Baan Jompra

ชื่อกระทู้: 10 ตำนานเรื่องเล่าลึกลับที่สุดท้ายเป็นเรื่องจริง!! [สั่งพิมพ์]

โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:37
ชื่อกระทู้: 10 ตำนานเรื่องเล่าลึกลับที่สุดท้ายเป็นเรื่องจริง!!
10 ตำนานเรื่องเล่าลึกลับที่สุดท้ายเป็นเรื่องจริง!!                                                                                                                   
                            ที่มา : http://www.oknation.net/
                                                            ทุกชนชาติมีเรื่องเล่าตำนานเป็นของตัวเอง อาจจะเป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมาจากรุ่นสู่รุ่น หรือมีการเล่ากันมาปากต่อปากจนบางเหตุการณ์มีผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่มีบางตำนานที่สุดท้ายกลายเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจนทำให้ผู้พบเห็นเป็นลมล้มพับมาแล้ว วันนี้เราจะพามาดู10ตำนานที่สุดท้ายตำนานเหล่านั้นกลับกลายเป็นจริง!!       


โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:37
                                10. The Clown Statue / The Clown Doll
                           
                                                                                       
                                                           ชาวอเมริกันบางคนกลัวตัวตลก(จากการวิเคราะห์ของนักจิตวิทยาพบว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบตัวตลก) ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมักใช้ตัวตลกมาทำเป็นสัตว์ประหลาดทำร้ายคน
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าที่น่าขนหัวลุกเกี่ยวกับตัวมันอีก

โดยเรื่องเริ่มขึ้นว่าในระหว่างที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ในกลางคืนดึกวันหนึ่ง ระหว่างที่พ่อแม่ดูทีวีในห้องอยู่นั้น ก็มีเด็กซึ่งเป็นลูกของพวกเขามายังในห้อง (บางที่ก็บอกพี่เลี้ยงเด็ก) พ่อแม่เด็กถามเด็ก
ว่าทำไมไม่ไปนอน ตื่นขึ้นมาหาพวกเขาทำไม เด็กคนนั้นตอบว่าช่วยจัดการกับรูปปั้นตัวตลก (ตุ๊กตาตัวตลก) ในห้องของผมทีครับ มันจ้องหน้าผมเวลานอนจนผมเป็นประสาทและนอนไม่หลับ
เมื่อพ่อแม่ได้ยินเด็กพูดดังกล่าวก็อึ้ง เพราะว่าบ้านพวกเขาไม่ได้มีรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนสักหน่อยและเขาก็ไม่เคยซื้อรูปปั้นดังกล่าวมาด้วย และรูปปั้นตัวตลกในห้องนั้น นั่นคืออะไรล่ะ? ด้วยความกลัว
พวกเขาก็โทรเรียกตำรวจทันที และผลปรากฏว่าไม่พบรูปปั้นตัวตลกในห้องนอนของพวกเขา แต่พบว่ามีร่องรอยบุกรุกจากภายนอก สันนิษฐานว่าคนจรจัด ไม่ก็คนบ้าได้ปลอมเป็นตัวตลกแอบบุกรุกในบ้าน
หรือไม่ก็คนบ้าหลบหนีจากคุกเพื่อฆ่าเด็ก และเรื่องเล่าดังกล่าวก็เคยถูกนำมาแต่งเป็นนิยายของสตีเฟ่น คิง และถูกนำมาเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Stephen  King's It (1990)  หรือเรื่อง Killer Klowns
(1988), Clownhouse (1990) ที่นำเสนอเป็นสัตว์ประหลาดที่มันจะออกมากินเด็กในเมืองนั้นและมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น? ในปี 1990 ที่ West Palm Beach ฟลอริด้า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อเชียลา
(shelia keen) อายุ 27 ปีถูกยิงตายโดยผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า คนฆ่าอยู่ใกล้ศพของเธอนั้นแต่งตัวเป็นตัวตลกใส่วิกผมสีส้มทอง (และคดีนี้ไม่สามารถไขได้ จนกลายเป็นคดีปริศนาในเวลาต่อมา) แต่
ฆาตกรตัวตลกนี้เทียบไม่ได้กลับฆาตกรต่อเนื่องนาม จอห์น เวยน์ เกซี (John Wayne Gacy 1942~ 1994) ที่ทำการฆาตกรรมฆ่าข่มขืนเด็กหนุ่ม 33 ชีวิตในระหว่างปี 1970-1978 ในเมืองชิคาโก้
รัฐอิลินอยส์ เขาถูกตั้งฉายาว่า “ฆาตกรตัวตลก” เนื่องจากเขาชอบ แต่งตัวเป็นตัวตลกไปเยี่ยมเด็กๆในโรงพยาบาลหรืองานกุศล สุดท้ายเขาก็ถูกประหารชีวิตด้วยการฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือด       


โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:37
                                9. The Living Severed Head
                           
                                                                                       
                                                           เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!!
และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตาพะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม

เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยติน หรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละที
จะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต  หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์ (Charlotte
Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต (Jean-Paul Marat)เธอถูกประหารด้วยกิโยตินหลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยาน
โดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูดคำว่า “ไม่ได้”(couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลาย
คนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์(Beaurieux) ผู้ซึ่งทำการทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ (Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน (แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของ แลงกุยล์เลอ และปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของ แลงกุยล์เลอเปิดออกอีกครั้งและจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาทีแพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุก
จากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก)       


โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:37
                                8. Mummy Funhouse
                           
                                                                                       
                                                           ระหว่างวันหยุด ชายหญิงคู่หนึ่งไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน ระหว่างที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับเครื่องเล่นต่างๆ ก่อนที่จะจบลงที่ทั้งสองตัดสินใจไปเที่ยวบ้านผีสิง และข้างในบ้านผีสิงนั้นทั้งสองได้เห็นมัมมี่
สยองตัวหนึ่ง มันเหมือนจริงมาก ไม่ว่าจะเป็นผิวหนังหรือกระดูกมนุษย์ มันสมจริงเกินกว่าที่จะทำด้วยไม้อัด ระหว่างที่ทั้งสองสำรวจนั้นเองก็พบว่ามันคือของจริง!!มันเป็นจริงซะงั้น!! คงจะเคยได้ยินมาบ้าง ที่ว่าไปเที่ยวบ้านผีสิงอยู่ดีๆ กับพบศพของจริงซะงั้น และเรื่องนี้กลายเป็นจริงเหมือนกัน เมื่อเดือนธันวาคม ปี 1976 ทีมงานสร้างภาพยนตร์โทรทัศน์ชุด (เรื่องThe Six Million Dollar Man) ได้ยกกองไปถ่ายทำบ้านผีสิง (Amusement Park in Long Beach)ในสวนสนุกลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่มีมัมมี่ตัวหนึ่งแขวนอยู่ การถ่ายทำดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั้งลูกมือกองถ่ายคนหนึ่ง ร้องเอะอะขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด เมื่อแขนข้างหนึ่งของมัมมี่เกิดหลุดร่วงลงมาที่พื้น เศษเนื้อเศษหนังที่หุ้มกระดูกมนุษย์กระจายเกลื่อน มันไม่ใช้มัมมี่ของปลอมหากแต่มันเป็นของจริง!!       


โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:38
                                7. The Body in the Bed
                           
                                                                                       
                                                           ชายหญิงคู่หนึ่งไปลาสเวกัส เพื่อไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของพวกเขา ทั้งคู่เช่าโรงแรม และเมื่อทั้งคู่เข้ามาในห้องก็พบกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพที่รุนแรงมาก พวกเขาพยายามหาที่มาของกลิ่นนั้น แต่
สุดท้ายพวกเขาก็ไม่พบ ทั้งคู่เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่า ผู้จัดการขอโทษและอธิบายว่าตอนนี้ห้องโรงแรมเต็มเพราะมีการประชุมครั้งใหญ่ไม่สามารถหาห้องว่างห้องอื่นได้ เขาเลยเสนอชดเชยอาหาร
กลางวันโรงแรมฟรี และส่งแม่บ้านเพื่อมาทำความสะอาดห้องและพยายามกำจัดกลิ่นหลังจากรับประทานอาหารกลางวันทั้งคู่กลับมาที่ห้องนอนของตน พวกเขายังได้กลิ่นเหม็นเหมือนเดิม
เลยเรียกผู้จัดการมาต่อว่าอีกครั้ง และขอให้เปลี่ยนห้องเดี๋ยวนี้ ผู้จัดการบอกว่าตอนนี้ห้องเต็มเหลือแต่ห้องวีไอพีเท่านั้น แต่ทั้งคู่พึ่งเสียเงินไปกับการพนัน เลยไม่มีเงินมาเช่าห้องที่ดีกว่านี้ ผู้ชัดการเลยส่ง
แม่บ้านมาอีกครั้งคราวนี้สั่งให้เปลี่ยนของใช้ในห้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดพรม เปลี่ยนผ้าเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าม่าน วางตำแหน่งของต่างๆ ให้ต่างจากเดิม แต่ปรากฏว่าเมื่อทั้งคู่มาห้องนี้อีกครั้งก็
พบกลิ่นเหม็นเหมือนเดิม ฝ่ายผู้ชายหมดความอดทนและโมโหจัดจึงทำลายของใช้ในห้องจนเกือบหมดและแล้วเมื่อเขาดึงที่นอนสปริงเขากลับว่าข้างในนั้นมีศพผู้หญิงยัดอยู่!!

มันเป็นจริงซะงั้น!! เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่นิยมกันในต่างประเทศ รวมถึงไทยด้วย คงเคยได้ยินเรื่องผีช่องแอร์ใช่มั๊ย นั้นแหละมีเค้าโครงมาจากเรื่องนี้เช่นกัน และบางครั้งรายละเอียดจะแตกต่างกันบ้าง
แต่รวมๆ ก็แนวๆ นี้แหละ พักโรงแรม ได้กลิ่นเหม็นที่ห้อง และพบซากศพและตำนานที่ว่านี้ก็เป็นเรื่องจริงซะด้วยสิ เมื่อมีเหตุการณ์ใกล้เคียงที่เกิดขึ้นจริงในการพบศพนิรนามที่ไม่สามารถระบุได้ว่ามันมาได้อย่างไรในเตียงนอนของโรงแรม อีกทั้งมันอยู่ที่นั้นมานานหลายวันกว่าที่จะถูกค้นพบ เช่น ในแอตแลนติกซิตี นิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา  ปี 1999 มีการพบร่างของ ซาอูล(Saul Hernandez) อายุ 64 ในห้องของโรงแรม Burgundy Motor หลังจากสองนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันนอนค้างคืนในห้องนั้นและบ่นว่าห้องมีกลิ่นหื่น จนออกมาบ่นกับผู้จัดการโรงแรมหลายครั้งและแม่บ้านก็ไปทำความสะอาดห้องหลายครั้ง จนกระทั้งพบศพใต้เตียงดังกล่าว       


โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:38
                                6. The Curiously Realistic Decoration
                           
                                                                                       
                                                           นวันฮาโลวีน เด็กๆ กำลังไปขอขนมตามบ้านเรือนต่างๆ ที่แต่ละบ้านตกแต่งต้อนรับวันนี้อย่างสนุกสนาน ทั้งโครงกระดูกปลอม หัวฟักทอง โลงศพ โดยหลายคนไม่สนใจเลยว่าตุ๊กตาแขวนคอต้นไม้
ที่เหมือนของประดับมันเป็นศพของคนฆ่าตัวตายของจริง!!
มันกลายเป็นจริงซะงั้น! วันที่ 26 ตุลาคม 2005 พบศพหญิงนิรนามอายุ 42 ปีแขวนคอฆ่าตัวตายในสวนสาธารณะในฟลอริดา เดลาแวร์ หากแต่ศพนั้นห้อยต๋องแต๋งเหนือพื้นดิน 15 ฟุต หลายชั่วโมง
โดยไม่มีใครสนใจเลย เนื่องจากคิดว่ามันเป็นของประดับวันฮาโลวีน ผู้คนผ่านไปเห็นศพนั้นหลายรายจนกระทั้งเพื่อนบ้านใกล้สถานที่เกิดขึ้นสังเกตร่างกายนั้นเมื่อเวลา 7:30 ในตอนเช้า
ในเดือนตุลาคม 2009 ก็เกิดเหตุทำนองนี้ขึ้นอีก เมื่อร่างกายของเหยื่อฆ่าตัวตายชื่อ MostafaMahmoud Zayed อายุ 75 ปีคนหนึ่งถูกพบในระเบียงของบ้าน Marina Del Rey, แคลิฟอร์เนีย
เพื่อนบ้านบอกว่าที่พวกเขาไม่สังเกตเห็นและปล่อยศพทิ้งไว้ เพราะนึกว่าเป็นของตกแต่งวันฮาโลวีนจากการสืบสวนของตำรวจพบว่าเขาตายมานานสามวันโดยลูกกระสุนที่ยิงที่ตา       


โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:38
                                5.The Toxic Woman
                           
                                                                                       
                                                           ผู้หญิงคนหนึ่งเกิดอาการป่วย เธอถูกส่งเข้าโรงพยาบาล และเมื่อนางพยาบาลใช้สายยางเพื่อนำมาต่อกับถุงเลือดสำรอง กลับพบว่าเลือดเธอเป็นพิษแสนน่ากลัว ทำให้นางพยาบาลและคนอื่นๆ ที่สัมผัส
หรือดมเลือดของเธอเข้าเกิดอาการผิดปกติและตายอย่างทรมานในเวลาต่อมา
มันกลายเป็นจริงซะงั้น! เมื่อเวลา 8:15 ในตอนเย็น เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์, 1994 กลอเรีย รามิเรซ(Gloria  Ramirez) อายุ 31 ปี เกิดอาการป่วยต้องเข้าห้องภาวะฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมือง
แคลิฟอร์เนียทางใต้ของริเวอร์ไซด์ ตอนนั้นเธอใส่เสื้อยืดคอกลมแขนสั้น มีอาการแปลกๆ อาการตื่นหายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วเกินไป ความดันเลือดสูง และเธอตอบสนองกับคำถามสั้นๆ เท่านั้นแต่ก็พูด
ตะกุกตะกัก โดยขั้นแรกนั้นคณะแพทย์สันนิษฐานว่าเธอเป็นมะเร็งที่คอคณะแพทย์ที่รักษากลอเรีย ได้ทำการฉีดยาให้กับเธอ แต่เธอก็กระตุกเป็นระยะๆ ทำให้คณะแพทย์
ต้องทำการปั๊มหัวใจเธอ เขาลอกเสื้อเชิ้ตของเธอออก และกดขั้วไฟฟ้าที่หน้าอกของเธอ ในระหว่างนั้นเอง บางคนได้กลิ่นของผลไม้ออกจากปากของเธอแพทย์เลยทำการเจาะเลือดเพื่อวิเคราะห์ นางพยาบาลทำการแนบกระบอกฉีดยา เลือดของเธอมีสีแปลกๆ มีกลิ่นเหมือนแอมโมเนีย จากนั้นหายนะก็เกิด เมื่อเลือดของเธอพุ่งกระเด็นจากช่องรูเข็มฉีดยามันไปโดนหน้านางพยาบาลจนหน้าของเธอไหม้!! เธอล้มลงไปกับพื้น อาเจียน จากนั้นพยาบาลอีกคนก็ล้มชัก จากนั้นมันเริ่มลุกลามมายังคนใกล้เคียง จนผู้บริหารโรงพยาบาลออกประกาศภาวะฉุกเฉินภายใน ผลสุดท้ายมีผู้ป่วยจากเหตุการณ์นี้จำนวน 23 (คณะที่รักษาเธอมี 37 คน) ซึ่งทั้งหมดถูกจับเพื่อเข้าเขตกักกังเชื้อโรคทั้งหมด โดยมีอาการเหมือนหญิงที่ป่วยในตอนแรกไม่มีผิดภายหลังมีผลสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ พบว่าหญิงคนนั้นและคนป่วยทั้งหมดในเหตุการณ์คนนี้ เป็นหลายโรคมากๆ ทั้ง ฮิสทีเรียมวล, โรคตับอักเสบ, เนื้อเยื่อตาย, กระดูกผิดปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายทนทุกข์ทรมาน และตายในสองสัปดาห์ให้หลัง ส่วนตัวกลอเรียเธอตายหลังจากนั้น 40 นาทีหลังเธอเข้าโรงพยาบาล ผลชันสูตรศพ (แบบปลอดเชื้อสุดๆ) พบว่าเลือดของเธอเป็นพิษ สามารถระเหยเป็นไอได้ ใครสูดดม สามารถตายได้ทันทีเสมือนหนึ่งเป็นแก๊สพิษ       


โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:39
                                3. Something Off About That Picture
                           
                                                                                       
                                                           มีชายคนหนุ่มคนหนึ่งเดินทางมาที่ร้านขายของชำของสุภาพสตรีสูงอายุคนหนึ่ง เขาเกิดไปสะดุดตาภาพถ่ายของชายคนหนึ่ง รูปก็ดูปกติดี เด็กชายในชุดที่แต่งจนหล่อเนี้ยบ แต่มันดูแปลกๆไป เขาถาม
หญิงชราว่านี่ใครกัน“โอ!!” หญิงชราตอบกลับ พยายามจับแมวให้อยู่นิ่งๆในอ่างล้างจาน “ดูไม่ออกเหรอว่าเขาตายแล้วแต่รูปนี้ดูดีนะ เธอว่ามั้ย??”มันเป็นจริงซะงั้น! Post-mortem photography หมายถึงภาพที่ระลึกหลังความตาย เป็นงานศิลปะมากกว่าธรรมดา เพราะเป็นการจัดศพของคนที่ตายไปแล้วมาแต่งหน้าทำผม แต่งตัวและถ่ายรูปให้เสมือนพวกเขามีชีวิต (ทำท่าเหมือนหลับนอนลึก) ก่อนนำไปฝัง การถ่ายภาพนี้นิยมในหมู่ชนชั้นกลางสมัยวิคตอเรียน ส่วนมากลูกค้ามักเป็นลูกสาว หรือทารกซึ่งพ่อแม่เด็กรับไม่ได้ว่าพวกเขาตายไปแล้วเด็กที่ตายมักถูกจัดแสดงในการนอนพิงบนที่นอน หรือในเตียงนอนเด็ก บางครั้งการจัดท่ากับของเล่นโปรด ส่วนผู้ใหญ่จะวางท่ามากกว่าปรกติในเก้าอี้ โดยมีเสาค้ำบนเฟรมการออกแบบพิเศษ นอกจากนี้ก็ยังมีลูกค้าที่เป็นหบาทหลวงที่ตายแล้ว ก็ถูกนำมาตกแต่งเต็มยศและนำไปไว้ในโบสถ์งานศพของเขาเสมือนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ (1945 ) หรือนักโทษประหารบางคนที่ถูกประหารด้วยกิโยตินซึ่งเมื่อคอเขาขาดก็นำมาต่อใหม่และถ่ายรูปเอาไว้ เป็นต้น       


โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:39
                                2. Drugs Smuggled in Baby's Corpse
                           
                                                                                       
                                                           โดยเรื่องนี้เป็นตำนานเมืองเก่า ที่ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยตั้งแต่ปี 1970 โดยเรื่องเล่าว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกับเพื่อนร่วมงานไปท่องเที่ยวสนุกสนานที่ชายแดนเม็กซิโก โดยพวกเขานำทารกสองขวบ
ไปด้วย หากแค่พวกเขาคาดสายตาทารกแค่แป๊ปเดียวเท่านั้นเอง เด็กทารกก็หายไป พวกเขาได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ออกตามหา และ 15 นาทีต่อมาพวกเขาก็ได้พบเด็ก ผู้เป็นแม่วิ่งไปขอบคุณ
ตำรวจ  แต่หลังจากนั้นวินาทีหลังจากนั้นความดีใจก็หายไปทันที เมื่อพวกเขาพบว่าเด็กทารกที่ว่านั้นตายมานาน ตั้งแต่ 45 นาทีที่หายไปแล้ว ที่ท้องเด็กถูกผ่าออกและข้างในยัดด้วยโคเคน สาเหตุ
คือพวกโจรลักพาเด็ก ต้องการศพเด็กนั้นเพื่อซ่อนยาเสพย์ติดเพื่อหนีจุดตรวจไปสหรัฐนั่นเองมันเป็นจริงซะงั้น! เรื่องการยัดยาเสพย์ติดเข้าไปในศพเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบก่อนเข้าสหรัฐอเมริกา
มีมาช้านานแล้วครับ ดั่งข่าวหนึ่งในวอชิงตันโพสต์ ค.ศ.1985 ที่ย่อหน้าว่า เมื่อวันจันทร์ ในไมอามี่มีการลักลอบขนโคเคนเข้ามาในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยยัดในศพเด็กทารก ในเที่ยวบินจาก
โคลอมเบียไปยังไมอามี่ โดยตอนแรกเจ้าหน้าที่พบว่า ศพเด็กที่ตอนแรกนั้นมาแบบเด็กที่เหมือนมีชีวิตและคนแอบลักลอบทำท่าทำทางเป็นแม่ของเด็ก หากแต่พวกเขาพบพิรุธเสียก่อน       


โดย: kit007    เวลา: 2014-7-10 09:40
                                1. Buried Alive!
                           
                                                                                       
                                                           และแล้วก็มาถึงอันดับ 1 ของเรา “ฝังทั้งเป็น” เรื่องเล่ากันว่ามีหญิงชายคู่หนึ่งแต่งงานกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั้งแก่เฒ่า จนกระทั้งวันหนึ่งภรรยาของเขาได้จากไป เขาจัดพิธีศพตามหลักศาสนาคริสต์ คือนำศพของเธอมาฝังในโลงศพอย่างดีมาฝังในสุสานเพื่อให้เธอพักผ่อนถาวรเรื่องคงจบแต่เพียงเท่านี้ หากแต่ไม่ เมื่อดึกคืนหนึ่งในขณะที่ฝ่ายชายนอนหลับ เขาได้ฝันน่ากลัวเข้า
เมื่อเขาเห็นภรรยาที่อยู่ในโลงศพลืมตาดื่นขึ้น เธอพยายามตะเกียดตะกายเพื่อออกจากโลงที่ถูกฝังในดิน ความมืด ความแคบ อาการน้อยลงทุกที ทำให้เธอกลายเป็นบ้า เธอกำลังร้องชื่อเขาเพื่อมา
ช่วยเหลือเธอฝ่ายชายฝันร้ายแบบนี้ทุกค่ำคืน จนกระทั้งทนไม่ไหว เขาเลยร้องขอให้แพทย์และหน่วยงานท้องถิ่นนำโลงศพของภรรยาของเขาออกมา และเมื่อทั้งหมดเปิดฝาโลงก็ตะลึงเมื่อศพภรรยาของเขาไม่ได้เน่าเบื่อ ซ้ำที่เบิกตาโพลง ทำหน้าตาหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ที่เล็บมีเลือดเกรอะกรังและที่ฝาโลงด้านในมีรอยขีดข่วนชัดเจน มันเป็นจริงซะงั้น! เรื่องของศพที่คิดว่าตายแล้วนำมาฝังตามพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่ต่อมากลับพบว่าผู้ตายนั้นไม่ได้ตายจริง และกลับมาคืนชีพในโลงศพและพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอดเรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญมากมาย แต่ที่น่าแปลกคือเรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริงอีกทั้งมีมากกว่าหนึ่งกรณี สาเหตุง่ายมากก็เพราะสมัยก่อนนั้นการตรวจสอบผู้ตายนั้นตายจริงหรือไม่ นั้นไม่ค่อยทันสมัย ทำให้มีการฝังในโลงศพทั้งๆ ที่ผู้ตายคนนั้นแค่ตายชั่วขณะ และนี้คือตัวอย่าง ของผู้มีประสบการณ์ฝังทั้งเป็นที่ฟื้นคืนชีพในโลงศพที่ถึงฝังในดินอย่างน่าสยดสยอง..
ปี 1851 เวอรจิเนีย เเมคโดเนล (Virginia Macdonald) อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในนิวยอร์กซิตี้และป่วยตาย เธอถูกนำไปฝังในสุสานกรีนวู๊ด (Greenwood) บรู๊คลิน นิวยอร์ค อเมริกา หลังจากพิธี
ฝังศพผ่านไป แม่ของเธอกลับบอกคนอื่นว่าเธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ตาย เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครอบครัวของเธอทนไหมไหวเลยต้องขุดโลงศพเปิดฝาโลงให้แม่ของเธอหายข้อข้องใจซะ แต่
ปรากฏว่าพวกเขาพบว่าศพของเวอจิเนียนั้นยังไม่เน่า เธอคืนชีพในโลงและพยายามตะเกียดตะกายที่มือของเธอนั้นสภาพเละอย่างไม่มีชิ้นดี แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำลายโลง แต่ล้มเหลวและ
ขาดใจตายไปเสียก่อน (ปล. หลังจากนั้นป่าช้าแห่งนี้ได้ถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ หลายโรงถูกนำมาตรวจสอบก็พบว่ามีศพหลายศพที่ถูกฝังทั้งเป็นจำนวนมาก)       

ที่มา http://www.toptenthailand.com/topten/detail/20140709130324587



โดย: Nujeab    เวลา: 2014-7-10 12:55
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวสุดสยองครับ
โดย: oustayutt    เวลา: 2014-7-10 20:38
ขอบคุณครับ




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2