เวลาได้ผ่านไปกระทั่งบัวลอยมีอายุได้ 3 ขวบ เริ่มพูดได้ เขาก็เจริญวัยเป็นปกติดีทุกอย่างเพียงแต่เนื้อตัวแตกระแหงเป็นลายเกล็ดงูเกือบจะทั่วทั้งตัวเท่านั้น โดยเฉพาะที่หน้าแข้งจะมีลายชัดเจนมาก คนที่เพิ่งเห็นนึกว่าเป็นโรคผิวหนังมักจะรีบถอยออกห่างๆ เนื่องจากกลัวจะเป็นโรคติดต่อ แต่พ่อแม่ก็ยังรักเอ็นดูบัวลอยเช่นเดียวกับลูกคนอื่นๆ มิได้นึกรังเกียจเดียจฉันท์แม้แต่น้อย วันหนึ่ง ที่วัดโพธารามได้จัดงานบุญประจำปีขึ้น นายตาไปเที่ยวที่งานนั้นพร้อมกับพาบัวลอยลูกชายไปด้วย เมื่อไปถึงบริเวณงานก็ปล่อยให้บัวลอยวิ่งเล่นที่ลานวัดซึ่งมีคนเดินไปเดินมาพลุกพล่าน ขณะที่บัวลอยกำลังวิ่งเล่นอยู่นั้น มีชายสูงอายุคนหนึ่งเดินผ่านมา พอบัวลอยเห็นหน้าชายสูงอายุคนดังกล่าวก็หยุดวิ่งเล่นทันที แล้วจ้องมองหน้าเขม็งด้วยสายตาโกรธแค้นทั้งๆ ที่เพิ่งเห็นหน้ากันเป็นครั้งแรก แล้วบัวลอยก็วิ่งเข้าไปกระตุกชายผ้านุ่งของชายสูงอายุ ตะโกนต่อว่าด้วยเสียงอันดัง "เฒ่าเหี่ยวใจร้าย เฒ่าเหี่ยวใจร้าย" ชายสูงอายุคนนั้นมีชื่อว่า นายเหี่ยว จริงๆ เสียด้วย รู้สึกงงงันที่จู่ๆ มีเด็กตัวเล็กๆ มากระตุกชายผ้านุ่งแล้วพูดว่าตนใจร้าย พอดีนายตาเห็นลูกเข้าไปพูดจาไม่ดีกับผู้ใหญ่ ประกอบกับรู้จักคุ้นเคยกับเฒ่าเหี่ยวมาก่อนจึงรีบเข้าไปดึงบัวลอยออกมา พลางขอโทษขอโพยแทนลูก ตาเหี่ยวก็หัวเราะไม่ถือสาแล้วเดินจากไป เวลานั้นนายตาผู้เป็นพ่อยังไม่สะกิดใจอะไร อุ้มบัวลอยออกเดินเที่ยวงานต่อไปอีก กระทั่งเห็นสมควรแก่เวลาแล้วจึงพาลูกกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านนั่งพักพอหายเหนื่อยแล้วเกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่าทำไมบัวลอยจึงแสดงกิริยาวาจาก้าวร้าวกับผู้ใหญ่คือตาเหี่ยว จึงเรียกบัวลอยมาซักถามสาเหตุที่ไปต่อว่าตาเหี่ยวเช่นนั้น บัวลอยก้มหน้านิ่งอยู่ครูหนึ่งจึงได้เงยหน้าขึ้นมา บอกเล่าเรื่องราวที่ทำให้นายตาถึงกับตื่นตะลึง และคิดไม่ถึงว่าลูกตัวน้อยๆ ของตนจะพูดออกมาเป็นเรื่องราวซึ่งพิสดารอันเหลือเชื่อปานนั้น บัวลอยเล่าอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องเป็นราวผิดวิสัยเด็กอายุ 3 ขวบกว่าว่า เมื่อชาติก่อนเขาเกิดเป็นกวางตัวเมีย พออายุได้ 15 ปี ก็ถูกนายพรานยิงตายที่ภูหินปูนซึ่งอยู่เลยถ้ำอ่างน้ำจางขึ้นไป (สถานที่เหล่านี้มีอยู่จริงแต่เด็กไม่เคยรู้) หลังจากตายแล้ววิญญาณได้ล่องลอยไปหา “ผีเจ้าศรีสงคราม” ผีเจ้าศรีสงครามเป็นผู้มีอำนาจมีฤทธิ์ในป่าแถบนั้น ผีเจ้าศรีสงครามสั่งให้ไปเกิดเป็นงูตัวเมีย ตอนไปเกิดเป็นงูจำได้ว่าเข้าไปทางปากแม่งู เมื่อเกิดแล้วก็อยู่ในถ้ำอ่างน้ำจางพร้อมกับงูเหลือมใหญ่หลายตัว นอกจากจะมีงูเหลือมอยู่ ยังมีเสืออยู่ร่วมถ้ำเดียวกัน แต่ไม่ทำอะไรกัน ต่างฝ่ายต่างอยู่ งูเหลือมใหญ่ทั้งหมดทำหน้าที่เฝ้าทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า โดยเฉพาะมีพระพุทธรูปอยู่หลายองค์ ครั้นเมื่อโตเป็นงูใหญ่เกิดรักใคร่กับงูหนุ่มตัวหนึ่งจนกระทั่งตั้งท้อง เวลาออกไปหากินก็จะแยกกันไปไม่เลือกว่ากลางวันหรือกลางคืน ที่หากินตามปกติตนคือบริเวณห้วยอ่างน้ำจาง ซึ่งเวลานั้นน้ำในห้วยมีมากและตรงกับปลายฤดูฝน มีธารน้ำไหลหลายสายไหลซอกซอนลงมาจากยอดเขา ตนจึงไปนอนพาดขวางทางน้ำไหลเหล่านั้นในช่วงที่ค่อนข้างแคบเพื่อหลอกสัตว์เล็กๆ พวกกระรอก กระแต สัตว์เหล่านั้นคิดว่าเป็นท่อนไม้หรือคันดินจึงไต่ข้ามเพื่อจะไปอีกฝั่งหนึ่ง ตนก็จะจับกินเป็นอาหารเสีย เด็กชายบัวลอยเล่าเรื่องในชาติอดีตของตนให้พ่อฟังอย่างตะกุกตะกักตามภาษาเด็ก อาศัยว่านายตาคอยซักถามจึงพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ค่อยข้างชัดเจน บัวลอยเล่าเรื่องต่อไปว่า วันที่พบกับเฒ่าเหี่ยวนั้น ตนก็ออกไปหากินที่อ่างน้ำจางเช่นเดิมโดยนอนขดตัวรอคอยให้สัตว์มากินน้ำ ขณะที่นอนเงียบๆ อยู่นั้น หมาพรานสองตัวก็เข้ามาถึงตัวและเห่าเสียงขรมทำท่าจะกัด ตนจึงเตรียมสู้ ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ ทั้งยังคิดจับหมาพรานสองตัวนั้นกินเสียด้วยซ้ำ. |
“อยู่อย่างไรในถ้ำ ตอนนั้นนอนอยู่ส่วนล่างหรือบนของถ้ำ” “นอนอยู่ส่วนล่าง” “นอนกับใคร” “นอนกับงูตัวผัว” “อยู่ด้วยกันสักกี่ปี” “สัก 4 5 ปี” “กินนอนด้วยกันอย่างไร” “เกี้ยว (รัด) กัน” คณะของพระมหาถวัลย์มาถึงถ้ำน้ำจาง พร้อมด้วยพรานเหี่ยวและเด็กชายบัวลอย ปากถ้ำเป็นป่ารกชัฏ ปากถ้ำสูงประมาณเมตรครึ่ง กว้างประมาณ 3 เมตร จากปากถ้ำเป็นโพรงซอนลึกลงไปประมาณ 2 เมตร พระมหาถวัลย์ลงไปดูภายในถ้ำ พบว่าภายในถ้ำมีบริเวณกว้าง แต่ไม่ได้เข้าไปลึกจนสุดถ้ำ เพราะเกรงว่าจะพบกับงูเหลือมตัวผู้ ผัวของบัวลอยในชาติก่อน สำหรับพระพุทธรูปในถ้ำ พรานเหี่ยวเป็นผู้เอาไปหมด มีพระพุทธรูปประมาณ 40 องค์ สูงตั้งแต่ 3 4 นิ้วไปจนถึง 1 ศอก พระแต่ละองค์มีอักษรขอมจารึกไว้ตรงฐานว่า “พ่อเฒ่าศรีสงครามกับเมียสร้างไว้ ร.ศ.101” พระพุทธรูปเหล่านี้พรานเหี่ยวให้ผู้อื่นไปหมด เพราะกลัวผีพ่อเฒ่าศรีสงคราม เด็กชายบัวลอย ถูกพิสูจน์หลายครั้งหลายหน จนเป็นที่เชื่อได้ว่าอดีตชาติเขาเป็นงูเหลือมและได้เกิดมาเป็นคนในชาติปัจจุบัน ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก และในกรณีของเด็กชายบัวลอยระลึกชาตินี้ ยังเป็นข้อพิสูจน์ถึงการตายแล้วเกิด มิใช่ตายแล้วดับสูญไปเฉยๆ อย่างเห็นเป็นรูปธรรมที่สุด |
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |