็ไม่ได้เอ่ยแก้ข้อสงสัยอะไร ได้แต่บอกลูกศิษย์ตัวน้อยว่า “จงรักษาศีลให้ดี ตั้งสติอย่าให้เผลอ เห็นอะไรๆ ก็ให้สักแต่ว่ารูป เสียงอะไรๆ ก็ให้สักแต่ว่าเสียง ในป่าดงดิบมันเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยอาถรรพ์อันตราย อย่าทำอะไรคิดอะไรนอกเหนือจากคำสั่งของหลวงพ่อก็แล้วกัน เป็นบุญตาของเจ้าแล้วที่ได้เห็นในสิ่งที่คนทั้งหลายยังไม่เห็น และหนทางต่อจากนี้ไปจะยิ่งกว่านี้นะเจ้าเณรเอ๋ย หึๆๆ” ศิษย์ตัวน้อยสะดุ้งโหกยงแค่ที่เห็นเมื่อคืนก็เล่นเอาปัสสาวะชุ่มจีวรแล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เหมือนหลวงพ่อรู้ใจท่านยกมือตบหัวศิษย์รักอย่างปลอบใจ “ไม่ไรดอกลูกเณรเอ้ย..เดินตามหลวงพ่อเจ้าปลอดภัยอยู่แล้ว หึๆๆ”
เหตุที่หลวงปู่ผู้เป็นหัวหน้ามาเอ่ยถามถึงเหตุการณ์เมื่อคืนเอาตรงนี้ ก็เพราะท่ามกลางป่าดงดิบแดนอาถรรพ์นั้นมันมีกฎกติกาของมันอยู่ บางแห่งพูดกันได้บางแห่งต้องออกนอกบริเวณเสียก่อนจึงจะสนทนานั้นเรื่องนั้นๆได้ อยากจะพูดอะไรกันตรงไหนก็พูดเลยไม่ได้ มันผิดกฎของป่าดงดิบเขา

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-9-29 16:58
อาถรรพ์ว่านป่าดิบ
        อีกชั่วหนึ่งก้านธูปดับ ราตรีกาลก็จะสาดสีดำอาบทาผืนป่าอาถรรพ์เทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อนแล้ว บนผืนฟ้าอันเวิ้งว้างมองเห็นเมฆสีดำปนแดงฉานคล้ายเลือดมนุษย์แผ่กระจายไปทั่ว หมู่วิหคนกไพรนาๆ ชนิด กำลังเกาะกลุ่มกันบินมุ่งหน้าสู่รวงรัง มันส่งเสียงร้องทักทายกันเสียงเจี้ยวจ้าว เสียงหมู่สัตว์ป่าที่เตรียมจะออกหากินกลางคืนส่งเสียงทักทายหมู่เพื่อนสัตว์ป่าที่กำลังจะพักผ่อนในค่ำคืน ก้องกังวานสะท้อนไปตามซอกภูผา ฟังคล้ายเสียงโหยหวนเจ็บปวดทุกข์ทรมานของคนที่ถูกจองจำทรมาน ฟังแล้วรู้สึกหนาวสะท้านไปจับขั้วใจอย่าง ประหลาด   “ข้างหน้าโพ้น จะมีหมู่บ้านของชาวข่า พวกเราจะไปพักกันที่นั่น อดทนอีกหน่อยนะพวกเรา
หน้า 13
ที่ตรงนี้ไม่เหมาะแก่การปักกลดของพวกเรา” สภาพของป่าที่คณะสามสมณะผู้เคร่งในศีลกำลังจาริกผ่านไปนั้น มีต้นไม้ใหญ่ๆ หลายคนโอบยืนตระหง่านมากมายหนาแน่นมีป่าโปร่งเป็นบางช่วง   หนทางคดเคี้ยวด้วยเป็นภูเขาที่สลับซับซ้อน ขณะนี้คณะผู้เดินทางมุ่งหน้าสู่มหานครลี้ลับกำลังเดินอยู่บนเนินเขาที่ค่อนข้างสูงชันมากจึงต้องค่อยๆเดินอย่างระมัดระวัง หลวงปู่ผู้นำทางดูท่านจะเหมือนรู้เส้นทางดีทั้งๆ ที่นี้คือครั้งแรกที่ท่านนำคณะผู้ติดตาม บุกป่าฝ่าขุนเขาอันสูงชันเข้ามาในดินแดนที่ไม่เคยรู้จัก คงเป็นธรรมดาของผู้ที่เข้าถึงซึ่งวิชาตาทิพย์แล้วกระมัง     เหงื่อเม็ดโป้งๆ ไหลอาบใบหน้าของเหล่ากอสามสมณะ ผ้าจีวรเปียกชุ่มด้วยเหงื่อทั้งๆ ที่อากาศในหุบเขาวันนี้มันหนาวสะท้านเข้าขั้วหัวใจอย่างประหลาด
ดวงสุริยะขัยลาลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว ความมืดโรยตัวเข้าปกคลุมขุนเขาผืนป่าอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว ดวงตะวันไม่ยอมทิ้งแสงสุดท้ายให้เห็นในผืนป่าใหญ่เช่นนี้  ชาวข่าดูจะคุ้นเคยกับพระหรือจะเป็นด้วยบารมีของครูบาอาจารย์ พวกเขาดูช่างมีน้ำใจไมตรีอันดี  หัวหน้าเผ่านิมนต์ให้สามสมณะธุดงค์พักจำวัตรที่เรือนของตนเอง โดยบ้านในหมู่บ้านนี้สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ใช้ไม้ไผ่ทั้งลำๆ มัดติดกันเป็นแถวเป็นฝาเรือน เสาใช้ไม้จริงทั้งต้นๆใหญ่เท่าท่อนขา พื้นดินคือพื้นเรือนใช้วิธียกแคร่เฉพาะจะใช้เป็นที่นอน หลังคามุงด้วยหญ้าชนิดหนึ่งคล้ายๆ หญ้าคาแต่มีใบหนาและใหญ่กว่าวางเป็นตับๆ แล้วใช้ไม้ไผ่ทั้งลำวางทับแล้วมัดเข้าด้วยเถาวัลย์ ดูก็แข็งแรงแน่นหนาดี        ตรงกลางเรือนเป็นเตาไฟ ก่อกองไฟสุมไว้ทั้งคืนเพื่อขับไล่ความหนาวเหน็บที่แสนหฤโหดในต้นฤดูเหมนต์
คืนนั้น ทั้งสามพุทธวงศ์ได้ที่พักเป็นแคร่ขนาดใหญ่คนสิบคนนอนได้สบาย พื้นของแคร่ยกสูงจากพื้นดินประมาณสักหนึ่งวามีบันไดไต่ขึ้นสามขั้น แคร่ที่พักนี้เจ้าของเรือนทำไว้สำหรับผู้มาเยือน นี้คือความสวยงามและความเจริญทางด้านจิตใจที่ยังเต็มเปี่ยมอยู่ในตัวของหมู่มนุษย์ ที่อยู่ในท่ามกลางอ้อมกอดของธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ความจริงแล้วความเจริญด้านวัตถุที่หมู่มนุษย์สรรค์สร้างขึ้นมาอย่างไม่ยับยั้งนั้นมันคือความหายนะของหมู่มนุษย์เอง
ค่ำคืนนี้ ตรงกลางลานหน้าบ้านของหัวหน้าเผ่า มีการสุมกองไฟกองใหญ่มหึมาเปลวไฟลุกโชติช่วงสว่างไสวไปเกือบทั่วหมู่บ้านเล็กๆ นี้ เสียงประทุของเปลวไฟดังปุ่ๆ เป็นระยะๆ ดังได้ยินไปไกล เหล่าชายฉกรรจ์จำนวนสักยี่สิบกว่าคนนั่งล้อมกองไฟอาศัยความอบอุ่นจากแม่พระเพลิง มีผู้หญิงวัยชราอายุราวๆ สักเจ็ดถึงแปดสิบปีห้าคนนั่งหน้าเศร้ารวมอยู่ด้วย หญิงผู้เฒ่าเหล่านั้นมือสองข้างถูกมัดรวบติดกัน ขาก็ถูกมัดเช่นกัน เธอผู้มีวัยใกล้กองฟอนเหล่านั้นทำผิดอะไรหนอ จึงมีสภาพว่ากำลังรอการพิพากษาจากผู้นำของเผ่าชนเช่นนั้น
        เวลาล่วงสองทุ่มไปแล้ว แต่บรรยากาศบ้านป่าดงทึบเช่นนี้เหมือนว่าเวลาสักสี่ห้าทุ่มแล้ว    หัวหน้าเผ่า
หน้า 14
ก็เดินออกจากเรือนของตนตรงไปยังกองไฟหน้าบ้าน เพื่อสมทบกับลูกบ้านที่มาพร้อมกันแล้ว เขาเริ่มสั่งการลูกบ้านเป็นภาษาข่าฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อคำสั่งจบลงชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาคนแก่ทั้งห้าที่นั่งหน้าเศร้าและร้องไห้เบาๆ อยู่ หญิงแก่เหล่านั้นมีท่าทางจะดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่มากนัก เหมือนรู้ว่ายังไงก็ต้องยอมให้ชายกลุ่มนั้นกระทำบางอย่างแก่ตน  เห็นชายเหล่านั้นยัดอะไรบางอย่างเข้าปากของหญิงชราทั้งห้า ได้ยินเสียงบังคับให้เคี้ยวและกลืนกินสิ่งนั้น สีหน้าของชายผู้เป็นหัวหน้าเผ่าและคนอื่นๆดูสลดเล็กน้อย ไม่กี่ชั่วอึดใจภาพที่เห็นในตำแหน่งที่คนวัยใกล้ฝั่งทั้งห้านั่งอยู่เมื่อสักครู่ บัดนี้มีหมูตัวขนาดสักเกือบร้อยกิโลกรัมนอนดิ้นคลุกๆ ส่งเสียงร้องกรี๊ดๆทุรนทุรายไปมาจนฝุ่นผงฟุ้งกระจาย ชายจำนวนสิบคนเหมือนรู้หน้าที่ นำไม้คานหามเข้ามาสอดใส่ระหว่างขาหมูที่ถูกมัดรวบไว้ แล้วหามเดินไปอีกมุมหนึ่งของลานบ้าน ซึ่งห่างจากที่ชุมนุมไปสักสิบกว่าวา คนทั้งหมดลุกเดินตามกันไปในมือถือขี้ใต้ที่มีเปลวไฟลุกโชติช่วง เสียงร้องกรี๊ดๆของหมูเคล้าระคนโหยหวนชวนสยองเกล้าดังแข่งกันขึ้น เสียงไชโยตีเกราะเคาะไม้เป็นจังหวะรัวเร็วเร้าร้อน ดังขึ้นแข่งกับเสียงกรีดร้องของนักโทษประหารที่ไม่รู้ว่าผิดเรื่องอะไร สุนัขป่าประสานเสียงหอนโหยหวนดังแว่วมาจากหุบเขาที่ยืนตระหง่านล้อมรอบหมู่บ้าน เสียงมันโหยหอนยาวรับประสานกันใกล้เข้ามาใกล้เข้ามา สุนัขบ้านก็พลันเห่าหอนรับกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ฟังแล้วมันยิ่งเพิ่มความสะดุ้งขนพองสยองเกล้ามากขึ้นเป็นทวี อาศัยดวงจิตผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชนจึงสามารถประคองเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นแล้วสามเณรน้อยผู้อาคันตุกะคงจะบ้าตายเป็นแน่
        เสียงกรีดร้องโหยหวนของเหยื่อประหารและเสียงตีเกราะเคาะไม้ จางหายไปกับความมืดของรัตติกาลแห่งขุนเขาแล้ว เสียงหอนโหยหวนของเหล่าสุนัขบ้านสุนัขป่ายังคงเห่าหอนกันเป็นระยะๆ เสียงสัตว์กลางคืนที่แสนดุดันคืนนี้กลับแผ่วเบาผิดวิสัยของพวกมันยังกับว่ามันหวาดหวั่นอะไรบางอย่าง ในรัตติกาลอันไร้แสงจันทร์ กองเพลิงที่สุมอยู่ลานหน้าบ้านของหัวหน้าเผ่ายังคงลุกโชติช่วงอยู่ดังเดิม ชายฉกรรจ์ทั้งหมดกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาส่วนหนึ่งกำลังคัดแยกเนื้อหมูสดๆ ที่ผ่านตะแลงแกงมาเมื่อสักครู่ บางส่วนก็นั่งคุยกันสูบยาใบตองพ่นควันโขมง  ภายในกระท่อมใหญ่ของหัวหน้าหมู่บ้าน สามอาคันตุกะผู้ทรงศีลสังวร ยังคงนั่งหลับตาเจริญจิตภาวนาอยู่ ภายในห้วงจิตอันบริสุทธิ์ของสามหน่อเนื้อเชื้อไตรรัตน์แก้วนั้นกำลังแผ่ข่ายจิตอุทิศบุญกุศลให้เหล่าสุกรห้าผู้น่าสงสาร ที่เพิ่งถูกประหารไปเมื่อสักครู่และดวงจิตวิญาณที่สิงวนเวียนด้วยความทุกข์ทรมานอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มานานแสนนานอีกมากมายให้ไปผุดไปเกิดในที่สุคติ เวลาล่วงไปเกือบยามสองแล้วหลวงปู่ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่จึงให้สัญญาณด้วยโทรจิต อนุญาตให้ศิษย์ผู้ติดตามถอนฌานสมาธิและให้พักผ่อนได้
        ดวงสุริโยไขแสงส่อง ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกค่อยๆเปิดม่านสว่างขึ้น แสงอรุณรุ่งสาดแสงผ่านม่านหมอกอันหนาแน่นบนยอดแห่งขุนเขาที่ยืนตระหง่านสลับซับซ้อน    มองเห็นเป็นสีสันต่างๆงามประหลาดนัก
หน้า 15
ปรากฏการณ์เช่นนี้มีให้เห็นเฉพาะในดินแดนแห่งหุบเขาป่าดิบดงทึบเท่านั้น ไก่ป่ามากมายหลายสายพันธุ์ ยังคงส่งเสียงขันปลุกเร้าทุกชีวิตในผืนป่าให้ตื่นขึ้น สัตว์ป่ากลางคืนส่งเสียงอำลารัตติกาล เหล่ามฤคสีหราช นาๆสัตว์ไพรที่ออกหากินกลางวันก็ส่งเสียงทักทายอรุณรุ่งสาง
        อาหารบรรจุในภาชนะใบตองป่าใบใหญ่ยักษ์ และในกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่งซีกที่ทำขึ้นแทนถ้วยชาม ถูกลำเรียงเข้ามาวางเฉพาะหน้าของสามเหล่ากอพุทธวงศ์ ภัตตาหารเช้าวันนี้มีเผือกและมันป่าเผาใช้ฉันแทนข้าว อาหารกับก็มีจำพวกเนื้อสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น กระต่ายย่าง ไก่ป่าย่าง ลิงย่าง งูย่าง ทั้งหมดนี้แขกผู้ที่ได้รับ
เกียรติจากชนเผ่าข่าเห็นแล้วก็ถึงกับเกิดมวนปั่นป่วนในท้อง     เหล่าสัตว์ผู้ที่ได้รับเกียรติมานอนอยู่ในภาชนะอาหารเหล่านี้ ก่อนหมดชีวิตอย่างไรก็มีสภาพเดิมๆ อย่างนั้น ต่างแต่ถูกเผาย่างจนขนไหม้เกรียนแล้วเท่านั้น ส่วนความสุกนั้นอยู่ที่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เลือดยังเยิ้มอยู่ตามรอยแผลที่ถูกทุบด้วยของแข็ง แต่ยังมีอาหารอีกเมนูหนึ่งที่หัวหน้าเผ่าแนะนำและชวนชิมด้วยความภาคภูมิใจซึ่งมันเป็นเมนูเด็ดของอาหารเช้ามื้อนั้น “นี่เป็นอาหารชั้นเลิศ ที่ปีหนึ่งจึงจะมีให้กิน พวกเราจะทำอาหารชนิดนี้ในปีใหม่ บูชาเทพแห่งความหนาวเพื่อจะได้ไม่ลงโทษพวกเรา พวกสูเจ้ามาสู่หมู่บ้านของพวกเราได้จังหวะที่ดี ดังนั้นจึงขอเชิญกินอาหารอันวิเศษนี้เถิด” หัวหน้าเผ่ารายงานและเชิญชวนให้ชิมเป็นภาษาข่า หลวงปู่แพงตา และหลวงปู่คำตาฟังออก “อาหารที่สูเจ้าพูดนี้ทำมาจากเนื้ออะไรรึ” หลวงปู่แพงตาถามพร้อมกับชี้มือไปที่อาหารดังกล่าว ที่อยู่ในภาชนะกระบอกไม้ไผ่ผ่าครึ่งซีกขนาดเท่าท่อนขา “หึๆๆ..มันมาจากเนื้อหมูที่พวกเราทำพิธีฆ่าเมื่อคืนนี้เอง” ผู้นำเผานั่งยองๆ ยกมือข้างหนึ่งเกาหัวแกร็กๆจนขี้หัวร่วงพรูจากผมยาวที่ยุ่งเหยิงปีหนึ่งจะสระครั้งหนึ่ง พร้อมหัวเราะหึๆด้วยความภูมิใจอย่างไร้เดียงสา ดีใจที่ได้นำเสนออาหารจานเด็ดแก่ผู้มาเยือน “หมูป่าเรอะสูเจ้า” สั่นหัวก่อนตอบโดยไม่ต้องคิดอะไร “หมูคนไม่ใช่หมูป่า” ตอบห้วนๆเสียงดังฟังชัดตามประสาชาวป่า
        อาหารเช้าที่หมู่บ้านชาวข่าผู้อารี คณะธุดงค์ขอฉลองศรัทธาเฉพาะเผือกมันเผาก็พอ โดยเลี่ยงไปว่าการเดินป่าของคนเผ่าศีรษะโล้นนั้นมีข้อห้ามไม่ให้ฉันเนื้อระหว่างเดินป่า มิเช่นนั้นผีปู่ผีตาจะลงโทษให้ถึงตาย พวกเขาก็ไม่ขัดข้อง เลยยกออกไปล้อมวงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย “หมูคนที่ว่าก็คือ” ในชนเผ่าข่าแห่งนี้ เวลามีงานสำคัญๆ เช่น งานแต่งงานของคนสำคัญในเผ่า งานไหว้ผีปู่ผีตา งานไหว้เทวดาแห่งความหนาว (ต้นฤดูหนาว) พวกเขาก็จะทำการฆ่าหมูคนครั้งหนึ่ง “หมูคนก็คือคนที่กลายเป็นหมู” ในป่าดงดิบกลางขุนเขาอันห่างไกลจากดินแดนที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุของหมู่มนุษย์ยุดไฮเทค ยังเต็มไปด้วยความลี้ลับและอาถรรพ์ดิบเกินที่คนในเมืองจะเชื่อได้ แต่มันก็มีของมันอยู่อย่างนั้นไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงมันได้ นอกเสียจากความเจริญที่แสนจะโง่เขลาของคนเมือง
“ว่านหมู” คือประติมากรรมชิ้นหนึ่งจากธรรมชาติ ชนเผ่าข่าแห่งนี้มีประเพณีแปรรูปเนื้อคนให้เป็นเนื้อ  
หน้า 16
หมูโดยพวกเขาจะนำเอาคนแก่ที่ไม่สามารถจะประกอบการงานอะไรได้แล้วมาแปรรูปให้เป็นหมูรสโอชะ โดยให้กินว่านอาถรรพ์มรณะนี้เข้าไป พวกเขาไม่เลือกว่าคนแก่คนนั้นจะเป็นใครญาติของใคร  หนึ่งในหมูห้าตัวที่ถูกฆ่าบูชาเทวดาในปีนี้ก็มีแม่ของหัวหน้าเผ่ารวมอยู่ด้วย “มันเป็นวงเวียนแห่งบาปกรรมของชาวบ้านป่าผู้อยู่ห่างไกลอารยะธรรมมนุษย์ไฮเทค” พวกมนุษย์ป่าเหล่านี้เกิดมาร่วมกันพบกันเพื่อฆ่ากันกินกัน มันจะเป็นไปอย่างนี้ตราบนานแสนนาน จนกว่าพระศรีอาริยะเมตรัยจะเสด็จมาโปรดจึงจะสิ้นโทษหมดบาปเวรกัน”
ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้หลวงปู่คำตาไม่ฉันเนื้อหมูตลอดชีวิต ท่านคือศิษย์เอกผู้น้องของหลวงปู่แพงตาผู้พ้นโลกสงสารแล้ว...แล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=25692
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-11-12 15:47

โดย: Sornpraram    เวลา: 2014-11-13 08:14

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-11-13 20:53
อาถรรพ์หม้อดินเผา

ดิฉันเป็นเด็ก อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ได้ฟังผู้เฒ่าผู้แก่เล่าเรื่องราวน่าสยดสยองเกี่ยวกับสมบัติโบราณ จดจำได้อย่างฝังใจตั้งแต่เล็กจนโต จึงขอนำมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ค่ะ

เมื่อเดือนมกราคม ปี 2513 นายนุ่ม อยู่ในธรรม รองอธิบดีกรมศิลปากร และหัวหน้ากองโบราณคดี ได้ไปตรวจแหล่งโบราณคดีที่บ้านเชียงพร้อมคณะใหญ่ อยู่ที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี

ที่บริเวณวัดโพธิ์ศรีใน มีหลุมที่ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องปั้นดินเผาที่ฝังรวมกับศพ ซึ่งเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุประมาณ 6,500-7,000 ปี นับเป็นแหล่งโบราณคดีแห่งแรกในประเทศไทย

ต่อมาองค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกโลก!

ตอนบ่ายวันเดียวกัน ได้ไปแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านแวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

บรรยากาศของโบราณสถานโดยทั่วไปมักจะร่มครึ้ม เยือกเย็น ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นหวนนึกไปถึงอดีตกาล…สมัยที่ยังรุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่นั้น ผู้คนย่อมคึกคักขวักไขว่ ทักทายและพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างเบิกบาน…ราวกับจะปรากฏกายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยมิได้ดับสูญไปกับกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน

ขณะนั้นเองหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ประคองหม้อดินเผาขนาดย่อมๆ ใบหนึ่งมาส่งให้สตรีในคณะ มีนามว่าพาณี พลางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม สุ้มเสียงออกแปร่งตามประสาคนท้องถิ่น

“ขอมอบให้คุณนายเป็นที่ระลึก โปรดรับไว้เถอะจ้ะ”

คุณพาณีเล่าภายหลังว่า น้ำเสียงกับนัยน์ตาคู่นั้นทำให้รู้สึกพร่ามึนอย่างไรชอบกล แต่ยังมีสติบอกปัดไป โดยอ้างว่าเป็นของมีค่าเกินกว่าจะรับได้ แต่หญิงแปลกหน้า ผู้มีลักษณะเป็นคนพื้นบ้าน พูดจาไพเราะน่าฟังก็คะยั้นคะยอให้รับไว้ เพราะนำมาให้ด้วยความเคารพนับถืออย่างจริงใจ

ในที่สุด คุณพาณีเกรงว่าฝ่ายนั้นจะเสียน้ำใจ หรือไม่ก็หาว่าถือตัว จึงจำใจรับไว้ แล้วหันไปทางชาวคณะพลางบอกกล่าวเรื่องราวให้ฟัง

“ไหน? ไม่เห็นมีใครซักคน!”

ใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นอย่างมั่นใจ เล่นเอาคุณพาณีใจหาย หันขวับไปก็พอดีมองเห็นหญิงกลางคนนุ่งซิ่นดำ สวมเสื้อแขนกระบอกสีขาว กำลังจะเดินลับกองอิฐสีแดงใกล้ต้นใหญ่อยู่แล้ว เธอจึงชี้ให้คนอื่นๆ ดู

“ไหนกัน…ทำไมไม่เห็นล่ะ?”

“แปลก! ไม่เห็นมีใครนี่! อ้อ…นั่นไง! แกเดินเหมือนลอยไปเฉยๆ อ้าว? หายไปแล้ว”

สตรีผู้ได้รับหม้อดินเผาเก่าแก่เป็นของกำนัลจากหญิงแปลกหน้า ถึงกับขนลุกซู่ซ่าไปทั้งตัว…พอดีมีคนอื่นๆ มาดูหม้อใบนั้น พลางพูดจาชมเชยความสวยงาม ดูโบร่ำโบราณหายาก มีค่าควรแก่การสะสมไว้ชื่นชมยิ่งนัก

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-11-13 20:54
คืนนั้นเอง…คุณพาณีนอนหลับก็ฝันเห็นเด็กชายวัยสิบขวบ ไว้หางเปีย หน้าตาน่ารัก โผล่ออกมาจากหม้อดินเผาช้าๆ กระทั่งยืนเด่นเต็มตัว พลางหันหน้ามามองยิ้มๆ

ครั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยเหงื่อโซมกาย คุณนายก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะคิกคักมาจากหน้าห้อง ทั้งๆ ที่ในบ้านไม่มีเด็กอยู่เลยแม้แต่คนเดียว…ตัดสินใจลุกไปเปิดประตูดู ก่อนจะมองเห็นภาพน่าขนหัวลุกเต็มตา

ท่ามกลางความเย็นเฉียบในยามดึกดื่น สรรพสิ่งเงียบกริบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างไปเสียแล้ว

เด็กชายในความฝันกำลังวิ่งเล่นอยู่รอบๆ หม้อดินเผาใบนั้นเอง!

เข่าอ่อนยวบ ม่านตาพร่าพรายใจสั่นหวิวๆ คล้ายจะเป็นลม แต่ยังมีสติระลึกถึงคุณพระคุณเจ้าขึ้นมาได้

พนมมือภาวนาว่าขอให้วิญญาณนั้นจงไปสู่ที่ชอบๆ เถิด อย่ามารบกวนเลย แล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แน่นอน

เด็กผมเปียหยุดวิ่ง หันมามองสบตาประหนึ่งจะคาดคั้นเอาคำมั่นสัญญาของคุณพาณี ก่อนจะเดินหายลับเข้าไปในหม้อดินเผานั้นตามเดิม

รุ่งเช้า คุณนายพาณีรีบนำหม้ออาถรรพณ์ แสนจะน่าสยดสยองพองขนใบนั้นไปมอบให้พิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติ แล้วเข้าวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เด็กชายผู้นั้นตามสัญญาที่เธอให้ไว้

โดย: oustayutt    เวลา: 2014-11-13 20:57
ตำนานผีม้างบ้อง

ล้านนามีหลายกระแส บ้างก็ว่า เป็นผีก้ะที่แก่มากๆจนกลายเป็นผีม้าบ้อง   บางตำนานก็ว่าเป็นผีที่ชอบแทะกินหัวควายแห้ง ก็แล้วแต่บางท้องถิ่นจะสืบสานเล่าขานกันไป แต่ที่แน่ๆคือมีคำว่าผีม้าบ้องเป็นคำเรียกชื่อผีเหมือนๆกัน

สำหรับตำนานนี้อาจแปลกกว่าที่อื่นอยู่บ้างเริ่มตั้งแต่ มีครอบครัวตุ๊กต้ะครอบครัวหนึ่งอยู่กันสวามพ่อแม่ลูก เฝ้าคอกม้าของพระราชา  ต่อมาเมื่อพ่อแม่เสียชีวิต เหลือแต่ลูกชายที่ขยันขันแข็งตระหนี่แม้แต่หัวควายที่ตายแล้วเขาเอามท้องเขาก็ไปแทะเอาเนื้อมากิน ด้วยความที่มัวแต่หากินตลอดชีวิตกลายเป็นบ่าวเฒ่าหรือชายโสดจนสิ้นชีวิต

เมื่อตายไปวิญญาณของเขานึกได้ว่าเมื่อเป็นคนไม่ได้แต่งงานไม่รู้รสชาติของ การมีครอบครัวแม้กระทั่งตายก็ไม่มีใครมาดูแลศพ   ด้วยความคิดดังกล่าวเกิดความอิจฉาริษยาเด็กหนุ่มที่เรียกกันว่า ” บ่าวแถ่ว”หรือเด็กชายเริ่มขึ้นหนุ่มเสียงห้าวนั่นเอง  เมื่อกลายเป็นผีก็แอบไปเที่ยวตอนกลางคืนกับชายหนุ่มตามหมู่บ้าน  แต่ถ้าคืนวันไหนแสงเดือนมัวหม่นสลัวๆ  และผีม้าบ้องเกิดอารมณ์คึกเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์บ้องมันแข็ง  มันก็จะวิ่งอืนกะหลึ้กๆ…ไปมาตามถนนหนทางในหมู่บ้านหากพบเห็นบ่าวแถ่วเมื่อ ใดผีม้าบ้องก็เกิดความอิจฉาจะใช้เท้าดีดหว่างขาบ่าวแถ่วจนหน้าเขียวเกิด อันตราย

ด้วยฤทธิ์เดชผีม้าบ้องดังกล่าวผู้ใหญ่จึงสั่งสอนเด็กชายแรกรุ่นขึ้นหนุ่มหรือเรียกกันว่า “บ่าวแถ่ว”  ห้ามออกนอกบ้านยามกลางคืน หากจะเที่ยวต้องไปกับหนุ่มใหญ่ที่มีประสบการณ์แอ่วสาวมาแล้วหากพบผีม้าบ้องก็จะได้ช่วยกันขับไล่

เรื่องผีม้าบ้องจึงเป็นตำนานของชาวล้านนาป้องกันเด็กชายแรกรุ่นหรือบ่าวแถ่วหนีออกนอกบ้านไปเที่ยววามกลางคืนได้ดีแท้.

ผีม้าบ้อง เกิดจากปาฏิหาริย์ของผีกละนั่นเอง เมื่อผีกละมีพลังแก่กล้าจะแปลงกายให้คล้ายกับม้า สีของลำตัวโดยมากจะเป็นสีหม่น คนโบราณได้เล่าต่อกันมาว่า ผีกละจะเข้าสิงร่างเจ้าของผีหรือคนในตระกูล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย มักจะเลือกออกในคืนเดือนมืดหรือข้างแรม โดยการพับแขนทั้ง 2 ข้างแนบกับตัว หันด้านศอกไปข้างหน้า สมมุติให้เป็นหูของม้า ใช้ผ้าขาวม้าผูกเอวให้เหลือชายไว้ข้างหลัง สมมุติให้เป็นหาง แล้ววิ่งออกไป สถานที่ผีม้าบ้องชอบวิ่งเข้าออกจะเป็นตรอกซอกซอยแคบๆ คนเมืองเรียกว่า “คลองหน้อย” หรือวิ่งไปตามลำเหมืองที่ไม่มีน้ำ ระหว่างที่ผีม้าบ้องวิ่ง คนที่มีบ้านอยู่แถวนั้นจะได้ยินเสียงดังคล้ายกับเสียงวิ่งของวัวควาย มีคนเคยเห็นผีม้าบ้อง แต่ไม่มีใครเคยเห็นหมดทั้งตัว บางคนจะเห็นส่วนข้าง บางคนเห็นเพียงส่วนก้น ว่ากันว่าถ้าคนไปเจอผีม้าบ้อง คนจะถูกทำร้ายหรือครอบงำ “อำ” หรือจะทำให้ป่วยโดยไม่รู้สาเหตุ ร่างกายจะผอมเหลืองไปทีละน้อย และเสียชีวิตในที่สุด
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-11-13 20:58
มีคนที่เคยพบกับความน่ากลัวของผีม้าเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า คืนหนึ่งได้ไปแอ่วสาว (คือการไปเที่ยวจีบสาวในเวลากลางคืน ตามประเพณีของคนล้านนาในอดีต) ที่เป็นสายผีกละ ทั้งๆ ที่รู้แล้วแต่ก็อยากจะลองดู ในระหว่างที่นั่งคุยกับสาวอยู่นั้น เขาสังเกตเห็นว่ามีนกฮูกบินโฉบไปมาระหว่างหลังคาเรือนกับต้นไม้ในบริเวณนั้น และส่งเสียงร้องด้วย ตกดึกก็ยังมีเสียงสั่นสะเทือนของเสาเรือน คล้ายกับมีวัวควายวิ่งชนเบาๆ ทั้งที่บ้านหลังนั้นไม่ได้เลี้ยงวัวควายไว้ใต้ถุน หนุ่มคนนั้นจึงไม่กล้าลงจากบ้านคนเดียว ต้องรอเพื่อนๆ ที่กลับจากการแอ่วสาวผ่านมาจึงกลับบ้านได้ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่ไปที่บ้านนั้นอีก

การติดต่อสืบสายของผีกละ นอกจากจะติดต่อกันทางเครือญาติแล้ว ยังติดต่อกันได้กับคนนอกตระกูลอีกด้วย ชายหรือหญิงใดที่แต่งงานกับคนที่เป็นสายตระกูลผี เมื่อได้กินข้าวร่วมไหเดียวกันครบ 7 ไห ก็จะเป็นสายผีในตระกูลนั้นอย่างเต็มตัว

สรุปได้ว่า ผีเม็ง ผีเม็งน้ำร้า ผีกละ ผีกละหงอน และผีม้าบ้อง เป็นผีที่แตกแขนงมาจากต้นผีเดียวกันคือผีเม็ง เดิมคงรับมาจากคนมอญลำพูน หรือมอญในประเทศพม่า ที่อยู่ของผีคือในหม้อดินเผาปากแคบ (หม้อต่อม) ปิดปากหม้อด้วยผ้าขาว ลักษณะของผีตามที่เล่าต่อกันมา มีรูปคล้ายกับส่วนบนของไก่ เป็นผีที่ช่วยคุ้มครองเจ้าของและสมาชิกในครัวเรือน มีธรรมเนียมว่าต้องทำพิธีฟ้อนผี 3 ปีต่อครั้ง ถ้าไม่เลี้ยงดูให้ดีผีจะออกหากินเอง จึงเรียกว่า ผีกละ หรือถ้าเจ้าของไปทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ผีจะโกรธแทน จะไปเข้าสิงคนๆ นั้น เมื่อถูกหมอผีบังคับ ถ้าทนไม่ได้จริงๆ จะบอกชื่อคนที่เป็นเจ้าของ เมื่อผีมีพลังแก่เต็มที่ผีกละจะมีหงอนที่ศีรษะคล้ายกับหัวของไก่ เรียกว่า ผีกละหงอน เมื่อเข้าสิงคนจะออกยาก เพราะหงอนของผีจะติดค้างอยู่กับส่วนใดส่วนหนึ่งของคน เมื่อมีพลังแก่กล้าจะสามารถแปลงกายเป็นม้า เรียกว่า ผีม้าบ้อง ชอบวิ่งเข้าออกตามซอยเล็กๆ หรือตามลำเหมืองที่ไม่มีน้ำในเวลากลางคืน โดยมากจะเป็นคืนเดือนมืดหรือคืนข้างแรม ศัตรูของผีกละคือนกฮูก (นกเค้า) จะคอยร้องเตือนให้คนทราบว่าผีกละไปทางไหน จึงเรียกนกเค้าชนิดนี้ว่า “นกเค้าผีกละ” บุคคลผู้ใดอยู่กินกับคนในตระกูลผีนี้ ถ้าได้ร่วมกินข้าวไหเดียวกันเกิน 7 ไห ผู้นั้นจะเป็นผี กละและเป็นสายผีเดียวกันไปด้วย

โดย: Sornpraram    เวลา: 2015-1-29 14:14
รอครับ ร ร ร ร ร ร ร  




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2