Baan Jompra

ชื่อกระทู้: สมเด็จพระสังฆราชของไทย [สั่งพิมพ์]

โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:46
ชื่อกระทู้: สมเด็จพระสังฆราชของไทย
สมเด็จพระสังฆราชของไทย




โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:47
สมเด็จพระสังฆราช(ศรี)

สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรก แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดระฆังโฆษิตารามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2325  สิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2337 ดำรงตำแหน่ง อยู่ 12 พรรษา น่าจะมีพระชนมายุไม่น้อยกว่า 80 พรรษาพระประวัติในตอนต้นไม่ปรากฏรายละเอียด พบแต่เพียงว่า เดิมเป็นพระอาจารย์ศรีอยู่ วัดพนัญเชิง เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 ได้หนีภัยสงครามไปอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช  ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้าตากสิน ฯเสด็จไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ได้อาราธนาพระองค์ให้มาอยู่ที่วัดบางว้าใหญ่(วัดระฆังโฆษิตาราม) และทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่2 แห่งกรุงธนบุรี  
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2324 ได้ถูกถอดจากตำแหน่ง เนื่องจากถวายวิสัชนาเรื่อง พระสงฆ์ปุถุชนไม่ควรไหว้คฤหัสถ์ที่เป็นอริยบุคคล เนื่องจากคฤหัสถ์เป็นหินเพศต่ำ พระสงฆ์เป็นอุดมเพศที่สูง  ทรงผ้ากาสาวพัสตร์และพระจาตุปาริสุทธิศีลอันประเสริฐ วิสัชนานี้ไม่ต้องพระทัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน ฯจึงให้ถอดเสียจากตำแหน่งพระสังฆราช ลงเป็นพระอนุจรเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ขึ้นครองราชย์ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2325 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้คงที่สมณฐานันดรศักดิ์ดังเดิมและไปครองพระอารามตามเดิมด้วย ทรงเห็นว่าเป็นผู้มีความสัตย์ซื่อมั่นคง ดำรงรักษาพระพุทธศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างกายและชีวิต ควรแก่นับถือเคารพสักการะบูชาพระองค์ทรงเป็นกำลังสำคัญในการชำระและฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯทั้งในด้านความประพฤติปฏิบัติของภิกษุสามเณร การบูรณะปฏิสังขรณ์พุทธสถาน การชำระตรวจสอบพระไตรปิฎกตลอดจนการประพฤติปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปงานสังคายนาพระไตรปิฎกในครั้งนี้ นับเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์และเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2 ของราชอาณาจักรไทยกระทำเมื่อปี พ.ศ.2331 โดยนำพระไตรปิฎก ที่รวบรวมบรรดาพระไตรปิฎกฉบับที่เป็นอักษรลาว อักษรรามัญ  ตรวจชำระแล้วแปลงเป็นอักษรขอม จารึกลงลานประดิษฐานไว้ ณ หอพระมณเทียรธรรม และสร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ ไว้ศึกษาทุกพระอารามหลวง เมื่อตอนต้นรัชกาล มาตรวจชำระ โดยอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชพระราชาคณะให้ดำเนินการ สมเด็จพระสังฆราชได้เลือกพระราชาคณะฐานานุกรม เปรียญอันดับที่เล่าเรียนพระไตรปิฎกได้พระสงฆ์ 218รูป กับราชบัณฑิตยาจารย์ 32 คน ทำการสังคายนาที่ วัดนิพพานาราม  แบ่งพระสงฆ์ออกเป็น 4 กอง ดังนี้ สมเด็จพระสังฆราช  เป็นแม่กองชำระพระสุตตันปิฎก
พระวันรัต  เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎกพระพิมลธรรม  เป็นแม่กองชำระพระสัททาวิเศสพระธรรมไตรโลก  เป็นแม่กองชำระพระปรมัตถปิฎกการชำระพระไตรปิฎกครั้งนี้ใช้เวลา 5 เดือน ได้จารึกพระไตรปิฎกลงลานใหญ่ แล้วปิดทองทึบ ทั้งปกหน้าปกหลัง และกรอบเรียกว่า ฉบับทอง   ทำการสมโภช แล้วอัญเชิญเข้าประดิษฐานในตู้ประดับมุกตั้งไว้ในหอพระมณเทียรธรรม กลางสระในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:48
สมเด็จพระสังฆราช(ศุข)

สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2337 ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 23 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2359 สันนิษฐานว่า มีพระชนมายุเกิน80 ปีพระประวัติในตอนต้นไม่ปรากฏหลักฐานพระประวัติเมื่อครั้งกรุงธนบุรี ทรงเป็นพระราชาคณะที่พระญาณสมโพธ อยู่วัดมหาธาตุ ฯ ถึงปี พ.ศ. 2323 และได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระธรรมเจดีย์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นที่พระพนรัตนอันเป็นตำแหน่งรองสมเด็จพระสังฆราช
สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ขณะที่ทรงสมณศักดิ์ ที่พระพนรัตน ได้เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก ในครั้งที่มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทรเมื่อปีพ.ศ. 2331 ทรงรอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก ทรงจัดระเบียบการสอบพระปริยัติธรรมเพื่อเป็นเปรียญ แบบ 3 ชั้น คือ เปรียญตรีเปรียญโท และเปรียญเอกพระองค์ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระราชวงศ์หลายพระองค์ด้วยกัน เช่น สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี ฯ (นักองเอง) พระเจ้ากรุงกัมพูชา สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข และเจ้านายพระองค์อื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมากในสมัยของพระองค์ ได้มีการส่งสมณทูตไทยไปสืบข่าวพระศาสนา ณ ลังกาทวีป เป็นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อปี พ.ศ. 2358 หลังจากที่ว่างเว้นมา 60 ปี จากสมัยกรุงศรีอยุธยา


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:49
สมเด็จพระสังฆราช(มี)

สมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต  ณ วัดมหาธาตุยุวราชวังสฤษดิ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2359 ทรงดำรงตำแหน่งอยู่4 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2362 เมื่อพระชนมายุได้ 70 พรรษาพระประวัติในตอนต้นไม่พบรายละเอียด มีแต่เพียงว่า ประสูติในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2293 ในสมัยกรุงธนบุรี ได้เป็นเปรียญเอก อยู่ที่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ)พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระวินัยรักชิต ซึ่งนับเป็น รูปแรกที่ได้รับราชทินนามนี้  เมื่อปี พ.ศ. 2337 ได้เลื่อนขึ้นเป็นที่ พระพิมลธรรม และได้เป็น พระพนรัตน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระองค์ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ในพระราชทินนามว่า  สมเด็จพระอริยวงษาญาณ  ซึ่งนับว่าได้รับพระราชทินนามนี้เป็นพระองค์แรก ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ จึงได้ทรงแก้ไขพระราชทินนามให้เป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ ซึ่งได้ใช้ตลอดมาจนถึงปัจจุบันในสมัยของพระองค์ ได้เกิดมีอธิกรณ์ที่สำคัญคือ มีพระเถระผู้ใหญ่ ต้องอธิกรณ์เมถุนปาราชิกพร้อมกันถึง 3 รูปจนถึงขั้นมีบุตร พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นรักษ์รณเรศกับพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร ทรงพิจารณาอธิกรณ์ ได้ความเป็นสัตย์สมดังฟ้อง จึงได้มีรับสั่งให้เอาตัวผู้กระทำผิดไปจำไว้ในคุก และได้ทรงเผดียงสมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระพนรัตน (อาจ) วัดสระเกศ ให้แต่งหนังสือ โอวาทานุสาสน เมื่อปี พ.ศ.2369 แสดงข้อวัตรปฏิบัติอันสมควรแก่สมณมลฑล คัดแจกไปทุกวัด เป็นทำนองสังฆาณัติส่วนการชำระความปาราชิก ก็สืบสวนกวดขันขึ้นมาแต่ครั้งนั้นสาระสำคัญของหนังสือนี้ ว่าด้วยเรื่องพระอุปัชญาย์อาจารย์ พระราชาคณะพระถานานุกรม เอาใจใส่ สั่งสอนพระภิกษุสามเณรให้อยู่ใน จตุปาริสุทธิศีล  ผู้ที่จะเป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ จะต้องมีความรู้เรื่องพระวินัย และสังฆกรรมเป็นอย่างดี และปฏิบัติให้ถูกต้องเมื่อปี พ.ศ. 2360 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีพระราชประสงค์ จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ให้ยิ่งขึ้นไป สมเด็จพระสังฆราชจึงได้ถวายพระพร ให้ทรงกระทำการสักการะบูชาพระรัตนตรัยในวันวิสาขบูชาจึงได้เกิด พิธีวิสาขบูชา มาตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันได้มีการปรับปรุงการศึกษาพระปริยัติธรรม โดยขยายการศึกษาออกไปเป็น 9 ประโยค ผู้ที่สอบไล่ได้ตั้งแต่3 ประโยคขึ้นไป เรียกว่าเป็นบาเรียน (หรือเปรียญ) การปรับปรุงครั้งนี้ ได้ใช้เป็นแบบแผนมาถึงปัจจุบัน


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:50
สมเด็จพระสังฆราช(สุก ญาณสังวร)

สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเมื่อปี พ.ศ.2363 อยู่ในตำแหน่ง 3 พรรษา สิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ. 2365  พระชนมายุได้ 90พรรษาพระองค์ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2276 ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ แห่งกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงธนบุรีได้เป็นพระอธิการอยู่วัดท่าหอย แขวงรอบกรุงเก่า มีพระเกียรติคุณในทางบำเพ็ญสมถภาวนา
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ ได้โปรดให้นิมนต์พระองค์มาอยู่ที่วัดพลับและให้เป็นที่ พระญาณสังวรเถร พระองค์ทรงเป็นพระอาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯตั้งแต่ยังอยู่ที่วัดท่าหอย การที่โปรดให้นิมนต์มาอยู่ที่วัดพลับ ก็เนื่องจากเป็นวัดสำคัญฝ่ายอรัญวาสีของกรุงธนบุรีซึ่งต่อมาในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ จึงได้รับพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดราชสิทธาราม พระองค์ได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระญาณสังวรณ์  เมื่อปี พ.ศ. 2359 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชในอีก 4 ปีต่อมา เมื่อมีพระชนมายุได้ 88 พรรษา ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร นับว่าเป็นตำแหน่งพิเศษ ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เป็นตำแหน่งที่พระราชทานแก่พระเถระผู้ทรงคุณทางวิปัสสนาธุระโดยเฉพาะนอกจากนั้น พระองค์ยังได้รับการถวายสมัญญาว่า  สังฆราชไก่เถื่อน จากชาวบ้านทั่วไป เนื่องจากการที่พระองค์ทรงคุณธรรมทางวิปัสสนาธุระดังกล่าวแล้วเมื่อครั้งเกิดอหิวาตกโรคระบาดในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2363 มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย ประมาณถึง สามหมื่นคนเศษพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงให้ตั้ง  พระราชพิธีอาพาธพินาศ โดยพระองค์ทรงศีลและให้ตั้งโรงทาน ส่วนสมเด็นพระสังฆราชทรงให้สังคายนาบทสวดมนต์เพื่อใช้ในพระราชพิธีดังกล่าว


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:50
สมเด็จพระสังฆราช(ด่อน)

สมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษด์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็นพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2365 ดำรงตำแหน่ง20 พรรษาสิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ. 2395 มีพระชนมายุได้ 81 พรรษาพระประวัติในตอนต้นไม่พบรายละเอียด  มีแต่เพียงว่าประสูติในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์  แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2304 ได้เป็นที่ พระเทพโมลี อยู่ที่วัดหงส์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ และได้เป็นที่  พระพรหมมุนี ในรัชสมัยสมเด็นพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ต่อมาได้เลื่อนขึ้นเป็นที่ พระพิมลธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2359 ต่อมาได้เลื่อนเป็น  สมเด็จพระพนรัตน์ ในรัชกาลเดียวกัน ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์สุดท้ายที่สถิต ณ วัดมหาธาตุทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ซึ่งทรงผนวชเมื่อปี พ.ศ. 2367
ในช่วงปลายสมัยของสมเด็จพระสังฆราช ได้มีการชำระความพระสงฆ์ที่ประพฤติอนาจารครั้งใหญ่ ได้ตัวมาชำระสึกเสียจำนวนมากประมาณถึง 500 รูปเศษ ที่หนีไปก็มีจำนวนมาก และพระราชาคณะก็เป็น ปาราชิกหลายรูป นับเป็นการชำระสะสางอลัชชีในคณะสงฆ์ครั้งใหญ่ที่สุดของกรุงรัตนโกสินทร์ แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของคณะสงฆ์ในยุคนั้น และในขณะเดียวกัน ก็แสดงให้เห็นถึงความเอาพระทัยใส่ในการคณะสงฆ์ของพระมหากษัตริย์อย่างจริงจัง


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:51
สมเด็จพระสังฆราช(นาค)

สมเด็จพระสังฆราช (นาค) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชบูรณะราชวรวิหารในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2386 ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 6 พรรษาสิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2392 เมื่อพระชนมายุได้ 86 พรรษาพระประวัติตอนต้นไม่พบรายละเอียด มีแต่เพียงว่าประสูติในรัชสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ แห่งกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2301 เป็นพระราชาคณะที่  พระนิกรมุนี ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ ได้เลื่อนเป็น  พระพรหมมุนี เมื่อปี พ.ศ. 2359 ต่อมาเป็น  พระธรรมอุดม และได้เลื่อนเป็น สมเด็จพระพนรัตน เมื่อปี พ.ศ. 2373 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเนื่องจากในระยะเวลาที่ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุกำลังอยู่ระหว่างการปฏิสังขรณ์ พระองค์จึงสถิต ณ วัดราชบูรณะตลอดมาจนสิ้นพระชนม์ทำให้ธรรมเนียมการแห่สมเด็จพระสังฆราชมาสถิต ณ วัดมหาธาตุ เป็นอันเลิกไปตั้งแต่นั้นมาและสมเด็จพระสังฆราชเคยสถิตอยู่  ณ พระอารามใด เมื่อครั้งก่อน เป็นสมเด็จพระสังฆราชก็ยังคงสถิตอยู่ ณ พระอารามนับสืบต่อไป เป็นแบบธรรมเนียมมาจนถึงปัจจุบัน
ได้มีการส่งสมณทูตไปลังกาเป็นครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2387 โดยทางเรือและเดินทางกลับในปีเดียวกัน พร้อมกับ ได้ยืมหนังสือพระไตรปิฎกมาอีก 30 คัมภีร์ พร้อมทั้งมีภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ชาวลังกา ติดตามมาด้วยกว่า 40 คน การที่มีพระสงฆ์ชาวลังกาเดินทางเข้ามาประเทศไทยบ่อยครั้งจึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ขณะทรงผนวชและเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร รับภาระต้อนรับดูแลพระสงฆ์ชาวลังกาดังนั้นวัดบวรนิเวศ ฯ จึงมีหมู่กุฎีไว้รับรองพระสงฆ์ลังกาโดยเฉพาะ เรียกว่า คณะลังกา

โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:52
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ  ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 7  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์  และทรงเป็น พระมหาสมณเจ้า ฯ พระองค์แรก กับเป็นพระราชวงศ์พระองค์แรก ที่ทรงได้รับสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช  ทรงสถิตณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ   ดำรงสมณศักดิ์เมื่อปีพ.ศ. 2394   ถึงปี พ.ศ. 2396 รวม 2 พรรษา  สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 64 พรรษาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ  เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 28 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2333 มีพระนามว่า พระองค์เจ้าวาสุกรี  ทรงผนวชเป็นสามเณรเมื่อพระชนมายุได้  12 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2345 ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อทรงผนวชแล้ว เสด็จไปประทับ ณ วัดพระเชตุพน ฯทรงศึกษาหนังสือไทย และภาษาบาลีตลอดทั้งวิชาอื่น ๆ จากสมเด็จพระพนรัตน์จนทรงมีพระปรีชาสามารถ ทั้งทางคดีโลก และคดีธรรม มีผลงานอันเป็นพระราชนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ  ให้รวมวัดในแขวงกรุงเทพ ฯ ขึ้นเป็นคณะหนึ่งเรียกว่า  คณะกลาง แล้วได้สถาปนากรมหมื่นนุชิตชิโนรสให้ดำรงสมณศักดิ์เสมอเจ้าคณะรอง และทรงตั้งเป็นเจ้าคณะกลางพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ  ได้โปรดเกล้า ฯ ให้เลื่อนพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นนุชิตชิโนรส ขึ้นเป็นกรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงสมณศักดิ์เป็นพระมหาสังฆปริณายก ทั่วพระราชอาณาเขต ให้จัดตั้ง  พระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก ที่วัดพระเชตุพน ฯ มีทั้งพิธีสงฆ์ และพิธีพราหมณ์ คล้ายกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของคณะสงฆ์ไทยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงมีพระอัจฉริยภาพหลายด้าน  ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องพระปฐมสมโพธิกถา ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกหรือร่ายยาวมหาชาติ ซึ่งนับเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกทางพระพุทธศาสนาในสมัยรัตนโกสินทร์ในทางพระพุทธศิลป์ ได้ทรงคิดแบบพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ โดยทรงเลือกพระอิริยาบทต่าง ๆ จากพุทธประวัติเป็นจำนวน 37 ปางเริ่มตั้งแต่ปางบำเพ็ญทุกขกิริยา  จนถึงปางห้ามมาร  พระพุทธรูปปางต่าง ๆ เหล่านี้ได้ทรงพระนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้มากเช่น ลิลิตตะเลงพ่าย  พระราชพงศาวดารฉบับสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เทศนาพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ลิลิตกระบวนพยุหยาตราพระกฐินสถลมารคและชลมารค เป็นต้น ในทางอักษรศาสตร์ ก็ได้นิพนธ์เรื่องฉันท์มาตราพฤติ และวรรณพฤติ ตำราโคลงกลบท คำกฤษฎี เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้นิพนธ์บทกวีอีกเป็นจำนวนมาก ที่ล้วนมีคุณค่าเป็นเพชรน้ำเอกทางวรรณกรรมของไทยตลอดมา ในปี พ.ศ. 2533 องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)  ได้ประกาศยกย่องสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ  เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นด้านวัฒนธรรมระดับโลกประจำปี พ.ศ. 2533 นับเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่ได้รับการถวายเกียรตินี้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชก็ว่างตลอดรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯอาจจะเนื่องจากไม่มีพระเถระรูปใด มีคุณสมบัติอยู่ในฐานะที่จะทรงสถาปนาตามหลักเกณฑ์กล่าวคือ ตามพระราชประเพณีนิยมที่มีมาแต่โบราณ พระเถระที่จะทรงตั้งเป็น สมเด็จพระสังฆราชและสมเด็จพระราชาคณะ นั้น ก็เฉพาะผู้ทรงคุณสมบัติพิเศษ คือเป็นพระอุปัชฌาย์  เป็นอาจารย์เป็นที่ทรงนับถือเหมือนอย่างพระอุปัชฌาย์ หรือพระอาจารย์ หรือเป็นผู้ใหญ่ผู้เฒ่า มีอายุแก่กว่าพระชนมพรรษา แม้ว่าจะว่างสมเด็จพระสังฆราช  แต่การปกครองคณะสงฆ์ ก็สามารถดำเนินไปได้ด้วยดีเนื่องจากแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์ทรงถือเป็นพระราชภาระในการปกครองดูแลคณะสงฆ์โดยมีเจ้านาย  หรือขุนนางผู้ใหญ่ในตำแหน่ง เจ้ากรมสังฆการี  เป็นผู้กำกับดูแลแทนพระองค์ สมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรงบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรง ทรงดำรงฐานะปูชนียบุคคล การปกครองในลักษณะนี้ ได้มาเปลี่ยนแปลงไปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ

โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:53
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหารได้รับมหาสมณุตมาภิเษก เมื่อ ปี พ.ศ.2434 เมื่อพระชนมายุได้ 82 พรรษา เป็นพระมหาสมณเจ้า ฯ ได้ 10 เดือน ก็สิ้นพระชนมเมื่อปี พ.ศ. 2435 พระชมมายุได้ 83 พรรษาเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรสสิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2396  พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ มิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใด ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกจนตลอดรัชกาล เป็นเวลา 15 ปี  ในระหว่างนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศ ฯ ทรงดำรงพระอิศริยยศ เป็น พระจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ทรงดำรงสมณฐานันดร เป็นที่สองรองจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า  กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ขึ้นครองราชย์ ก็ยังมิได้ทรงสถาปนาพระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นระยะเวลาถึง23 ปี จึงได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศฯ ขณะดำรงพระอิศริยยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ เป็นพระราชโอรสในสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ประสูติปี พ.ศ. 2352เมื่อพระชนมายุได้ 13 พรรษา ได้ทรงผนวชเป็นสามเณร ณ วัดมหาธาตุ ฯ ทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ. 2372 ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ณ สำนักวัดมหาธาตุ ฯ ทรงแตกฉานในภาษาบาลี พระนิพนธ์ที่แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในภาษาบาลีคือพระนิพนธ์เรื่อง  สุคตวิทัตถิวิธาน ซึ่งทรงนิพนธ์เป็นภาษาบาลี นอกจากนี้ยังได้ทรงนิพนธ์เรื่องเบ็ดเตล็ดอื่น ๆเป็นภาษาบาลีอีกหลายเรื่อง นับว่าพระองค์ทรงเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลี ที่สำคัญพระองค์หนึ่งทรงเป็นพระราชาคณะ มีสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะสามัญ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯเมื่อปี พ.ศ. 2394 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้ทรงสถาปนา พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าฤกษ์ เป็นกรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์ ทรงอิศริยยศเป็นประธานาธิบดีแห่งพระสงฆ์ธรรมยุตินิกาย นับว่าทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติพระองค์แรก ทรงดำรงสมณฐานันดรเป็นที่สอง รองจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จ พระมหาสังฆปรินายกคือ สมเด็จพระสังฆราช


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:54

เมื่อปี พ.ศ. 2416 ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ซึ่งในปีเดียวกันนี้ ทรงได้รับโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงเธอกรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ การที่เลื่อนพระอิศริยยศครั้งนี้ แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงรับถวาย มหาสมณุตมาภิเษกในที่สมเด็จพระสังฆราชแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ก็ถวายพระเกียรติยศในทางสมณศักดิ์สูงสุด เท่ากับทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงรับถวายมหาสมณุตมาภิเษก ในปี พ.ศ. 2438 เมื่อพระชนมายุได้ 82 พรรษา ด้วยเหตุผลที่ว่า เจ้านายชั้นเดียวกันสิ้นพระชนม์แล้วทั้งสิ้นมีเจ้านายผู้ใหญ่เจริญพระชนมายุเหลืออยู่แต่พระองค์เพียงพระองค์เดียว
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ นอกจากจะเป็นปราชญ์ทางภาษาบาลีแล้ว ยังทรงมีพระปรีชาสามารถ ในด้านต่าง ๆ  พอประมวลได้ดังนี้คือด้านสถาปัตยกรรม  ทรง ออกแบบพระปฐมเจดีย์ องค์ที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เมื่อปีพ.ศ. 2396ด้านโบราณคดี  ทรงเป็นนักอ่านศิลาจารึกรุ่นแรกของไทยได้ศึกษาและรวบรวมจารึกต่าง ๆ ในประเทศไทยไว้มาก และได้ ทรงอ่านจารึกสุโขทัยหลักที่ 2   ที่เป็นอักษรขอม เป็นพระองค์แรกด้านประวัติศาสตร์  ทรงนิพนธ์ลิลิตพงศาวดารเหนือ เรื่องพระปฐมเจดีย์ และพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ  เป็นต้นด้านดาราศาสตร์   ทรงพระนิพนธ์ ตำราปักขคณนา (คำนวนปฏิทินทางจันทรคติ) ไว้อย่างพิสดารด้านวิทยาศาสตร์  ทรงบันทึกจำนวนฝนตกเป็นรายวัน ติดต่อกันเป็นเวลาถึง 45 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2389ถึงปี พ.ศ. 2433  เพื่อเป็นการเก็บสถิติน้ำฝนในประเทศไทย   เรียกบันทึกนี้ว่า   จดหมายเหตุบัญชีน้ำฝนด้านกวี  ทรงพระนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ  ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาบาลี ไว้เป็นจำนวนมาก  ที่เป็นภาษาไทย ทรงนิพนธ์ไว้จำนวนมาก เช่น ได้ลงพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ กาพย์เสด็จนครศรีธรรมราช  ลิลิตพงศาวดารเหนือ เป็นต้นทรงให้กำเนิดพระกริ่งในประเทศไทย  ทรงสร้างพระกริ่งที่เรียกกันว่า พระกริ่งปวเรศ ซึ่งเป็นต้นแบบของพระกริ่ง  ในยุคต่อมาของไทย ด้านพระศาสนา ทรงเป็นองค์ประธานชำระและแปลพระไตรปิฎก พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ทรงกำหนดพระราชบัญญัติ และประกาศคณะสงฆ์ต่าง ๆ


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:54
สมเด็จพระสังฆราช(สา ปุสฺสเทโว)

สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 9 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณวัดราชประดิษฐ์ สถิตมหาสีมาราม  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปีพ.ศ. 2436 ถึงปี พ.ศ. 2442 รวม 6 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุ 87 พรรษา
พระองค์เป็นชาวตำบลบางไผ่ จังหวัดนนทบุรี ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2356  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้บรรพชาเป็นสามเณรในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ  เดิมอยู่วันใหม่บางขุนเทียนแล้วย้ายไปอยู่วัดสังเวชวิศยาราม และไปเรียนพระปริยัติธรรมในพระราชวังบวรกับอาจารย์อ่อน และโยมบิดาของท่านเองซึ่งเป็นอาจารย์บอกหนังสือ อยู่ที่พระราชวังบวรดัวยกันเมื่อพระชนมายุได้ 14 ปี  ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมเป็นครั้งแรก แปลได้ 2 ประโยคจึงยังไม่ได้เป็นเปรียญ แต่คนเรียกกันว่า  เปรียญวังหน้า ซึ่งมีที่มาของชื่อนี้ว่า ในการแปลพระปริยัติธรรมนั้น ผู้เข้าแปลครั้งแรกต้องแปลให้ได้ครบ3 ประโยคในคราวเดียว จึงจะนับว่าเป็นเปรียญ ถ้าได้ไม่ครบในการสอบครั้งต่อไป จะต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดครั้งนั้นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพ มีพระประสงค์ที่จะอุปการะภิกษุสามเณรที่เข้าสอบมิให้ท้อถอย ดังนั้นถ้ารูปใดแปลได้ 2 ประโยค  ก็ทรงรับอุปการะไปจนกว่าจะสอบเข้าแปลใหม่ได้เป็นเปรียญ 3 ประโยค ภิกษุ สามเณร ที่ได้รับพระราชทานอุปการะในเกณฑ์ดังกล่าว จึงได้ชื่อว่า เปรียญวังหน้าพระองค์ได้เข้าถวายตัวเป็นศิษย์อยู่ในสำนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯตั้งแต่เป็น สามเณร และได้ศึกษาพระปริยัติธรรมต่อที่สำนักวัดราชาธิวาส จนพระชนมายุได้18 ปี จึงได้เข้าแปลพระปริยัติธรรม  อีกครั้งหนึ่ง  และทรงแปลได้หมดทั้ง  9  ประโยค ได้เป็นเปรียญเอก   ตั้งแต่ยังทรงเป็นสามเณร นับ เป็นสามเณรองค์แรกที่ได้เป็นเปรียญ9 ประโยค ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ได้อุปสมบท ณ วัดราชาธิวาส เมื่อปี พ.ศ. 2376  ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2379 ได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯมาอยู่ที่วัดบวรนิเวศ ฯ ทรงได้รับพระราชทาน แต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระอมรโมลี  เมื่อปี พ.ศ. 2382 พรรษา 6 และทรงอยู่ในฐานะพระเถระผู้ใหญ่ ผู้เป็นต้นวงศ์ของคณะธรรมยุตรูปหนึ่งใน10 รูป ต่อมาได้ลาสิกขาไปเป็นฆราวาสอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯได้โปรดเกล้า ฯ ให้อุปสมบทใหม่ ที่วัดบวรนิเวศ ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2394 พระชนมายุได้ 38 ปี เมื่ออุปสมบทแล้ว ว่ากันว่า ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมอีกครั้งหนึ่งและทรงแปลได้หมดทั้ง 9 ประโยค จึงมีผู้กล่าวถึงพระองค์ด้วยสมญานามว่า สังฆราช 18 ประโยค  ในคราวอุปสมบทครั้งที่ 2 นี้ พระองค์ทรงเป็นพระอันดับอยู่7 ปี จึงได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชาคณะที่  พระสาสนโสภณ  เมื่อปี พ.ศ. 2401 รับประราชทานนิตยภัตรเสมอพระราชาคณะชั้นเทพแต่ถือตาลปัตรแฉกเสมอพระราชาคณะชั้นสามัญ คนทั่วไปเรียกกันโดยย่อว่า  เจ้าคุณสา พระองค์ได้แต่งหนังสือเทศน์ขึ้นไว้ สำหรับใช้อ่านในวันธรรมสวนะปกติ และในวันบูชา  แต่งเรื่องปฐมสมโพธิ์ย่อ 3 กัณฑ์จบ สำหรับถวายเทศน์ในวันวิสาขบูชา 3 วัน ๆ ละ หนึ่งกัณฑ์ และเรื่องจาตุรงคสันนิบาตกับโอวาทปาติโมกข์ สำหรับถวายในวันมาฆบูชาที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  และยังได้ รจนาปฐมสมโพธิ์ภาคพิสดาร สำหรับใช้เทศนาในวัด 2 คืนจบอีกด้วย พระนิพนธ์ต่าง ๆ ของพระองค์ ยังคงใช้ ในการเทศนา  และศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร จนถึงปัจจุบันเมื่อสร้างวัดราชประดิษฐ์ ฯ เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2408 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้อาราธนาพระองค์ ครั้งยังเป็นที่พระสาสนโสภณ จากวัดบวรนิเวศ ฯ มาครองวัดราชประดิษฐ์ ฯ   เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก และได้รับพระราชทานตาลปัตรแฉกพื้นแพรเสมอชั้นธรรม และเมื่อปีพ.ศ. 2415  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ สถาปนาเลื่อนสมณศักดิ์ ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่  พระธรรมวโรดม  แต่คงใช้ราชทินนามเดิมว่า พระสาสนโสภณ  ที่พระธรรมวโรดม ต่อมา เมื่อปี  พ.ศ.2422  ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่  สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์   เจ้าคณะฝ่ายเหนือในปี พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งแต่เดิมจารึกไว้ด้วย อักษรขอม ด้วยการจารลงในใบลาน การคัดลอกทำได้ช้า ทำให้ไม่เป็นที่แพร่หลาย ไม่พอใช้ในการศึกษาเล่าเรียน ไม่สะดวกในการเก็บรักษา และนำมาใช้อ่าน ทั้งตัวอักษรขอมก็มีผู้อ่านได้น้อยลงตามลำดับ การพิมพ์พระไตรปิฎก เป็นเล่มด้วยตัวอักษรไทย จะแก้ปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวได้ จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้อาราธนาพระเถระนุเถระมาประชุม ร่วมกับราชบัณฑิตทั้งหลาย ตรวจชำระพระไตรปิฎกแล้วจัดพิมพ์เป็นเล่มหนังสือขึ้น สมเด็จพระสังฆราช (สา) ขณะทรงดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ร่วมกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรสขณะทรงดำรงพระยศกรมหมื่น เป็นรองอธิบดี จัดการทั้งปวงในการสังคายนาครั้งนี้พระไตรปิฎกที่จัดพิมพ์ครั้งนี้มีจำนวน 1000 จบ ๆ ละ 39 เล่ม ใช้เงิน 2000 ชั่ง พิมพ์เสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2436 เป็นที่เลื่องลือแพร่หลายไปทั่วโลกในปี พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ สถาปนาเพิ่มอิสริยยศให้เป็นพิเศษกว่าสมเด็จพระราชาคณะแต่ก่อนมา คือทรงสถาปนาให้เป็น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ  นับว่าเป็น พระมหาเถระรูปที่ 2 ที่ได้รับสถาปนาในพระราชทินนามนี้ อันเป็นพระราชทินนามสำหรับตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราชเมื่อพระองค์ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ. 2436 พระองค์ไม่ได้รับพระราชนาม  พระสุพรรณบัตรใหม่ คงใช้พระสุพรรณบัตรเดิม แต่ได้รับพระราชทานใบกำกับ พระสุพรรณบัตรใหม่งานพระนิพนธ์ของพระองค์มีอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นงานแปลพระสูตรที่มีอยู่20 สูตร หนังสือเทศนามี  70  กัณฑ์  และเบ็ดเตล็ดมี  5 เรื่องพระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2442 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ก็มิได้ทรงสถาปนา  พระเถระรูปใดเป็นสมเด็จพระสังฆราชอีกเลยตลอดรัชสมัยเป็นเวลาถึง 11 ปี


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:55
สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 10  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เสด็จสถิต  ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2443  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯดำรงพระอิสริยยศ 22 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2464  พระชนมายุ 62 พรรษาพระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จในพระจอมเกล้า ฯและเจ้าจอมมารดาแพ  ประสูติ เมื่อปี พ.ศ. 2403  พระนามว่า  พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ เมื่อพระชนมายุได้ 8 พรรษา ทรงเริ่มศึกษาภาษาบาลี จนสามารถแปลธรรมบทได้ก่อนทรงผนวชเป็นสามเณร นอกจากนี้ยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษและโหราศาสตร์ อีกด้วย
เมื่อพระชนมายุได้ 14 พรรษา ได้ทรงผนวชเป็นสามเณรตามราชประเพณี ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วมาประทับณ วัดบวรนิเวศวิหารอยู่ 2 เดือนจึงลาผนวช  ทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อปี พ.ศ. 2422  แล้วมาประทับจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อทรงผนวชได้ 3 พรรษา ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรมหน้าพระที่นั่ง ทรงแปลได้เป็นเปรียญ 5 ประโยค จากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ  ทรงสถาปนาพระอิสริยยศ   เป็น กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส  และเป็นเจ้าคณะรอง ในธรรมยุติกนิกาย เมื่อปี พ.ศ. 2424  พระองค์ได้ครองวัดบวรนิเวศวิหารสืบต่อจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศ ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2434 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติ เมื่อปี พ.ศ. 2436ทรงเริ่มพัฒนาการพระศาสนา โดยเริ่มต้นที่วัดบวรนิเวศวิหาร ได้แก่ริเริ่มให้ภิกษุสามเณรที่บวชใหม่ เรียนพระธรรมวินัยในภาษาไทยมีการสอบความรู้ด้วยวิธีเขียน ต่อมาจึงกำหนดให้เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับคณะสงฆ์ เรียกว่า  นักธรรม  ทรงจัดตั้ง  มหามงกุฎราชวิทยาลัย เป็นการริเริ่มจัดการศึกษาของพระภิกษุ สามเณรแบบใหม่คือ เรียนพระปริยัติธรรม ประกอบกับวิชาการอื่น ที่เอื้ออำนวยต่อการสอนพระพุทธศาสนา  ผู้ที่สอบได้จะได้เป็นเปรียญเช่นเดียวกับที่สอบได้ในสนามหลวง เรียกว่า  เปรียญมหามงกุฎ แต่ได้เลิกไปในอีก 8 ปีต่อมา  ทรงออกนิตยสาร ธรรมจักษุ ซึ่งเป็นนิตยสารทางพระพุทธศาสนา ฉบับแรกของไทย


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:56

ทรงอำนวยการจัดการศึกษาหัวเมืองทั่วราชอาณาจักรเมื่อปี พ.ศ. 2441 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯที่จะขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานไปยังประชาชนทั่วราชอาณาจักร ทรงเห็นว่า วัดเป็นแหล่งให้การศึกษาแก่คนไทยมาแต่โบราณกาล เป็นการขยายการศึกษาได้เร็วและทั่วถึง เพราะมีวัดอยู่ทั่วไป ในพระราชอาณาจักร ไม่ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินงานนี้มีกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยสนับสนุน  พระองค์ดำเนินการอยู่ 5 ปี ก็สามารถขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานคือ ชั้นประถมศึกษา ออกไปได้ทั่วประเทศจากนั้นจึงให้กระทรวงธรรมการ ดำเนินการต่อไป
ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นไปด้วยดี เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาตนเอง และประเทศชาติจึงเกิด พ.ร.บ. ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) ขึ้น ซึ่งเป็น พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับแรกของไทย  สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้จัดคณะสงฆ์ออกเป็น 4 คณะ คือ คณะเหนือคณะใต้ คณะกลาง และคณะธรรมยุติกา มีสมเด็จพระราชาคณะเป็นเจ้าคณะและมีพระราชาคณะรอง คณะละหนึ่งรูป รวมเป็น 8 รูป ทั้ง 8 รูปนี้ยกขึ้นเป็น มหาเถรสมาคม  เป็นองค์กรสูงสุดของคณะสงฆ์ และเป็นที่ปรึกษาในการพระศาสนา และการคณะสงฆ์ของพระมหากษัตริย์ มีเจ้าคณะปกครองลดหลั่นไปตามลำดับคือเจ้าคณะมณฑล เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวง และเจ้าอาวาส มีเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ  มหาเถรสมาคมเป็นเพียง ที่ทรงปรึกษา ขององค์พระมหากษัตริย์ ดังนั้นกระทรวงธรรมการจึงต้องทำหน้าที่สังฆราชโดยปริยาย พระองค์ได้เลื่อนพระอิสริยยศเป็นกรมหลวง เมื่อปี พ.ศ. 2449  และเมื่อปี พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯได้โปรดเกล้า ฯ ให้ตั้ง  พระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงสถาปนากรมหลวงวชิรญาณวโรรส เป็นสมเด็จกรมพระยา ทรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคณะใหญ่แห่งพระสงฆ์ ทั้งกรุงเทพมหานครและหัวเมืองทั่วพระราชอาณาเขตในปีต่อมาคือ ปี พ.ศ. 2454 พระองค์ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงเสนาบดีกระทรวงธรรมการ มีความว่าควรถวายอำนาจในการปกครองคณะสงฆ์แก่พระองค์  ในฐานะที่ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชให้เด็ดขาด  เพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์เรียบร้อย หลังจากนั้นอีก 6 เดือน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ได้ทรงมอบการทั้งปวงซึ่งเป็นกิจธุระพระศาสนา ถวายแด่พระองค์ผู้เป็นมหาสังฆปรินายกเมื่อปี พ.ศ. 2455พระองค์ได้ทรงปรับปรุงการพระศาสนา และทางคณะสงฆ์ในด้านต่าง ๆ เป็นอันมากโดยเริ่มงาน    ตั้งแต่เสด็จไปตรวจการคณะสงฆ์ในหัวเมืองต่าง ๆ เกือบทั่วราชอาณาจักร โดยกระทำอย่างต่อเนื่องทุกปีเกือบ ตลอดพระชนม์ชีพ ทำให้ทรงทราบความเป็นไปของคณะสงฆ์ และของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ เป็นอย่างดี  และนำข้อมูลและปัญหาต่าง ๆ มาปรับปรุง แก้ไขในทุก ๆ ด้าน พอประมวลได้ดังนี้1.  ด้านการพระศาสนา   พระองค์ได้พัฒนาภิกษุสามเณร ให้มีความรู้ความสามารถในพระธรรมวินัย เพื่อจะได้แนะนำสั่งสอนประชาชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมทรงผลิตตำราและหนังสือทางพระพุทธศาสนา ที่คนทั่วไปสามารถอ่านทำความเข้าใจได้ง่าย2.  ด้านการคณะสงฆ์   ทรงออกพระมหาสมณาณัติ ประทานพระวินิจฉัยและทรงวางระเบียบแบบแผน เกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรในด้านต่าง ๆ ให้ถูกต้องเป็นมาตรฐานเช่น ระเบียบเกี่ยวกับพระอุปัชฌาย์ การบรรพชาอุปสมบท การปกครองภิกษุสามเณรและศิษย์วัด การวินิจฉัยอธิกรณ์ ระเบียบเกี่ยวกับ สมณศักดิ์พัดยศ นิตยภัต ดวงตราประจำตำแหน่ง เป็นต้น3.   ด้านการศึกษา  ทรงปรับปรุงการศึกษาของคณะสงฆ์ให้ทันสมัย ทรงจัดการศึกษาพระปริยัติ ธรรมเพิ่มขึ้นจากแบบเดิมที่ศึกษาภาษาบาลี โดยให้ศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาไทยเรียกว่า หลักสูตร  นักธรรม 4.   งานพระนิพนธ์   พระองค์ทรงรอบรู้ภาษาต่าง ๆ หลายภาษา คือ  ภาษาบาลี  ภาษาสันสกฤต  ภาษาอังกฤษ  และภาษาฝรั่งเศส ได้ทรงนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก เช่น หนังสือหลักสูตรนักธรรมชั้นตรีโท เอก  หลักสูตรบาลี ไวยากรณ์ทั้งชุด  รวมพระนิพนธ์ทั้งหมดมีมากกว่า 200 เรื่องนอกจากนี้ยังทรงชำระ คัมภีร์บาลีไว้กว่า 20 คัมภีร์            มีเหตุการณ์สำคัญในสมัยของพระองค์ประการหนึ่ง คือ ตั้งแต่โบราณมา ตำแหน่งพระประมุขแห่งสังฆมณฑล ที่เรียกว่า สมเด็จพระสังฆราชนั้น  ไม่เคยมีพระราชวงศ์องค์ใดที่ทรงผนวชอยู่ได้รับสถาปนาให้ดำรงตำแหน่งนี้ เพิ่งจะเริ่มมีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ซึ่งไม่ได้เรียกว่าสมเด็จพระสังฆราช  แต่เรียกพระนามตามพระอิสริยยศ ในฝ่ายพระบรมราชวงศ์  ล่วงมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯได้โปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาเปลี่ยนคำนำหน้าพระนาม เป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้า


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:57
สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์

สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงอิสริยยศ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ เมื่อปีพ.ศ. 2465 ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 16 พรรษา สิ้นพระชนม์ เมื่อปี พ.ศ. 2480 พระชนมายุได้  79  พรรษา
พระองค์มีพระนามเดิมว่า  หม่อมเจ้าภุชงค์   เป็นพระโอรสในพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมขุนเจริญผลกุล สวัสดิ์ ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2402 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้า ฯ ให้ศึกษาที่เมืองสิงคโปร์ เมื่อปี พ.ศ. 2414 เป็นเวลา  9 เดือน เมื่อพระชนมายุได้  14 พรรษาทรงผนวชเป็นสามเณร ประทับอยู่ที่วัดราชบพิธ ฯ ศึกษาพระปริยัติธรรม เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรม 2 ครั้ง ได้เป็นเปรียญ5 ประโยค ได้เป็นพระราชาคณะที่  พระสถาพรพิริยพรต  เมื่อปี พ.ศ. 2430 ทรงเป็นคณะกรรมการชุดแรกของมหามงกุฎราชวิทยาลัยซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2436พ.ศ. 2438   ได้เป็นพระราชาคณะ ผู้ใหญ่เสมอ ชั้นเทพพ.ศ. 2442   ได้เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมปาโมกข์พ.ศ. 2444   ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธ ฯ เป็นพระองค์ที่ 2พ.ศ. 2449   ได้เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระพรหมมุนี เจ้าคณะรองในคณะกลาง และได้รับสถาปนาพระอิสริยยศ เป็นพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าพ.ศ. 2453   ได้รับสถาปนาพระอิสริยยศ เป็นพระวงรวงศ์เธอกรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพุฒาจารย์ เจ้าคณะใหญ่หนกลางพ.ศ. 2464   ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลสังฆปรินายก นับว่าเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์แรกพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถ นับว่าเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ที่สำคัญพระองค์หนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนิพนธ์ตำรา  และหนังสือสำคัญทางพระพุทธศาสนาไว้มากเช่น พจนานุกรมภาษา  บาลีแปลเป็นไทย มหานิบาตชาดก ต้นบัญญัติสามเณรสิกขา เป็นต้น พระนิพนธ์เหล่านี้ ยังใช้เป็นคู่มือในการศึกษาภาษาบาลีและศึกษาพระพุทธศาสนาของภิกษุสามเณรมาจนถึงปัจจุบัน

โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:58
สมเด็จพระอริยวาศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทโว)

สมเด็จพระสังฆราช (แพ  ติสฺสเทโว) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 12 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิตณ วัดสุทัศนเทพวราราม ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2481 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงดำรงค์ตำแหน่งอยู่ 6 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2487  พระชนมายุ  89 พรรษา
พระองค์มีพระนามเดิมว่าแพ ประสูติในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ เมื่อปี พ.ศ. 2399  เป็นชาวสวนบางลำภูล่างอำเภอคลองสาน ธนบุรี เมื่อพระชนมายุได้ 7 ปี ได้ไปศึกษาอักษรสมัยที่  วัดทองนพคุณ  ในสำนักของสมเด็จพระวันรัต (สมบูรณ์) ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปีพ.ศ. 2411  อุปสมบท แล้วมาอยู่ที่วัดสุทัศน์ ฯ  ทรงเข้าแปลพระปริยัติธรรม 3 ครั้งได้เปรียญ 5 ประโยคพ.ศ. 2432   ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่  พระศรีสมโพธิ พ.ศ. 2439   ได้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเสมอพระราชาคณะชั้นเทพในพระราชทินนามเดิมพ.ศ. 2441   ได้เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่  พระเทพโมลีพ.ศ. 2443   ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่  พระธรรมโกศาจารย์ เจ้าคณะมณฑลนครไชยศรีพ.ศ. 2455   ได้รับพระราชทานหิรัญบัฏ เลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ พระพรหมมุนี เจ้าคณะรอง  คณะกลางพ.ศ. 2466   ได้รับพระราชทานสุพรรณบัฏ เป็นที่  สมเด็จพระพุฒาจารย์   ตำแหน่งสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ ฝ่ายอรัญญวาสีพ.ศ. 2473   ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะทักษิณ เป็นที่สมเด็จพระวันรัตเมื่อมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์เมื่อปี พ.ศ. 2484 เพื่อประสานนโยบายฝ่ายพุทธจักรและอาณาจักร ให้เป็นไปด้วยดีพระองค์ก็ได้บริหารงานคณะสงฆ์ให้ลุล่วงไป โดยแต่งตั้งพระมหาเถรานุเถระในสังฆสภา ให้ดำรงตำแหน่งตามบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ. คณะสงฆ์ฉบับดังกล่าวโดยครบถ้วนด้วยดีทุกประการ


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 07:59
สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (หม่อมราชวงศ์  ชื่น  สุจิตฺโต)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรณาณวงศ์  เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 13 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ประทับอยู่ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเมื่อปี พ.ศ. 2488 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงดำรงตำแหน่งอยู่  14 พรรษา สิ้นพระชนม์ เมื่อปี  พ.ศ. 2501 พระชนมายุ  86 พรรษา
พระองค์เป็นโอรสหม่อมราชวงศ์ถนอม และหม่อมเอม ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2415 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯทรงเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้าวชิรุณหิศ ฯสยามมงกุฏราชกุมารในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้เป็น คะเดท ทหารม้าในกรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภ ฯ มีหน้าที่ตามเสด็จรักษาพระองค์ ต่อมาได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดบวรนิเวศ ฯ ได้ทรงศึกษาพระปริยัติธรรมกับ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงเข้าสอบไล่ครั้งแรกเมื่อ ปี พ.ศ. 2433   ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สอบไล่ได้เปรียญ 5 ประโยค ตั้งแต่ยังเป็นสามเณร ทรงอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศวิหารเมื่อปี  พ.ศ. 2435 สอบได้เปรียญ 7 ประโยค  เมื่อปี พ.ศ. 2437  ได้รับโปรดเกล้า ฯ ตั้งเป็นพระราชาคณะที่  พระสุคุณคณาภรณ์พระองค์ได้มีส่วนร่วมกับสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส มาตั้งแต่ต้น คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯมีพระราชประสงค์บำรุงการศึกษามณฑลหัวเมือง ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้าให้ทรงเป็นผู้อำนวยการจัดการศึกษา มีการจัดพิมพ์แบบเรียนต่าง ๆ พระราชทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ไปไว้ใช้ฝึกสอนให้ยกโรงเรียนพุทธศาสนิกชนในหัวเมืองทั้งปวง มารวมขึ้นอยู่ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า เพื่อจะได้เป็นหมวดเดียวกัน พระองค์ขณะที่ดำรงสมณศักดิ์พระสุคุณคุณาภรณ์ ได้เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลจันทบุรีต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2445 ได้มีการออกพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ร.ศ. 121 อันเป็นผลเนื่องมาจากการจัดการพระศาสนา และการศึกษาในหัวเมือง พระองค์ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะมณฑลจันทบุรี


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:00
พ.ศ. 2446   ได้เลื่อนสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นเทพที่  พระญาณวราภรณ์พ.ศ. 2455   ได้เลื่อนสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นธรรมในพระราชทินนามเดิมพ.ศ. 2464   ได้รับสถาปนาสมณศักดิ์เสมอพระราชาคณะชั้นธรรมพิเศษในพระราชทินนามเดิมพ.ศ. 2467   ได้เป็นเจ้าคณะมณฑลอยุธยาพ.ศ. 2471   โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะในพระราชทินนามพิเศษว่า  สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์พ.ศ. 2476   ทรงเป็นประธานมหาเถรสมาคม  บัญชาการคณะสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พ.ศ. 2485   ทรงเป็นประธานคณะวินัยธร ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์  พ.ศ. 2484พระองค์ทรงเป็นแม่กองสอบไล่พระปริยัติธรรมหลายครั้ง  ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างจังหวัดเมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวร ฯ ชราและอาพาธ ก็ได้ทรงมอบหน้าที่เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติ ให้ทรงบัญชาการแทน เมื่อปี พ.ศ. 2477  และเมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ สิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2480  พระองค์ก็ได้ทรงเป็น เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติสืบต่อมา  และให้ทรงจัดการปกครองคณะธรรมยุติที่สำคัญหลายประการเมื่อทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้าแล้ว ได้ทรงปรับปรุงการปกครองคณะสงฆ์ให้ดียิ่งขึ้น โดยจัดการปกครองคณะสงฆ์ทั้งสองนิกายคือ มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย  เมื่อปี พ.ศ. 2494  ดังนี้1.  การปกครองส่วนกลาง  คณะสังฆมนตรีคงบริหารรวมกัน แต่การปกครองบังคับบัญชาให้เป็นไปตามนิกาย2.  การปกครองส่วนภูมิภาคให้แยกตามนิกาย เมื่อปี พ.ศ. 2499 ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาสมณศักดิ์ และฐานันดรศักดิ์พระองค์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ฯ ผลงานพระนิพนธ์มีอยู่เป็นจำนวนมาก พอประมวลได้ดังนี้เมื่อปี พ.ศ. 2470  พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ชำระพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐพระองค์ได้ทรงชำระ 2 เล่ม คือ  เล่ม 25  และเล่ม 26เมื่อปี พ.ศ. 2467  ทรงชำระอรรถกถาชาดก ภาคที่ 3 จากจำนวน 10 ภาค ที่สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวสาอัยยิกาเจ้าโปรดให้ชำระพิมพ์หนังสือที่ทรงรจนา ได้แก่ ศาสนาโดยประสงค์  พระโอวาทธรรมบรรยาย ตายเกิด ตายสูญ ทศพิธราชธรรม พร้อมทั้งเทวตาทิสนอนุโมทนากถาสังคหวัตถุ จักรวรรดิวัตร และขัตติยพละ พุทธศาสนคติ  บทความต่าง ๆ รวมเล่มชื่อว่า ความรู้เรื่องพระพุทธศาสนาตั้งแต่เบื้องต้น ทีฆาวุคำฉันท์ และพระธรรมเทศนาที่สำคัญได้แก่ธรรมเทศนาทศพิธราชธรรม ในการพระราชพิธีธรรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชพระธรรมเทศนาวชิรญาณวงศ์เทศนา 55 กัณฑ์
พระองค์ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จออกทรงผนวช เมื่อปี พ.ศ. 2499ในงานฉลองพุทธศตวรรษในประเทศไทย  รัฐบาลสหภาพพม่าได้ถวายสมณศักดิ์สูงสุดของพม่า คือ อภิธชมหารัฏฐคุรุแด่พระองค์เมื่อปี พ.ศ. 2500


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:00
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภณ)

สมเด็จพระสังฆราช (ปลด กิตฺติโสภณ) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 14 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สถิต ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2503  ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 2 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปีพ.ศ. 2505  พระชนมายุได้ 73 พรรษา
พระองค์มีพระนามเดิมว่าปลด ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2432  ที่กรุงเทพมหานคร  ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปีพ.ศ. 2444  ที่วัดพระเชตุพน ฯ ทรงเริ่มเรียนภาษาบาลีตั้งแต่พระชนมายุ 8 ปี เรียนมูลกัจจายน์ ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามได้ประโยค 1 ได้รับโปรดเกล้า ฯ จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ให้อยู่ที่วัดเบญจมบพิตร ฯ ต่อมาได้เข้าแปลประโยค 2 และประโยค 3 ได้  ทรงสอบได้ประโยค 4  เมื่อพระชนมายุได้ 13ปี  ประโยค 5 ถึงประโยค 7  เมื่อพระชนมายุได้ 14,15,16 ปี ตามลำดับ ทรงสอบประโยค 8 ได้เมื่อพระชนมายุได้19 ปี และประโยค 9 เมื่อพระชนมายุได้ 20 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2451 ทรงอุปสมบท  ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อปี พ.ศ. 2452พ.ศ. 2457 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่  พระศรีวิสุทธิวงศ์พ.ศ. 2466 เป็นราชาคณะชั้นราชที่  พระราชเวทีพ.ศ. 2468 เป็นเจ้าคณะแขวงกลาง  จังหวัดพระนครพ.ศ. 2469 เป็นราชาคณะชั้นเทพที่  พระเทพมุนีพ.ศ. 2471 เป็นเจ้าคณะมณฑลพายัพพ.ศ. 2472 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโกศาจารย์พ.ศ. 2473 เป็นกรรมการเถรสมาคมพ.ศ. 2481 เป็นเจ้าคณะมณฑลพิษณุโลก และเป็นประธานคณะบัญชาการคณะสงฆ์ แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช(แพ ติสฺสเทโว)พ.ศ. 2482 เป็นพระราชาคณะ ตำแหน่งเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏที่  พระพรหมมุนีพ.ศ. 2490 เป็นสมเด็จพระราชา คณะตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ ชั้นสุพรรณบัฎที่  สมเด็จพระวันรัตพ.ศ. 2494 เป็นสังฆนายกพ.ศ. 2501 เป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์ แทนสมเด็จพระสังฆราชเจ้า และรักษาการในตำแหน่ง  สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ทรงกระทำกิจทางพระศาสนามาโดยตลอด ด้วยประการต่าง ๆ เป็นอันมาก ตลอดพระชนมชีพ พอประมวลสรุปได้ดังนี้

โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:02

1. ด้านการปกครอง  เริ่มตั้งแต่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส เจ้าคณะแขวง เจ้าคณะมณฑล กรรมการเถรสมาคมประธานคณะบัญชาการคณะสงฆ์ แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช สังฆนายก และรักษาการในตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช2. ด้านการศึกษา  เริ่มตั้งแต่การศึกษาในสำนักวัดเบญจมบพิตร ฯ การศึกษาในมณฑลพายัพ ทั้ง 7 จังหวัดและแขวงกลางจังหวัดพระนคร เป็นกรรมการสอบพระปริยัติธรรมในสนามหลวง เป็นแม่กองบาลีสนามหลวง เป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การศึกษา3. ด้านการเผยแผ่ มีหนังสือธรรมที่ทรงนิพนธ์ พิมพ์ออกเผยแผ่ เป็นอันมาก เช่น มงคลภาษิต ปราภวภาษิตศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งงานพระธรรมเทศนา ในโอกาสต่าง ๆ ที่ได้รับการยอย่องว่า มีสำนวนโวหารง่ายๆ เป็นที่เข้าใจทราบซึ้ง
4. ด้านการต่างประเทศ  ได้เสด็จไปต่างประเทศเพื่อการพระศาสนาหลายครั้ง คือ
- พ.ศ. 2482 ไปตรวจการณ์คณะสงฆ์ ไทรบุรี และปีนัง แทนสมเด็จพระสังฆราช
- พ.ศ. 2498 เป็นหัวหน้าคณะไปร่วมงานฉัฎฐสังคายนาจตุตถสันนิบาต (สมัยไทย) โดยเป็นประธาน กระทำพิธีเปิดประชุมสังคายนาณ สหภาพพม่า
- พ.ศ. 2499 เป็นหัวหน้าคณะไปร่วมพิธีฉลอง  พุทธชยันตี  25 ศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนา ณ ประเทศลังกา และไปสังเกตการพระศาสนาในประเทศอินเดีย
- พ.ศ. 2501 เป็นหัวหน้าคณะไปเป็นประธานประกอบพิธีบรรจุพระบรมธาตุ ณ วัดบุปผาราม เมืองปีนังสหพันธรัฐมาลายา
- พ.ศ. 2502 เป็นหัวหน้าคณะไปร่วมพิธีฉลองพระพุทธชยันตี 25 ศตวรรษแห่งพระพุทธศาสนา ณ ประเทศญี่ปุ่นและในปีเดียวกันนี้ ได้นำพระสงฆ์ไทยไปอยู่ ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดียและได้เสด็จไปมนัสการสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ที่อินเดีย
- พ.ศ. 2504 เสด็จไปสังเกตการพระศาสนา ในสหรัฐอเมริกา ตามคำทูลอาราชธนาของมูลนิธิเอเซีย
5.
งานด้านวิชาการและงานพิเศษ มีงานสำคัญคือในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ได้รับมอบให้เป็นผู้ชำระคัมภีร์อรรถกถาพระสุตตันตปิฎกขุททกนิกาย 4 คัมภีร์ คือ อรรถกถาอุทาน อิติวุตตก มหานิเทศ และจุลนิเทศในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ได้รับมอบให้เป็นผู้ชำระคัมภีร์พระสุตตันคปิฎก ขุททกนิกาย 3คัมภีร์ คือ มหานิเทศ จุลนิเทศ และชาดก และได้ชำระคัมภีร์ สารัตถทีปนี ฎีกาพระวินัยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้เป็น  ประธานกรรมาธิการแปล  พระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย  จนจบพิมพ์เป็นเล่มได้จำนวน 80 เล่ม เมื่อปี พ.ศ. 2500เมื่อปี พ.ศ. 2500 ได้เป็นประธานสงฆ์ในงานรัฐพิธีฉลอง 25 พุทธศตวรรษของไทย


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:03
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช ฯ (อยู่  ญาโณทโย)

สมเด็จพระสังฆราช (อยู่  ญาโณทโย) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 15 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิตณ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2506 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 2 พรรษา สิ้นพระชนมเมื่อปี พ.ศ. 2508 พระชนมายุ91 พรรษา
พระองค์มีพระนามเดิมว่า อยู่  ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2417 ที่อำเภอบางกอกใหญ่ ธนบุรี ได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสำนักของบิดาต่อมาได้มาศึกษาที่วัดสระเกศ จนได้บรรพชาเป็นสามเณร จึงได้ศึกษาภาษาบาลี มูลกัจจายน์พ.ศ. 2433  และ 2436 ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรมในสนามหลวง ได้เป็นเปรียญ 3 ประโยค และ 4 ประโยค ตามลำดับพ.ศ. 2437 ทรงอุปสมบทที่วัดสระเกศพ.ศ. 2411,2443,2444 และ 2445 ได้เข้าแปลพระปริยัติธรรม ได้เป็นเปรียญ 5,6,7,8 และ9 ประโยคตามลำดับ ทรงเป็นเปรียญ 9 ประโยค เมื่อพระชนมายุ 28 พรรษา และเป็นเปรียญ9 ประโยคองค์แรก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ จึงได้รับพระมหากรุณา ให้นำรถยนต์หลวงมาส่งถึงอารามเป็นพิเศษ และได้เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบันเมื่อได้เปรียญ 9  ประโยคแล้ว  พระองค์ก็ทรงดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสนามหลวง สอบไล่พระปริยัติธรรมตลอดมาพ.ศ. 2451  ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่  พระปิฎกโกศล พ.ศ. 2462,2468  เป็นแม่กองธรรมสนามจังหวัดนครราชสีมาพ.ศ. 2464  เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่  พระราชเวที   และเป็นแม่กองธรรมสนามจังหวัดกาญจนบุรีพ.ศ. 2465,2467 เป็นแม่กองธรรมจังหวัดภูเก็ตพ.ศ. 2466 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่  พระเทพเวทีพ.ศ. 2467 เป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศ และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวงเหนือ จังหวัดธนบุรีพ.ศ. 2470 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่  พระธรรมเจดีย์ และเป็นกรรมการเถรสมาคม พ.ศ. 2488  ได้รับโปรดเกล้า ฯ สถาปนา เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่  สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์พระองค์ทรงอุปถัมภ์ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกบาลี และนักธรรม ให้เจริญก้าว หน้ายิ่งขึ้น  เป็นองค์อุปภัมภ์กิตติมศักดิ์ของมหาจุฬาราชวิทยาลัยตั้งแต่เริ่มเปิดการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2490 ตลอดมา ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง วัดสระเกศ) จนสำเร็จเรียบร้อยดังที่เห็นอยู่ปัจจุบัน เป็นปูชนียสถานที่เริ่มสร้างมาแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์เป็นศรีสง่าแก่กรุงเทพมหานครมาจวบถึงปัจจุบัน


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:04
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ(จวน อุฏฺฐายี มหาเถร)

สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฎฺฐายี) เป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 16 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สถิต ณ วัดมกุฏกษัตริยารามวรวิหาร ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2508 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 7 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ.2514 พระชนมายุ 74 พรรษา
พระองค์มีพระนามเดิมว่า จวน  ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2440 ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี  เมื่อพระชนมายุได้10 พรรษา ได้เข้ามาศึกษาชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนวัดคฤหบดี จังหวัดธนบุรี พระชนมายุ 14 พรรษา ได้ไปศึกษาอยู่ กับพระมหาสมณวงศ์ (แท่น โสมทัดโต) เจ้าอาวาสวัดมหาสมณาราม(วัดเขาวัง)  ที่วัดเขาวัง จังหวัดเพชรบุรี  พระชนมายุ 16 พรรษา ได้มาศึกษาพระปริยัติธรรมกับพระอริยมุนี (แจ่ม จตฺคสลฺโล) ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม[size=-1]พ.ศ. 2457 ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ได้เป็นบรรณาธิการ หนังสือวารสารรายปักษ์สยามวัด ทำให้พระองค์มีความสามารถในการประพันธ์คำประพันธ์ต่าง ๆมีโคลง ฉันท์ เป็นต้นพ.ศ. 2460 ทรงอุปสมบทเป็นภิกษุ  ในปีเดียวกันนี้ทรงสอบได้นักธรรมชั้นตรี และเปรียญธรรม 3 ประโยคพ.ศ. 2461 สอบได้นักธรรมชั้นโทพ.ศ. 2462,2464 และ 2465  สอบได้เปรียญธรรม 4,5 และ 6 ประโยค ตามลำดับพ.ศ. 2466  สอบได้นักธรรมชั้นเอกพ.ศ. 2467,2470 และ 2472  สอบได้เปรียญธรรม 7,8 และ 9 ประโยค ตามลำดับพระองค์ได้ประกอบพระกรณียกิจด้านการพระศาสนาเป็นอันมาก พอประมวลได้ดังนี้
   พ.ศ. 2476  ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะที่  พระกิตติสารมุนี
พ.ศ. 2477  เป็นกรรมการคณะธรรมยุติ
  พ.ศ. 2478  เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่  พระราชเวที   เป็นประธานกรรมการบริหาร ในตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลราชบุรี
  พ.ศ. 2479   เป็นกรรมการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ลักษณะปกครองสงฆ์ ฉบับใหม่
   พ.ศ. 2482   เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่  พระเทพเวที
  พ.ศ. 2485   เป็นสมาชิกสังฆสภา และเป็นสังฆมนตรีว่าการองค์การเผยแผ่
พ.ศ. 2486   เป็นผู้รักษาการ ในตำแหน่งสังฆนายก แทนสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดบรมนิวาส
  พ.ศ. 2488   เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่  พระธรรมปาโมกข์
  พ.ศ. 2489   เป็นผู้สั่งการในตำแหน่งสังฆนายก แทนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิรินทร์ฯ
  พ.ศ. 2490   เป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่  พระศาสนโศภณ
  พ.ศ. 2494   เป็นสังฆนายก ครั้งที่ 1
พ.ศ. 2499   ได้รับโปรดเกล้า ฯ สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่  สมเด็จพระมหาวีรวงศ์
  พ.ศ. 2503   เป็นสังฆนายก ครั้งที่ 2
  พ.ศ. 2505   เป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระสังฆราช
พ.ศ. 2506   เป็นกรรมการเถรสมาคมโดยตำแหน่ง ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:05
1.    ด้านการศึกษา    ทรงชำนาญในอักษรขอม อักษรพม่า อักษรมอญ และอักษรโรมัญจากการที่ได้  ตรวจชำระ พระไตรปิฎกบางปกรณ์ตามที่ได้รับมอบ ซึ่งจะต้องสอบทานอักษรไทยกับต้นฉบับอักษรขอม เกี่ยวกับอักษรพม่าและอักษรโรมัน
พ.ศ. 2470  เป็นกรรมการตรวจบาลีไวยากรณ์ในสนามหลวง
  พ.ศ. 2471  เป็นกรรมการตรวจนักธรรมชั้นโท-เอกในสนามหลวง  เป็นกรรมการตรวจบาลี ประโยค 4-5-6
  พ.ศ. 2476  เป็นปีที่เริ่มฟื้นฟูกิจการของมหามงกุฏราชวิทยาลัยในยุคใหม่  ทรงรับหน้าที่เป็นกรรมการและอนุกรรมการหลายคณะ คือ อนุกรรมการตรวจชำระแบบเรียน เช่น นวโกวาท  และ พุทธศาสนสุภาษิตกรรมการอำนวยการหนังสือธรรมจักษุ กรรมการ อุปนายกและนายกกรรมการมหามงกุฏราชวิทยาลัย ตลอดมาจนสิ้นพระชนม์
2.    ด้านการต่างประเทศ   เสด็จไปดูการพระศาสนาในประเทศลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ อินเดีย เนปาล ลังกา ฮ่องกงไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น เวียดนาม ตามคำเชิญของพุทธบริษัทของประเทศนั้น ๆ ทรงไปร่วมงานฉลอง25 พุทธศตวรรษ ที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้แทนสมเด็จพระสังฆราช (วัดเบญจมบพิตร)ไปร่วมประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกที่ กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2504
3.    งานเผยแผ่พระศาสนา   ได้ทรงดำเนินการมาโดยตลอดไปรูปแบบต่าง ๆ พอประมวลได้ดังนี้
  พ.ศ. 2476   ทรงร่วมกับคณะมิตรสหาย ตั้งสมาคมพุทธศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรก คือ พุทธสมาคมเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา และส่งเสริมการศึกษา
พ.ศ. 2477   เป็นพระคณาจารย์เอกทางเทศนา (ธรรมกถึก)
พ.ศ. 2479   เป็นกรรมการควบคุมการแปลพระไตรปิฎก
  พ.ศ. 2497   เป็นประธานกรรมการจัดรายการแสดงธรรมทางวิทยุในวันธรรมสวนะ
4.   งานพระนิพนธ์
  พ.ศ. 2469   ทรงแปลตติยสมันตปาสาทิกา  อรรถกถาพระวินัย เพื่อใช้เป็นตำรา
พ.ศ. 2482   ทรงแต่ง รตนตฺตยปฺปภาวสิทฺธิคาถา แทน รตนตฺตยปฺปภาวาภิยาจนคาถา และได้ใช้สวดในพระราชพิธีต่อมา
   ยังมีพระนิพนธ์อีกมากกว่า 100 เรื่อง เช่น มงคลในพุทธศาสนา สาระในตัวคน วิธีต่ออายุให้ยืน การทำใจให้สดชื่นผ่องใสและฉันไม่โกรธเป็นต้น
  มีพระธรรมเทศนาอีกหลายร้อยเรื่อง ที่สำคัญคือ มงคลวิเศษคาถา ที่แสดงในพระราชพิธีเฉลิม  พระชนมพรรษา


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:06
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ(ปุ่น  ปุณฺณสิริมหาเถร)


  สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปุ่น ปุณฺณสิริมหาเถร) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 17 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สถิต ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงดำรงงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2515 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงดำรงตำแหน่งอยู่ 1 พรรษาเศษ สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2517 พระชนมายุได้ 77 พรรษา

พระองค์มีพระนามเดิมว่า ปุ่น  ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2439 ที่อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี  การศึกษาในเบื้องต้น เรียนกับบิดาของท่านจนอ่านออกเขียนได้ แล้วจึงไปเรียนภาษาบาลี อักษรขอม และมูลกัจจายน์ (กับพระอาจารย์หอม และอาจารย์จ่าง) ที่วัดสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อพระชนม์ได้ 10 พรรษา (พระอาจารย์หอมได้พามาฝากให้เป็นศิษย์พระอาจารย์ป่วน)ได้มาอยู่ที่วัดมหาธาตุ ฯ เมื่อพระชนม์ได้ 16 พรรษา ได้ย้ายมาอยู่กับพระอาจารย์สด(พระมงคลเทพมุนี วัดปากน้ำภาษีเจริญ) ณ วัดพระเชตุพน แล้วกลับไปบรรพชาเป็นสามเณรณ วัดสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี และได้อุปสมบท เมื่อปี พ.ศ. 2460
  พ.ศ. 2456 สอบได้นักธรรมตรี
พ.ศ. 2458 สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ขณะเป็นสามเณร
  พ.ศ. 2462 สอบได้นักธรรมโท
  พ.ศ. 2463, 2466, 2470  สอบได้เปรียนธรรม 4,5 และ 6 ประโยคตามลำดับ
  พ.ศ. 2483 เป็นกรรมการแปลพระไตรปิฎก แผนกพระวินัย เป็นภาษาไทย
พ.ศ. 2484 ได้รับพระราชทานสมศักดิ์ เป็นพระราชาคณะสามัญที่  พระอมรเวที  เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน เป็นคณาจารย์เอกทางเทศนา
  พ.ศ. 2486 เป็นเจ้าคณะตรวจการณ์ภาคบูรพา (8 จังหวัด ภาคตะวันออก)  เป็นเจ้าคณะตรวจการณ์ภาค 2 (10 จังหวัดภาคกลาง)และเป็นกรรมการสังคายนา พระธรรมวินัย
            พ.ศ. 2488 เป็นสมาชิกสังฆสภา
พ.ศ. 2489 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชสุธี
พ.ศ. 2490 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที   รักษาการเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน และเป็นกรรมการสภามหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พ.ศ. 2491 เป็นสังฆมนตรีสมัยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพน เป็นกรรมการและเลขาธิการคณะกรรมการสังมาณัติระเบียบพระคุณาธิการ และได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมดิลก
  พ.ศ. 2492 เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 2 (ภาคบูรพาเดิม)  และเป็นสภานายกสภาพระธรรมกถึก
พ.ศ. 2493 เป็นสังฆมนตรีสมัยที่ 2
พ.ศ. 2494 เป็นสังฆมนตรีสมัยที่ 3 และ 4  เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค 7 (8 จังหวัดภาคกลาง) เป็นกรรมการเจ้าคณะตรวจการภาค และเป็นอนุกรรมการอบรมศีลธรรมและวัฒนธรรมแก่ข้าราชการ และประชาชน
  พ.ศ. 2499 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองที่ พระธรรมโรดม  และเป็นสังฆมนตรี (ว่าการองค์การสาธารณูปการ) สมัยที่ 5
            พ.ศ. 2503 เป็นสังฆมนตรี (ว่าการองค์การเผยแผ่) สมัยที่ 6
  พ.ศ. 2504 ได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระราชาคณะที่  สมเด็จพระวันรัต และเป็นกรรมการพิจารณาหลักสูตรการศึกษาปริยัติธรรมแผนกบาลี
พ.ศ. 2506 เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม
พ.ศ. 2508 เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง  และรักษาการเจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก หนเหนือ และหนใต้
   พ.ศ. 2509 เป็นแม่กองงาน พระธรรมทูต
พ.ศ. 2410 เป็นผู้ปฎิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ระหว่างที่พระองค์เสด็จเยือนลังกา
พ.ศ. 2515 เป็นเจ้าคณะนครหลวงกรุงเทพธนบุรี
  ผลงานของพระองค์ นอกจากที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฎิบัติงานตามตำแหน่งหน้าที่ และงานพิเศษต่าง ๆ ที่ได้รับมอบอย่างครบถ้วนแล้ว ยังมีงานด้านพระศาสนาที่ทรงริเริ่มพัฒนาอีกเป็นจำนวนมากกล่าวคือ
งานด้านการก่อสร้างและปฎิสังขรณ์     ทรงก่อสร้างและปฎิสังขรณ์ทั้งปูชนียสถานเช่น พระอาราม  สาธารณสถาน เช่น พิพิธภัณท์  โรงเรียน โรงพยาบาล  ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นจำนวนมาก
  งานด้านมูลนิธิ   ทรงก่อตั้งและสนับสนุนมูลนิธิ ที่ดำเนินงานด้านธรรม ด้านวิชาการ และการศึกษาและด้านสาธารณูปการ  เป็นจำนวนมาก
งานด้านพระนิพนธ์    มีพระธรรมเทศนาจำนวนมาก วันสำคัญทางศาสนา ประมวลอาณัติคณะสงฆ์สารคดี เช่น สู่เมืองอนัตตา  พุทธชยันตี  เดีย-ปาล (อินเดีย-เนปาล) สู่สำนักวาติกันและนิกสัน และบ่อเกิดแห่งกุศลคือ โรงพยาบาล เป็นต้น ธรรมนิกาย เช่น จดหมายสองพี่น้อง  สันติวัน พรสวรรค์ หนี้กรรมหนี้เวร ไอ้ตี๋  ดงอารยะ เกียรติกานดา คุณนายชั้นเอก ความจริงที่มองเห็น ความดีที่น่าสรรเสริญอภินิหารอาจารย์แก้ว กรรมสมกรรม
  งานด้านต่างประเทศ  ทรงไปร่วมประชุมฉัฎฐสังคายนาพระไตรปิฎกณ ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. 2497 ไปร่วมงานฉลองพุทธชยันตี (25 พุทธศตวรรษ) ณ ประเทศศรีลังกา เมื่อปี พ.ศ. 2499  นอกจากนี้ยังทรงไปและสังเกตุการณ์ พระศาสนาและเยือนวัดไทยในต่างประเทศ อีกเป็นจำนวนมาก


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:07
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ(วาสนมหาเถร)


สมเด็จพระสังฆราช (วาสนมหาเถร) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 18 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สถิต ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ.2517 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงอยู่ในตำแหน่ง 14 พรรษา สิ้นพระชนม์เมื่อปี พ.ศ. 2531 พระชนมายุ 91 พรรษา

             พระองค์มีพระนามเดิมว่า วาสน์  ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2440  ที่อำเภอนครหลวงจังหวัด พระนครศรีอยุธยา บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ. 2455 และอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ. 2461 ณ วัดราชบพิธ  เมื่ออุปสมบทแล้วได้ศึกษาพระปริยัติธรรมตามลำดับ สอบได้เปรียญ 4 ประโยค
             พ.ศ. 2465 และ 2466  เป็นพระครูโฆสิตสุทธสร พระครูธรรมธร และพระครูวิจิตรธรรมคุณ ตามลำดับและเป็นกรรมการตรวจธรรมและบาลีสนามหลวง
             พ.ศ. 2477 เป็นพระราชาคณะที่ พระจุลคณิศร ปลัดซ้ายของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัตน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า
             พ.ศ. 2481 เป็นกรรมการคณะธรรมยุต
             พ.ศ. 2485 เป็นกรรมการมหามงกุฎราชวิทยาลัย เป็นคณาจารย์เอกทางรจนาพระคัมภีร์ และเป็นสมาชิกสภาสังฆสภา
พ.ศ. 2486 เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะตรวจการภาคกลาง และภาค 2  เป็นเจ้าคณะอำเภอพระนคร และเป็นกรรมการการสังคายนาพระธรรมวินัย
  พ.ศ. 2489 เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชกวี และรักษาการณ์ในหน้าที่เจ้าอาวาสวัดราชบพิธ
             พ.ศ. 2490 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพโมลี
             พ.ศ. 2491  เป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธ และเป็นเจ้าคณะตรวจการณ์ภาค 1
             พ.ศ. 2492 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมปาโมกข์
              พ.ศ. 2494  เป็นเจ้าคณะธรรมยุต ผู้ช่วยภาค 1-2-6 และเป็นเจ้าคณะจังหวัด พระนคร-สมุทรปราการ กับนครสวรรค์
             พ.ศ. 2500  เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่ พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
             พ.ศ. 2504  เป็นผู้รักษาการณ์ในตำแหน่งเจ้าคณะธรรมยุต ภาค 1-2-6 และเป็นอุปนายกกรรมการมหามกุฎราชวิทยาลัยฯ
             พ.ศ. 2506  เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่  สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และเป็นกรรมการเถรสมาคม
พระองค์ได้บริหารงานพระศาสนา ในการคณะสงฆ์มาโดยตลอดเป็นอันมาก พอประมวลได้ดังนี้
               - นายกกรรมการและนายกสภาการศึกษามหามงกุฎราชวิทยาลัย
               - เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
- ประธานการศึกษาของคณะสงฆ์
               - ประธานกรรมการมหาเถรสมาคม
               - ประธารกรรมการมูลนิธิส่งเสริมกิจการศาสนา และมนุษยธรรม
               - เป็นองค์อุปถัมภ์ในกิจการด้านการพระศาสนา และการสงเคราะห์ในด้านต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก  เช่น มูลนิธิสังฆประชานุเคราะห์ สัมมาชีวศิลปมูลนิธิ ศูนย์และชมรมพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช(วาสนมหาเถร) สถานสงเคราะห์คนชราวาสนะเวศน์ และมูลนิธิสมเด็จพระสังฆราช(วาสนมหาเถร) เป็นต้น


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:07


งานเผยแผ่ศาสนธรรม  นับว่าเป็นงานหลักที่ทรงกระทำเป็นพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบต่าง ๆ กล่าวคือ การสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎก ในการสมัยสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์200 ปี นับเป็นครั้งที่ 3 ของประเทศไทย
  การบรรยายธรรม  ได้จัดให้มีพระธรรมเทศนาประจำวันธรรมสวนะในพระอุโบสถ เป็นประจำ  การบรรยายสวดมนต์มีคำนำแปล  ณ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ประจำวันพระแรม 8 ค่ำ  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 ถึง พ.ศ. 2517
             การตรวจเยี่ยมพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศทั้ง 73 จังหวัด เพื่อรับทราบปัญหาต่าง ๆ  ที่จะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป
             การแต่งหนังสือและบทความต่าง ๆ เพื่อสอนพระพุทธศาสนาในระดับต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก
             การตั้งมูลนิธิต่างๆ  เพื่อบำรุงพระอาราม
             งานสาธารนูปการ  ทรงสร้างและให้ความอุปถัมภ์ในการสร้างวัด โรงเรียน โรงพยาบาล และสาธารณสถานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น  วัดแสงธรรมสุทธาราม   จังหวัดนครสวรรค์ วัดโพธิทอง  จังหวัดอยุธยา  อาคารเรียนโรงเรียนประชาบาลวัดสระกะเทียม นครปฐม โรงเรียนประชาบาลวัดโพธิทอง จังหวัดอยุธยา โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราช(วาสนมหาเถระ) จังหวัดอยุธยา  ศาลาบำเพ็ญบุญ วัดเสนาวนาราม  หอนาฬิกา จังหวัดอยุธยา  ศาลาที่พักริมทางหลวง 8 แห่ง  ศาลาทรงไทยหน้าพระวิหารพระมงคลบพิตร 2 หลัง และสถานสงเคราะห์คนชราวาสนเวศน์จังหวัดอยุธยา สิ่งก่อสร้างสุดท้ายคือ โรงเรียนวัดราชบพิธแห่งใหม่ ในที่ดินที่กองทัพบกยกให้ เนื่องในวโรกาสพระชนมายุครบ 90 พรรษางานสร้างพุทธมณฑล ให้สำเร็จเสร็จทันในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2530 เป็นผลงานสำคัญของพระองค์ที่เริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ. 2521  



              งานพระนิพนธ์    ทรงนิพนธ์หนังสือและบทความต่าง ๆ ทั้ง ร้อยแก้ว และร้อยกรองไว้เป็นจำนวนมาก  เช่น ทิศ 6 สังคหวัตถุ 4 สัมปรายิกัตถประโยชน์ วัดของบ้าน พุทธศาสนคุณ พัฒนาใจ บุคคลหาได้ยากมรดกชีวิต ความเติบโต วาสนาสอนน้อง จดหมายถึงพ่อ วาทแห่งวาสน์ คำกลอนสอนใจวาสนคติ นิราศ 2 ปี สวนดอกสร้อย สักวาปฏิทิน กลอนปฏิทิน อาจารย์ดี สมพรปาก คน-ระฆัง เรือ-สมาคม วัยที่เขาหมดสงสาร และบทความเรื่องบันทึกศุภาสินีเป็นต้น

โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:08
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช  (เจริญ สุวัฑฒโน)

สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ สุวัฑฒโน) เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 19  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร  ทรงดำรงตำแหน่งเมื่อปี พ.ศ. 2532   ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิถลอดุลยเดชพระองค์มีพระนามเดิมว่า  เจริญ คชวัตร  ประสูติที่อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2456  ทรงศึกษาที่โรงเรียนวัดเทวสังฆาราม เมื่อพระชนมายุได้ 8 พรรษา และบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆาราม เมื่อพระชนมายุ14 พรรษา ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2470  ได้ไปเรียนภาษาบาลีที่วัดเสน่หา จังหวัดนครปฐมปี พ.ศ. 2472 ได้มาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร
ศึกษาพระปริยัติธรรม ได้ตามลำดับดังนี้ พ.ศ. 2472  สอบได้นักธรรมชั้นตรี พ.ศ. 2473  สอบได้นักธรรมชั้นโท และเปรียญธรรม 3 ประโยค พ.ศ. 2475  สอบได้นักธรรมชั้นเอก และเปรียญธรรม 4 ประโยค พ.ศ. 2476  อุปสมบทที่วัดเทวสังฆาราม  จำพรรษาที่วัดนี้ 1 พรรษา แล้วกลับมาวัดบวรนิเวศวิหารอุปสมบทซ้ำเป็นธรรมยุติ  และสอบไล่เปรียญธรรม 5 ประโยค พ.ศ. 2477,2478,2481 และ 2484  สอบได้เปรียญธรรม 6,7,8 และ 9 ประโยคตามลำดับ พ.ศ. 2484  เป็นสมาชิกสังฆสภาโดยตำแหน่ง  เป็นกรรมการสังคายนาพระธรรมวินัย และเป็นผู้อำนวยการศึกษาสำนักเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร พ.ศ. 2489  เป็นพระวินัยธรชั้นอุทธรณ์  และเป็นกรรมการสภาการศึกษามหามงกุฎราชวิทยาลัยพ.ศ. 2490  ได้รับพระทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระโศภณคณาภรณ์  และเป็นกรรมมหามงกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. 2493  เป็นกรรมการเถรสมาคม คณะธรรมยุต ประเภทชั่วคราวพ.ศ. 2494  เป็นกรรมการอำนวยการมหามงกุฎราชวิทยาลัย และเป็นกรรมการแผนกตำราของมหามงกุฏราชวิทยาลัยพ.ศ. 2495  เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในพระราชทินนามเดิม พ.ศ. 2496  เป็นกรรมการตรวจชำระ คัมภีร์ฎีกาพ.ศ. 2497  เป็นกรรมการเถรสมาคมคณะธรรมยุตประเภทถาวรพ.ศ. 2498  เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในพระราชทินนามเดิม พ.ศ. 2499  เป็นพระอภิบาล (พระพี่เลี้ยง) ของพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างที่ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ และเสด็จประทับ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ที่พระธรรมวราภรณ์ และรักษาการวินัยธรชั้นฎีกา พ.ศ. 2501  เป็นกรรมการคณะธรรมยุติ  และเป็นกรรมการมูลนิธิส่งเสริมกิจการพระศาสนา และมนุษยธรรม(ก.ศ.ม.) พ.ศ. 2503  เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การปกครองสั่งการองค์การปกครองฝ่ายธรรมยุติ พ.ศ. 2504  เป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร  เป็นผู้อำนวยการมหามงกุฎราชวิทยาลัย เป็นประธานกรรมการสภาการศึกษามหามงกุฎราชวิทยาลัยเป็นผู้รักษาการณ์เจ้าคณะธรรมยุตภาคทุกภาค และเป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2506  เป็นกรรมการเถรสมาคม ซึ่งเป็นกรรมการชุดแรก ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 พ.ศ. 2515  เป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ และได้รับโปรดเกล้า ฯ  สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระราชาคณะในพระราชทินนามนี้ มีขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฬ้า ฯเป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ  พระอาจารย์สุก วัดท่าหอย พระนครศรีอยุธยา ได้รับพระราชทานสมศักดิ์นี้เป็นองค์แรกและต่อมาก็มิได้พระราชทานสมณศักดิ์นี้แก่พระเถระรูปใดอีกเลย  ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2363 ถึงปี พ.ศ. 2515 เป็นเวลาถึง 152 ปี พ.ศ. 2517  เป็นประธานกรรมการคณะธรรมยุต พ.ศ. 2528  เป็นรองประธานกรรมการสังคีติการสงฆ์ ในการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎก และเป็นสังฆปาโมกข์ปาลิวิโสธกะพระวินัยปิฎก เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พ.ศ. 2531  รักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เป็นนายกกรรมการมหามงกุฎราชวิทยาลัย และเป็นนายกสภาการศึกษามหามงกุฎราชวิทยาลัย

โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:09


ผลงานของพระองค์ตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมามีอยู่เป็นเอนกอนันต์ พอจะสรุปได้ดังนี้
ด้านการพระศาสนาในต่างประเทศ  พระองค์ได้เป็นกำลังสำคัญในการดำเนินการมาโดยลำดับ ดังนี้ [size=-1]พ.ศ. 2509  ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการฝึกอบรมพระธรรมทูตในต่างประเทศ  ได้เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ ในพิธีเปิดวัดพุทธประทีบณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และดูกิจการพระธรรมทูตในประเทศอังกฤษและอิตาลี พ.ศ. 2511  เสด็จไปดูการพระศาสนา วัฒนธรรม และการศึกษาในประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์อันเป็นผลให้ต่อมาได้มีการวางแผนร่วมกับชาวพุทธอินโดนีเซีย ในอันที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในประเทศนั้น และได้ส่งพระธรรมทูตชุดแรกไปยังอินโดนีเซีย เมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้ส่งพระภิกษุจากวัดบวรนิเวศ ออกไปปฏิบัติศาสนกิจที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ. 2516 และตั้งสำนักสงฆ์ในปี พ.ศ. 2518 พ.ศ. 2514  เสด็จไปดูการพระศาสนา และการศึกษาในประเทศเนปาล และอินเดีย ปากีสถาน ตะวันออก(บังคลาเทศ) ทำให้เกิดงานฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในเนปาล  ในขั้นแรก ได้ให้ทุนภิกษุสามเณรเนปาลมาศึกษาพระพุทธศาสนาในไทย ที่วัดบวรนิเวศ ฯพ.ศ. 2520  เสด็จไปบรรพชาชาวอินโดนีเซีย จำนวน 43 คน ที่เมืองสมารัง ตามคำอาราธนาของคณะสงฆ์เถรวาทอินโดนีเซียพ.ศ. 2528  ทรงเป็นประธานคณะสงฆ์ ไปประกอบพิธีผูกพัทธสีมาอุโบสถ วัดจาการ์ต้าธรรมจักรชัย  ณ ประเทศอินโดนีเซีย นับเป็นการผูกพันธสีมาอุโบสถวัดพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นครั้งแรกของประเทศอินโดนีเซียและในปีเดียวกันนี้ ได้เสด็จไปเป็นประธานบรรพชา กุลบุตรศากย  แห่งเนปาล จำนวน 73 คน ณ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล พ.ศ. 2536  เสด็จไปเจริญศาสนาสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน เป็นครั้งแรก ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำกราบทูลอาราธนาของรัฐบาลจีนพ.ศ. 2538  เสด็จไปเป็นประธาน วางศิลาฤกษ์วัดไทย ณ ลุมพินี ประเทศเนปาล ซึ่งรัฐบาลไทยจัดสร้างถวายเป็นพุทธบูชา และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาศทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี


โดย: kit007    เวลา: 2014-5-29 08:10


ด้านสาธารณูปการ  ได้ทรงบูรณะซ่อมสร้างเสนาสนะและถาวรวัตถุอันเป็นสาธารณประโยชน์เป็นจำนวนมาก กล่าวคือปูชนียสถาน   ได้แก่  มณฑปประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง พระเจดีย์ วัดบวรนิเวศ ฯ พระบรมธาตุ เจดีย์ศรีนครินทรมหาสันติคีรีดอยแม่สลอง พระอาราม   ได้แก่ วัดสันติคีรี ดอยแม่สลอง เชียงราย  วัดรัชดาภิเศก อำเภอบ่อพลอย กาญจนบุรี  วัดล้านนาสังวรารามอำเภอจอมทอง เชียงใหม่  วัดพุมุด อำเภอไทรโยค กาญจนบุรี  วัดญาณสังวราราม อำเภอบางละมุงชลบุรี นอกจากนั้นยังทรงอุปถัมภ์วัดไทยในต่างประเทศอีกหลายแห่งคือ วัดพุทธรังสี นครซิดนีย์ออสเตรเลีย วัดจาการ์ตาธรรมจักรชัย กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย  วัดนครมณฑปศรีกีรติวิหาร เมืองกิรติปูร เนปาล โรงเรียน   ได้แก่  โรงเรียนมัธยมญาณสังวร ยโสธร โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต กาญจนบุรี
โรงพยาบาล   ได้แก่  การสร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาล และตึก ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์โรงพยาบาลสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต กาญจนบุรี โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม ชลบุรี  และโรงพยาบาลสกลมหาสังฆปรินายก เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์ แด่สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทุกพระองค์ รวม  19  แห่ง  ได้เริ่มก่อสร้างไปแล้วหลายแห่ง พระนิพนธ์     ทรงนิพนธ์เรื่องต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก  ทั้งที่เป็นตำรา  พระธรรมเทศนา  และทั่วไป พอประมวลได้ดังนี้ ประเภทตำรา   ทรงเรียบเรียงวากยสัมพันธ์ ภาค 1-2 สำหรับใช้เป็นหนังสือประกอบการศึกษาของนักเรียนบาลี และทรงอำนวยการจัดทำ ปทานุกรม บาลี  ไทย อังกฤษ สันสกฤต ฉบับพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระจันทรบุรีนฤนาถ ประเภทพระธรรมเทศนา    มีอยู่เป็นจำนวนมาก เท่าที่พิมพ์เป็นเล่มแล้วเช่น ปัญจคุณ 5 กัณฑ์  ทศพลญาณ10 กัณฑ์  มงคลเทศนา  โอวาทปาฎิโมข์ 3 กัณฑ์  สังฆคุณ 9 กัณฑ์ เป็นต้น ประเภทงานแปลเป็นภาษาต่างประเทศ  ทรงริเริ่มและดำเนินการให้แปลตำราทางพุทธศาสนา จากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อใช้ในการศึกษาพระพุทธศาสนา  เช่น  นวโกวาท  วินัยมุข  พุทธประวัติ  ภิกขุปาติโมกข์  อุปสมบทวิธี และทำวัตรสวดมนต์ เป็นต้น ประเภททั่วไป    มีอยู่เป็นจำนวนมาก  เช่น การนับถือพระพุทธศาสนา  หลักพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านล้ำเลิศ 45 พรรษาพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าสั่งสอนอะไร  (ไทย-อังกฤษ)  วิธีปฎิบัติตนให้ถูกต้องทางธรรมะ พระพุทธศาสนากับสังคมไทย เรื่องกรรม ศีล (ไทย-อังกฤษ)  แนวปฎิบัติในสติปัฎฐาน อาหุเณยโย  อวิชชา  สันโดษ  หลักธรรมสำหรับการปฎิบัติอบรมจิต การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่  บัณฑิตกับโลกธรรม แนวความเชื่อ  บวชดี  บุพการี-กตัญญูกตเวที  คำกลอนนิราศสังขาร  และตำนาน วัดบวรนิเวศ เป็นต้น


ที่มา http://www1.tv5.co.th/service/mo ... cardinal/index7.htm






ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2