"วัตถุมงคล(หรือพิธีกรรมมงคล อาทิ การเสกน้ำมนต์,ทำด้ายสายสิญจน์ซึ่งต่อมา ได้พัฒนาเป็นวัตถุมงคล,พระเครื่องในชั้นหลัง)เป็นของมีในพระพุทธศาสนามาแต่เดิมหรือไม่..???" คำตอบ "มี และมีทั้งก่อนและในพุทธกาลแล้วด้วย และ"ที่สุด แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ทรงเคยใช้เครื่องรางของขลังเพื่อป้องกันภยันตรายมาแล้วเช่นกัน. เครื่องรางของขลังที่พระโพธิสัตว์ทรงเคยใช้ในยุคนั้น ก็คือ"สายสิญจน์"และ"ทรายเสก" ที่"พระปัจเจก พุทธเจ้า"ทำให้นั่นเอง โดยปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฏกอย่างชัดแจ้งตอนหนึ่ง ความว่า...... . "ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้องของพระเจ้าพรหมทัตแห่งเมือง พาราณสี ทรงศรัทธาบำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นประจำ วันหนึ่งได้ทูลถามพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า ต่อภายหน้าพระองค์จะได้เสวยราชสมบัติในเมืองพาราณสีหรือไม่ พระปัจเจกพุทธเจ้าพิจารณาดูแล้วก็ทราบว่า จะไม่ได้เป็นกษัตริย์ในเมืองนี้ แต่จะได้ครองเมืองตักสิลา ทว่าการไปตักสิลานั้นมีอันตรายจากนางยักษิณีระหว่างทาง จึงถวายพระพรเรื่องนี้ให้ทรงทราบพร้อมกำชับว่าให้ระวังตัวในเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่นางยักษิณีจะปลอมแปลงมาหลอกลวง ถ้าหลงใหลจะเป็นอันตรายถึงชีวิต พระโพธิสัตว์ก็รับคำเป็นอันดี แล้วได้อาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง หลายสวดพระปริตร แล้วรับเอาปริตตวาลิกะ (ทรายเสกด้วยพระปริตร) และปริตต-สุตตะ (ด้ายเสก-สายสิญจน์) ที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามอบให้ ทูลลาพระราชบิดาออกเดินทางไปเมืองตักสิลาพร้อมด้วยคนสนิทอีก 5 คน ซึ่งขอติดตามไปด้วยโดยมิฟังคำทัดทาน หลังจากกำชับกำชา ให้ระวังตัวให้ดีเหมือนคำพระปัจเจกพุทธเจ้า และทุกคนรับคำเป็นอันดีแล้วก็เดินทางไปตามลำดับ ครั้นถึงกลางดงใหญ่อันเป็นถิ่นที่อยู่ของนางยักษิณี นางยักษิณีเห็นบุรุษเหล่านั้นพักอยู่จึงจำแลงเพศ มาเป็นหญิงสาวรุ่นงดงาม น่าพึงใจด้วย รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส พวกคนสนิทของพระโพธิสัตว์เห็นเข้าก็ เกิดความลุ่มหลง ลืมสัญญาเสียสิ้น คนที่ชอบรูปร่าง ก็ถูกนางยักษิณีลวงด้วยรูปสวย แล้วจับกินเสีย คนที่ชอบเสียงก็ลวงด้วยเสียง แล้วถูกจับกิน คนทั้งห้าถูกลวงด้วยกามคุณห้าอย่างนี้แล้วถูกกินจนหมด เหลือพระโพธิสัตว์เพียงคนเดียวเท่านั้น แม้ยักษิณีจะลวงด้วยอาการอย่างไรก็ไม่ประมาท ไม่ยอมติดใจยินดี ด้วยอำนาจบุญบารมีที่เคยสั่งสมอบรมมา นางยักษิณีก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ติดตามไปห่างๆ จะเข้าก็ไม่ได้ เพราะอานุภาพแห่งทรายเสก และด้ายเสกที่ติดตัวพระโพธิสัตว์อยู่ พอถึงเมืองตักสิลา พระโพธิสัตว์ก็เข้าพัก ณ ศาลาแห่งหนึ่ง เอาทรายเสกโรยบนศีรษะ แล้วเอาด้ายเสกวนรอบที่พัก นางยักษิณีก็เข้าศาลาไม่ได้จึงพักอยู่ข้างนอกจนกระทั่งรุ่งเช้า พระราชาเมืองตักสิลาเสด็จผ่านมาเห็นนางเข้าจึงเกิดความเสน่หา นำนางเข้าไปเป็นสนมในวัง ภายหลังถูกนางยักษิณีหลอก จับกินเสียอีก เมื่อขาดพระราชาประชาชนจึงพร้อมใจกันเลือกพระราชาองค์ใหม่ เห็นพระโพธิสัตว์มีรูปร่างงดงาม มีสง่าน่าเลื่อมใส จึงอัญเชิญให้เป็นพระราชาเมืองนั้นสืบต่อไป.." ด้วยเหตุนี้ ด้ายสายสิญจน์จึงนิยมใช้วงสถานที่อยู่ และสถานที่ทำพิธี ตลอดจนใช้สวมศีรษะ สวมคอ ผูกข้อมือในงานมงคลทั้งปวง โดยนับถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ประดุจข่าย หรือเกราะเพชรป้องกันสรรพอันตรายเป็นประเพณีสืบมาจนทุกวันนี้ |
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |