เจ้าชายชัยวรมันทรงชักพระแสงขรรค์ชัยศรีออกกวัดแกว่งพลางโอมอ่านพระเวท ก็เกิดพายุแลอสนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างพัดฝนกรดเข้าใส่ทหารจามล้มลง ด้าวดิ้นบ้าง ทหารจามแตกกระเจิง มีหลายกลุ่มที่หนีมิทันถูกสายอสนีบาตฟาดเข้าใส่ล้มตายลงทั้งกลุ่มพระเจ้าภคมินทรทรงกวัดแกว่งธารพระกร ฝนกรดจึงหายไป แต่ไม่อาจสยบพายุและอสนีบาตลงได้จึงสั่งถอยทัพกลับเข้าเมือง เจ้าชายชัยวรมันทรงสั่งให้ตรวจอาการของทหารและพระโอรสที่ต้องฝนกรด ทรงเสด็จพระดำเนินค้นหาเจ้าชายมหาวีรวรมันพระโอรสองค์เล็กด้วยพระองค์เอง พระวรกายพระโอรสองค์เล็กพุพองเป็นบาดแผลไปทั่วพระวรกายด้วยพิษร้ายของฝนกรด เจ้าชายชัยวรมันทรุดพระวรกายทรงประทับนั่งเคียงพระศพ น้ำอัสสุชลคลอพระเนตร “โธ่...วีรกุมาร ไยเจ้าด่วนจากพ่อไปในสภาพเยี่ยงนี้ หากพ่อลงมือทำลายศัตรูเร็วกว่านี้ เจ้าก็คงไม่ต้องจากพ่อไป หากบุญวาสนาของเรายังมีต่อกันขอให้เจ้าได้มาบังเกิดเป็นลูกของพ่ออีก” แล้วทรงสั่งให้ทหารจัดเรียงพื้นสร้างเมรุลอยสำหรับพระโอรสและทวยหาญที่ตายในที่รบ จนย่ำสนธยาจึงทำการประทานเพลิงศพ ขณะจะประทานเพลิงศพพระโอรสได้ทรงรำพึงว่า “ธัยเทวีเจ้าเอย ที่ต้องขออภัยต่อเจ้าด้วย ที่มีอาจปกป้องลูกของเราไว้ได้ ปล่อยให้ลูกต้องมาตายในที่รบ สงครามมีแต่การสูญเสียทั้งสองฝ่าย แต่นี้ไปพี่ขอให้สัญญา พี่จักใช้แต่อาคม มิใช้คมอาวุธทำลายล้างผู้ใดอีกแล้ว วีรกุมารเอย อีกสามวันพ่อจักสยบจามปาลงด้วยอาคมของพ่อให้ได้ รอเหยียบจามปาพร้อมพ่อเถิดลูกเอย” แล้วเจ้าชายชัยวรมันก็ทรงประทานเพลิงศพพระโอรสด้วยพระอัสสุชลนองพระเนตร หัวอกของพ่อทุกคนย่อมรู้ดีถึงการสูญเสียลูกชายสุดรัก นี่คือหัวอกของผู้เป็นพ่อเยี่ยงเจ้าชายชัยวรมันในยามนี้ รุ่งขึ้นเจ้าชายชัยวรมันทรงสั่งให้ให้ทหารจัดโต๊ะโรงพิธีเพื่อบวงสรวงพรหมเมศวรมุนี พระอาจารย์เจ้าผู้หนึ่งในห้าแห่งสหบดีพรหม และอัญเชิญพญานาคผู้เป็นใหญ่ทั้ง 7 ขึ้นมาช่วยสยบศัตรูผู้กล้าแข็ง หลังสรงน้ำมูรธาภิเษกแล้วทรงเปลี่ยนเครื่องทรงเป็นฉลองพระองค์สีขาวสไบเฉียงม่วงขลิบทอง และทรงทอดสังวาลสายนพทนสิทธิ์อันมีคดปรอท คดปลวก คดมะขาม เหล็กไหลเพลิง เหล็กไหลขาว เหล็กไหลดำ มรกต นาคสวาด ครุฑธิการ แล้วจึงประทับนั่งกลางหมู่เครื่องบูชา ทรงจุดเทียนทั้งแปด ธูปทั้งสี่ บูชาพระพรหมเมศวร โปรยดอกไม้ทั้ง 7 ลงอาบน้ำ แล้วจึงทรงบริกรรมพระคาถาหัวใจพญานาคทั้ง 7 ขออัญเชิญขึ้นมาช่วยพระองค์สยบศัตรู ทรงชักพระขรรค์ออกกวัดแกว่งพลางร่ายพระเวท บัดดลก็บังเกิดลมพายุพัดพาเมฆฝนมาจนท้องนภากาศมืดมิดไป สิ้นเสียงสายฟ้าคำรนคำรามมิหยุดหย่อน แล้วสายฝนก็หยาดทะลักลงพระนครวิชัยอย่างหนัก ล่วงเข้าสองทิวาวารก็มิมีทีท่าว่าสายฝนจักสร่างซา ภายในพระนครวิชัยสายน้ำเอ่อนองท่วมท้นไปทั่วพสุธา สรรพสัตว์นานาล้วนพากันหนีอุทกภัยขึ้นอยู่บนเรือนช้าง ม้า วัว ควาย ไก่ แมว หมา คนได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนกันถ้วนหน้า พระเจ้าภคมินทรทรงเสด็จเข้าหอพระ ร่ายพระเวทดับแต่ทรงเห็นฟ้าฝนตกต้องผิดฤดูกาลแต่เริ่มแรกแล้ว ทรงพร่ำวอนขอพระอาจารย์พรหมฤาษีเคราแดงช่วยสยบพายุฝน พลางกวัดแกว่งธารพระกรไม้ท้าวพระอาจารย์จนพระเสโทชุ่มโชกไปทั้งพระวรกาย ก็มิอาจสยบพายุฝนอันหนักหน่วงนั้นให้สร่างซาลงได้ |
ล่วงเข้าสามทิวา น้ำดื่มตามบ่อต่างๆ กลับแห้งขอดลงจนขุ่นคลั่กมิอาจใช้ดื่มกินได้อีกอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งที่น้ำภายนอกเจิ่งนองท่วมท้นพสุธา ความอดอยากหิวโหยเริ่มระบาดไปทั่วเมือง สัตว์เลี้ยงแลผู้คนเริ่มล้มตาย เหล่ามุขอำมาตย์ราชมนตรีรู้ดีว่าเกิดจากฤทธิ์อาคมแห่งขอม ได้ขนข้าวปลาอาหารออกแจกจ่ายแก่ราษฎรเกือบสิ้นท้องพระคลังก็ยังมิอาจดับทุกข์ยากลงได้ ที่สุดคือไม่มีน้ำให้ดื่มกิน สายฝนที่ตกลงมานั้นเล่าก็เค็มขม จนมิอาจดื่มกินได้ อุทกธารอันท่วมท้นนั้นก็เช่นกัน มีน้ำท่วมท้นแต่ดื่มกินมิได้ น่าแปลกประหลาดยิ่งนัก สุดจะทนทานต่อไปได้ เหล่ามุขอำมาตย์ราชมนตรีจึงพากันเข้าไปกราบบังคมทูลพระเจ้าภคมินทร ทูลขอให้ยอมสยบต่อเจ้าชายชัยวรมัน เพื่อเห็นแก่อาณาประชาราษฎร์ หากปล่อยไว้เช่นนี้เมืองวิชัยจักร้างผู้คนด้วยล้มตายกันจนหมดสิ้น พระเจ้าภคมินทรทรงกัดพระทนต์แน่น พระเนตรแดงก่ำ ดั่งหินอัคนีอันลุกโชน “ข้านึกมิถึงเลยว่าชัยวรมันจักมีอาคมร้ายกาจถึงเพียงนี้ แม้พระอาจารย์ของข้าก็ยังมิอาจต้านทานอาจารย์ของมันได้ พวกเจ้าจงออกไปบอกมันเถิดว่าข้ายอมสยบแล้ว”เหล่ามุขอำมาตย์ราชมนตรีออกไปแล้ว ด้วยความคับแค้นแน่นพระหทัยจนพระวาโยแลพระโลหิตตีขึ้นมาอัดแน่นพระอุระ พระเจ้าภคมินทรถึงกับลงพระโลหิตพระวรกายเซซวนล้มฟาดสิ้นพระชนม์ พระราชฐานชั้นในจึงระงมไปด้วยเสียงหวีดร้องโหยไห้ของพระมเหสี สนมและเหล่านางกำนัลใน เมื่อทหารนำมุขอำมาตย์ราชมนตรีแห่งจามปาเข้าเฝ้าเจ้าชายชัยวรมัน ทูลให้ทรงทราบถึงการยอมสยบของกษัตริย์ภคมินทร และทูลเชิญเข้าเมืองวิชัย เจ้าชายชัยวรมันจึงทรงร่ายพระเวทอีกครั้ง พายุฝนคะนองก็หยุดยั้งลงฉับพลัน เมฆหมอกอันหม่นมัวมืดมิดก็แตกกระจายหายไป ท้องนภากลับแจ่มใสเป็นปกติคงไว้เพียงความชุ่มเย็นของฟ้าหลังฝนเท่านั้น อุทกธาราในเมืองวิชัยเริ่มแห้งเหือด น้ำตามบ่อบึงก็ใสเย็นใช้ดื่มกินได้ดังเดิม เมื่อขอมเดินทัพเข้าเมืองวิชัย ประชาชนพากันมาต้อนรับด้วยชื่นชมในพระบารมีแห่งเจ้าชายชัยวรมัน เจ้าชายชัยวรมันทรงทราบถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าภคมินทรก็ทรงเสียพระทัยยิ่ง ทรงสั่งให้จัดงานพระศพอย่างสมพระเกียรติ ให้ตั้งโรงทานขึ้นสี่มุมเมือง นำข้าวสารอาหารแห้งอันเป็นเสบียงกรังของกองทัพออกแจกจ่ายให้ประชาชนผู้อดอยากหิวโหย ให้ทหารขอมนำทหารจามปาออกไปช่วยฟื้นฟูพืชไร่ธัญญาหารแด่ชาวจาม สอนให้ชาวจามปารู้จักการจักสานเครื่องมือดักจับสัตว์น้ำ ในระยะเวลาไม่นานนักชาวจามปาจึงเริ่มอยู่ดีมีสุขขึ้นมากกว่าแต่กาลก่อนที่ผ่านมา เจ้าชายชัยวรมันทรงสร้างพระบารมีด้วยพระเมตตา จัดหาแหล่งน้ำสร้างที่กักเก็บน้ำด้วยการขุดบาราย (บึงน้ำขนาดใหญ่) เพื่อมิให้ขาดแคลนน้ำในยามแล้ง ขุดลอกคูคลองหนองบึงไว้รองรับในยามฤดูน้ำหลาก แลใช้เป็นส้นทางสัญจรทางน้ำได้ทุกฤดูกาลทรงให้ตัดถนนทั่วอาณาจักรจามปาต่อโยงไปถึงราชอาณาจักรขอม และให้สร้างอโรคยาศาล (สถานีอนามัย) ขึ้นไว้เป็นระยะ ๆ ในทุกเส้นทางไว้บำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บแก่ปวงชนทั่วไปโดยมิคิดค่ารักษาพยาบาล ด้วยว่าชาวจามปาทั้งหลายนั้นล้วนนับถือพระพุทธศาสนาเยี่ยงเดียวกับพระองค์ เจ้าชายชัยวรมันจึงทรง ให้สร้างธรรมศาลาเพื่อให้เป็นที่ประกอบศาสนกิจ ที่พักและเลี้ยงอาหารแก่ผู้เดินทางสัญจรไปมา ตั้งอยู่ไม่ห่างจากอโรคยาศาลมากนัก ในช่วงที่เจ้าชายชัยวรมันทรงครองครองอาณาจักรจามปาเป็นเวลาหลายปีนั้น ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้อาณาจักรจามปาอย่างใหญ่หลวง น้ำท่าก็มีให้ใช้ตลอดปี ทำให้พืชพรรณผลาหารอุดมสมบูรณ์ เส้นทางสัญจรทั้งทางบกทางน้ำก็สะดวกสบาย ประชาราษฎร์ชาวจามปาก็อยู่ดีกินดีขึ้น จึงพากันซาบซึ้งในความเมตตาธรรมและพระกรุณาธิคุณของเจ้าชายชัยวรมันยิ่งนัก ...จบตอนที่ 1 โปรดติดตามตอนต่อไป |
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |