แท้จริงแล้วเรื่องของวัวและควายธนู เป็นเครื่องรางของขลังทางฝั่งลาวและเขมร แต่ต่อมาได้เข้ามาสู่แผ่นดินสยามเมื่อคราวมีการอพยพไพร่พลเข้ามา
หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง นครปฐม ท่านเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในพระเวทย์สายนี้เป็นอย่างมาก
ท่านสร้างและปลุกเสกวัวธนูและควายธนูเอาไว้เฝ้าบ้านป้องกันเสนียดจัญไรจากคุณไสยลมเพลมพัด
หลวงพ่อน้อย ท่านเอาทองแดงมาขึ้นเป็นรูป จากนั้นพอกด้วยครั่งผสมผงอาถรรพ์ 108 ลงรักปิดทองก็มี ท่านเสกด้วยคาถาที่เข้มขลังจากสายลาว เสกจนวัวธนู-ควายธนูหันหัวไปซ้ายไปขวาได้ พระเกจิรุ่นเก่าท่านขลังศักดิ์สิทธิ์จิตสูงจึงทำได้
คนโบราณเรียกวัวของท่านว่า
วัวปั้นหุน ดังคำภาษิตที่เขายกเอาไว้ให้เป็นเบญจภาคีเครื่องรางของขลังว่า
"ปลัดขิกหลวงพ่อเหลือ เสือหลวงพ่อปาน หนุมานหลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่นหลวงพ่อน้อย ศรีษะทอง เบี้ยแก้กันของวัดนายโรง"
เคยเห็นมากับตาตอนที่เดินจากตราดเข้าสู่เขมรทางด้านเกาะกงและอ่าวปอ ด้วยเราเป็นเพียงพระหนุ่มเณรน้อยที่ยังอ่อนนักกับพระเวทย์และอาคมในยุคนั้น ได้เดินทางไปพักที่อ่าวปอเพื่อรอวันพรุ่งจะไปเฝ้าสังฆราชเขมร ซึ่งเป็นสหธรรมิกกับพระอาจารย์สอนกรรมฐานที่อยู่เมืองนครศรีธรรมราช
ที่อ่าวปอนี้มีวัดหนึ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงสร้างเอาไว้ ทราบจากที่หน้าบันโบสถ์มีรูปตราประจำพระองค์ และเลข 5 ไทย ภายใต้มหามงกุฎปรากฏ อย่างนี้ก็ทำให้เราได้อุ่นใจขึ้นบ้างว่าโบสถ์หลังนี้พระราชสมภารเจ้า เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินของเราสร้างขึ้น คงจะพอนอนได้หลับลงสนิท ไม่คิดมากถึงเรื่องไสยอันลึกลับเสียเท่าไหร่นัก
ไม่น่าเชื่อ สองทุ่มเศษที่เงียบราวกับป่าช้าที่ผีดุ ในใจก็กลัวอยู่แต่พอข่มด้วยสมาธิให้อยู่พอประคองไหว
ราวเที่ยงคืนเศษไม่รู้สุนัขทำไมเห่าหอนนัก ทั้งๆ ที่นี่ไม่มีเลือกตั้งผู้แทน สักครู่ได้ยินเสียงอะไรไม่ทราบดังขึ้นตุบๆๆ อยู่หน้าโบสถ์ นึกในใจเป็นตายก็ไม่ออกไปดู โบสถ์ทรงแบบมหาอุดเข้าออกทางเดียวยังไม่น่าเกรงเท่าไหร่ แต่ในใจลึกๆ นึกไว้ว่าทหารเขมรมาเราไม่กลัว แต่ถ้าหากเป็นผีเขมรนี่คงลำบาก เพราะคงพูดกันไม่รู้เรื่องแน่
แต่คืนนั้นก็รอดผ่านพ้นไปด้วยดี พอเช้าแล้วเปิดประโบสถ์ออกไปดู เห็นมีเศษหนังชิ้นใหญ่เท่าฝ่ามือวางเรียงกองอยู่ตรงใกล้ๆ ธรณี ประมาณ 3-4 ชิ้น พระในวัดที่พอสื่อกันได้พูดไทยสำเนียงเขมรบอกว่า เมื่อคืนนี้เขาเห็นมีคนมาปล่อยของลองอาคม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เลยหล่นอยู่หน้าโบสถ์ พอได้ฟังแล้วขนลุกซู่ และพนมมือขึ้นนึกถึงพระบารมีพระราชสมภารเจ้าในหลวงรัชกาลที่ 5 เพราะลำพังพระหนุ่มเณรน้อยอย่างเราคงไม่รอดพ้นแน่
พอเดินไปดูหลังประธาน ก็รู้สึกแปลกใจว่าทำไมมีคอกของวัวและควายธนูอยู่บนโต๊ะหมู่เล็กๆ ถามว่ามีไว้ทำไม เขาบอกว่าโยมเอามาถวายไว้ เวลาวันโกนโยมเขาจะมาถือศีลนอนในโบสถ์นี้ รุ่งเช้าเป็นวันพระ ก็ทำบุญใส่บาตรและภาวนาจนสิ้นวันพระ เขามีเอาไว้กันคนที่เป็นมิจฉาทิฐิมาทำของใส่อย่างเมื่อคืนนี้แหละ ผมจึงเชื่อว่าแม้วันนี้โลกเปลี่ยนไปปานใด แต่ทว่าเรื่องของคุณไสยยังมีอยู่จริง
ที่เขมร วัวธนูและควายธนูเป็นเครื่องรางที่ป้องกันคุณไสยได้เยี่ยมนัก ใครมีบูชาต้องตั้งเป็นคอก มีแก้วน้ำและกอหญ้าสดวางไว้เป็นเครื่องเซ่น เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องเกรงกับสิ่งที่มองไม่เห็นอีกต่อไป แม้เราจะอยู่ในโลกวิทยาศาสตร์แล้ว แต่บางครั้งวิทยาศาสตร์ก็กลายเป็นสิ่งที่จำกัดกั้นไม่ให้เราเข้าถึงกับสิ่งที่นอกเหตุเหนือผลที่มีอยู่จริงได้เหมือนกัน
มนต์ พันลาย
http://hilight.kapook.com/view/19410 http://kumanthongsiam.igetweb.com/webboards/603601/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-45-(+++%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B9-%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B9).html
ผมชื่นชอบเรื่องราวของวัวธนู ควายธนูมาก วันนี้ก็มีอยู่สองเรื่องที่ มีประสบการณ์เกี่ยวกับควายธนู เรื่องแรก "เดือนเขมรผู้มีควายธนู" พ.ศ.2480 เจ้าคุณพระปราจีนบุรีซึ่งเป็นเจ้าเมืองปราจีนบุรีผู้ให้ความเคารพนับถือในตัว พระอาจารย์สิงห์มานาน ได้เดินทางมานครราชสีมาเพื่ออาราธนาให้ไปเผยแพร่พระธรรมทางเมืองนั้นดูบ้าง ระหว่างนั้นพระอาจารย์สิงห์ ได้เดินทางกลับมาจากขอนแก่นโดยท่านเจ้าคุณอุบาลี(ศิริจันโท)ตามตัวลงมา เพราะทางเมืองโคราชสมัยนั้นยังไม่มีพระคณะใดออกเผยแผ่พระธรรม เจ้าคุณอุบาลีเล็งเห็นว่าเมืองโคราชนี้ต่อไปจะรุ่งเรืองได้และเหมาะสมที่จะให้พระอาจารย์สืงห์ลงมาเผยแผ่พระธรรม พระอาจารย์สิงห์ก็ไม่ขัดข้องออกเดินทางจากขอนแก่นมาโคราชใน พ.ศ. 2475 โดยจัดตั้งสำนักวิปัสสนาขึ้นที่วัดป่าสาละวันในปัจจุบัน
พระปราจีนบุรีเดินทางมาพบพระอาจารย์สิงห์ที่นี่ เพราะทางปราจีนบุรีกำลังก่อสร้างวัดป่าทรงคุณและวัดปากพอกอยู่ยังไม่แล้วเสร็จ ขอให้พระอาจารย์สิงห์ลงไปช่วยดูแลในการจัดสร้างครั้งนี้ พระอาจารย์สิงห์จึงได้ออกเดินทางมาอยู่ปราจีนบุรีและเปิดสอนวิปัสสนากัมมัฎฐานแก่พระสงฆ์ สามเณรและบรรดาาญาติโยมทั้งหลาย ไหน ๆ ก็มาเมืองปราจีนทั้งที พระอาจารย์สิงห์ก็อยากจะเห็นต้นโพธิ์ซึ่งได้รับคำบอกเล่าจากพระเณรชาวบ้านหลายคนว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์อายุยืนยาวมานับเวลาเป็นพันปี มีความใหญ่โตขนาด 10 คนโอบเป็นต้นโพธิ์ที่นำมาจากพุทธคยา จัดเป็นพระบริโภคเจดีย์อัน สำคัญทางพระพุทธศาสนา เมื่อมาอยู่ปราจีนบุรีแล้ว วันหนึ่งพระอาจารย์สิงห์ก็ออกเดินทางเพื่อจะไปนมัสการพระบริโภคเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ลัดเลาะทุ่งนามาจนถึงบริเวณต้นโพธิ์ก็ได้ชมดูด้วยความชื่นชมต่อความเติบโตของต้นโพธิ์ต้นนี้อย่างยิ่ง
แต่เป็นเวลามืดค่ำเสียก่อนจะเดินทางกลับก็ไม่สะดวกจึงกำหนดพักแรมที่วัดนั่นเอง เมื่อเจ้าอาวาสรู้ว่าพระอาจารย์สิงห์จะมาพักแรมที่วัดก็ดีใจ จึงได้ตระเตรียมที่พักและสนทนาด้วยทั้งข้อธรรมและการเดินธุดงค์ของพระอาจารย์ สิงห์ ขณะที่คุยกันอยู่นั้นก็มีชายคนหนึ่งขอพบเจ้าอาวาสซึ่งเป็นคนละแวกบ้านนี้เองสืบเชื้อสายมาจากชาวเรณูนคร ชาย คนนั้นก็เรียนถามท่านเจ้าอาวาสว่ามีพระมาจากถิ่นอื่นอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ เจ้าอาวาสงงเมื่อได้ยินคำถามจากชายผู้นั้นชื่อทิดมา เจ้าอาวาสก็ถามทิดมาว่าทำไมรู้มีมารูปหนึ่งกับสามเณรน้อยมีอะไรหรือ ทิดมาตอบว่าไม่มีอะไรหรอกแต่มีเขมรมาจากพระตะบองฝากให้มากราบเรียนพระที่มาพักด้วยเท่านั้น ท่านเจ้าอาวาสสงสัยมันรู้ได้ยังไงพระอาจารย์สิงห์ก็บอกว่าไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวที่จะมาพัก พอดีพระอาจารย์สิงห์เดินเข้ามาที่ทิดมาซึ่งพับเพียบอยู่ตรงหน้ากุฎิ พระอาจารย์สิงห์ก็ถามทิดมา มาด้วยธุระอะไร ทิดมาบอกว่าชาวเขมรคนหนึ่ง ฝากให้มาบอกพระอาจารย์สิงห์ว่า คืนนี้เขาจะมาพบแล้วฝากไอ้นี่ถวายท่านด้วย
ทิดมากล่าวจบก็หยิบของแปลกตา ชิ้นหนึ่งส่งให้พระอาจารย์สิงห์เป็นตอกที่เหลา บาง ๆ ขัดกันมาขัดกันไป เจ้าอาวาสวัดศรีมหาโพธิ์ยืนมองด้วยความมึนงง เห็นแต่เป็นตอกที่จักเหลาจนบางขัดกันไปขัดกันมาไม่เห็นจะสำคัญอะไร พอทิดมาลากลับพระอาจารย์สิงห์ก็หัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า เขมรคนนี้เขาอยากจะลองดีผมกับผม แล้วพระอาจารย์สิงห์ก็ไม่ได้ กล่าวอะไรอีกเดินเข้าไปในกุฎินั่งพิจารณาตอกที่จักอยู่ในมือ เจ้าอาวาสถามว่าเขาเรียกว่าอะไร พระอาจารย์สิงห์ก็บอกว่าควายธนู เจ้าอาวาสถามต่อมันเอามาให้ทำไม พระอาจารย์ตอบว่าเขาอยากจะลองดี แล้วทั้งสองก็นั่งสนทนากันอีกสักครู่ เจ้าอาวาสก็ขอตัวกลับกุฎิพัก ผ่อนเพื่อให้พระอาจารย์สิงห์พักผ่อนบ้างเพราะเดินทางมาเหนื่อย แต่พระอาจารย์สิงห์ไม่นอน เพราะตอกที่เหลาขดกันอยู่นั้นเป็นเหตุ พระอาจารย์สิงห์กำหนดนั่งทำสมาธิเอาตอกชิ้นนั้นถือในมือหลับตาเข้าสู่ภวังค์อันเงียบสงบ สักครู่ท่านได้ยินเสียงลมพัดอื้ออึงมาจากข้างนอก ตอกที่จักเรียบร้อยในมือเกิดผิด กล่าวคือ มีความร้อนชนิดหนึ่งเกิดขึ้น แผ่ซ่านเข้ามาจากฝ่ามือถึงสองแขนจนรู้สึกแต่พระอาจารย์สิงห์คงหลับตาอยู่อย่างนั้น เสียงลมพัดอื้ออึงตอกมีอาการเคลื่อนไหวคล้ายกับจะพองตัวโลดแล่นออกมาจากมือที่พระอาจารย์สิงห์วางตอกเอาไว้ แล้วพระอาจารย์สิงห์ก็ลืมตาขึ้น เอาตอกวางไว้ตรงหน้าหยิบก้านธูปที่กระถางข้าง ๆ มือมาหนึ่งก้านแล้วหักออกเป็น 4 ชิ้น วาง เป็นรูปสี่เหลี่ยมลักษณะเหมือนคอกสัตว์ล้อมตอกเอาไว้ พระอาจารย์สิงห์ยิ้มด้วยความพอใจแล้วนั่งหลับตาต่อไป ลมพัดแรงขึ้น ๆ เสียงใบโพธิ์พัดไหวเกรียวกราวแว่วเข้ามา เมื่อพระอาจารย์สิงห์ลืมตา มองดูตอกที่อยู่ในคอกสี่มุม ตอกนั้นมีอาการเคลื่อนไหวหัน รีหันขวางเหมือนสิ่งมีชีวิตที่พยายามจะหนีออกจากก้านธูปที่ทำไว้เหมือนคอก หันไปทางไหนเมื่อเจอก้านธูปก็ถดถอยหันไปอีกทางเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ไม่สามารถจะหลุดออกไปจากก้านธูปสี่มุมนั้นได้แต่อย่างใด พระ อาจารย์สิงห์เอื้อมมือขึ้นมาแตะที่ลิ้นแล้ววางนิ้วลงบนตอก จากนั้นก็เปิดคอกหยิบก้านธูปออกทั้งหมด ทันใดตอกธรรมดาก็แสดงอภินิหารกลายเป็นร่างควายขนาดไม่ใหญ่นักพุ่งพรวดออกไปจากวงล้อมเผ่นออกไปทางหน้าต่างหายไปด้วยลักษณะอาการตื่นตกใจ
จนกระทั่งรุ่งเช้าขณะที่พระอาจารย์สิงห์กำลังจะออกเดินทางกลับวัดป่าทรงคุณ ก็มีชายคนหนึ่งมาหาเป็นเขมร มาจากพระตะบองเมื่อเห็นหน้าพระอาจารย์สิงห์ก็ก้ม หัวลงกราบพระอาจารย์สิงห์ร้องอย่างเดียวว่า "มนต์ มนต์" เจ้าอาวาสซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ พระอาจารย์สิงห์เพื่อจะส่งท่านลงจากกุฎิได้ยินก็หัวเราะเพราะเจ้าอาวาสฟังภาษาออกเนื่องจากปราจีนบุรีอยู่ใกล้เขมรมีเขมรไปมาหาสู่อยู่เสมอ "เขานิมนต์ท่านสิงห์" "เขาจะนิมนต์ผมไปไหนครับ" พระอาจารย์สิงห์ถามอย่างแปลกใจ ท่านมองดูชายคนนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์มีอะไรบางอย่างบอกท่านว่า ชายคนนี้เห็นจะต้องมีเรื่อง คุยกับท่านแน่ แต่ฟังภาษากันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ชายเขมรส่งภาษาออกมาอย่างช้า ๆ ตามองดูพระอาจารย์สิงห์ด้วยความเคารพนับถือ เจ้าอาวาสก็ทำหน้าที่เป็นล่าม "เขาบอกว่าเขาชื่อเดือน" ชายคนนั้นพยักหน้ายิ้ม "โมมีนา" เจ้าเขมรถามว่าพระอาจารย์สิงห์มาจากไหน "เวิ้ดป่าทรงคุณปราจีน" เจ้าอาวาสตอบ เขมรพยักหน้าเข้าใจแล้วกราบที่เท้าพระอาจารย์สิงห์แล้วเล่าถึงสาเหตุที่มาหา ในเช้าวันนี้จึงรีบออกเดินทางมาหาท่านเพราะเคารพนับถือพระอาจารย์สิงห์ "มันมาขอขมาท่านสิงห์" พระอาจารย์รู้ทันทีว่าเรื่องอะไร แต่ท่านทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ "มันบอกว่าเมื่อคืนนี้ท่านสิงห์กักควายธนูของมันไว้ตั้งนาน มิหนำซำยังจับควายธนูอาบน้ำจนเปียกปอนอ่อนเพลียหมดแรง ใช้ทำงานต่อไปไม่ได้มาขอให้ท่านสิงห์ถอนให้ด้วย" พระอาจารย์สิงหืให้เจ้าอาวาสบอกเจ้าเดือนว่า มีวิชาต้องเอาไว้ใช้เป็นประโยชน์จะกลั่นแกล้งใครเขาไม่ได้ ที่นี่เป็นเมืองไทย คนไทยเก่ง ๆ มีเยอะไม่ใช่มีท่านคนเดียว ถ้าหากเมื่อคืนไม่ใช่ท่าน เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องก็อาจบาดเจ็บถึงตายได้ ท่านเจ้าอาวาสฟังก็สงสัย เพราะท่านไม่รู้เรื่องว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ท่านเจ้าอาวาสได้ถ่ายทอดคำ บอกเล่าของพระอาจารย์สิงห์ให้เจ้าเดือนเขมรมาจากพระตะบองฟัง เจ้าเดือนร้องไห้แล้วก้มลงกราบตอบกลับไปอีกทางว่า รู้ดีว่าท่านสงห์เก่งจึงล้อเล่นไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายแต่อย่างใด ต่อไปนี้จะเชื่อท่านสิงห์ แต่เสียดายวิชาที่เรียนมา ถ้าหากไม่เก่งจริงก็จะช่วยแก้ให้ แต่เมื่อเรียนวิชาทางนี้แล้ว ก็ต้องนำมาใช้ไม่เช่นนั้นวิชาจะเสื่อม พระอาจารย์สิงห์เดินกลับเข้า ไปในกุฎิแล้วส่งก้านธูปให้เจ้าเดือนเขมรผู้เรืองเวทย์เจ้าของควายธนู พร้อมกับหันมาทางเจ้าอาวาสและกล่าวว่า "ท่านช่วยบอกเขาด้วยว่าให้เอาไม้นี้แช่น้ำมนต์อาบควายธนูก็จะหายไปเอง ไม่ต้องวิตกใด ๆ พอ เจ้าเดือนได้รับก้านธูปใส่มือเท่านั้นก็หงายท้องชักดิ้นชักงอ พระอาจารย์สิงห์ไม่พูดอะไรเดินเลี่ยงออกไปจากประตูทันที เจ้าอาวาสเห็นเช่นนั้นก็ตกใจอยู่ ๆ เขมรคนนี้ก็มาชักดิ้นชักงอจะเป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ ร้องตะโกนเรียกพระเณรมาช่วยกัน ปากก็หันไปทางพระอาจารย์สิงห์ "ท่านสิงห์ไอ้เขมรมันเป็นอะไรไปแล้ว เร็วช่วยกันหน่อย" พระอาจารย์สิงห์หัวเราะเบา ๆ "ไม่เป็นไรหรอกท่านเดี๋ยวก็หาย" เมื่อพระอาจารย์สิงห์กลับมาวัดป่าทรงคุณก็เล่าเรื่องนี้ให้ญาติโยมฟังว่า สาเหตุที่เขมรคนนี้ชักดิ้น ชักงอเมื่อได้รับก้านธูปก็เพราะว่าเขาเรียนวิชาน้อยไป เรามอบของขลังกว่าให้เขา เขารับไม่อยู่ต่อไปจะเข็ด ไม่อย่างนั้นจะเที่ยวรังแกคนไทย นึกว่าคนไทยไม่มีคนเก่ง จงจำไว้อย่าข่มเหงดูถูกคนที่อ่อนแอกว่า…..
เรื่องที่สองเป็นเรื่องราวของคุณประถม อาจสาคร ประสบมาเมื่อ 90 ปีมาแล้ว ในสมัยคุณประถมอายุได้ 10 ขวบ อาศัยวัดเป็นที่พำนักเพื่อประโยชน์ในการศึกษาและพักอยู่ที่กุฎิท่านวินัยธรรม (เภา) วัดเขาบางทราย อยู่มาวันหนึ่งมีชายพเนจรนิรนามมาขอพักเป็นการชั่วคราว สอบถามได้ความว่าเดินทางมาไกลผ่านเส้นทางพนัสนิคมเรื่อยมา จนถึงหมู่บ้านหนองตำลึง อำเภอพานทอง ก็เป็นเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำปราศจากสถานที่พักพิงจึงได้อาศัยศาลาวัด เพื่อ พักนอนชั่วคราว ในขณะที่ชายนิรนามผู้นี้กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงพายุกระทบน้ำจ๋อมแจ๋มเมื่อมองออกไปก็เห็นน้ำท่วมถึงครึ่งเสา ศาลาทั้งที่ไม่มีฝนตกเพราะเป็นฤดูแล้ง ก่อนนอนพื้นดินก็แห้งสนิทไม่มีเค้าฝนตกเลย พอจะเคลิ้มหลับเท่านั้นน้ำมาจากไหนเหลือเชื่อจริง ๆ โดนลองดีเข้าให้แล้ว เมื่อใช้สายตาเพ่งมองฝ่าความมืดออกไป เห็นเงาโลงผีลอยมาตะคุ่ม ๆ พวกมันแห่กันมามากมายใช้โลงผีเป็นพาหนะแทนเรือ ทำทีท่าจะบุกศาลา ชายนิรนามผู้นี้เห็นท่าไม่ได้การจึงปล่อยวัวธนูออกไปทันที เล่นเอาขบวนการผีร้ายแตกกระเจิดกระเจิงไม่สามารถบุกเข้ามาได้ แต่ผลสุดท้ายวัวธนูได้เสียทีพลาดท่านายป่าช้าถูกตีเขาหักไปข้างหนึ่ง ต้องกลับมาหาเจ้าของ ชายนิรนามจึงปล่อยคนเลี้ยงวัวธนูออกไปสู้ และสู้กันจนตลอดรุ่งใกล้จะสว่างไม่ปรากฎผลการแพ้ชนะ ชายนิรนามจึงออกเดินทางต่อไป และพักที่วัดบางทราย อนึ่งชายนิรนามคุยกันเป็นที่ชอบพอกับคุณประถมมาก ในอาทิตย์หนึ่งพอถึงวันอังคาร ชายนิรนามจะชวนคุณประถมไปเที่ยวเล่าแถวหนองไม้แดงซึ่งอยู่ใกล้วัดเขาบางทราย พร้อมทั้งบอกว่าจะให้ดูของดีแล้วใช้มือล้วงลงไปในย่ามหยิบวัวธนูขี้ผึ้งตัวเล็ก ๆ ออกมาตัวหนึ่งวางลงบนฝ่ามือ อีกทั้งหยิบผ้าแดงผืนน้อยคลุมลงบนหลังวัวธนูบริกรรมคาถาอยู่พักหนึ่ง วัวธนูก็วิ่งฝ่าอากาศออกไปผ่านต้นไม้กิ่งไม้ ชนหักสะบั้นหั่นแหลกไปคนละทิศละทาง เมื่อวัวธนูตกถึงพื้นดินก็กลายสภาพเป็นวัวธรรมดาเที่ยวและเล็มใบหญ้าใบไม้ในลักษณะอาการปกติ ต่อจากนั้นก็ล้วงลงไปในย่ามหยิบตุ๊กตาตัวเล็ก ๆคล้ายกุมารทองปล่อยตามออกไปเพื่อดูแลวัวธนู กุมารนั้นเพศชาย ลักษณะอ้วนท้วนขาวผ่องน่ารักไว้จุกเปลือยกายล่อนจ้อน สังเกตอายุไม่เกิน 3 ขวบ ชายนิรนามผู้นี้ต้องคอยระมัดระวังอย่างเคร่งครัด มีอยู่คราวหนึ่งมีคนเดินทางผ่านมา เห็นกุมารทองน่ารักก็ตรงเข้าไปทำท่าจะอุ้ม ชายนิรนามร้องห้ามจนเสียงหลงเพราะกุมารทองไม่ยอมเล่นด้วยกลับยกมือขึ้นฉกคล้ายงู และหากถูกมือกุมารทองฉกเข้าให้แล้วล่ะก็ถึงตายทันที นี่เป็นเหตุผลที่ชายนิรนามต้องคอยดูแลทั้งวัวธนูและกุมารทองอย่างเคร่ง ครัด..............