Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ปู่ฤาษี 108 ตน [สั่งพิมพ์]

โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:03
ชื่อกระทู้: ปู่ฤาษี 108 ตน
ปู่ฤาษี 108 ตน



1. พระฤษีพรหมประทาน

ในตำนานพระฤษีองค์นี้มิได้ระบุถึงภูมิกำเนิด เป็นเพียงแต่ว่าท่านเป็นพระพรหมองค์หนึ่ง ที่อยู่ในวิมานพรหมโลกท่านมีศรัทธาอันแก่กล้าจึงมุ่งมั่นบำเพ็ญด้วยความหวังตั้งใจที่จะเสริมสร้าง พระบารมี จึงสละความสุขทั้งหลายทั้งปวงมาเป็นพระฤษี แต่กระนั้นก็ยังมีจิตใจอารีย์ชอบช่วยเหลือเผื่อแผ่แด่ชนทั้งหลาย ท่านมักจะสอดส่องลงมายังโลกมนุษย์เป็นประจำ หากพบว่าผู้ใดได้รับความเดือดร้อน มีความทุกข์ยากเกิดขึ้น ท่านก็จะต้องประทานพรของท่านลงไปช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อน กำลังได้รับความทุกข์ยากเหล่านั้นให้กลับกลายเป็นความสุขความเจริญสืบต่อไปด้วยเมตตาและบารมีของท่านอย่างเปี่ยมล้น
    ดังนั้นเมื่อใครมีความทุกข์ใดๆหรือว่าเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงรำลึกถึงและบนบานศาลกล่าวกับท่านแล้วความทุกข์นั้นๆก็จะห่างหายไปในที่สุด



โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:06
2. พระฤษีพรหมปรเมศฎ์



สำหรับพระฤษีพรหมปรเมศฎ์นี้ท่านเป็นผู้สำเร็จในภาคปฏิบัติอีกพระองค์หนึ่ง ที่มีอิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระพรหมฤษีองค์อื่นๆ ความเป็นอยู่ของท่านก็มีความเมตตาเป็นที่ตั้ง แต่มีนิสัยดุและเสียงดังเป็นที่สุดท่านเป็นพระพรหมฤษีที่มี ๔ หน้า ๘ มือ เช่นเดียวกัน ใบหน้าของท่านจะมีสีเขียว ลำตัวสูงใหญ่เศียรทั้ง ๔ ของท่านรวมเป็นเศียรเดียวกันเรียกว่าเศียรแฝด แต่ทว่าหน้าทั้ง ๔ นั้น อยู่คนละด้าน ซึ่งตรงกับทิศทั้ง ๔ มวยผมบนพระเศียรขมวดมุ่นขึ้นไปเป็นรูปชฎาและเป็นปล่องโพรงตรงกลางเช่นเดียวกับพระฤษีทั่วไป
   ท่านมีวิชาอาคมแกร่งกล้าและเข้มแข็งสามารถที่จะเสกหรือสร้างอะไรก็ได้ตามที่ท่านต้องการทุกอย่าง พระพรหมฤษีปรเมศฎ์ ท่านนึกสนุกขึ้นมาจึงเสกคาถาสร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมาตัวหนึ่งคือกุ้ง ที่เราเห็นกันทุกวันนี้   สำหรับองค์พระฤษีพรหมปรเมศฎ์นั้นก็ต้องนับว่าท่านเป็นผู้มีคุณกับมนุษย์ไม่น้อยเพราะท่านสร้างกุ้งขึ้นมาเป็นอาหารของมนุษย์จนปัจจุบัน กุ้งกลายเป็นสัตว์เศรษฐกิจของมนุษย์ไปแล้ว ในด้านฤทธิ์อำนาจบารมีของท่านก็นับว่าเลิศไม่แพ้ใครเหมือนกันเป็นที่เคารพและยำเกรงของบรรดาพระพรหม พระรหมฤษี กระทั่งชั้นเทพ เทวดา นางฟ้า ลงมาจนถึงมนุษย์ ครุฑาวาสุกรี คนธรรพ์ วิชาธร กินนร เพชรพระยาธร แทตย์ และอสูรย์ แต่จะว่าไปท่านก็มิใช่ว่าจะดุเพียงอย่างเดียวเท่านั้นท่านใจดีมีเมตตาชอบช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ดังนั้นหากท่านใดต้องการจะให้ท่านช่วยเหลือก็ลองจุดธูปบอกกล่าวท่านดู บางทีความสำเร็จอาจจะเป็นของท่านก็ได้ ของอย่างนี้ถ้าไม่ลองไฉน จะรู้เล่าจริงไหม




โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:07

3.พระฤษีพรหมประสิทธิ์

พระฤษีองค์นี้เป็นผู้ที่มีฝีไม้ลายมือในทางวิชาอาคมไสยศาสตร์และการกระทำในสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดีไม่มีใครเกินและท่านก็ยังได้เป็นผู้ที่ถ่ายทอดวิชาการของท่านทั้งหมดให้กับบุคคลโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา อสูร คนธรรพ์ วิทยาธรรากษส และผู้ที่มีความต้องการจะศึกษาหาความรู้ ท่านก็จะประสิทธิ์ประสาทวิทยาอาคมและความรอบรู้ในด้านวิชาการแขนงต่างๆให้ ตามแต่ความต้องการของผู้ที่มีความต้องการของผู้ที่ใคร่จะศึกษา นับว่าท่านผู้นี้ก็มีเมตตาบารมีต่อโลกทั้งหลาย ช่วยสร้างสรรค์จรรโลงทั้งสามโลก ให้มีสง่าราศรีและมีความเจริญด้วยพระบารมีของท่าน
   ดังนั้นพวกเราก็ควรจะเคารพและรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านด้วยการกราบไหว้บูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และใช้เครื่องหอม เป็นสิ่งสักการบูชาด้วยดวงใจที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง และซาบซึ้งพระคุณของท่านอย่างแท้จริง แล้วท่านก็จะตอบสนองด้วยการประทานพรให้กับพวกเราให้สำเร็จผลสมกับความหวังตั้งใจที่จะมุ่งมั่นศึกษาเล่าเรียนในแต่ละแขนงวิชา และท่านก็ยังจะปกป้องคุ้มครองภัยให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง ท่านจะบันดาลความร่มเย็นเป็นสุขเจริญงอกงามตามอัธยาศัย

ขอเพียงแต่ให้พวกเรามีความเคารพนบนอบ ท่านอย่างจริงใจ มิใช่ว่าหน้าไหว้หลังหลอก ไม่มีสัจจะวาจาที่แน่นอน บนบานอะไรไว้เมื่อสำเร็จสมประสงค์แล้วก็ทำเป็นเฉย ดังนั้นแล้วไม่เพียงแต่ท่านจะไม่อวยพรเท่านั้น ท่านยังจะต้องสาปแช่งและลงโทษอีกด้วย..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:11

4.พระฤษีพรหมนิมิตร         
            
      พระฤษีองค์นี้แหละที่ท่านได้เป็นเทพเจ้าแห่งความฝันทั้งปวง ตามประวัติตั้งแต่เดิมมา ท่านเป็นพระฤษีที่มีบารมีมากมายอีกพระองค์หนึ่ง มีความสามารถหายตัวลงไปเข้าฝันบอกเหตุดีเหตุร้ายทั้งหลาย
ให้กับมนุษย์ได้รู้ตัว ตามตำนานแห่งความฝันตั้งแต่อดีตกาลหลายพันปีมาแล้ว ในครั้งนั้นความฝันจะเป็นความจริงเสมอ มิใช่จะฝันแบบไร้สาระ เหมือนเช่นทุกวันนี้ อย่างเช่น เมื่ออดีตจะฝันว่าเป็นอะไรก็จะเป็นไปตามความฝันทุกประการ เช่น ฝันว่าจะได้แก้วแหวนเงินทองก็จะต้องได้ หากฝันว่าหัว
ขาดแขนขาด ก็จะต้องขาดจริงๆตามความฝันเสมอไป
      มีอยู่ครั้งหนึ่งมีมานพผู้หนึ่งได้เลี้ยงนกขุนทองเอาไว้และมีความกตัญญูเป็นอย่างมาก
      วันหนึ่งมานพนั้นได้ฝันไปว่ามีโจรมาปล้นที่บ้านและได้ฆ่าตนเองจนตายจึงเกิดความกลัดกลุ้มได้เล่าให้เจ้านกขุนทองฟังและบอกว่าไม่มีใครสามรถที่จะช่วยได้ เจ้านกขุนทองจึงหัวเราะและพูดว่า'ทองนี่แหละที่จะช่วยพ่อได้' มานพหนุ่มเกิดความหมั่นไส้คิดว่าเจ้าขุนทองแกล้งพูดเพื่อเอาใจมากกว่าจึงเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวเกิดขึ้นร้องด่าเจ้าขุนทองเป็นครั้งแรก 'ไอ้นกบ้า ไอ้นกระยำ ไอ้นกขี้โม้ เสือกไม่เข้า  เรื่อง' เจ้านกขุนทองหัวเราะงอหายอีกครั้งหนึ่งเพราะขำในท่าทางของมานพ แล้วพูดอีกครั้งด้วยเสียงอ่อยๆว่า' นั่นซี ไหมล่ะ ทีเขาจะช่วยก็หาว่าขี้โม้เสียอีกแน่ะ'มานพจึงถามทั้งๆที่มิได้มรความ
หวังเลยสักนิดเดียวว่า' เจ้าจะช่วยได้จริงเหรอ ไหนลองบอกมาซิว่าจะช่วยด้วยวิธีไหน' เจ้าขุนทองจึงพูดว่า'ไหนๆพ่อก็เลี้ยงทองมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ป้อนข้าวป้อนน้ำจนโต ทองยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณพ่อเลย ขอให้ทองได้ทดแทนบุญคุณสักครั้งเถอะนะพ่อ' มานพหนุ่มเริ่มงุนงงสงสัยมากขึ้นกับ
ท่าทางที่จริงจังและมีน้ำหนักทำให้อยากรู้มากขึ้น'เจ้าทองเจ้าจะทำอะไร' เจ้าทองตอบว่า'ก็จะช่วยพ่อจะพยายามทำลายความฝันให้กลายเป็นเรื่องไร้สาระจะไม่ให้ความฝันกลายเป็นจริงอีกต่อไป ทองจะบินขึ้นไปหาพระฤษีพรหมนิมิตรแล้วแกล้งยั่วหลอกล่อให้ถอนคำพูดในเรื่องฝันเป็นจริง ให้เป็นฝันเล่นๆหลอกๆ ยกเลิกกันเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พ่อก็จะไม่ถูกโจรปล้น และพ่อก็จะไม่ตายไงล่ะ'


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:12
เมื่อได้รับอนุญาตจากมานพหนุ่มเจ้านกขุนทองก็บินผงาดลิ่วขึ้นไปทันทีจุดหมายคือพรหมโลก มันบินสูงขึ้นไป สูงขึ้นไปทุกขณะด้วยความมานะพยายามแม้จะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงใดก็ไม่ย่อท้อ จะต้องทำงานให้สำเร็จให้ได้ ในที่สุดเจ้าขุนทองก็ทำสำเร็จมาถึงพรหมโลกจนได้แม้จะเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบจะขาด หิวโหยจนแทบไร้เรี่ยวแรง แต่กำลังใจ พลังแห่งความกตัญญู ทำให้มาถึงชั้นพรหมโลกจนได้ จึงรีบมุ่งไปที่สำนักของพรฤษีพรหมนิมิตร แต่ขณะนั้นท่านกำลังเข้าฌานอยู่ จึงเป็นโอกาสที่เจ้าขุนทองได้พักผ่อนให้หายเหนื่อยบ้าง ก็พอดีพระฤษีพรหมนิมิตรออกจากฌาน เจ้าขุน
ทองก็ไม่ปล่อยโอกาสให้เลยไป รีบบินมาเกาะกิ่งไม้ไม่ห่างจากพระฤษีเท่าใดนัก 'สวัสดีจ้าพระคุณเจ้าที่เคารพ'พระฤษีสดุ้งโหยง เพราะอยู่ๆก็มีเสียงเหมือนมนุษย์ดังขึ้นใกล้ๆสงสัยว่ามนุษย์ที่ไหนจะมีความสามรถขึ้นมาบนพรหมโลกได้ จึงส่ยตามองหาเจ้าของเสียง'เอ๊ะ..ไม่เห็นมีใครเลยนี่ แล้วเสียงมันดังมาจากไหนกันหว่า'พระฤษีบ่นพึมพำ เจ้าขุนทองจึงนึกขำในท่าทางของพระฤษีจึงหัวเราะออกมาดังๆ เล่นเอาพระฤษีสดุ้งโหยง มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบ เจ้าขุนทองจึงขยับตัวจากกิ่งไม้กระโดดเข้ามาเกาะกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆพระฤษี'สวัสดีจ้าพระฤษีที่เคารพ ทองขอทำความเคารพท่าน
ด้วยความจริงใจเจ้าข้า'พระฤษีจึงมองเจ้าขุนทองด้วยความสงสัย'เออ..นี่เจ้าทองเจ้ามาที่นี่ เพื่อต้องการอะไรกัน'เจ้าขุนทองแกล้งทำหน้าตาตื่นน้ำเสียงกังวลแล้วพูดว่า'ทองมาจาก โลกมนุษย์น่ะด้วยความซื่อสัตย์และจงรักพักดีต่อพระคุณเจ้า มีเรื่องสำคัญที่จะนำข่าว มาบอกประเดี๋ยวจะสายเกินไป' พระฤษีพรหมนิมิตรฟังเจ้าทองพูดด้วยความงุนงง'เอ..มันเรื่องอะไรกันหว่า มันเกี่ยวกับข้าด้วยหรือวะ'เจ้าขุนทองเห็นท่าทางของพระฤษีก็ยิ้มอยู่ในที'ทองถามพระคุณเจ้าสักหน่อยก่อนว่าความฝันนั้นเป็นจริงหรือไม่'พระฤษีพรหมนิมิตรไม่ทันคิดอะไรก็ตอบว่า

'มันก็จริงน่ะซีวะ ประกาศิตข้อนี้มีมานมนานกาเลแล้วเจ้าถามทำไมหรือ' เจ้าขุนทองแกล้งทำหน้าเซื่องซึม'เฮ้อ..สงสารพระคุณเจ้าเหลือเกินที่ทองพยายามบินขึ้นมาบนพรหมโลกด้วยความเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบจะขาดก็เพื่อที่จะบอกท่านให้รู้ตัวก่อนจะได้หาทางแก้ไขให้ทันต่อเหตุการณ์'พระ
ฤษีจึงพูดว่า'เอ้าเล่ามาเถอะว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร เผื่อว่าข้าแก้ไขได้จะได้รีบแก้ไขให้ทันเหตุการณ์เพื่อไม่ให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่' เจ้าขุนทองได้ทีจึงพูดว่า'นายของทองฝันเมื่อวันก่อนว่าเขาได้เป็นใหญ่เป็นโตมีอำนาจได้ครอบครองทั้งสามโลกเท่านั้นยังไม่พอเขายังรู้ว่าพระฤษีพรหมนิมิตรจะ
ต้องไปเกิดเป็นม้าไว้สำหรับให้เขาขี่อีกด้วยทองจึงเป็นทุกข์ เพราะเรื่องนี้มันไม่สมควร อย่ายิ่ง ทองจึงรีบบินมาส่งข่าวกับท่านเพื่อจะหาทางแก้ไขได้ทันต่อเหตุการณ์และทันต่อเวลาที่ท่านจะกลายเป็นม้า ไปเสียก่อน'
     
      พระฤษีพรหมนิมิตรได้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ จนเจ้าขุนทองเล่าจบจึงโวยวายลั่นว่า'เฮ้ย..ไม่ได้ๆ ข้าจะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้แต่เอ..แล้วจะทำยังไงกันล่ะหว่า..' พระฤษีหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วก็นึกขึ้นมาได้ก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจในความชาญฉลาดของตัวเองประกาศออกไปเสียงดังฟังชัดว่า'เอ้า..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะยกเลิกความฝันที่เป็นความจริง ให้เป็นความฝันที่เหลวไหล ไร้สาระ ความฝันจะไม่เป็นจริงอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเทวดาจะต้องเป็นเช่นนั้นตามคประกาศิตของข้า'
     นับจากนั้นมาความฝันจึงกลายเป็นความฝันที่ไม่จริงตามคำประกาศิตของพระฤษีพรหมนิมิตร เจ้าขุนทองมีความกระหยิ่มยิ้มย่องจึงลากลับมายังโลกมนุษย์กลับมาหามานพหนุ่มผ็มีพระคุณเล่าเรื่องราวให้ฟังโดยละเอียด มานพหนุ่มจึงรอดพ้นความตายได้ เพราะเจ้าขุนทองยอดกตัญญูนั่นเอง และยิ่งเพิ่มความรักเจ้าขุนทองมากขึ้น ทะนุถนอมปรนเปรอด้วยอาอารอย่างดีเป็นการตอบแทนคุณคุณงามความดี เท่านั้นยังไม่พอ ยังซื้อสร้อยคอทองคำมาคล้องคอให้อีกเพื่อเป็นบำเหน็จรางวัลแห่งความดี และเพื่อจะได้ประกาศเกียรติคุณให้ชาวโลกทั้งหลายได้รู้ว่าเจ้านกขุนทองตัวนี้ได้กระทำความดีและมีความซื่อสัตย์กตัญญูรู้คุณเจ้าของ จึงได้รับรางวัลอันล้ำค่านี้
     
       นับตั้งแต่นั้นนกขุนทองทุกตัวจะต้องมีสายสร้อยที่ข้างหู และบริเวณคอของมันที่เป็นสีเหลืองๆนั่นแหละคือสร้อยทองที่มันได้รับรางวัลจากมานพผู้เป็นนายของมันและเมื่อมีลูกหลานเหลน สืบต่อมามันก็จะมีสีเหลืองติดตัวเช่นเดียวกัน
       นับได้ว่าพระฤษีพรหมนิมิตรองค์นี้มีความเก่งกล้าไม่น้อย ทั้งคาถาอาคมและวาจาประกาศิต ท่านมีบารมีมาก และนับว่ามีคุณต่อมวลมนุษย์ไม่น้อย สมควรที่ท่านทั้งหลายจะเคารพบูชาและขอพรจากท่าน บางทีท่านอาจจะัเมตตา แล้วส่งคำประกาศิตมาถึงท่านทำให้ชีวิตของท่านสุขสมบูรณ์ขึ้นมาก็เป็นได้ การเคารพบูชาผู้ควรเคารพบูชามิใช่เรื่องเสียหายมิใช่หรือ..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:13
              
5.พระพรหมฤษีวิสิษฐ์
   เป็นพรหมฤษีที่มีคุณงามความดี เป็นที่หนึ่งของชาวโลกทั้งสามโลก ท่านมีเมตตาธรรมสูง ยากที่จะ
หาผู้ใดเทียบเท่า ทั้งในด้านบารมีก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าใดนัก ทั้งอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์พร้อมทั้ง
หลักวิชาการ ในด้านคาถาอาคมก็เปี่ยมยอดตลอดกาลหากท่านต้องการทำมงคลใดๆ ก็จงอย่าลืม
อัญเชิญท่านเสียล่ะ ไม่ผิดหวังแน่นอน....
   พระฤษีวสิษฐ์ สวมเทริดฤาษีแบบผ้าโพกสีขาวขลิบทอง...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:14
6.พระฤษีตาทิพย์
              
   พระฤษีองค์นี้ ท่านมีญาณเป็นพิเศษสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆได้เสมอ ด้วยกระแสจิตสมาธิอันแน่วแน่ของท่าน ไม่ว่าผู้ใดจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ท่านก็จะรู้จะเห็นได้โดยตลอดเสมอไป ไม่
ว่าจะเป็นในพรหม ในเทวโลก ในโลกมนุษย์ ในเมืองบาดาล ในสวรรค์หรือในนรก ท่านจะเห็นการกระทำของแต่ละบุคคลได้ไม่ยากเลย ท่านจึงได้รับฉายาใหม่จากพระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ ทรงประ
ทานในความเก่งกล้าของท่าน ให้เป็นรางวัลในความดีเด่นว่า พระฤษีจตุทิพยเนตร   รูปร่างหน้าตาของท่านก็คล้ายกับพระอิศวร เพราะมี ๓ ตา เหมือนกัน...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:15
7.พระฤษีอิศวร
                 
               พระองค์เป็นผู้ทรงคุณค่าด้วยพระบารมีอันมากล้นมุ่งแต่ส่งเสริมธรรมะ มุ่งจะทำลายอธรรมให้พินาศ สิ้นมิให้หลงเหลืออยู่อีกเลยด้วยอำนาจและบารมีได้แบ่งภาคลงมาเป็นพระมุนีภพผู้เป็นพระสวามีของพระสตีผู้เป็นธิดาของพระทักษะประชาบดีเมื่อครั้งที่พระทักษะประชาบดีได้ทำพิธียัญญกรรมครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้เชิญบรรดาเขยทั้งหมดให้มาร่วมในพิธีมงคลครั้งนี้ทั้งหมด เว้นแต่พระมุนีภพเท่านั้นทั้งยังประณามและประจานว่าแต่งตัวเป็นคนบ้า นุ่งผ้าบังสกุล ใช้กระดูกและกระโหลกคนเป็นสังวาลย์  หนวดเครา ผมเผ้ารุงรังน่าเกลียดชอบคบหาพวกภูติผีปีศาจ มั่วสุมกันในกลุ่มผีเป็นสมัครพรรคพวกดูแล้วไม่สมเกียรติอันใดแล้วก็ยังจะสร้างความเสื่อมเสียให้ได้รับความอับอายขายหน้าอีกด้วย   

       พระสตีจึงมีความน้อยใจจึงทำลายชีวิตของตนเองด้วยการกระโดดลงไปในกองไฟที่ใช้ในการทำพิธีนั่นเอง พระมุนีภพรู้เรื่องเข้าว่าพระชายาได้สิ้นใจตายไปแล้วด้วยความรักที่มีต่อพระนางจึงมีความโกรธแค้นพ่อตา พระองค์จึงกระทำเทวฤทธิ์แบ่งภาคออกจากพระโอษฐ์เป็น พระวีรภัทร ปางนี้เรียกว่าปางวีรภัทร ไปทำลายล้างพิธียัญญกรรมของพระทักษะประชาบดี ทรงแผลงศรวีรภัทรถูกเหล่าเทวดาล้มตายเป็นจำนวนมากศรีษะของพระทักษะประชาบดีขาดกระเด็น ด้วยความโกรธ พระวีรภัทรจึงโยนเอาศรีษะของพระทักษะประชาบดีเข้ากองไฟ มอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีไป

      ต่อมาภายหลังเหล่าเทวดาเสนาผู้ใหญ่ในสวรรค์ จึงมากราบทูลอ้อนวอนขอลุแก่โทษพระวีรภัทรจึงอภัยให้ กระทำเทวฤทธิ์ให้เทวดาที่ตายนั้นกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างเดิม แล้วตัดเอาหัวแพะต่อให้กับพระทักษะประชาบดีให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป แต่ใบหน้าและเศียรต้องกลายเป็นแพะและพระวีรภัทรก็กลับคืนร่างรวมตัวเข้าเป็นพระมุนีภพ แล้วเดินทางไปยังป่าหิมพานต์ทรงตั้งมั่นในการบำเพ็ญตบะสร้างพระบารมีต่อไปและก็เป็นที่รู้กันว่า

พระฤษีอิศวรพระองค์นี้ก็คือ พระอิศวรหรือพระศิวะ นั่นเอง....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:17


8.พระฤษีพรหมมินทร์
                           
                  ท่านเป็นพระพรหมฤษีที่มีใจเป็นธรรม เป็นพี่ชายแท้ๆของพระฤษีพรหมเมศร์ มิค่อยยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดนัก ท่านเคร่งครัดต่อการปฏิบัติถ้าผู้ใดได้รับความเดือดร้อน มีความต้องการที่จะให้ท่านช่วยก็จง
บอกกล่าวขอพรจากท่า่น บางทีท่านอาจจะเมตตาช่วยเราให้ได้รับความสำเร็จก็อาจเป็นไ้ด้ ท่านมีลักษณะเช่นเดียวกับพระพรหมทั้งหลายทั่วไปคือ มี ๔ หน้า ๘ มือ แต่รู้สึกว่าหน้าของท่านจะแก่กว่า
องค์อื่นๆ หนวดเครายาวรุงรังส่วนผมนั้นมุ่นเป็นชฎาสูงขึ้นไปแบบเดียวกับพวกชฎิล เรียกว่ามวยขมวดกรวดเกล้า พระเมาลี...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:18
9.พระฤษีตาไฟ
              
      พระฤษีองค์นี้ก็มี ๓ ตา อีกเช่นเดียวกัน ท่านมีอำนาจและมหิทธิฤทธิ์มากมายจนกระทั่งไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับท่าน ตาที่ ๓ ของท่านอยู่ที่หน้าผากเช่นเดียวกับพระอิศวรท่านจะหลับสนิทตลอด
เวลา ถ้าหากว่าเผลอเผยอเปลือกตาที่ ๓ นั้นออก ลืมขึ้นมาครั้งใดสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของท่านก็จะต้องมอดไหม้เป็นจุลมหาจุลลงไปในที่สุด ด้วยประกายไฟอันแรงกล้าจากดวงตาที่ ๓ ของท่านแต่ในด้าน
อุปนิสัยใจคอของพระฤษีตาไฟนี้ ท่านมีนิสัยดุมากเสียงดัง แต่ส่วนภายในนั้นสิไม่มีใครจะใจดีเหมือนท่าน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชอบเสริมสร้างในด้านของบารมี พูดกันง่ายๆก็คือ ปากร้ายแต่ใจดี
    หากใครประสงค์จะให้ท่านช่วยเหลืออะไร ก็ควรใช้ดอกไม้ธูปเทียนเคารพบูชาสักการะต่อท่าน แล้วจะบนบานอย่างไร ก็จงตั้งใจบอกกับท่านไปตามตรง สิ่งที่ไม่ผิดวิสัย ไม่เหลือวิสัย ท่านก็จะต้องช่วยเราให้สำเร็จผลได้...
              


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:20


10.พระฤษีไชมินี
              
                   พระฤษีองค์นี้มีความเก่งกล้า รอบรู้ในคุณธรรมได้ทั้งหมด และมักจะนำเอามาแสดงเป็นปุจฉาวิสัชนา เพื่อให้ชาวบ้านชาวเมืองได้มีความรู้ และเพื่อจะนำเอาไปปฏิบัติได้ถูกต้อง และพระฤษีผู้นี้
ยังมีความสามารถนอกเหนือผู้อื่น ที่ไม่มีผู้ใดมีความสามารถทำได้ นั่นคือ ท่านรู้ภาษานกทุกชนิดและพูดคุยส่งภาษาโต้ตอบกับนกได้ทุกชนิดทุกประเภทอีกด้วย..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:22


11.พระฤษีมารกัณเฑยะ
    หรืออีกนามหนึ่งคือ พระมารกัณไฑย พระฤษีองค์นี้เป็นผู้แต่งหนังสือและคัมภีร์ที่มีชื่อว่า มารกัณ
เฑยะปุราณะ ที่เริ่มต้นขึ้นด้วยเรื่องของนกแสนรู้ที่รู้จักผิดชอบชั่วดี และได้แสดงเอาไว้เป็นเรื่องราวพิศ
ดารตามคำวิสัชนาของพระมหาฤษีทั้งหลาย ที่ได้มีการประชุมขึ้นมาแต่ละครั้งก็จะต้องมีการสัมมนา
แสดงธรรมกันเป็นส่วนใหญ่ด้วย นกแสนรู้ก็พากันมาตอบปัญหาธรรมของพระฤษีทั้งหลาย พระมารกัณ
ไฑย เห็นว่ามีประโยชน์มาก จึงได้จดจำ นำเอาบทความของการเจรจานั้นๆมาบันทึกแล้วก็พิจารณา
เรียบเรียงขึ้นมาเป็นเรื่องราว แสดงไว้เป็นคัมภีร์และนิทานอันเป็นหลักโลกอุปโลกน์ ขึ้นมาไว้ให้เป็น
สมบัติของชนรุ่นหลังสืบต่อเนื่องกันมา ได้ดำเนินการแต่งขึ้นเมื่อประมาณ ราวศตวรรษที่ ๑๖๑๗
ของพุทธกาลที่ผ่านมาก็นับว่าพระฤษีองค๋นี้เป็นผู้อนุรักษ์ของเดิมเอาไว้อย่างดีเยี่ยม นับว่ามีคุณอีก
ท่านหนึ่ง...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:23

12.พระฤษีพรหมโลก
              
     คือองค์ประทานที่มีความเคร่งครัดในการปฏิบัติ และมีบารมีสูงแถมยังมีอิทธิฤทธิ์มากมาย เมื่อแรกเริ่มเดืทีท่านได้สร้างบารมีในการบำเพ็ญพรต อยู่ทั่วทุกสถานที่เช่น ในโลกมนุษย์ ในเมืองบาดาล ในขอบเขตดินแดน แห่งจักรวาบโดยทั่วไป เช่น ในป่าหิมพานต์ เขาไกรลาส สัตบงกช หิมวัน
บรรพต เขาพระสุเมรุราช เขาคิชกูฎ และตามป่าดงดิบทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ถ้าหากว่ามีความเงียบสงัดสะดวกสบายในการปฏิบัติบูชาแล้ว ท่านก็มักจะเลือกเอาสถานที่นั้นๆ เป็นสถานที่บำเพ็ญพรตตบะเรื่อยๆไป ไม่ยอมอยู่เป็นที่เปลี่ยนแปลงรูปการณ์และสถานที่ไปตามลำดับ ไม่ผิดอะไรกับ
พระธุดงค์ชอบในทางสันโดษ ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์อันสำคัญ
      และแล้วความสำเร็จก็บังเกิดกับท่านด้วยอานิสงส์แห่งพระบารมีที่ท่านได้พยายามสร้างมาตั้งแต่ต้น จึงบันดาลให้ท่านสำเร็จและหลุดพ้นจากโลกีย์วิสัย จึงได้ขึ้นไปบังเกิดเป็นพระพรหมอยู่ในวิมานทิพย์แห่งพรหมโลก แต่ถึงกระนั้นท่านก็ยังไม่ยอมละเว้นสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์คือ ภูมธรรมอันนี้ ท่านจึงได้สำรวม กาย วาจา และใจ ทำกริยาในการบำเพ็ญต่อไปอีก ก็เพราะว่าท่านได้ทราบและมองเห็นเด่นชัดแล้วว่าไม่มีอะไรอีกแล้วที่ในโลกทั้งสามโลก ที่จะเที่ยงแท้แน่นอน และมีคุณค่าเท่ากับบารมีธรรม....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:25


13.พระฤษีวยาสมุนี
    พระฤษีพระองค์นี้เป็นผู้มีไหวพริบและปฏิภาณ มีมันสมองเป็นเลิศ มีความสามารถยอดเยี่ยมเป็นผู้นิพนธ์คัมภีร์มหาภารตะ ซึ่งเป็นคัมภีร์ในส่วนหนึ่งของพรหมาณตาปุราณะ ซึ่งแปลว่า มหาภารตะ การแต่งนั้นก็ดัดแปลงมาจากรามายณะนั่นเอง แต่ที่ยาวๆของรามายณะก็ตัดให้สั้นเข้าทั้งคัมภีร์จะเป็น
การเล่าเรื่องพระราม และสรรเสริญพระรามตลอด คัมภีร์นี้ก็ดัดแปลงออกเป็น ๗ กัณฑ์เรียกเหมือนกับในรามายณะทั้งหมด ด้วยการย่อเรื่องราวและใจความให้สั้นลง จึงได้นามใหม่ของคัมภีร์นี้ว่า อาธยาตมรามายณะ แต่ก็มิได้เป็นหนังสือหรือคัมภีร์ที่มีความสำคัญเท่าใดนักเพียงแต่ใช้สวดและอ่านกันตามธรรมดาๆ นี่เอง
    แต่ก็ยังนับได้ว่า พระฤษีวยาสมุนี ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีเกียรติประวัติช่วยสร้างสรรค์จรรโลงโลกให้โสภาขึ้นมาอีก...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:28

14.พระฤษีพรหมโลกา
    ท่านผู้นี้ก็เป็นผู้ที่มีอาคมอันแก่กล้าและศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งฤทธิ์เดชและอำนาจมาก โดยการหายตัวและดำดิน(แทรกแผ่นดิน)ได้ เป็นผู้ที่เคร่งในการปฏิบัติอีกท่านหนึ่ง เมื่อแรกเริ่มเดิมที ท่านก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน เป็นพระฤษีธรรมดา ที่เคร่งครัดปฏิบัติ บำเพ็ญธรรมประโยชน์ สร้างตบะบารมีอย่างแน่วแน่ จนกระทั่งค้นพบพระอาคมอันมหาวิเศษ จึงมีอำนาจมากเพียบพร้อมไปด้วยอิทธฤทธิ์และบุญฤทธิ์ ยากที่จะหาผู้ใดเทียบเทียมได้ แล้วในที่สุด เมื่อถึงกาลกิริยาจากโลกมนุษย์แล้ว จึงได้ไปบังเกิดเป็นพระพรหมอยู่บนวิมานพรหมโลก แต่ก็ยังมิได้หยุดหย่อนลงไปแต่เพียงเท่านั้น ท่านยังใช้ความเพียรพยายามเร่งสร้างตบะธรรมอันเป็นบารมีต่อไปอีก หวังว่าจะได้สูงขึ้นไปอีก ในด้านภูมิธรรม ท่านจึงได้รับฉายานามว่า พระฤษีพรหมโลกา...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:33


15.พระฤษีเพชรฉลูกัณฑ์
   ท่านเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีฤทธาศักดานุภาพมาก และมีบารมีสูงส่งเพียบพร้อมไปด้วยเมตตาธรรมเป็นที่รักของมวลมนุษย์ทั่วไป นอกจากนั้นท่านยังมีความสามารถในการร่ายรำและในการแสดงต่างๆ เป็นอย่างดีตลอดจนในด้านดีดสีตีเป่าท่านก็มีความเชี่ยวชาญ มีความดีเด่นเป็นหนึ่งตลอดมามิใช่เพียงแค่
แสดงหากท่านยังได้ประดิษฐ์คิดท่าทางในลีลาของ การร่ายรำและการแสดงต่างๆ ตลอดจนกระทั่งทำนองเพลงในการดีดสีตีเป่าท่านก็คิดขึ้นมาทำเป็นตำราเอาไว้เพื่อที่จะได้ถ่ายทอดไว้ให้พวกเราได้ศึกษา แล้วเก็บเป็นสมบัติติดตัวเพื่อเป็นเครื่องมือ ในการทำมาหากินสืบไป  
     พระฤษีเพชรฉลูกัณฑ์ ท่านมีความสามารถในด้านทางศิลปินมากอีกพระองค์หนึ่ง..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:34


16.พระฤษีประโคนธรรพ
    ท่านนี้เดิมเป็นเพียงคนธรรพ์ เป็นนักดีดพิณฝีมือเอกบนสวรรค์มีความสามารถเป็นที่หนึ่งในนามของปัญจสิขรณ์ นอกจากนั้นท่านยังได้ให้วิชาในทางศิลปินของท่านถ่ายทอดมาให้กับพวกเราเอาไว้ใช้บรรเลงและในการแสดงอีกด้วย ในวงการศิลปินจึงมีความเคารพนับถือกันโดยทั่วไป ทำการกราบไหว้บูชากันเป็นเนืองนิตย์ ในนามของพ่อครู ปัญจสิขรณ์ และก็มีชื่อให้เรียกกันตั้งแต่สมัยนั้นอีกชื่อหนึ่งคือ พระคนธรรพ์ ครั้นต่อๆมาก็มีการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากการเรียกเพี้ยนกันออกไป กลายเป็นพระประโคนธรรพ์ และมาในปัจจุบันนี้ตัวการัน หายไปเลยกลายเป็น พระประโคนธรรพ จนถึงทุกวัน
แต่ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดเข้าใจเถิดว่าจะเป็นชื่ออะไร ผิดเพี้ยนไปอย่างใด แต่ก็เป็นองค์เดียวกันนั่นเอง...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:36


17.พระฤษีปัญญาสด
   พระฤษีองค์นี้เป็นเทพบุตรรูปหล่อที่สุด แต่รักในการบำเพ็ญบารมี มีความสามารถพิเศษในด้านปัญญาและความทรงจำและยังชอบประดิษฐ์เพลง เนื้อเพลง การขับร้อง ต่างๆ ทั้งในทางร้องและทำนองรำได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นกลอนสดหรือกลอนด้น ในสารพัดกระบวนเพลง จึงเป็นที่รู้จักและยกย่องกันโดยทั่วไปสำหรับในวงค์เทพและท่านยังมีหน้าที่พิเศษคือ เมื่อครบ ๗ วัน พระฤษีปัญญาสดจะต้องขึ้นไปเฝ้าพระอิศวรผู้เป็นเจ้าสวรรค์ประดิษฐ์เนื้อร้องทำนองเพลงที่ไพเราะแล้วขับร้องเป็นกลอนสดถวายแด่องค์พระอิศวร   จึงเป็นที่โปรดปรานขององค์พระอิศวร และเทพเทวดานางฟ้าบนสวรรค์ ทั้งอิทธิฤทธิ์และอภินิหารของท่านก็นับว่ายอดเยี่ยม ทั้งยังมีเมตตาธรรมลงมาทำการอบรมสั่งสอนให้ชาวโลกมนุษย์รู้จักร้องรำทำเพลง เป็นการขับกล่อมต่อเนื่องกันมา จึงนับได้ว่าท่านมีพระคุณต่อชาวโลก ที่ทา่นได้สร้างสรรค์ในสิ่งแปลกใหม่ ให้มีเสียงเพลงเข้ามาค้ำจุนโลก ทำให้โลกสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นอีกมาก เราจึงไม่ควรลืมท่าน ควรเคารพกราบไหว้ท่านเสมอๆ จึงจะสมควรกับคุณงามความดีของท่าน....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:38


18.พระฤษีอังคต
   พระฤษีองค์นี้ก็เป็นผู้บำเพ็ญตบะธรรมได้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นอาจารย์ของพาลี กษัตริย์ผู้ครอบครองเมืองกีดกินษ์นคร(เป็นบุตรของพระอินทร์) ในกาลครั้งหนึ่ง หลังจากท้าววิรุฬหกถอดสังวาลย์นาค ฟาดตุ๊กแกสารภูตาย แล้วเขาไกรลาสก็ทรุดเอียง ทศกัณฑ์มาชลอให้ตั้งตรงได้ก็ขอพระอุมาเอาไป
หมายจะได้เป็นชายา แต่พระนารายณ์หาอุบายลงมาขัดจังหวะ จนกระทั่งทศกัณฑ์ต้องนำพระอุมาไปคืน แล้วจึงทูลขอ นางมณโฑ (มณฑก) พระอิศวรก็ประทานให้ทศกัณฑ์จึงอุ้มนางมณโฑเหาะไป ก็บังเอิญพาลีเห็นเข้าก็จึงโกรธ โดยหาว่าพาผู้หญิงเหาะข้ามหัว จึงขว้างพระขรรค์เหาะขึ้นไป
สู้รบกับทศกัณฑ์ แล้วแย่งเอานางมณโฑไปได้ต่อมาทศกัณฑ์ก็ไปหาพระฤษีผู้ที่เป็นอาจารย์ให้ช่วยส่วนพระอาจารย์ก็แนะนำให้ไปหาพระฤษีอังคต ในที่สุดพระฤษีอังคตก็เกลี้ยกล่อมให้พาลีคืนนางมณโฑ แต่ในขณะนั้นนางมณโฑได้ตั้งครรภ์ถึง ๗ เดือน ยังไม่ครบกำหนดคลอด พระฤษีจึงทำพิธีใช้คาถาสะเดาะเอาลูกในท้องของนางมณโฑออก แล้วนำไปฝากไว้ในท้องแพะ แล้วพาลีก็ส่งนางมณโฑคืนให้กับทศกัณฑ์ไป เมื่อครบกำหนดพระฤษีก็แหวะท้องแพะเอาทารกนั้นออกมา มีรูปร่างเป็นลิงเหมือนพ่อกายมีสีเขียวเหมือนพ่อแต่ทว่ามีฤทธิ์มาก พระฤษีจึงตั้งชื่อให้คล้ายกับท่านเองว่า องคตนี่คือประวัติดั้งเดิมของพระฤษีอังคต ท่านมีความเก่งกล้าสามารถมาก


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:39


19.พระฤษีอรรคต
    พระฤษีองค์นี้ได้บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในดินแดนเขตติดต่อกันกับป่าทัณฑก ท่านก็มีอิทธานุภาพ ไม่เกรงกลัวใครเช่นเดียวกัน ชอบสันโดษจึงได้มาบำเพ็ญอยู่ในป่าลึกเช่นนี้ และท่านก็ยังมีหน้าที่ซึ่งพระอิศวรได้มอบหมาย ให้ท่านเป็นผู้เก็บรักษาเกราะทิพย์เอาไว้ จนกระทั่งถึงสมัยของพระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระราม เดินทางผ่านมาทางอาศรมก็ให้พระฤษีนำเอาเกราะทิพย์อันนี้ถวายให้กับองค์พระราม เพื่อจะได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ป้องกันตัวในการปราบปรามยักษ์ตรีบูรัม...
    พระฤษีอรรคต หรือ อังคตะ หรือ อัตคต หรือ อคัต สวมชฎาดอกสีลำโพงสีกรัก...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:40

20.พระฤษีหิมพานต์
   คือ พระหิมวัต พ่อตาของพระอิศวรนั่นเอง พระชายาชื่อ นางเมนา หรือ เมนกา นั่นเอง มีพระธิดาคือ พระคงคาและพระอุมา พระฤษีผู้นี้เป็นผู้มากด้วยพระบารมี มีจิตใจเยือกเย็น มีเมตตาธรรมสูง ไม่ชอบยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น แต่ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลสำหรับผู้ได้รับความเดือดร้อนมีแต่ให้มิใช่ผู้ขอ ท่านบำเพ็ญตบะธรรมชั้นสูงอยู่ในป่าหิมพานต์ แถบเทือกเขาหิมาลัย ถ้าหากคิดจะไปหาเพื่อเป็นการเยี่ยมเยือนและนมัสการท่านก็เชิญได้ที่อาศรมของท่าน วิธีนั้นง่ายมากเพียงแต่่ตั้งจิตให้มั่นแล้วภาวนาคำว่า
   ' พุทโธพุทโธพุทโธ '..ทำจิต ให้สงบ ไม่ช้าท่านก็จะได้พบกับพระฤษีหิมพานต์...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:54

21.พระฤษีทุรวาส
    พระฤษีองค์ก็เป็นอีกองค์หนึ่งที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปต่อกรและรบกวนท่าน ก็เพราะว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์มากมายทั้งคาถาและวาจาประกาศิต ถ้าหากใครดีกับท่านแล้วท่านก็จะส่งเสริมตลอดไปแต่หากท่านลองโกรธผู้ใดแล้วไม่ว่าผู้นั้นจะมีฤทธิ์เดชสักเพียงใด ก็ยังไม่สามารถสู้ฤทธิ์เดชของท่านได้เลยไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือว่าพระิอินทร์ก็จะต้องพากันหน้าแตกไปตามๆกัน เพราะไม่สามารถที่จะป้องกันในฤทธิ์เดชของท่านได้
    อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อท่านได้ออกจากฌานแล้ว ท่านก็เข้าไปในป่าหิมพานต์เพื่อจะหาอาหารและผลไม้ บังเอิญได้พบเทพธิดาที่สวยงามนางหนึ่ง นางได้นำพวงมาลัยที่ร้อยด้วยดอกไม้สดจากสวรรค์นำมาถวายองค์พระฤษีทุรวาส พระฤษีก็รับพวงมาลัยนั้นมาแล้วนางฟ้าก็ลากลับไป
    พระฤษีก็สดชื่นแจ่มใสที่พวงมาลัยดอกไม้สดนั้นส่งกลิ่นหอมอบอวล ไม่มีดอกไม้ในโลกที่จะเปรียบเทียบในกลิ่นหอมของดอกไม้จากสวรรค์นี้ได้  แล้วในที่สุดกลิ่นหอมของดอกไม้นั้นก็เริ่มออกฤทธิ์ทำให้มีอาการคลุ้มคลั่ง เที่ยวร้องเพลงและเต้นรำไปในอากาศอย่างสนุกสนาน  โดยมิได้รู้สึกตน
เองเลยสักนิดเดียว ในขณะที่พระฤษีเต้นๆรำๆ และร้องเพลงเหาะมาในอากาศนั้น ก็บังเอิญพระอินทร์ได้ทรงช้างผ่านมาทางนั้นและก็พบกับพระฤษีพอดี เมื่อพระฤษีขณะคลั่งไคล้ใหลหลงลืมตัวอยู่นั้นเห็นพระอินทร์ก็จำได้  จึงได้ถวายพวงมาลัยดอกไม้สดพวงนั้นให้กับพระอินทร์ พระอินทร์ก็รับด้วยความเต็มใจ แล้วจึงนำเอามาวางไว้บนหัวช้างเอราวัณ เมื่อช้างเอราวัณได้กลิ่นดอกไม้นั้นแล้ว ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งเช่นเดียวกับพระฤษี จึงเอางวงจับพวงมาลัยนั้นมากระทืบๆ จนพวงมาลัยนั้นแหลกไม่มีชิ้นดี
   ฝ่ายพระฤษีทุรวาสเห็นเช่นนั้นแล้วก็โกรธ เข้าใจว่าพระอินทร์ดูถูกและเหยียดหยามจึงได้เอาดอกไม้นั้นไปให้ช้างกระทืบเล่น  ด้วยความโกรธจนตาแดงก่ำ เลยสาปให้พระอินทร์และเทวดาที่ร่วมมาด้วย มิหนำซ้ำยังส่งคำสาปไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ให้พระิอินทร์และเทวดาถอยกำลังมีฤทธิ์น้อย
ลงไป เมื่อใดที่จะต้องมีการสู้รบกับพวกอสูร ทั้งพระอินทร์และเทวดาก็จะต้องพ่ายแพ้กับอสูรย์อย่างยับเยิน ทั้งพระอินทร์และเทวดาก็พากันตกใจอ้อนวอนและขอโทษกับพระฤษี เพราะว่ามิได้มีเจตนาเช่นนั้น เป็นความผิดของช้างต่างหากที่ได้กระทำลงไปเช่นนั้น
    พระฤษีทุรวาสก็ไม่ฟังเสียงโดยอ้างว่า เป็นพระอินทร์ทำไมบังคับช้างไม่ได้  พระฤษีก็ไม่ยอมให้อภัยใดๆทั้งสิ้น ว่าแล้วก็เหาะจากไปจากที่นั้นโดยเร็ว  นับแต่บัดนั้นมาทั้งพระอินทร์และเทวดาจึงไม่มีฤทธิ์เหมือดังแต่ก่อน เมื่อเกิดสงครามกับพวกอสูรทุกครั้ง จะต้องพ่ายแพ้แก่พวกอสูรทุกครั้งไป
ต่อจากนั้นพระนารายณ์จึงคิดแก้ไขให้มีการกวนน้ำอมฤตกันขึ้นมา  เพื่อจะให้พระอินทร์และเทวดาได้ดื่มกัน เพื่อจะได้มีฤทธิ์เหมือนดังเดิม
   ก็นับได้ว่าพระฤษีทุรวาสองค์นี้ก็เป็นหนึ่งที่ควรจะรู้จักท่านเอาไว้.....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 01:58

22.พระฤษีนนทิ
      สำหรับพระองค์นี้ก็เป็นเทวดาที่รูปหล่อ แต่มีความสำคัญในวงการศิลปินเกี่ยวข้องกับการเป็นครูบาอาจารย์ เช่นเดียวกับพระฤษีที่มวลมนุษย์เราได้มีจิตผูกพัน และทำการเคารพกราบไหว้บูชาเพราะถือว่าท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่มีพระคุณกับนักแสดง และนักดนตรีไม่น้อยเลยทีเดียว ก็เพราะวิชาการแสดงและดนตรีไทยนั้นท่านก็ได้ถ่ายทอดหลักวิชาในตำแหน่งหนัาที่ของท่านที่มีความชำนาญ ในด้านการแสดงและร้องรำทำเพลงตลอดจนกระทั่งหน้าทับตะโพน และไม้กลองในเพลงต่างๆที่มีลีลาในทำนองเพลงแต่ละเพลงไม่เหมือนกัน นั่นแหละเป็นวิชาการของท่านทั้งนั้น
สำหรับประวัติที่สำคัญของพระนนทินี้ ท่านเป็นนักตีหน้าหนัง เช่น กลองตะโพน กลองแขก(กลองคู่ หรือ กลองมลายู) และประเภทเครื่องกลองที่ขึงด้วยหนังทั่วๆไปทุกชนิดท่านมีลีลาและฝี มือดีตีเก่งมากทีเดียว รับรองว่าใครๆที่ว่าเก่งก็ยังสู้ท่านไม่ได้ และท่านก็ยังเก่งในเรื่องบทกลอนและทำนองเพลงอีกด้วยตีไปร้องไปในขณะเดียวกันได้อย่างทะมัดทะแมงและแคล่วคล่องว่องไว ด้วยความชำนาญอย่างเห็นได้ชัด

ท่านมีหน้าที่เป็นนักดนตรีประจำพระองค์ขององค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าสวรรค์ ไม่ว่าจะมีงานใดๆ ในสวรรค์ท่านก็จะต้องได้รับเชิญให้ขึ้นไปทำหน้าที่บรรเลง และแสดงทุกครั้งที่ชาวสวรรค์ได้จัดขึ้นมาในทุกๆชั้น ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ชั้นใดๆ ก็จะต้องไปทั้งนั้น กิตติศัพท์และเกียรติคุณของท่านโด่งดังและขจรขจายไปไกลแสนไกลไม่ว่าจะเป็น เทวโลก พรหมโลก หรือโลกมนุษย์ ก็ย่อมจะต้องรู้จักพระนนทิกันได้ดี และยังมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งในขณะที่พระอิศวรเสด็จไปไหนๆ พระนนทิผู้นี้ ก็จะต้องแปลงกายเป็นโคเผือก คือ โคอุศุภราช หรือ อุศุราราย์ ในทุกๆครั้ง เพื่อเป็นพาหนะทรงสำหรับประจำพระองค์ของพระอิศวร
สำหรับนักดนตรีหรือนักแสดง ก็ควารที่จะหมั่นกราบไหว้บูชาและระลึกถึงในฐานะที่ท่านเป็นครูผู้แรกเริ่มถ่ายทอดวิชามาให้พวกเราได้หากินกัน..อีกผู้หนึ่ง....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:00


23.พระฤษีรามเทพมุนี
พระฤษีองค์นี้ก็มีเวทย์มนต์ และอาคมขลังศักดิ์สิทธิ์มากเช่นกัน เมื่อครั้งที่ท้าวทศรถคิดใคร่ทำพิธี
อัศวเมธ(ปล่อยม้าอุปการ บูชายันต์ด้วยม้า) ก็ได้เชิญพระวสิษฐ์มหาฤษีมาเป็นปุโรหิต อำนวยการใน
พิธีครั้งนั้น และก็ยังได้อัญเชิญพระฤษีรามเทพมุนีองค์นี้มาเป็นผู้ช่วยปุโรหิต ในการบวงสรวงขอพระ
โอรสในพิธีครั้งนั้นด้วย แล้วในที่สุด พระนารายณ์จึงอวตารลงมาเป็นพระราม โดยเกิดมาเป็นโอรสของ
ท้าวทศรถในภายหลัง สำเร็จตามความมุ่งมาตรปรารถนาทุกประการ....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:02


24.พระฤษีสิงหล
พระฤษีองค์นี้เป็นเทวดาที่ชอบปฏิบัติธรรมกรรมฐานเป็นที่ตั้ง ด้วยจิตใจที่ปราศจากความยินดี
ทั้งหลายทั้งปวง ในสิ่งที่เป็นสมบัตินอกกาย หวังที่จะเสริมสร้างด้วยความมุ่งมั่นมานะพากเพียรพยายาม
ที่จะทำให้สำเร็จผลสมประสงค์ ท่านบำเพ็ญตบะอยู่ที่ป่าดงดิบแห่งเทือกเขาหิมาลัยไม่สนใจเรื่องภาย
นอก หากใครมุ่งมั่นที่จะสร้างบารมีเดินไปในทางบำเพ็ญสมาธิฌาน ก็บอกกล่าวขอความสำเร็จจากท่าน
แล้วท่านก็จะต้องช่วยส่งเสริมเพิ่มเติมในความสำเร็จให้ทุกรายไป....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:03
25.พระฤษีสุขวัฒน์

เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญตบะอย่างเคร่งครัดอยู่ที่เชิงเขาไกรลาสท่านมุ่งมั่นบำเพ็ญเป็นเนืองนิตย์จนกระทั่งเกิดอภินิหารขึ้นมาบริเวณหน้าอาศรมของท่าน คืออยู่ดีๆก็มีต้นไผ่เกิดขึ้นและงดงามโตเร็ววันเร็วคืน จนกระทั่งมีความสูงเทียมเท่ายอดเขาไกรลาส พระฤษีก็เห็นเป็นสิ่งอัศจรรย์ เพราะว่าไม่
เคยมีเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมาก่อนเลย พระฤษีจึงไม่รอช้าจึงรีบตัดต้นไผ่นั้นแล้วนำขึ้นไปเฝ้าเพื่อถวายพระอิศวรด้วยเห็นว่าเป็นของแปลก
พระอิศวรทรงรับเอาไม้ไผ่นั้นไว้และทรงพอพระทับเป็นยิ่งนัก จึงนำเอาต้นไผ่นั้นมาทำเป็นคันธนู ประดิษฐ์ประดอยทำอย่างสวยงามเมื่อทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงทดลองโก่งคันธนูด้วย กำลังของพระองค์ คันธนูนั้นก็ทานกำลังของพระอิศวรไม่ไหว จึงหักออกเป็นสองท่อนจึงทรงตกพระทัยและมีความเสียดายเป็นอย่างมากจึงหยิบเอาคันธนูท่อนปลายขว้างลงไปยังพื้นแผ่นดินแห่งมนุษย์ในบัดดลนั้นเองปลายธนูที่ตกลงมาถึงพื้นดินก็บังเกิดเป็นลิง ชื่อ นิลเกสรหรือชามพูวราช ขึ้นมาในบัดดลนั้นเอง ต่อจากนั้นพระอิศวรก็ยกต้นคันธนูขว้างลงไปยังแผ่นดินอีกด้วยเดชะแห่่งความศักดิ์สิทธิ์ต้นธนูก็พลันบังเกิดเป็น พญาอสูรชื่อว่า เวรัมภ์
เวลาผ่านไปนานพอสมควร วานรและอสูรทั้งสองที่เกิดขึ้นจากธนูไม้ไผ่ของพระอิิศวรต่างก็ขึ้นเฝ้าพระอิศวรและบังเอิญพบกันโดยมิได้นัดหมาย ต่างก็ดีใจที่ได้พบกันในฐานะที่มีกำเนิดมาจากแหล่งเดียวกัน ทั้งวานรและอสูรก็มีความสัมพันธ์เสมือนหนึ่งว่าเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกัน นานๆมาพบกันจึงดีใจเป็นของธรรมดา
องค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้ทรงทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าว่า ต่อไปวานรกับอสูรจะต้องเกิดการสู้รบกัน แต่แล้วฝ่ายวานรจะต้องเป็นฝ่ายมีชัย เพราะเกิดมาจากคันธนูท่อนปลาย ส่วนอสูรจะต้องพ่ายแพ้ก็เนื่องว่าเกิดจากโคนธนูนั่นเอง ในกาลต่อมาพระนารายณ์อวตารลงไปบังเกิดเป็นพระราม นิลเก
สรหรือชามพูวราช จึงเป็นพลลิงของพระราม ส่วนเวรัมภ์จอมอสูรจึงตกเข้าไปอยู่ในกลุ่มของทศกัณฑ์แห่งเมืองลงกา ในที่สุดก็ทำสงครามกัน ยักษ์แพ้ ลิงชนะ ตรงตามคำพยากรณ์ทุกประการ
ส่วนไม้ไผ่ที่พระฤษีนำเอามาถวายพระอิศวรได้ทำเป็นคันธนูนั้น ต่อมาก็ได้ตั้งชื่อต้นไผ่ชนิดนั้นว่าไผ่ษีสุข หรือ ไผ่ฤษีสุข ด้วยสาเหตุที่พระฤษีสุขวัฒน์เป็นผู้พบและนำมา เลยใช้ชื่อของพระฤษีนั้นเป็นชื่อไม้ไผ่นั้นไปเลย.....
พระฤษีสุขวัฒน์ สวมชฎาดอกลำโพงสีอิฐแดง...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:05


26.พระฤษีปรเมศ
สำหรับชื่อของพระฤษีองค์นี้ก็คล้ายคลึงกับ พระอิศวรและพระพรหม คือ พระอิศวรจะใช้ตัวอักษรว่าปรเมศร์ แต่พระพรหมจะใช้อักษรว่า ปรเมศฎ์แต่องค์ที่จะแนะนำอยู่นี้ไม่มีตัวอะไรการันต์ทั้งนั้น พระฤษีองค์นี้ท่านได้บำเพ็ญตบะบารมีอยู่ที่ภูเขาตรีกูฏ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับท่านท้าววิรุฬหกมหาราช ซึ่งเป็นมหาราชหนึ่งในจำนวนสี่องค์ที่เป็นผู้ดูแลและครอบครองพระนครใหญ่ ทางด้านทิศใต้ของสวรรค์ชั้นที่ ๑
สวมชฎาดอกลำโพงบำเพ็ญพรตอยู่ที่เขาตรีกูฎ....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:07


27.พระฤษีกาศยปมุนี
สำหรับพระฤษีองค์นี้ก็มีอิทธิฤทธิ์และบารมีสูงสามารถสร้างอภินิหารต่างๆได้ คาถาอาคมก็มีมากในเมื่อท่านมุ่งมั่นที่จะกระทำ ไม่ว่าสิ่งใดๆก็จะต้องได้สมกับความต้องการและมักจะสำเร็จผลทุกครั้งไปท่านนี้ก็ได้รับเกียรติจากท่านท้าวทศรถเชิญให้ท่านมาร่วมกระทำ พิธีอัศวเมธในครั้งนั้นด้วยอีกพระองค์
หนึ่ง ในจำนวนกลุ่มพระฤษีที่เก่งกล้าทั้งหมด ได้ผนึกแรงร่วมใจกันจึงบันดาลให้พิธีนี้สำเร็จสมความพระประสงค์ทุกประการ...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:11


28.พระโคดมพรหมฤษี
     ตามประวัติของพระฤษีองค์นี้เมื่อเริ่มแรกเดิมทีเป็นพระมหากษัติรย์ผู้ครอบครองเมืองสาเกตมีนามว่า ท้าวโคดม ได้สละสมบัติออกมาบวชเป็นพระฤษีบำเพ็ยตบะสร้างบารมีอยูในอาศรมกลางป่าท่านผ่านเรื่องร้ายๆมามากมาย มีอยู่ครั้งหนึ่งนกกระจาบสองผัวเมียซึ่งอาศัยทำรังอยู่ที่เคราของพระฤษีได้เกิดการทะเลาะกันนางนกกล่าวหาว่า สามีของตนแอบไปมีเมียใหม่ ฝ่ายนกกระจาบผู้สามีก็ได้กล่าวปฏิเสธพัลวัลแล้วได้เอ่ยปากพูดลามมาถึงพระฤษีโคดมว่า 'ถ้าหากฉันนอกใจเธอจริงๆขอให้บาปของพระฤษีโคดมทั้งหมดจงมาเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียวเถิด' เล่นเอาพระฤษีโคดม ที่กำลังนั่งหลับตาฟังเหตุการณ์อยู่เงียบๆถึงกับสดุ้งโหยง แล้วร้องถามออกไปดังๆว่า 'ฉะ..ชัดฉ้า..มันจะมากไปแล้ว นี่เจ้านกกระจาบตัวน้อยๆเจ้าอาศัยหนวดของข้าทำรังยังไม่พอยังจะมาลบหลู่ดูถูกกันอีกหรือหว่า' นกทั้งคู่เลยเลิกทะเลาะกัน นกตัวผู้คำนับพระฤษี 'หามิได้พระเจ้าข้า มิได้ลบหลู่ดูถูกแต่อย่างไร พูดไปแต่ความเป็นจริงทั้งนั้น' พระฤษีถึงกับเบิกตากว้างด้วยความสงสัย 'แล้วทำไมถึงว่าข้ามีบาปก็ข้าบำเพ็ญตบะมาตลอดและมิหนำซ้ำพวกเจ้ายังมาทำรังอยู่ในหนวดของข้า ก็ไม่ได้เสียค่าเช่า ยังจะหาว่าข้ามีบาปอีกหรือ' นกกระจาบจึงพูดต่อว่า'ก็ทำไมท่านจะไม่บาปล่ะเพราะท่านเป็นถึงพระราชาไม่มีปัญญาที่จะมีโอรสหรือธิดา สืบราชสมบัติต่อไปได้ ในการที่ท่านมาบวชเป็นพระฤษีอยู่ในป่าเช่นนี้ก็เป็นการเห็นแก่ตัวชัดๆที่ทำให้ต้องขาดวงค์ของกษัตริย์ ที่จะต้องปกครองบ้านเมืองสืบต่อไป นี่แหละคือสิ่งที่เป็นบาปและก็เป็นบาปหนักด้วย' เมื่อพระฤษีได้ฟังเช่นนั้น ก็นิ่งพิจารณาดูแล้วก็เห็นเป็นจริงตามคำที่นกกระจาบกล่าวหา

      จึงทำให้เบื่อจากการเป็นพระฤษี หวังจะสึกออกไปครอบครองบ้านเมืองเหมือนอย่างเดิมแต่ครั้นจะย้อนกลับไปที่เมือง ก็ยังมีความละอายใจตนเอง จึงจัดตั้งพิธีบริกรรมหน้ากองไฟ จนกระทั่งได้บังเกิดนางงามขึ้นมานางหนึ่ง พระฤษีก็ดีใจตั้งชื่อให้นางนั้นว่า'นางกาลอัจนา' พระฤษีก็อยู่กับนางกาลอัจนาอย่างมีความสุขภายในอาศรมในป่านั่นเอง และต่อมานางได้ตั้ง
ครรภ์และคลอดออกมาเป็นผู้หญิงชื่อว่า นางสวาหะ นี่คือประวัติย่อๆของพระฤษีโคดม และท่านก็ได้ผ่านเรื่องร้ายๆมามากมายจนกระทั่งต้องเพิ่มตบะ
สร้างบารมีสูงสุดจึงได้บังเกิดเปฯ พระโคดมพรหมฤษี ตามความต้องการ พระฤษีองค์นี้ท่านก็มีความศักดิ์สิทธิ์และสามารถสาปผู้ใดให้เป็นอะไรก็ได้ตามปากประกาศิตของท่าน


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:16


29.พระฤษีพรหมจักร
        สำหรับพระฤษีองค์นี้ก็เป็พระฤษีในชั้นพรหมอีกท่านหนึ่งที่มีทั้งฤทธิ์เดชาและศักดานุภาพมากมาย ทั้งอิทธิฤทธิ์และบารมีเวทย์มนต์คาถามหาวิเศษเก่งกล้าเป็นที่ยอมรับนับถือของชาวโลกทั้งหลาย จึงได้ชื่อว่าเป็นพระฤษีที่ยิ่งใหญ่ อีกพระองค์หนึ่ง ท่านมีความเมตตาธรรมสำหรับปวงชนทั่วไป
ไม่ชอบกลั่นแกล้งรบกวน รังแกซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ท่านมีสัจจะเป็นที่ตั้ง คอยค้ำจุนโลกให้มีความร่มเย็นเป็นสุข
        ดังนั้นพวกเราทั้งหลายก็ไม่ควรที่จะมองข้ามท่าน ควรที่จะกราบไหว้บูชากันให้ทั่วถึงด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นขอประทานพรและบารมีจากท่าน แล้วความสุขความเจริญก็จะบังเกิดกับผู้บูชาอย่างแน่นอน..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:21
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-13 02:23



30.พระฤษีสิงขรณ์
พระฤษีองค์นี้ท่านหนักในการบำเพ็ญตบะบารมีเป็นอย่างมาก ท่านไม่ค่อยวุ่นวายกับผู้ใดนักสำหรับอาศรมที่อยู่อาศัยนั้นอยู่ในป่าทึบ ไม่ค่อยมีเทวดาหรือมนุษย์เข้าไปรบกวน ท่านมุ่งมั่นไปในทางบารมีธรรมคิดหวังตั้งใจว่าจะต้องให้สำเร็จ เพื่อที่จะได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ชั้นพรหมให้ได้ ในด้านจิตใจท่าน
ใจดีมากใครขออะไรก็ได้ คาถาอาคมของท่านก็ขลังและศักดิ์สิทธิ์มาก หากท่านผู้อ่านจะลองขออะไรจากท่านก็ลองดูนะคะ เพราะพระฤษีที่ใจดีนั้น บางทีเราขออะไรก็มักจะได้ โดยเราเองก็คาดไม่ถึงทุกอย่างในโลก มักจะมีอะไรที่คาดไม่ถึงเสมอๆ


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:29


31.พระฤษีประไลยโกฏิ
         
               พระฤษีพระองค์นี้บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในป่า เพื่อหวังสำเร็จฌานบารมีแล้วจะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ ตั้งใจปฏบัติกรรมฐานบำเพ็ญพรตด้วยความมานะพยายาม มุ่งมั่นในนิพพานอย่างเดียวด้วยในระหว่างนั้นมวลมนุษย์ทั้งหลายกำลังเดือดร้อน และกังวลเรื่องอาหารการกินมนุษย์ทุกคนต้องดิ้นรน  แสวงหาสิ่งของเพื่อประทังความหิวโหยแต่ก็รู้สึกว่าจะหายากเหลือเกินแม้แต่องค์พระฤษีประไลยโกฏิเองก็เถอะ ท่านก็ยังมิวายกังวลห่วงใยประชาชนเหล่านั้นเช่นเดียวกัน มองหาช่องทางใดก็ไม่มีความสามารถช่วยได้ จึงต้องนิ่งบำเพ็ญพรตต่อไป
               ด้วยอภินิหารและบุญญาธิการของท่านจึงปรากฏเหตุการณ์มศจรรย์ขึ้นมา พายุใหญ่พัดกระหน่ำรุนแรงต้นไม้ใหญ่น้อยหักระเนระนาดต่อจากนั้นฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักทำให้น้ำท่วมขังรอบๆ อาศรมของพระฤษี แล้วทั้งพายุและฝนก็สงบลงไปในที่สุด  เหตุการณ์อภินิหารในครั้งนี้ก็มีเมล็ดข้าวสาลีปลิวมากับพายุฝนนั้นตกลงมาแถวบริเวณหน้าอาศรม
               ตั้งแต่เชิงบันไดไปจนถึงสระน้ำเมล็ดข้าวสาลีฝังอยู่ในดินที่มีน้ำท่วมอยู่นั้นก็เริ่มกระเทาะเปลือกแตก  ออกมาเป็นต้นงอกงามเขียวชอุ่มไปทั่วบริเวณ มองดูสวยงามยิ่งนัก พระฤษีประไลยโกฏิก็มีความปลื้ม  ปิติยิ่งนักจึงเฝ้าดูต้นไม้ที่ยังไม่รู้ว่าเป็นต้นอะไรเหล่านั้น    จนกระทั่งต้นข้าวแตกรวง และสุกเหลืองอร่ามในเวลาต่อมา ทั้งยังส่งกลิ่นหอม พระฤษีก็มีความ         ยินดีรำพึงกับตนเองว่า'มันเป็นผลอะไรกันหว่า ช่างมีกลิ่นหอมยวนใจเหลือเกินไม่รู้ว่ามนุษย์จะกินได้หรือเปล่า เราจะต้องคอยดูว่าจะมีนกกาหรือสัตว์อื่นใดมากินหรือไม่ ถ้านกกากินได้มนุษย์ก็กินได้เมื่อนั้นมนุษย์ก็จะมีอาหารการกินเพิ่มขึ้น' แล้วพระฤษีก็เฝ้าดูอยู่เงียบๆ
               ต่อมาอีกไม่นานก็มีนกกระจาบตัวน้อยๆ ไม่รู้ว่าบินมาจากไหนได้ลงมาจิกกินเมล็ดข้าวสาลีจนอิ่มและก่อนบินกลับมันยังคาบเอารวงข้าวสาลีกลับไปด้วย แล้วอีกไม่นาน ก็มีนกกระจาบฝูงใหญ่พากันบินลงมาที่ต้นข้าวสาลีต่างพากันจิกกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่งเสียงร้องดังเจี๊ยวจ๊าวจ้อกแจ้กจอแจ ฟังไม่ได้สรรพ เมื่อพวกมันกินอิ่มแล้ว ก่อนกลับทุกตัวยังคาบเอารวงข้าวสาลีกลับไปด้วย  พระฤษีเห็นเช่นนั้นก็ดีใจ คิดในใจว่า ต่อไปนี้มวลมนุษย์จะไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องอาหารการกินอีกแล้วเพราะจะมีอาหารเพิ่มขึ้น รอจนกองทัพนกกระจาบไปหมดแล้ว พระฤษีก็ลงจากอาศรมเก็บรวบรวมเอารวงข้าวสาลีขึ้นมาไว้ในอาศรม เพื่อจะได้ขยายพันธุ์ต่อไปให้ได้มากๆ จะได้พอเพียงกับความต้องการของมนุษย์ ในปีต่อมาพอถึงฤดูกาลที่ฝนตกลงมา พระฤษีท่านก็ไถนาแล้วเอาเมล็ดข้าวสาลีหว่านไปทั่วพื้นดิน พอออกรวงก็เก็บเอามาไว้เป็นพันธุ์ ท่านทำอย่างนี้ทุกปีจนพันธุ์ข้าวสาลีมากขึ้นพอกับความต้องการก็นับได้ว่าพระฤษีประไลยโกฏิท่านมีบุญคุณกับมวลมนุษย์อย่างมากมายในด้านของโภชนาการ
               หากท่านไม่สนใจหรือถือว่าธุระไม่ใช่ไม่เก็บพันธุ์ข้าวสาลีเอาไว้ ป่านนี้ก็อาจจะสูญพันธุ์ไปแล้วก็ได้เพราะนกกระจาบฝูงใหญ่และความอบคอบของพระฤษีกับความปรารถนาดีของท่านจึงทำให้มนุษย์มีข้าวสาลีเป็นอาหารมาจนทุกวันนี้ นี่แหละคือฝีมือของพระฤษีทำนาองค์นี้แหละ ควรที่พวกเราจะต้อง


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:30
32.พระฤษีชนกจักรวรรดิ
              
            พระฤษีองค์นี้เป็นกษัตริย์แห่งนครมิถิลา ก็คือ ท้าวชนก นั่นเอง ได้สละสมบัติออกมาบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าวันหนึ่งเมื่อพระฤษีออกจากฌานแล้วก็ลงไปสรงน้ำในแม่น้ำ เห็นดอกบัวใหญ่ลอยน้ำมาพระฤษีก็มีความสงสัยว่าดอกบัวอะไร ทำไมถุงใหญ่เช่นนั้น ด้วยไม่เคยมีและไม่เคยเห็นมาก่อนเลย จึงได้เก็บดอกบัวนั้นขึ้นมาจากน้ำ ก็เห็นผลบแก้วอยู่ในดอกบัว พระฤษีก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น จึงเข้าฌานดูก็รู้ว่าในผอบนั้นมีเด็กหญิงที่มากด้วยบุญญาบารมีอยู่ในนั้น
            เมื่อพระฤษีรู้เช่นนั้นแล้วก็เปิดผอบแก้วนั้นออก แล้วจึงอฐิษฐานจิตให้นิ้วของท่านมีน้ำนมไหลออกมา เพื่อจะได้ให้พระธิดาดื่มกิน เลี้ยงมาจนกระทั่งเห็นสมควรแล้วจึงนำเอาพระธิดานั้นไป ฝากให้พระธรณีเลี้ยงเอาไว้ ครั้นต่อมาเมื่อพระฤษีเบื่อจากการบำเพ็ญคิดจะกลับพระนครก็ชักชวนบริวารของท่าน ไปขุดผอบแก้วที่ฝังเอาไว้ แต่ถึงแม้จะใช้ความพยายามขุดกันสักเท่าใด ก็หาได้พบผอบแก้วนั้นไม่ เล่นเอาพระฤษีถึงกับเหงื่อหยดจึงต้องทำพิธีบวงสรวงขอจากเทพธิดาและพระธรณีแล้วให้คนสนิทเข้าไปในนครมิถิลา แล้วนำเอาคันไถ ออกมาทำการไถนาหาผอบแก้วต่อไป นี่แหละเป็นที่มาของคำว่าพระฤษีไถนา
           ในที่สุดก็ได้ผอบแก้วขึ้นมาจากใต้ดินตามความต้องการ พระฤษีจึงประทานนามให้ว่า สีดา แปลว่าได้ขึ้นมาจากรอยไถ แล้วพระฤษีก็ลาเพศจากฤษีกลับเข้าไปครองนครมิถิลาเหมือนอย่างเดิม ในนามของท้าวชนก และสถาปนาสีดานั้น ให้เป็นราชบุตรตรีบุญธรรม แล้วจึงเลี้ยงดูอย่างเป็นสุขตลอดไป......


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:34


33.พระฤษีนาวัน
   เป็นพระฤษีที่มีเมตตาธรรม บำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในป่าแห่งภูเขาดงพญาไฟ ที่เต็มไปด้วยไข้ป่าและอันตรายนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่า ก็ล้วนแล้วแต่ดุร้ายทั้งสิ้นทั้งเสือ สิงห์ กระทิง แรด และอสรพิษต่างๆ ก็มีอยู่มากมาย นอกจากนั้นก็ยังมี ผีโป่ง ผีป่า ผีกระสือ
ผีกระหัง ผีกองกอย ผีปอบ มีทั้งยาเบื่อยาสั่งสารพัดที่ล้วนแต่อันตราย แต่พระฤษีนาวันท่านก็มิได้เกรงกลัวแต่อย่างใด คงนั่งหลับตาภาวนาอยู่ในอาศรมเท่านั้น หากไม่จำเป็นก็จะไม่ออกไปไหน นอกจากจะออกไปหาน้ำและผลไม้เอามาเป็นเสบียงไว้ฉันท์เท่านั้น ท่านมองเห็นว่าอันชื่อดงพญาไฟนั้นไม่เหมาะท่านจึงปรึกษาหารือกันหลายฝ่ายได้ผลสรุปให้เปลี่ยนมาเป็น ภูเขาดงพญาเย็น มาจนถึงทุกวันนี้...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:38


34.พระมหาเทพฤษีเทวราตมุนี
ในประวัติของเทพฤษีองค์นี้ก็มีอยู่ว่า ท่านเป็นต้นตระกูลของนครมิถิลา ด้วยเมื่อครั้งหนึ่งเหล่าเทวดาทั้งหลายต่างก็มีความสงสัยกันว่า ในระหว่างพระอิศวรและพระนารายณ์ใครจะเก่งกว่ากัน จึงขอร้องให้ทั้งสองพระองค์มาประลองฤทธิ์กัน พระอิศวรทรงแผลงศรอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ออกไป แต่ก็ทำอะไรพระนารายณ์ไม่ได้ เพียงแต่พระนารายณ์ตวาดคำเดียวเท่านั้น ลูกศรนั้นก็อ่อนปวกเปียกลงไป เหล่าเทวดาจึงยกให้พระนารายณ์เป็นผู้ที่เก่งกล้า ในที่สุดพระอิศวรก็ทรงน้อยพระทัย และทรงกริ้วธนูและลูก
ศรอันนั้นจึงทรงประทานให้กับพระมหาเทพฤษีเทวราตมุนีตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จึงตกทอดลงมาถึงท้าวชนกมาในสมัยพระรามโก่งศรจนกระทั่งศรหัก แล้วได้นางสีดาไปเป็นชายา ส่วนศรของพระนารายณ์นั้นได้ตกอยู่กับพระฤษีฤจิก แล้วมอบให้พระฤษีชมทัศนี จนกระทั่งตกมาเป็นสมบัติของปรศุราม..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:41


35.พระฤษีคิชฌกูฎ
  ท่านผู้นี้ก็เป็นเทพฤษีที่มีบารมีมากมาย ได้บำเพ็ญตบะธรรมอยู่ในป่าลึกใกล้กับป่าหิมพานต์ อาศรมของท่านอยู่บนภูเขาที่เรียกว่า เขาคิชฌกูฎ ท่านมีนิสัยดุเสียงดัง ถ้าหากว่าไม่สบอารมณ์ หรือว่าโมโหมากๆ นัยตาท่านจะแดงก่ำราวกับเลือดทีเดียว แต่เดิมทีพระฤษีคิชฌกูฎนี้ มิใช่มนุษย์และมิใช่เทวดาเป็นแต่เพียงพวกแทตย์ หรือทานพ ผู้ซึ่งมีร่างกายเป็นเทวดา แต่หน้าตานั้นดุปานยักษ์ ซึ่งก็เป็นเชื้อสายของพระกัศยปะเทพบิดรเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะดุราวกับยักษ์มาร แต่ภายในจิตใจของท่านดีเอามากๆทีเดียวใครจะบนบานศาลกล่าวในด้านการเจ็บป่วย ท่านก็มักจะรับบนท่านจะช่วยเสมอไป เพราะว่าท่านเป็นหมอยาเก่งในทางสมุนไพรและคาถาอาคมมากมายยากที่จะหาผู้ใดมาเทียบได้หากท่านต้องการให้ท่านช่วยรักษาโรคก็จงตั้งจิตอฐิษฐานบนบานกับท่าน ขอให้ท่านช่วยรักษาโรคร้ายให้กับเรา แต่เมื่อรักษาหายแล้วก็อย่าลืมแก้บน เพราะมีอยู่ไม่น้อย ที่ตอนบนก็บนได้แต่ตอนจะแก้ก็ลืมเสียงั้นแหละ รู้จักคำว่าติดสินบนไหม ใครที่ติดสินบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักจะเกิดเรื่องไม่ดีเสมอและบางรายที่ไปเจอเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เฮี้ยนๆ ก็อาจถึงกับชีวิตได้ ไม่เชื่อก็จงอย่าลบหลู่


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:50

36.พระฤษีไพรวัน
  ตามประวัติของพระฤษีไพรวันนี้ ท่านใจดีมาก มีเมตตาสูง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ หากเดือดร้อนหรือได้รับความทุกข์ ท่าจะต้องช่วยเหลือทั้งหมดอย่างเสมอภาค โดยมิได้คิดรังเกียจหรือเดียดฉันท์แต่ประการใด ปกติท่านจะจำศีลภาวนาบำเพ็ญตบะ สร้างบารมีอยู่ที่ป่าหิมพานต์โดยตลอดไป ด้วยจิตมุ่งมั่นเคร่งต่อการปฏิบัติ ไม่ตึงไม่หย่อน ชอบสันโดษอยู่แต่ในอาศรมเพียงองค์เดียว..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 02:54

37.พระฤษีบรมครูพระพิลาภ(พระฤษีวิราธ)
                           
               ณ.ภูเขายอดทองที่มีนามว่า เหมกฏบรรพต ยังมีองค์เทพผู้ยิ่งใหญ่กว่าใครๆในไตรโลกพระองค์ท่านมีพระบารมีมาก และยังเป็นผู้ที่ทรงศีลที่มั่นคงในการบำเพ็ญท่านมีนิสัยรักและห่วงใยมวลมนุษย์เป็นอย่างมาก ชอบช่วยเหลือทุกผู้ทุกนามที่เฝ้าขอพรท่าน แล้วก็จะต้องสำเร็จผลเกือบจะทุกรายแต่ขอให้ผู้ขอนั้นเป็นคนดีที่มีศีลธรรมอยู่ประจำสันดาน มีสัจวาจา มั่นคงท่านก็จะช่วยเหลือเสมอ ตรงข้ามกับคนที่ชอบกระทำความผิดคิดชั่วไม่มีศีลธรรมไม่มีสัจจะ ไม่ละอบายมุข ท่านก็จะ ลงโทษให้ถึงกับย่ำแย่สำหรับรูปกายของท่านผิวเนื้อสีขาว นุ่งห่มผ้าโขมพัสตร์มีลูกประคำสร้อยนวมคอ ถือไม้เท้าคดๆงอๆ เกล้าผมมวยแบบพรามณ์ที่เราท่านทั้งหลายได้เคยเห็นมีหนวดและเคราสีขาวยาวเฟื้อยรุงรังราวกับรังนกกระจาบแต่ว่ามีนิสัยจิตใจดีมากยาก ที่จะหาองค์ใดมาเปรียบเทียบ ในกาลครั้งหนึ่งพระองค์ก็ได้มองเห็นว่าได้มียักษ์อันธพาลเกิดขึ้นมาเที่ยวเบียดเบียนทั้งสามโลกให้ได้รับความเดื่อด ร้อนวุ่นวายและในไม่ช้าองค์พระนารายณ์ก็จะต้องอวตารลงไปปราบจึงคิดหาทางช่วยพระนารายณ์จึงทรงอวตาลลงไป ก่อนแต่พักอยู่เพียงแค่สวรรค์ชั้นที่หนึ่งเท่านั้น(ชั้นจาตุมหาราชิกา)ในเขตของท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวัน ใช้ชื่อว่า พระฤษีวิราธ ได้บำเพ็ญตบะด้วยความมุ่งมั่นสร้างบารมีให้สูงขึ้น
               จนกระทั่งในที่สุดก็มีความสามารถแก่กล้า องค์พระพรหมาจึงเสด็จลงมาประทานพระพรให้อยู่ยงคงกระพันมิให้ต้องตายด้วยอาวุธทั้งหลายทั้งปวงแล้วต่อจากนั้นท่านก็ได้มุ่งมั่นบำเพ็ญติดต่อกันไปอย่างไม่มีสิ้นสุด ในขณะนั้นก็ยังมีนางรัมภาผูเป็นบาทบริจาริกาของท่านท้าวเวสสุวันได้เข้ามาเก็บดอกไม้ผลไม้และเที่ยวไปในป่า ก็ บังเอิญมาพบกับพระฤษีวิราธด้วยไฟราคะอันร้อนเร่าจึงเกิดเป็น ความรักและความต้องการขึ้นมาทั้งสองฝ่ายในทันทีทันใดนั้นเอง(พระฤษีสมัยก่อนนั้นยังสามารถมีภรรยาได้)ทั้งพระฤษีวิราธและนางรัมภาได้ประพฤติผิดในกาม จึงได้ร่วมรักร่วมสังวาสกันด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่ายและยังได้เป็นชู้กันเรื่อยมาอีกเป็นเวลานานแ่ต่ว่าช้างตายทั้งตัวจะเอาใบบัวไปปิดมัน จะมิดได้อย่างไรกันจึงได้ล่วงรู้ไปถึงท้าวเวสสุวันเข้าจนได้เนื่องจากในขบวนการพวกนางที่ได้เป็นข้าบาทบริจารืกาด้วยกันนำเอาเรื่องนี้ไปกราบทูลให้ท่านท้าวเวสสุวันไดทรงทราบจึงทรงพิโรธอย่างสุดที่ยับยั้งเอาไว้ได้ จึงเรียกตัวนางรัมภาเข้ามาสอบสวนทวนพยานค้นหาหลักฐานจนต้อง  สารภาพอย่างสิ้นเชิงตามความเป็นจริงทุกอย่างและลงโทษนางในสถานหนักแล้วยังสาปให้พระวิราธต้องกลายเป็นรากษส(ยักษ์)ที่มีความดุร้ายอยู่ภายในป่าทัณฑก เที่ยวอาละวาดจับ สัตว์กินเป็นอาหารจนกว่าจะพบกับองค์นารายณ์อวตาลลงมาเป็นพระรามแล้วให้พระรามฆ่าตายด้วยน้ำมือจึงจะหมดสิ้น เคราะห์กรรมและคำสาปจึงจะได้กลับขึ้นไปอยู่บนสวรรค์เหมือนเดิมอีก พระฤษีวิราธจึงต้องลงมาอยู่ในชั้นดิน มีชื่อว่า ยักษ์พิลาภสำหรับพ่อครูพิลาภหรือพระฤษีพิลาภ(วิราธ)ผู้นี้ ยังได้เป็นพ่อครูใหญ่ที่สุดในวงการศิลปินของไทย ทุกๆประเภท เช่น ครูโขน ครูละครครูลิเก ครูเพลงทรงเรื่อง ครูปี่พาทย์มโหรี ครูแตร ครูอังกะลุงครูหุ่นกระบอก ครูละครเล็กแม้แต่กระทั่งครูตะตั้ว ครูกลองยาวก็จะต้องเป็นศิษย์ของพ่อครูพิลาภทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นงานอะไรของสายศิลปินไทย
               จริงๆแล้วไม่มีใครกล้าที่จะลืมอัญเชิญท่านให้มาเป็นประธานทุกครั้งไปหลังจากที่ท้าวเวสสุวันได้สาปให้เป็นยักษ์ที่ดุร้ายท่านก็รอคอยอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาแสนนาน จนกระทั่งองค์พระนารายณ์อวตารมาเป็นพระรามเดินทางเข้ามาในป่าทัณฑกนั้นพญายักษ์พิลาภก็หมายที่จะจับกินเป็นอาหาร จึงได้เกิดการต่อ สู้กันขึ้นแต่ทำอย่างไรพระรามก็ไม่สามารถที่จะฆ่าให้ตายได้ในที่สุดก็ได้หยุดพักไถ่ถาประวัติกันขึ้น แต่ยักษ์พิลาภก็ยังปิดบังไม่ยอมเล่าความจริงให้พระรามฟัง ก็เพราะรู้ว่าเป็นพระรามแต่ก็ยังแอบซ่อนความดีใจเอาไว้อีกด้วย บอกเพียงแต่ว่าท้าวเวสสุวันท่านได้สาปไว้และที่ฆ่าไม่ตายก็เพราะพระพรหมท่านทรงประทานพรไว้จนกว่าจะพบกับพระรามแล้วยอมให้ พระรามฆ่าให้ตายด้วยน้ำมือนั่นแหละจึงจะตายได้สมใจ แล้วได้กลับไปอยู่บนสวรรค์เหมือนเดิมว่าแล้วก็ชี้ทางให้พระรามที่จะเดินทางไปยังกรุงลงกาเพื่อที่จะตามหานางสีดาให้พบแล้วต่อจากนั้นก็ให้พระรามและพระลักษณ์ช่วยกันขุดหลุมให้ลึกแล้วให้ตนเองลงไปในหลุมและให้ฝังตนให้ตายทั้งเป็นจึงได้ตายสมความปรารถนา ในยุคของพระรามนั่นเอง ก็เป็นอันว่าพ่อครูพิลาภได้กลับขึ้นไปเสวยสุขอยู่บนวิมานสวรรค์ตามเดิมแต่ทว่าท่านก็มิได้ทอดทิ้งลูกศิษย์ของท่านที่อยู่ในเมืองมนุษย์กันอีกจำนวนมาก ท่านคอยสอดส่องดูแลช่วยเหลือคุ้มกันปกปักรักษา ได้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่อดไม่อยากก็เพราะบารมีของท่าน พ่อครูพิลาภ หรือ พระฤษีพิลาภนั่นเองโดยเฉพาะในการจัดงานไหว้ครูของศิลปินก็จะต้องอัญเชิญเศียรพ่อ    ครูพิลาภองค์นี้ขึ้นตั้งปูด้วยผ้าขาวเป็นอันดับแรกของบรรดากระบวนเศียรพระฤษีทุกๆพระองค์(ทั้งภาคยักษ์และภาคพระฤษี)...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:07


38.พระฤษีโกมุท
   พระฤษีองค์นี้ท่านมีกำเนิดมาจากเกสรของดอกบัว ที่ผุดขึ้นจากแม่น้ำคงคามหานที ท่านมีบุญญาธิ การอันสูงส่ง ทั้งอิทธิฤทธิ์และบารมีก็ไม่ต้องห่วง ท่านเก่งกาจสามารถมากทั้งคาถาอาคมและเวทมนตร์อันขลังที่มีความศักดิ์สิทธิ์ก็มีมาก ใครๆก็มักจะเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนกับพระฤษีองค์นี้กันทั้งนั้นท่านอยู่ที่ในป่าหิมพานต์ นั่งหลับตาภาวนาอยู่ในอาศรมทั้งวัน ท่านผู้อ่านอยากไปพบกับท่านไหมคะ..
    การเดินทางไปหาพระฤษีทุกๆพระองค์ที่ในป่าหิมพานต์ ก็จะต้องอาศัยพาหนะพิเศษเพียง 2 ขบวนเท่านั้น คือขาไปหนึ่งขบวน ขากลับอีกหนึ่งขบวน เวลาที่เหมาะแก่การเดินทางคือกลางคืนดึกสงัดเงียบสนิท เมื่อตั้งจิตดีแล้วก็กำหนดลมหายใจเข้าออกช้าๆและลึกๆ พาหนะ 2 ขบวน นั้นก็คือ พุท
โธ นั่นเอง   ลมหายใจเข้า พุท ลมหายใจออก โธ ฝึกบ่อยๆเป็นประจำแล้วท่ายจะพบว่าการไปเที่ยวป่าหิมพานต์เพื่อพบกับพระฤษีนั้นไม่ยากอย่างที่คิด.....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:08

39.พระฤษีสัตบงกฎ
   นี่ก็เป็นพระฤษีอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้ปฎิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่ในอาศรมชายป่าหิมพานต์ ด้านเชิงเขาสัตบงกฏ ท่านผู้นี้ได้สำเร็จและเป็นผู้วิเศษที่สามารถเข้าฌานและอดอาหารได้ครั้งละเป็นสิบๆปี คงหลับตาภาวนาอยู่อย่างนั้นตลอดไป จนกระทั่งหนวดถึงเข่า เคราถึงนม ผมถึงตีน มองดูแล้วทั้งผมและหนวดเครารกรุงรังราวกับคนบ้า หากใครพบกับท่านก็ต้องเข้าใจอย่างนั้น แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นใคร และภายในของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านมีบารมีมากคาถาอาคมเวทมนตร์ขลัง ทั้งความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ก็เป็นหนึ่งในขบวนการพระฤษีอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์ตลอดจนกระทั่งการกระทำ และคำสาปที่เป็นมหาอำนาจอันลึกลับและก็บังเกิดผลที่เกินคาดและคุ้มค่ามากมาย    ในบรรดาผู้ที่ได้รู้จักกับพระฤษีองค์นี้ก็มักจะเรียกกันติดปากว่า พระฤษีสัตบงกฏก็เนื่องจากท่านบำเพ็ญตบะอยู่ที่ภูเขาสัตบงกฏ ก็เลยนำเอาชื่อภูเขามาตั้งให้เป็นชื่อของท่าน...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:15


40.พระพรหมฤษีอคัสตยะ
              
                  ในกาลครั้งหนึ่งสมัยเมื่อไตรดายุค พระฤษีอคัสตยะ ได้บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ป่านี้มีความ
               กว้างยาวถึง ๑๐๐ โยชน์ แต่ก็เป็นที่แปลกประหลาดที่หามนุษย์และสัตว์ในป่านี้มิได้เลย เป็นป่าที่ปราศ
               จากสิ่งมีชีวิต วันหนึ่งพระฤษีได้เที่ยวไปในป่า พบกุฏิร้างอยู่ที่ริมสระใหญ่ภายในป่านั้น พระฤษีอคัสตยะก็เข้าไปอาศัยในอาศรมนั้น พักอยู่คืนหนึ่งพอรุ่งขึ้นเมื่อออกจากฌานแล้วก็จะลงไปสรงน้ำในสระนั้น ก็พบว่ามีศพลอยอยู่ในน้ำ แล้วอีกครู่หนึ่งต่อมาก็มีเทพบุตรขี่รถมายังขอบสระนั้นแล้วลากเอาศพนั้นขึ้นมากินเนื้อหนังจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว เทพบุตรนั้นก็ลงอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
                  ด้วยความสงสัย พระฤษีจึงถามเทพบุตรนั้นว่า เพราะอะไรจึงทำเช่นนั้น เทพบุตรก็บอกว่า เมื่อครั้งก่อนตัวเองชื่อว่า เศวต เป็นโอรสของ ท้าวสุเทพ พระราชาผู้ครองนครวิทรรภ เมื่อท้าวสุเทพสิ้น พระชนม์แล้วท้าวเศวตก็ขึ้นเสวยราชย์แทนสืบต่อมา พลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว โหรก็ทำนายว่าชะตาถึงฆาต จึงทรงมอบสมบัติให้กับพระอนุชา แล้วก็ออกบวชบำเพ็ญตบะเป็นพระฤษีอยู่ในป่าแห่งนี้อาศัยอยู่ในอาศรมริมสระนั่นแหละจนกระทั่งละสังขาร ได้ขึ้นไปเกิดอยู่ชั้นเทวโลก แต่ถึงจะมีความสุขกายสุขใจแต่ก็ยังมิวายที่จะหิว จึงต้องขึ้นไปถามพระพรหมมา ท่านก็แนะนำว่าเรื่องนี้เป็นเพราะว่าเคร่งต่อการปฏิบัติอย่างเดียวเป็นแต่เพียงมุ่งทรมานร่างกายมิได้บำเพ็ญในสิ่งที่เป็นทานบารมี จึงมิได้อิ่มทิพย์เหมือนเทวดาองค์อื่นๆ ก็จะต้องกินเนื้อของตัวเองต่อไป จนกว่าว่าเมื่อใดจะพบกับพระพรหมอคัสตยะแล้วทำการทักษิณาด้วยอาภรณ์แล้ว เมื่อนั้นแหละจึงจะพ้นทุกข์ได้เสวยทิพย์
                  พอพระเศวตเทพบุตรเล่าเรื่องจบแล้วก็เปลื้องอาภรณืออกมาทำการทักษิณาแด่พระพรหมฤษีอคัสตยะ พระฤษีก็รับอาภรณ์นั้น ก็เป็นว่าพระเศวตสิ้นกรรมได้ไปเสวยทิพย์ในเทวโลกโดยสมบูรณ์ตลอดไป ส่วนพระพรหมฤษีอคัสตยะ จะต้องบำเพ็ญตบะที่อาศรมแห่งนั้นไปจนกว่าองค์พระนารายณ์จะอวตารลงมาเป็นพระรามแล้วเดินทางมาถึงอาศรมนั้น พระฤษีทำการทักษิณาแด่พระรามแล้ว นั่นแหละ  พระฤษีก็จะสิ้นกรรมกลับขึ้นไปเสวยทิพย์ในชั้นพรหมโลกเช่นเดียวกันดังเรื่องราวที่เป็นตำนานสืบทอดต่อเนื่องกันมา ประวัติของพระฤษีแต่ละองค์ ท่านก็จะมีลีลาและหน้าที่ไม่เหมือนกัน เพราะเหตุที่พระฤษีมีกันอยู่มากมาย ยากที่จะเรียงลำดับรายชื่อได้ จึงจัดแบ่งแยกออกมาแต่ละชั้นเพื่อจะได้ไม่จำซ้ำซ้อนกัน คือ......
              
                  ๑.พระฤษีในชั้นพรหม จะเป็นแต่เพียงพรหมฤษี
                  ๒.พระฤษีในชั้นเทพ จะเป็นเพียงเทพฤษี
                  ๓.พระฤษีในชั้นดิน ก็จะเป็นเพียงมนุษย์ฤษี
              
               แต่ละชั้นจะไม่มีการปนเปกัน จึงต้องจัดแบ่งแยกให้อธิบายง่ายเข้า สำหรับพระฤษีในชั้นพรหมนั้นมิใช่  มีเพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายล้านหลายโกฏิพระองค์ จึงได้บอกว่า พระพรหมในพรหมโลกมักจะเป็นพระ
               ฤษีแทบทั้งสิ้น เพราะว่าพระพรหมท่านเป็นผู้ปฏิบัติ ในบารมีฌานกันทุกพระองค์ ดังนั้นจึงต้องคัดเลือก   เอาแต่เพียงองค์ที่มีประวัติเท่านั้นที่จะนำเอามาเล่า


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:27

41.พระดาบสสินี ฤษีหน้ากวาง(สีดา)
                          
                 พระฤษีองค์นี้เป็นผู้หญิง มิใช่ฤษีปิตน จำเดิมแต่พระรามฆ่าทศกัณฑ์แล้ว ก็รับนางสีดามาอยู่ในอยุทธยาแล้ว นางอดูล ปีศาจ เป็นญาติกับทศกัณฑ์ ซึ่งนางก็มีใจเจ็บแค้นพระรามกับนางสีดา จึงได้แปลงกายเป็นนางงามเข้ามาถวายตัวเป็นข้าช่วงใช้นางสีดา ครั้นแล้วก็หาอุบายให้นางวาดรูปทศกัณฑ์จนกระทั่งพระรามมาเห็นเข้าก็โกรธ สั่งให้พระลักษณ์นำเอานางสีดาไปประหารแล้วควักเอาดวงใจมาให้ดู พระลักษณ์ฟันด้วยพระขรรค์ก็บังเกิดเป็นพวงดอกไม้ทิพย์คล้องคอนางสีดาพระลักษณ์จึงปล่อยนางสีดาไป พระอินทร์ได้เนรมิตเนื้อทรายนอนตายให้พระลักษณ์ควักเอาดวงใจไปถวายพระราม แล้วพระอินทร์ก็ยังแปลงกายเป็นมหิงส์(ควาย) ให้นางสีดาทรงขี่ไป จนกระทั่งถึงอาศรมพระฤษีวัชมฤค(คือพระฤษีวาลมีกิหรือพระฤษีหน้าวัว) พระฤษีทราบเรื่องแล้วจึงให้สีดา ได้ถือเพศเป็นดาบสสินีโดยปลอมแปลงกำบังกายให้เป็นพระฤษีหน้ากวาง เพื่อป้องกันอันตราย จนกระทั่งนางสีดาคลอดพระโอรสคือ พระกุศ(หรือพระมงกุฎในรามเกียรติ์) แล้วจึงฝากให้พระฤษีวาลมีกิเลี้ยงเอาไว้ในอาศรม นางก็ไปบำเพ็ญตบะอีกทางหนึ่งครั้นอยู่มาวันหนึ่ง นางสีดาจะไปอาบน้ำก็ได้พบกับลิงแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกให้เกาะกระโดดจากกิ่งไม้มากิ่งไม้นี้ นางสีดาก็หวังดีจึงร้องบอกนางลิงว่าให้ระวังลูกจะตก นางลิงก็บอกว่าลูกที่อยู่ใกลัแม่ถึงจะอย่างไรก็ยังช่วยได้ทันและยังเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าลูกจะเป็นอะไร แต่ส่วนนางสีดานั่นสิฝากลูกเอาไว้กับพระฤษี ห่างไกลสายตาของผู้เป็นแม่ลูกจะเป็นอะไรก็ไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็น ก็พระฤษีท่านมัวแต่หลับตาภาวนาอยู่ หากว่าสัตว์ร้ายมาคาบเอาลูกไปกินแล้วใครจะเป็นผู้รู้เห็น
               นางสีดาได้ยินนางลิงว่าเช่นนั้นก็เห็นว่าจริงของนางลิง จึงเกิดเป็นห่วงลูกขึ้นมา นางจึงกลับไปยังอาศรมพระฤษีแล้วอุ้มเอาลูกชายมาอาบน้ำด้วย เหตุที่พระฤษีมัวแต่นั่งหลับตา ท่านจึงไม่เห็นและก็ไม่รู้ว่านางสีดาได้มาอุ้มเอาลูกของนางไปแล้ว
                   ครั้นพระฤษีวาลมีกิได้ออกจากฌานลืมตาขึ้นมาแล้วก็มองหาพระกุศไม่พบ ถึงแม้จะเที่ยวตามหาจนทั่วบริเวณอาศรมก็ไม่เห็นแม้แต่เงา พระฤษีตกใจมาก ท่านคิดว่าสัตว์ร้ายจะต้องย่องเข้ามาคาบเอาพระกุมารไปกินเป็นแน่แท้ ก็คิดกลัวว่านางสีดาจะมาหาว่าท่านทำลูกของนางหาย จะรอช้าไม่ได้แล้วรีบจัดตั้งเครื่องพิธีจะชุบกุมารขึ้นมาแทนพระกุศ โดยการวาดรูปกุมารให้เหมือนแล้วจะได้ทำการชุบด้วยพระคาถาต่อไป พอดีพระฤษีวาดรูปเสร็จยังมิทันได้เสกคาถา นางสีดาก็อุ้มลูกขึ้นมาบนอาศรมนางสีดาเห็นว่ารูปที่พระฤษีวาดขึ้นมานั้นมีความสวยงามน่ารักมาก พระฤษีพอรู้ว่าพระกุศไม่ได้หายไป
               ไหนก็ดีใจจะทำการลบรูปพระกุมารที่เขียนนั่นเสีย นางสีดาก็ไม่ยอมให้ลบ ขอร้องให้พระฤษีชุบขึ้นมาจะได้เป็นเพื่อนเล่นกับพระกุศ พระฤษีก็ตามใจนางสีดา จึงทำการชุบกุมารนั้นขึ้นมา รูปร่างหน้าตาเป็น
               พิมพ์เดียวกันกับพระกุศ ให้ชื่อว่า ลบนี่คือประวัติความเป็นมาของดาบสสินีหน้ากวาง.....




โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:29


42.พระฤษีนารอด
                          
                 พระฤษีนารอด ท่านเป็นหมอยาที่มีคาถาอาคมเก่งกล้า ทั้งยังเป็นอาจารย์รดน้ำมนต์ที่เก่งที่สุดอีกด้วยท่านมีบารมีมาก ปวงชนทั่วไปก็มักจะรู้จักพระนามของท่านแทบทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาของท่านก็ยังมีหนวดเครายาวลงมาจากคางถึงในระหว่างอกมือถือดอกบัว ตรงด้านหน้ามีบาตรน้ำมนตร์ตั้งอยู่เป็นประจำ เก่งในทางรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ชงัดนักแล ถ้าหากผู้ใดมีความทุกข์ที่เกี่ยวกับการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จงบนบานศาลกล่าวกับท่านดูแล้ว   ท่านก็จะต้องเมตตาเสด็จลงมาปัดเป่ารักษาให้โรคภัยนั้นหายไปในเร็ววันมักจะมีคนพูดกันทั่วไปว่า พระฤษีนารอดเป็นพี่ชายของ พระฤษีนารายณ์แต่บำเพ็ญพรตกันอยู่คนละแห่ง นานๆจึงจะได้พบกันสักครั้งหนึ่ง แต่เรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนอยู่ ที่จริงแล้วผู้ที่เป็นน้องชายของพระฤษีนารอดก็      คือ พระฤษีนาเรศร์ มิใช่พระฤษีนารายณ์ ที่ถูกต้องก็คือ พระฤษีนาเรศร์ นี่แหละที่เป็นน้องชายแท้ๆของ พระฤษีนารอด และก็ได้บำเพ็ญตบะอย่างมุ่งมั่นอยู่กันคนละแห่ง สำหรับพระฤษีนาเรศร์นี้ ท่านเก่งในคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์มีเวทมนตร์ขลังเป็นที่สุด ชอบสันโดษบำเพ็ญพรตอยู่แต่ในป่าลึกๆ ไม่ค่อยชอบสมาคมกับใครเท่าใดนัก แม้แต่พี่น้องกันแท้ๆ ยังนานๆได้พบกันที พอพบกันก็จะดีใจถึงกับกอดกันแน่นด้วยความปลื้มปิติยินดี
               ท่านที่กราบไหว้บูชาพระฤษีสององค์พี่น้องก็จะเป็นมงคลอันสูง ท่านก็จะได้แผ่บารมีแห่งความเมตตามายังท่าน มาป้องปัดบำบัดรักษา และคุ้มครองมิให้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนตลอดกาล....
              
                   พระฤษีนารอดสวมเทริดฤษี ยอดบายศรีลายหนังเสือ เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาโสฬสนอกกรุงลงกา เมื่อครั้งหนุมานไปถวายแหวนนางสีดา เหาะเลยกรุงลงกาไปจึงไปพบพระฤษีนารอด(ฤษีนารท) โดยบังเอิญ แล้วต่อสู้กัน หนุมานแพ้จึงยอมอ่อนน้อมให้พระฤษี และเมื่อครั้งหนุมานเผากรุงลงกาไฟที่ติดหางดับไม่ได้ พระฤษีนารอดจึงดับให้....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:31
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-13 03:32



43.พระฤษีกาลสิทธิ
  สำหรับพระฤษีองค์นี้จงใช้ความสังเกตุให้ดี ที่ว่ามีชื่อเหมือนกับพระฤษีหน้าเสือกาลสิทธิ์ ผิดกันที่ตรงการันต์เท่านั้น ท่านก็เป็นผู้้มีความศักดิ์สิทธิ์อีกองค์หนึ่ง ประวัติเดิมของท่านเป็นถึงวงศ์พรหม ได้ลงมาจำศีลภาวนา อยู่ที่ภูเขาที่มีรังกากายสิทธิ์อยู่บนยอดเขา แลัวต่อมาก็สร้างเมืองใหม่ในบริเวณภูเขานั้น และเปลี่ยนจากชื่อรังกากายสิทธิ์มาเป็น เมืองลงกา จนกระทั่งตกทอดมาจนถึงชั้นทศกัณฑ์ พระฤษีกายสิทธิก็ไม่ยอมโยกย้ายไปไหน ยังคงบำเพ็ญตบะอยู่ที่เดิมมาเป็นเวลาหลายพันปี ในบรรดาอสูรทั้งหลายต่างมีความเคารพท่านมาก แม้แต่ทศกัณฑ์เองก็มีความเคารพ จึงมีความเป็นอยู่ที่นั่นตลอดไปพระฤษีกาลสิทธินี้ ท่านมีอานุภาพมากมีคาถาอาคมวิเศษและศักสิทธิ์มาก มีทั้งอิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์จนกระทั่งเป็นที่เลื่อมใสกันทั่วไปและต่างก็มีความเกรงกลัวในบารมีและฤทธิ์เดชของท่านไม่มีผู้ใดกล้าไปรบกวนหรือองของกับท่านเลย เมื่อพระนารายณ์อวตารลงมาแล้ว เป็นพระรามยกกองทัพมาตั้งอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์ทศกัณฑ์ยังได้อ่านพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์นี้ไปอยู่ที่ภูเขาคันธมาทน์เพื่อเกลี้ยกล่อมให้พระรามเลิกทัพกลับไป ในครั้งนั้นพระอินทร์ได้ใช้ให้พระวิศกรรม(วิศนุกรรม) ลงมานิมิตสุวรรณพลับพลาไว้ที่ภูเขาคันธมาทน์นั้นเพื่อที่จะให้พระรามและพระลักษณ์ เมื่อลาเพศจากพระฤษีจะได้มาพักอาศัยอยู่ที่นั่น และทศกัณฑ์ในร่างของพระฤษีกาลสิทธิก็หวังจะมาลวงพระราม บอกว่านางสีดาเมื่อถูกยักษ์ลักพาตัวเอาไป ไหนเลยจะมีความบริสุทธิ์เหมือนเดิมอีกคงจะแหลกเหลวแน่ๆแต่พระรามมีความมั่นใจ อธิบายให้พระฤษีปลอมนั้นฟังว่า อันนางสีดานั้นคือพระลักษมีอวตารลงมาเกิด ถึงแม้จะตกน้ำก็ไม่ไหล ตกในกองไฟก็ไม่ไหม้ และจะไม่มีราคีในสิ่งที่จะทำให้มัวหมอง ดังนั้นจึงจะต้องอยู่เพื่อฆ่ายักษ์ให้ได้ให้ยักษ์ตายกันหมดแล้วนั่นแหละจึงจะยกกองทัพกลับไป ฝ่ายภิเภกนั้นรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ครั้นจะทูลให้พระรามทรงทราบว่านั่นคือพระฤษีปลอม แต่ก็ถูกทศกัณฑ์สะกดตรึงเอาไว้ จึงพูดอะไรไม่ได้ เพราะอ้าปากไม่ขึ้นจึงเฉยไว้พระฤษีปลอมก็ยังตื๊อที่จะให้พระรามยกทัพกลับให้ได้ จนกระทั่งเหล่าสวาวานรพากันสงสัย บันดาลให้มีความโกรธหมายที่จะกระโดดเข้าไปฆ่าเสีย พระรามพระลักษณ์ก็ได้ห้ามเอาไว้ ฤษีจำแลงจึงกลัวความลับจะแตกก็ต้องจำลาพระรามนั้นกลับไป.....
   พระฤษีกาลสิทธิ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลีบบัว (ฤษีทศกัณฐ์แปลงกายเข้ามาในกองทัพพระรามเพื่อมาดูลาดเลา)   พระฤษีกาลสิทธิ สวมชฎาดอกลำโพงสีดำ นุ่งห่มหนังเสือ (ฤษีทศกัณฐ์แปลงกายเมื่อตอนอยู่เขาคันธมาทน์)


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:34
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-13 03:37



44.พระฤษีโคศก
  พระฤษีองค์นี้ได้บำเพ็ญตบะในป่าแห่งเมืองสิงขร สำหรับความเป็นมาเกี่ยวกับพระฤษีโคศกก็คือในอดีตกาลมีเทวดาองค์หนึ่งซึ่งเป็นข้าช่วงใช้ของพระอิศวร เป็นเทวดาที่มีความเกียจคร้าน งานหนักไม่เอา งานเบาก็ไม่สู้ ไม่เอาใจใส่อะไรทั้งนั้น พระอิศวรท่านจึงทรงพิโรธเลยสาปให้ลงไปเป็นยักษ์ชื่อว่าท้าวอุณาราช ครอบครองเมืองสิงขร ในเขตป่าอนุญาตให้คอยจับสัตว์กินเป็นอาหาร เป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์มากใครฆ่าก็ไม่ตาย ตราปใดที่พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นพระรามเดินทางมาพบแล้วใช้ต้นกกเป็นศรแผลงออกไปปักอก ตรึงเอาไว้กับแผ่นศิลาอยู่เช่นนั้นตลอดไป อีกนานเป็นเวลาถึงแสนโกฏิปี
เมื่อกองทัพพระรามเดินทางมาถึงสวนของท้าวอุณาราช ในเขตป่าแห่งเมืองสิงขรนั้น นนทกาลซึ่งเป็นยักษ์ภารโรงผู้ดูแลสวนเห็นเข้าก็ตรงเข้าไปหมายที่จะจับพวกลิงเอามากินเล่น แต่ก็ไปเจอลิงที่มีฤทธิ์มากกว่ายักษ์จึงถูกรุมล้อมไล่ตียักษ์ จนกระทั่งนนทกาลต้องรีบหนีไปฟ้องต่อท้าว อุณาราช
เมื่อท้าวอุณาราช รู้เรื่องก็โกรธจึงจัดกองทัพออกไปเอง ครั้นมาพบกับพระรามก็ทำสงครามกัน แต่จะทำอย่างไรก็ไม่ชนะพระรามได้ ฝ่ายพระรามและพลวานรจะฆ่ายักษ์ อุณาราชด้วยวิธีไหนๆก็ไม่ตาย จึงร้อนถึงพระฤษีโคศก ผู้ที่พระอิศวรสั่งความลับไว้ให้บอกกับพระรามเพื่อจะได้ปราบยักษ์อุณาราช
ได้สำเร็จ พระฤษีจึงต้องกำบังกายเข้ามาในกองทัพ แล้วจึงนำเอาความลับที่พระอิศวรสั่งเอาไว้บอกกับพระรามโดยเฉพาะฝ่ายพระรามเมื่อรู้ความลับในการปราบยักษ์แล้วจึงมิได้รอช้า รีบไปถอนเอาต้นกกมาทำเป็นลูกศร แผลงออกไปปักอกยักษ์ตรึงไว้กับหลักศิลาได้สำเร็จ เมื่อศรปักอกยักษ์ตอกตรึงไว้กับแท่นหิน ท้าวอุณาราชก็สิ้นฤทธิ์ แต่ก็มิวาที่จะโกรธและอาฆาตต่อไปอีก พระนารายณ์อวตารจึงสาปให้มีไก่แก้วมาเกิดกับนนทรีถือค้อนใหญ่เฝ้าท้าวอุณาราชเอาไว้ถึงแสนโกฏิปี ถ้าหากว่าศรต้นกกนั้นเคลื่อนที่ถอนเขยื้อนยามใดก็ให้ไก่แก้วเนรมิตนั้นขันขึ้นเป็นการบอกสัญญาณให้รู้ แล้วนนทรีก็จะต้องเอาค้อนเหล็กใหญ่ มหึมานั้นมาตอกต้นกกซ้ำลงไปให้แน่นอย่างเดิมอยู่เช่นนั้นตลอดไปและในบริเวณนั้นยังห้ามมิให้ผู้ใด เอาน้ำส้มสายชูเข้าไปเป็นอันขาด เพราะว่าน้ำส้มสายชูนี่แหละ ถ้าราดลงไปที่ต้นกกเมื่อใด ต้นกกนั้นก็จะถอนหลุดออกไป แล้วยักษ์ที่ดุร้ายก็จะเป็นอิสระ
กลับมาอาละวาดได้อีก ยักษ์ตนนี้ ปัจจุบันนี้ยังถูกต้นกกปักตรึงอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ซึ่งเคยเป็นเมืองนพบุรี ของหนุมานมาตั้งแต่เริ่มต้นและยักษ์ตนนั้นเรียกกันว่า ท้าวกกขนากก็นับได้ว่าพระฤษีโคศกนี้มีคุณต่อชาวโลกมากมาย หากว่าไม่ได้ท่าน พระรามก็ไม่รู้จะปราบยักษ์ได้ด้วยวิธีไหน ก็เพราะว่าฆ่ามันไม่ตาย.....
   พระฤษีโคศกสวมชฎายอดบายศรีลายหนังเสือ พระฤษีผู้บอกพระรามสังหารท้าวอุณาราช


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:43


45.ปู่ฤษีนารายณ์
        พระฤษีนารายณ์พระองค์นี้แหละที่ทุกวงการยอมรับนับถือกัน ดังนั้นไม่ว่าจะทางไสยศาสตร์นาฏศิลป์ ดนตรี หรือหมอนวดแผนโบราณ จะต้องเรียกขานขอประทานพรพระบารมีของท่านอยู่ร่ำไป ส่วนประวัติในความเป็นมาก็มิได้ลึกลับอะไรนัก สาเหตุที่จะเกิดมาเป็นพระฤษีนารายณ์ก็เมื่อครั้งที่พระนารายณ์ได้กระทำเทวฤทธิ์ อวตารลงมาเป็นพระกบิลนั่นเอง ทรงบำเพ็ญตบะอยู่ใต้พิภพ เพื่อจะปราบกุมารทั้งหกหมื่น อาวุธที่ร้ายแรงสำหรับพระฤษีนารายณ์หรือพระกบิลก็คือ ไฟกรดอันแรงกล้า ที่ได้มอดไหม้พระกุมารทั้งหกหมื่นตายจนหมดสิ้นส่วนอิทธิฤทธิ์และบารมีของท่านนั้นมีอยู่มากมาย ไม่ทำลายผู้กระทำความดี มีแต่ช่วยส่งเสริมและช่วยเหลือโดยตลอด ด้วยพระเมตตาปราณีเป็นล้นพ้น ฝูงชนมักจะนิยมกราบไหว้บูชากันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพิธีมงคลใดๆ ก็จะต้องทำการอัญเชิญให้ท่านเสด็จลงมาร่วมพิธีด้วยทุกครั้งไป ก็จะได้เป็นมงคลอันดีงามสำหรับงาน หรือว่ากิจการที่กระทำนั้นให้บังเกิดผลสำเร็จสมความมุ่งหมายทุกประการ.....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:46


46.พระฤษีวชิระ
***พระฤษีวชิระผู้นี้ท่านมีวิชากบคือ 'เทพมณโท'...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:50
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-13 03:53



47.พระฤษีอุศัพเนตร
***พระฤษีอุศัพเนตร ท่านก็เป็นพระฤษียาอีกผู้หนึ่ง..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:52


48.พระฤษีนาไลย
***พระฤษีนาไลย พระฤษียา ผู้เป็นบรมครูแห่งการแพทย์แผนโบราณอีกผู้หนึ่ง...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:55


49.พระฤษีสุกทันต์
***พระฤษีสุกทันต์ หรือพระฤษีฟันขาว เป็นบรมครูแห่งว่านยาไทยอีกผู้หนึ่ง...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-13 03:58


50.พระฤษีโยฮัน
***พระฤษีโยฮัน หรือ นักบุญเซ็นต์จอห์น ผู้รับประทานน้ำผึ้ง ตั๊กแตนแทนข้าว
แลจาริกอยู่ ณ.ดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำจอร์แดน ดินแดนแห่งอูฐ...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 15:28


51.พระฤษีอัษฎง
   พระฤษีพระองค์นี้ แต่แรกเป็นเทวดาอยู่ที่เทวโลก ถึงแม้ว่าจะมีความสุขด้วยสมบัติทิพย์ในทิพยสถาน ก็เห็นว่ามันไม่เป็นสิ่งจีรังยั่งยืน อันสมบัติทิพย์ทั้งหลายเหล่านั้น มิได้ทำให้หลุดพ้นไปได้เลยธรรมเท่านั้นที่จะทำให้หลุดพ้นจากทุกโลกไปได้ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะอีกต่อไป ถึง
แม้จะเป็นเทพบุตร เทวดา ก็ยังหนีไม่พ้นกฏแห่งกรรมที่จะต้องสิ้นอายุขัยแล้วจะต้องไปเกิดเป็นอะไรในภายหน้าหรือโลกหน้า หรือชาติหน้าก็ยังคาดคะเนกันไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่มีฌานวิเศษที่จะรำลึกชาติได้หรือมองเห็นในอนาคตกาลเบื้องหน้าได้ดังนั้นจึงทำให้เทพบุตรองค์นี้เบื่อในความเป็นอยู่ทั่วๆไป
   แล้วเทพบุตรองค์นี้ก็เหาะลงมาอยู่ในป่าหิมพานต์ หาทำเลที่เหมาะที่สุดเนรมิตอาศรมขึ้นมา แล้วจึงมุ่งมั่นบำเพ็ญตบะธรรมตั้งแต่บัดนั้นมาไม่ยอมกลับขึ้นไปบนสวรรค์อีกเลย ด้วยดวงจิตที่แน่วแน่และขยันหมั่นเพียร เคร่งอยู่ในฌานบารมีธรรมเป็นเวลานานถึงพันปี จึงได้บรรลุธรรมวิเศษ มีความสามารถทั้งด้านอิทธิฤทธิ์และก็มากด้วยบารมี แต่ถึงกระนั้นก็ยังมิเพียงพอกับความต้องการ ท่านยังสร้างบารมีท่านด้วยการช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แด่บรรดาสรรพสัตว์และมวลมนุษย์ ตลอดจนกระทั่งพระฤษีชีพราหมณ์ในป่า ถ้าหากว่าท่านพบว่าู้ใดได้รับทุกข์หรือมีความเดือดร้อนใดๆแล้ว ท่่านก็มักยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเสมอ ด้วยการรับเอาภาระหน้าที่นั้นๆไปจัดการให้สำเร็จเรียบร้อยทุกครั้งไป ก็เพราะเหตุนี้เองจึงเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของมวลมนุษย์ และฤษีชีพราหมณ์หรือผู้ทรงศีลทั่วไป ชื่อเสียงของท่านก็แผ่ขยายออกไปอีกไกลแสนไกลแม้แต่สัตว์ป่าที่แสนจะดุร้ายก็ยังมีใจภักดิ์ดีต่อท่านไม่มีการมารบกวนท่านเลย ก็เพราะท่านมีเมตตาธรรมอยู่ในชั้นสูง ท่านนี้แหละคือ พระฤษีอัษฎงคมุนี    ถึงแม้จะเป็นเทวดามีวิมานอยู่ ก็ยังยอมเสียสละลงมาทนลำบากอยู่ตามป่าตามเขาที่เต็มไปด้วยอันตรายร้อยแปด แล้วในที่สุดท่านก็พบกับความสำเร็จสมหวังทุกประการ สมควรที่เราจะดูและเอาเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่าน....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 15:29
52.พระฤษีโคตะมะและพระฤษีโคบุตร
สำหรับพระฤาษีโคบุตร องค์นี้ก็รู้สึกว่าท่านมีประวัติแห่งความเป็นมาอย่างพิลึกพิลั่นและสลับซับซ้อนเหลือขนาด ข้าพเจ้าจึงขอนำเอามาเล่าให้ท่านทั้งหลายได้อ่านกันเพลิน ๆ และยังจะได้เข้าใจในลีลาของท่านได้โดยละเอียดกันต่อๆ ไปพระฤาษีโคบุตร ผู้นี้เป็นบุตรของ พระฤาษีโคตะมะ ซึ่งอยู่ในตระกูลของพระฤาษีมาโดยตลอด พระฤาษีโคบุตรก็ได้รำเรียนวิชามาจากพระฤาษีโคตะมะผู้ทีเป็นบิดามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่่ว่าในที่นี้ก็มิได้ระบุนามของผู้ที่เป็นมารดาแต่ประการใด ได้ศึกษาเล่าเรียนในหลักวิชาการตลอดจนกระทั่งเวทมนต์คาถา ท่องจำจนขึ้นใจได้ในทุกๆ วิธีการ จึงได้กลายมาเป็นมนต์ขลัง ทั้งเมตตามหานิยมและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ถึงกับเหาะเหินเดินอากาศได้ตั้งแต่ยังมิได้เป็นพระฤาษี ท่านก็เที่ยวของท่านไปในทุกๆ ที่
แต่ก็มีจุดที่จะให้สังเกตเห็นในความสำคัญและความสามารถของท่านอีกอย่างหนึ่งด้วย คือ ไม่ว่าท่านเที่ยวไปในสถานที่ใดก็ตาม เมื่อไปพบกับเพศตรงข้ามเข้าให้แล้ว ก็มักจะพากันหลงใหลใฝ่ฝันด้วยแรงเสน่หาในตัวท่าน ไม่ว่าจะเป็นสาวแก่แม่หม้ายลูกเขาเมียใครก็ต้องมีอาการเช่นนี้เหมือนกันทั้งหมด ขอให้เป็นผู้หญิงก็แล้วกัน เมื่อพบหน้าปุ๊บก็จะต้องรักปั๊บเลยทีเดียว พระฤาษีโคบุตรผู้นี้จึงได้นามว่าไปถึงไหนก็จะต้องได้เมียที่นั่นเสมอไป จนกระทั่งมากมายถึงขนาดจำหรือลำดับไม่ถูกเชียวแหละ ทั้งๆที่รู้ก็รู้ว่ามีเมียแล้ว แต่ว่าเขาก็จะรักและจะต้องการ แล้วใครจะทำไม จึงเกิดการชุลมุนวุ่นวายในระหว่างเมียน้อยเมียหลวง มักจะทะเลาะวิวาทตบตีกันเป็นประจำด้วยความหึงหวงกันเป็นส่วนใหญ่ และในจำนวนผู้หญิงทุกระดับชั้น มีตั้งแต่เทพธิดา นางฟ้า นางอัปสร มนุษย์รากษี กินนร กินรี นาคีและนางไม้ จึงสร้างความรำคาญให้แก่พระฤาษีโคบุตร มีความเห็นว่าถ้าขืนอยู่ต่อไปก็คงจะต้องอายเขาแน่ๆ จึงได้ตัดสินใจหลบหนีบรรดาเมียๆ ทั้งหลายเหล่านั้นไปเสียให้พ้นๆ เพื่อจะได้ตัดความยุ่งยากมิให้เกิดมีขึ้นมาอีก แต่ครั้นหลบหนีพวกนางทั้งหลายเหล่านั้นมาพ้นแล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ในสถานที่แห่งใหม่ ในที่สุดไม่ช้าก็มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นมาอีกแต่ก็มิไช่พวกเก่า
กลายเป็นพวกใหม่อีกทั้งกลุ่ม แล้วในที่สุดก็จำเป็นที่จะต้องหลบหนีต่อไปอีกให้พ้นด้วยความรำคาญ


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 15:30
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-14 15:31

ที่นี้ก็มาอยู่ภายในป่าลึกและทับเอาเลยทีเดียว แต่แล้วอีกไม่นานเท่าใดนัก พวกชายาของพระในป่านั้นได้พากันเข้ามาหาเก็บผลไม้ ก็มาพบพระฤาษีโคบุตรเข้าอีกจนได้ แล้วก็เกิดการหลงใหลใฝ่ฝันในเสน่ห์ของพระฤาษีโคบุตร จนกระทั่งนานวันเข้าก็ยิ่งมากนางเข้าไปทุกขณะ แล้วในที่สุดก็ได้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้นมาอีก ด้วยความหึงหวงกันขึ้นมาอีกจนได้ เรียกว่าหนีไม่พ้น ข่าวนี้ได้ล่วงรู้ไปถึงในบรรดาพระฤาษี พระมุรี พระดาบส ทั้งหลายที่ในป่านั้น จึงมีความโกรธแค้นพระฤาษีโคบุตร พระดาบสทั้งหลายจึงได้ประชุมกันแล้วก็ยกพวกมุ่งมา หวังจะรุมประชาทัณฑ์พระฤาษีโคบุตรให้สมแค้น ในฐานะที่ทำให้ชายาของแต่ละองค์ได้เข้ามาผูกพันและเกี่ยวข้องกันโดยที่ไม่เลือกว่าใครเป็นใคร แต่ว่าชะตาของพระฤาษีโคบุตรก็ยังมิได้ถึงฆาต เท่ากับว่าสวรรค์ยังคงปราณีอยู่ ข่าวจึงได้รั่วไปเข้าหูของพระฤาษีโคตะมะผู้เป็นบิดา ในเมื่อท่านได้รู้เรื่องราวดังนั้น ท่านก็ไม่รอช้า รีบมุ่งหน้าไปหาลูกชายโดยเร็ว ด้วยใจยังเป็นห่วง กลัวว่าพวกพระฤาษีชีไพรทั้งหลายเหล่านั้นจะรุมประชาทัณฑ์
         ครั้นว่าพระฤาษีโคตะมะมาถึงแล้วก็มองเห็นพระฤาษี พระมุรี พระดาบส และพวกชีพราหมณ์ผู้ทรงศีลทั้งหลายเกลื่อนกลาดดารดาษไปทั่วทั้งในบริเวณนั้น จึงได้ตรงเข้าไปถามไถ่ในเหตุผลต้นปลายว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไร จึงได้เกิดเป็นเหตุเช่นนี้ขึ้นมา พวกพระฤาษีชีพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นก็เล่าเหตุผลตันเรื่องให้พระฤาษีโคตะมะฟังโดนละเอียด แล้วพระฤาษีโคตะมะจึงทบทวนในเหตุผล ก็เห็นว่าขืนปล่อยไว้เช่นนั้นคงจะไม่ได้การแน่ๆ มันจะต้องเกิดเรื่องเดือดร้อนขึ้นมาภายในไม่ช้านี้ ทางที่ดีแล้วจะต้องหาทางแก้ไขด้วยการเกลี้ยกล่อมให้ประนีประนอมกันและขอร้องให้พวกพระฤาษีชีพราหมณ์ทั้งหลายเหล่านั้นจงเลิกแล้วต่อกัน และพระฤาษีโคตะมะก็ได้ให้สัญญาว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาอีก ด้วยต่อไปนี้พระองค์จะคอยควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด มิให้ห่างสายตา ในบรรดาพวกพระฤาษีมุรีดาบสทั้งหลายเหล่านั้นก็ยอมให้อภัย ก็เพราะว่าเห็นแก่พระฤาษีโคตะมะ ด้วยความเกรงใจเป็นล้นพ้น พระฤาษีกรกฎ ผู้เรืองอำนาจในอิทธาอภินิหารทั้งในด้านไสยาคมนับว่าเป็นหนึ่งในกระบวนการของพระฤาษีทั้งหมดที่ได้พากันมาในขณะนั้นด้วยว่าท่านยังมิได้หายในการโกรธแค้น ถึงแม้ว่าจะยกเลิกไม่เอาโทษทัณฑ์แล้วก็ตาม แต่ท่านก็ยังได้ชี้หน้าใช้วาจาประกาศิตประกาศเป็นการสาบแช่งก่อนจะจากไป


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 15:32
'จงคอยดูนะ อีกหน่อยเถอะ ถ้ายังขืนทำตัวเช่นนี้หัวกับตัวต้องแยกกันไปคนละทาง'

              เมื่อพระฤาษีกรกฎประกาศดังๆ ออกมาเช่นนั้นแล้ว พระฤาษีก็ออกเดินทางสถานที่แห่งนั้นไป ทำให้พระฤาษีโคตะมะถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก และเพื่อที่จะต้องแก้ไขให้เรื่องร้ายๆ กลายเป็นเรื่องดี และเรื่องหนักหนาสาหัสทั้งปวงนั้นให้กลับกลายเป็นสถานเบา ครั้นแล้วพระฤาษีจึงจำเป็นต้องจับเอาตัวลูกชายให้บวชเป็นพระฤาษีแล้วให้มุ่งหน้าบำเพ็ญตบะสร้างบารมีต่อไป  ตั้งแต่ในนั้นเป็นต้นมาก็รู้สึกว่าพระฤาษีโคบุตรก็มีความขยันหมั่นเพียรในการบำเพ็ญ ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นบิดาเท่าใดนัก จึงเลิกละและลืมคิดในเรื่องอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่ครั้งหนหลังลงไปได้อย่างสนิท เคร่งในธรรม ปฏิบัติธรรมด้วยความพยายาม และก็ไม่ยอมออกจากอาศรมไปเที่ยวที่แห่งใดอีกเลย คงเฝ้าแต่เก็บตัวอยู่ในอาศรมตลอดไป

            พระฤาษีโคบุตรก็ได้บำเพ็ญตบะเพื่อสร้างบารมีอยู่เป็นเวลานานหลายปี ก็ได้บรรลุเป้าหมายแห่งความสำเร็จจึงมีฤทธิ์มีอำนาจทั้งในด้านอิทธิฤทธิ์และบารมีมากมาย ต่อจากนั้นมาพระฤาษีโคบุตรก็มีความเก่งกล้าสามารถไม่แพ้กันกับพระฤาษีโคตะมะผู้เป็นบิดา แล้วจึงขอไปบำเพ็ญพรตสร้างบารมีต่อในป่าที่มีความเงียบสงบในระหว่างเทือกเขาหิมาลัยปันแดนกันในระหว่างเขาไกรลาศและป่าหิมพานต์ด้วยมีความคิดเห็นว่าในสถานที่แห่งนี้เป็นที่สงบเงียบเหมาะสมในการบำเพ็ญเป็นยิ่งนัก จึงได้เริ่มต้นอยู่ในสถานที่แห่งนั้นเป็นต้นมา


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 15:33
จะกล่าวถึงนางเทพธิดาร้อยแปดนาง ซึ่งเป็นข้าบาทบริจาริกาขององค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้า ทุกๆ วันนางเทพธิดาพวกนั้นจะต้องพากันลงมายังป่าใหญ่ เพื่อนที่จะเก็บดอกไม้ที่มีความสวยงามนำขึ้นไปถวายพระอิศวรและพระศรีมหาอุมาเทวี เป็นกิจวัตรประจำวันและจะต้องทำเช่นนี้ทุกๆ วันอีกด้วย เมื่อถึงวันที่บัญเอิญต้องให้มีเหตุ บรรดานางฟ้าและเทพธิดาในกลุ่มนั้นก้ได้เที่ยวเดินทางหาดอกไม้กันมาในราวป่าตั้งแต่เชิงเขาไกรลาศลงมาเก็บกันทุกวัน ๆ จึงทำให้ดอกไม้นั้นหายาก จึงต้องเดินหากันไกลออกมาในทุกขณะ จนกระทั่งมาถึงอาศรมของพระฤาษีโคบุตร ซึ่งได้ปลูกต้นไม้ดอกไเอาไว้มากมายในบริเวณที่หน้าอาศรมแห่งนั้น กำลังออกดอกชูขึ้นมาประชันกัน มองดูแล้วก็ให้มีความสวยงามเจริญตาไม่น้อยเลยทีเดียว และแต่ละดอกส่งกลิ่นหอมเย็นลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งในบริเวณนั้น ทำให้ผู้ที่ผ่านมารู้สึกมีความสดชื่นขึ้นมา เพราะกลิ่นดอกไม้พาให้ชื่นใจ หายจากความเหน็ดเหนื่อยลงไปได้ นางเทพธิดานางฟ้าในจำนวนร้อยแปดนางได้พากันหยุดอยู่ที่หน้าอาศรม พากันสูดกลิ่นและเดินชมดอกไม้งามๆ เหล่านั้น แต่ทว่าไม่กล้าที่จะเก็บเพราะยังไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใดใครที่เป็นเจ้าของ และใครเล่าที่เป็นคนปลูกต้นไม้เหล่านี้ขึ้นมา แต่ว่าต้องมีเจ้าของอย่างแน่นอนที่สุด ก็เพราะว่าตามลักษณะของดอกไม้ป่ากับดอกไม้ที่มีคนปลูกนั้นจะต้องมีความแปลกและแตกต่างไม่เหมือนกัน จากการสังเกตก็จะเห็นได้ว่าดอกไม้ป่าโดยทั่วๆ ไปนั้น มันจะขึ้นกันระเกะระกะไม่มีแถวไม่มีแนว เมื่อยามที่ออกดอกก็เช่นเดียวกัน ที่นั่นดอกหนึ่ง ที่นี่อีกดอกหนึ่ง ซึ่งก็จะไม่มีความสวยงามเท่าที่ควรแต่ในสถานที่แห่งนี้ช่างขึ้นเป็นกลุ่ม เรียงกันเป็นแถวอย่างมีระเบียบ ทั้งยังออกดอกพร้อมๆ กันอย่างแสนที่จะสวยงามจะต้องมีผู้ที่มาประดิษฐ์แต่งเอาไว้เป็นแน่ทีเดียว
                   ในระหว่างที่นางเทพธิดาและนางฟ้าจำนวนนั้นยังมีความลังเลกันอยู่ ก็พอดีกับท่านพระฤาษีโคบุตรออกจากฌานสมาบัติพอดี ในเมื่อเดินออกมาจากอาศรมนั้นก็พบเข้ากับพวกนางเทพธิดาและนางฟ้าจำนวนนั้น จึงได้สอบถามหาสาเหตุก็ทราบว่านางทั้งหมดนั้นมีความต้องการที่จะได้รับดอกไม้เพื่อที่จะนำเอาขึ้นไป ถวายต่อองค์พระศิวะและพระอุมาผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ พระฤาษีโคบุตรก็มีความยินดีจึงรีบเข้าไปเก็บดอกไม้ของท่านเลือกสรรเอาแต่เฉพาะดอกที่ดีๆ ที่มีความสวยงามนำมามอบให้กับนางเทพธิดาและนางฟ้าในกลุ่มนั้น เพื่อฝากให้นำไปถวายองค์พระอิศวรและพระอุมาเทวีผู้เป็นเจ้า ตามความมุ่งหมายของพวกนางทั้งหลายเหล่านั้นครั้นแล้วพวกนางเทพธิดาทั้งร้อยแปดก็รู้สึกว่ามีจิตใจผูกพัน

        ผลสุดท้ายเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ล่วงรู้ไปถึงพระอิศวรผู้เป็นเจ้า ท่านจึงต้องเสด็จมาห้ามทัพ แล้วจึงสอบสวนเรื่อราวหาสาเหตุกันต่อไป ในเมื่อองค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าได้ทรงทราบเหตุผลต้นปลายอย่างชัดเจนแล้ว จึงตัดสินคดีลงโทษนางเทพธิดาและนางฟ้าทั้งร้อยแปดนางนั้น ให้ลงจากสวรรค์ไปสถิตถ์อยู่ตามต้นไม้ใหญ่ๆในเมืองมนุษย์ ให้กลายเป็นนางไม้ด้วยกันทั้งหมดในกลุ่มนั้น แต่ก็ยังมิเพียงพอความต้องการ จึงลงโทษพระฤษีโคบุตรอีกด้วย เพราะว่าเป็นต้นตอก่อให้เกิดเรื่องราวขึ้นมาในครั้งนี้ด้วยเสน่ห์ที่แรงกล้า พระอิศวรผู้เป็นเจ้าจึงประกาศประกาศิตให้แยกหัวออกจากตัวไปคนละทาง จะได้ไม่เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นมาอีก แต่ก็มิให้ตาย ยังทรงมีเมตตาในการที่ได้ถวายดอกไม้จึงเพียงแค่สั่งสอนและมิให้ผู้อื่นเอาเยี่ยงอย่าง ให้หัวของพระฤษีโคบุตรนั้นยังอยู่ในที่อาศรมเหมือนเดิม และมิหนำซ้ำยังได้สาปให้ตัวไปอยู่ในถ้ำแห่งเขาฤษยมุกให้กลายเป็นค้างคาวอยู่ภายในถ้ำแห่งนั้น ให้ออกหากินได้แต่เพียงในเวลากลางคืน และในเวลากลางวันก็มิต้องทำอะไร ไม่ต้องออกมาทำมาหากินทั้งนั้น ให้เกาะอยู่เฉยๆ ห้อยหัวลงมาแล้วก็นอนพักผ่อนอยู่เช่นนั้นตลอดทั้งวัน เมื่อองค์พระอิศวรผู้เป็นเจ้าทรงมีศิวะบัญชาแล้วก็เสด็จกลับสวรรค์....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 15:37
        52.ท่านพระฤษีโคบุตรนี้มีเสน่ห์ที่ร้อนแรงมาก จนกระทั่งนักแสดงทั้งหลายโดยทั่วๆไป มักนิยมปั้นเศียรของพระฤษีโคบุตรนั้นเอาไว้ใช้ในการครอบ เพื่อจะเพิ่มอิทธิมงคลและมีเมตตามหานิยมให้คนดูหลงใหลใฝ่ฝันศิลปินส์ประเภทนี้ก็มี โขน ละคร ลิเก พอถึงตรงจุดนี้ ท่านผู้อ่านจะต้องร้องอ๋อ พวกลิเกเสน่ห์แรง เห็นไปที่ไหนสาวๆติดกรอ บางทีตามมาด้วยก็มี จะขอเตือนเอาไว้ให้เป็นคิดว่าบรรดาพวกศิลปินที่รูปหล่อๆน่ะ ก็เปรียบได้กับค้างคาวที่อยู่ในถ้ำ(คือตัวของพระฤษีโคบุตรนั่นเอง) ได้แต่ิออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนตอนกลางวันก็ห้อยหัวนอนงานการอะไรก็มักจะทำไม่เป็น เกียจคร้านในทุกวิถีทาง ได้แต่นั่งกินนอนกินเพราะว่าชันษาของเขาอย่างนั้น สำหรับผู้ที่ไปหลงรักก็จงคิดทบทวนให้ดีและก็จงระวังให้ดี บางทีคุณอาจจะไม่มีอะไรเหลืออีกเลยก็อาจจะเป็นได้(แต่ก็ต้องขอประทานอภัยสำหรับผู้ที่เป็นศิลปินเต็มตัว และศิลปินที่ดีของประชาชน ที่ไม่กระทำตัวให้เสื่อมศรัทธา ข้าพเจ้ามิได้ด่าว่าคนดีหรือศิลปินที่ดีหรอกนะครับ แต่ก็นั้นแหละที่ดีๆ นั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่ามีอยู่ไม่มากนัก และก็รู้สึกว่าจะมีอยู่น้อยเต็มทีครับ)
ท่านก็ได้ทราบถึงชีวประวัติของพระฤาษีโคบุตรไปอีกองค์หนึ่งแล้วที่บรรดาศิลปินทั้งหลายได้มีความเคารพนับถือ กราบไหว้บูชากันแล้วไม่ผิดหวัง อีกทั้งยังได้ยอมตนเป็นลูกและลูกศิษย์ของพระฤาษีโคบุตรกันทั้งหมดอีกด้วย แต่โดยเฉพาะผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของพ่อทั้งหลาย ท่านก็จะคอยเอาใจใส่ดูแลโดยทั่วถึงกันทั้งหมดทุกคน และท่านก็จะค่อยส่งเสริมประทานพระพรและบารมีให้ เมื่อไม่ถึงคราวอดก็ไม่อด เมื่อถึงคราวที่ไม่มีก็จะต้องมีสิ่งบังเอิญให้มีลาภผลจะเข้ามาหามิได้ขาดสายทั้งในเรื่องของด้านใน ทุกข์ภัยอันตรายต่างๆ ท่านก็จะช่วยกำจัดปัดเป่าให้ห่างหายออกไป ถ้าหากใครเป็นลูกและลูกศิษย์ของพ่อแก่พระฤาษีโคบุตรโดยแท้จริงแล้วมักจะไม่มีการตายโหง
ลิเก ละคร และศิลปินไทยๆ ของเรามักจะต้องนำเอาเคียรพระฤาษีที่เรียกกันว่า เศียรพ่อแก่ หรือเศียรครู ไปด้วยในทุกหนทุกแห่งโดยทั่วไป ข้าพเจ้าก็จำเป็นที่จะต้องขอร้องท่านผู้อ่านอีกว่า ขอให้ท่านจงเคารพท่านด้วยใจจริง ให้มีความซื่อสัตย์กตัญญูรู้คุณคน ขอให้จงเป็นศิลปินที่ดีของประชาชนโดยไม่หลอกไม่ลวง ไม่หักหลัง ไม่กลั่นแกล้ง ไม่อิจฉาริษยา ไม่นำเอาพ่อแก่ไปทำความเสื่อมเสียหรือจะไม่นำเอาพ่อแก่ออกไปขอทาน มันเป็นการที่ไม่สมควรที่จะต้องงดเว้นขอให้ช่วยกันรักษาศักดิ์ศรีในคำที่ว่าศิลปินให้ยืนยงคงอยู่คู่กับประเทศชาติ และเป็นสมบัติของพวกเราชาวไทยกันให้ยั่งยืนและยาวนานสืบต่อเนื่อง ควรจะอนุรักษ์และเก็บรักษามรดกของไทยอันล้ำค่ามหาศาลนี้เอาไว้ให้นานแสนนานให้ลูกหลานของเราได้หากินสืบต่อๆ กันไป ถ้าหากท่านผู้อ่านทั้งหลายมีจิตใจที่มุ่งมั่นเคารพจงรักพ่อแก่อย่างแท้จริงแล้ว ท่านก็คงจะไม่ทอดทิ้งหรือนิ่งนอนใจ และในไม่ช้าผู้ที่กระทำความดีก็จะต้องมีความเจริญขึ้นไป
พิมพ์โดย ลูกสาวพ่อ มหาเทพประทานพร


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 15:39

53.พระฤษีหน้าเสือ(กาลสิทธิ์)

54.พระฤษีประตาภา(หน้ากวาง)

55.พระฤษีอุตริ(หน้าลิง)
ในกาลครั้งหนึ่งสมัยโบราณก็ยังมีตำนานพระฤษีหน้าเสือ พระฤษีหน้ากวางและพระฤษีหน้าลิง ทั้ง 3 พระองค์นี้ก็มีที่มาอยู่ในแห่งเดียวกันข้าพเจ้าเห็นว่ามีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านทั้งหลาย จึงได้ตัดสินใจนำมาเล่าสู่กันฟัง แต่ครั้งอดีตกาลที่ล่วงมาเป็นเวลานานแสนนานหลายพันปีผ่านมาแล้ว ยังมีพระฤษี 2 พระองค์เป็นเพื่อนร่วมน้ำสาบานกัน ตั้งแต่ครั้งยังมิได้บำเพ็ญตนเป็นพระฤษี เพราะมีฐานะที่อยู่ในสำนักอาจารย์เดียวกันคืออาศรมของพระฤษีวสิษฐ์ เมื่อทั้งสองมีตบะบารมีเพิ่มมากขึ้นก็ได้พากันแยกย้ายออกไปจากสำนักของพระอาจารย์ต่างพากันเดินทางไปหาสถานที่ในการบำเพ็ญตบะ
แห่งใหม่ที่


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 15:55
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-14 16:04



56.พระฤษีมาฆะ
***พระฤษีมาฆะ เป็นพระฤษีที่บำเพ็ญตบะอยู่ในถ้ำหนาว...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 16:09


57.พระฤษีหลีเจ๋ง
***พระฤษีหลีเจ๋ง พระฤษีท่านนี้ท่านเป็นเซียนจีน ผู้อยู่หนึ่งในแปดเซียน...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 16:12
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-14 16:15



58.พระฤษีสมิทธิ
***พระฤษีสมิทธิ พระฤษีท่านนี้ เป็นบรมครูแห่งการนวดแผนโบราณอีกท่านหนึ่ง...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 16:20
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-14 16:21



59.พระฤษีอัลลกัปปกะ
***พระฤษีอัลลกัปปกะ ท่านเป็นผู้แตกฉานในโหราศาสตร์ และมีมนต์พิณ
บังคับช้าง 'หัสดีกันต์' และได้ถ่ายทอดให้กับพระเจ้าอุเทนแห่งกรุงโกสัมพี
สมัยพุทธกาล...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 16:23
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย metha เมื่อ 2014-5-14 16:27



60.พระฤษีอะแหม่
***พระฤษีอะแหม่ พระฤษีท่านนี้มีนิ้วมือสิบเอ็ดนิ้ว และถือพรตบูชาพระศิวะมหาเทพ..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-14 16:33


61.พระฤษีโควินท์
  เป็นพระฤษีที่อยู่ในป่าแห่งเมืองไกยเกษ เมื่อครั้งที่ ท้าวคนธรรพ์ ผู้ครองเมืองดิสศรีลิน แล้ววิรุฬพัทผู้เป็นโอรสได้เที่ยวไปในราวป่าแล้วเลยเข้าตีเมืองไกยเกษ ส่วนท้าวไกยเกษสู้ไม่ได้จึงทิ้งเมืองหนีไปอยู่กับพระฤษีโควินท์องค์นี้ จนกระทั่งพระกุศกับพระลบออกมาทำศึก พระกุศฆ่าท้าวคนธรรพ์ พระลบฆ่าวิรุฬพัท แล้วก็เข้าไปกราบนมัสการพระฤษีโควินท์ แล้วจึงรับท่านท้าวไกยเกษไปส่งเมือง กลับขึ้นครองราชย์โดยปราศจากศัตรูอีกต่อไป
  พระฤษีโควินท์ ก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณอีกองค์หนึ่ง ซึ่งปกป้องคุ้มครองอันตรายให้กับท่านท้าวไกยเกษ มิให้ศัตรูพบเห็น จนกระทั่งพ้นอันตราย......
    พระฤษีโควินท์ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลัก..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 12:17


62.พระฤษีศรภังค์
    พระฤษีตนนี้ได้บำเพ็ญพรตจนสำเร็จมรรคผลจะได้ไปถึงพรหมโลกแล้ว
แต่จะไปพรหมโลกได้ก็จะต้องถึงวาระดับขันธ์จากร่างในปัจจุบันก่อน พระ
ฤษีศรภังค์ก็ไม่รอเวลาสิ้นอายุขัยตามธรรมชาติ กลับร้อนใจอยากไปเร็วกว่า
นั้น จึงเดินเข้ากองไฟเผาตัวเองเสียเลย
    วิธีการอย่างนี้ฝ่ายไสยศาสตร์ในสมัยนั้น ถือกันว่าเป็นของดีควรกระทำ
ทางพุทธศาสนาเห็นว่าเป็นบาปหนักหนา พระพุทธองค์ทรงบัญญัติโทษ
เป็นมนุสสวิคหะปาราชิก ห้ามเด็ดขาด
   พระฤษีศรภังค์ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลัก หรือยอดบายศรีลายหนังเสือ
บำเพ็ญพรตอยู่ในป่าฑัณฑก...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 12:23

63.พระฤษีอจนคาวี

64.พระฤษียุทธอักขระ

65.พระฤษีทะหะ

66.พระฤษียาคะ
  เป็นพระฤษีที่ปรากฏอยู่ในเรื่องรามเกียรติ์ พระฤษี 4 ตนที่สร้างกรุงอโยธยา
พระฤษี 4 ตน เดิมอาศัยอยู่ในชมภูทวีป ณ.ป่าทวารวดีได้บำเพ็ญพรตนาน
นับแสนปี เมื่อสร้างเมือง ณ.ที่อาศัยของพระฤษีเดิม จึงใช้ชื่อของพระฤษีทั้ง
4 ตนและชื่อป่ามารวมกัน แล้วตั้งชื่อว่า'ทวาราวดีศรีอยุทธยา' มีท้าวอโน
มาตันเป็นปฐมกษัตริย์...
   พระฤษีทั้ง 4 ตน สวมชฎาดอกลำโพง..


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 12:31


67.พระฤษีโรมสิงห์,

68.พระฤษีวตันตะ,

69.พระฤษีวชิร,

70.พระฤษีวิสุทธิ

***    พระฤษี 4 ตน ที่ชุบชีวิตนางมณโฑ เรื่องย่อมีอยู่ว่านางนาคได้สมสู่กับงูดินพระฤษีทั้ง 4 เห็นเข้าจึงใช้ไม้เคาะหลังเตือนนางนาค นางจึงโมโหและอับอายและเกรงพระบิดาจะล่วงรู้ความลับนี้จากพระฤษี จึงแอบไปคายพิษไว้ในอ่างน้ำนมที่นางแพะได้มาบีบใส่ถวายพระฤษีทุกวัน
   ขณะนั้นนางกบที่อาศัยอยู่ ณ.อาศรมพระฤษี เห็นเหตุการณ์โดยตลอด
นางซึ่งเคยได้รับแบ่งน้ำนมจากพระฤษีทั้ง 4 ตนอยู่เสมอ คิดแทนพระคุณ
จึงได้กระโดดไปในอ่างน้ำนมจนถึงแก่ความตาย
    พระฤษีกลับมาเห็นนางกบตายก็สงสารเลยชุบชีวิตให้ นางกบเลยเล่า
เรื่องนางนาคคายพิษในอ่างน้ำนม พระฤษีเห็นความกตัญญูของนางกบ
เลยทำพิธีชุบนางกบให้เป็นมนุษย์ ชื่อว่า นางมณโฑ แต่เนื่องจากนางมณโฑเป็นผู้หญิง จะอยู่อาศรมด้วยกันนั้นไม่ได้ จึงนำนางไปถวายเป็นข้ารับใช้พระอุมาเทวี ตอนหลังได้ถูกทศกัณฑ์ ขอไปเป็นชายาของตน.....
    พระฤษีทั้ง 4 ตน สวมชฎาดอกลำโพง


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 12:40


71.พระฤษีพรหมนารท(พระนารทมหาฤษี)
72.และพระพรหมฤษีวาลมีกิ




โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 12:41


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 12:41


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 12:41


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 12:42


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 12:42


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 13:09



73.พระฤษีหน้าแพะ(พระทักษะประชาบดี)
  นี่ก็คือสรรพนามของพระทักษะประชาบดี ด้วยเหตุที่พระมุนีภพหรือพระวีรภัทร
ในภาคหนึ่งของพระอิศวร ที่ได้ลงมาตัดหัวแพะเอามาต่อให้จึงเรียกว่า พระฤษี
หน้าแพะ



โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 13:09
พระทักษะประชาบดี มีธิดาถึง ๖๔ นางด้วยกัน แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่่มคือ...
ในกลุ่มแรก ตามจำนวน ๒๔ นาง ยกให้เป็นชายา พระยมทั้งหมด ๑๓ นาง และ
ตั้งแต่นางที่ ๑๔-๒๔ นาง ก็ล้วนแต่เป็นพระชายาของพระฤษี ทั้งนั้น คือ...
๑๔.นางขยาติ เป็นพระชายาของ พระฤษีภฤคุ
๑๕.พระสตี เป็นพระชายาของ พระมุนีภพ (พระอิศวร)
๑๖.นางสภูติ เป็นพระชายาของ พระฤษีมรีจิ
๑๗.นางสมฤดี.เป็นพระชายาของ พระฤษีอังคีรส
๑๘.นางปรีติ เป็นพระชายาของ พระฤษีปุลัสตยะ
๑๙.นางกษมา เป็นพระชายาของ พระฤษีปุลหะ
๒๐.นางสันติ เป็นพระชายาของ พระฤษีกรตุ
๒๑.นางอนสูยา เป็นพระชายของ พระฤษีอัตริ
๒๒.นางอูรยา เป็นพระชายาของ พระฤษีวสิทฐ์
๒๓.นางสวาหา เป็นพระชายาของ พระฤษีวหนิ
๒๔.นางสวธา เป็นพระชายาของ พระฤษีปิตฤ
พระฤษีทั้งหมดที่เป็นบุตรเขยของพระทักษะประชาบดี(ฤษีหน้าแพะ) ล้วนแต่
มีอิทธิฤทธิ์ และอำนาจบารมีสูงกันทั้งนั้นแต่ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อยู่ไม่น้อย
ที่นักบวช คือ พระฤษีสมัยนั้นมีเมียได้
พระธิดาของพระทักษะประชาบดี พวกที่ ๒ มีทั้งหมด ๒๗ นาง ก็ยกให้เป็นพระ
ชายาของพระจันทร์ทั้งหมดและยังเป็นดาวนักษัตรอีกด้วย
ส่วนพระธิดา พวกที่ ๓ มีทั้งหมด ๑๓ นาง ก็ยกให้เป็นพระชายาของพระกัศยป
ซึ่งพระองค์นี้ก็มีตำแหน่งหน้าที่เป็น พระฤษีกัศยป อีกเช่นกัน
ท่านก็คงทราบดีแล้วว่าทำไมถึงมีพระฤษีเป็นหน้าแพะ......


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 13:29


74.พระฤษีกษยศฤงค์หรือพระฤษีหน้าเนื้อ..

โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 13:29


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 13:54
75.พระฤษีวิศวามิตร


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 13:55


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 13:58


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 13:59
ึุ76.พระฤาษีพฤหัสบดี



โดย: Metha    เวลา: 2014-5-15 14:00


77.พระฤษีพรหมจุลี

    ท่านเป็นพระราชบิดาของ ท่านท้าวพรหมทัต ผู้ยิ่งใหญ่และมีคุณธรรมแห่ง นครกามปิลย์ ท้าวพรหมทัตเป็นมานัสบุตร ซึ่งเกิดขึ้นด้วยใจของพระจุลีพรหมฤษีคำว่ามานัสบุตรและการเกิดขึ้นด้วยใจนั้นมิใช่ว่าจะเป็นเรื่องเหลวใหลเนื่องจากผู้ที่สำเร็จในตบะฌานได้ขึ้นไปปฏิบัติอยู่บนสวรรค์ไม่ว่าจะเป็นชั้นเทพหรือชั้นพรหมท่านจะมีบารมีมากมายถึงขั้นที่ว่าต้องการอะไรก็จะต้องได้สมกับเจตนา มโนนึก ที่เรียกกันว่า เสวยทิพย์สมบัติ ในที่นั้นจะต้องกลายเป็นทิพย์ทั้งหมด เช่น อยู่่ปราสาททิพย์ วิมานทิพย์ บัลลังก์ทิพย์ แท่นทิพย์(ทิพยอาสน์) อาหารทิพย์ โภชนาทิพย์ เสื้อผ้าอาภรณ์ทิพย์ กายทิพย์ และกายก็ยังเป็นทิพย์ตลอดเวลาเมื่อต้องการสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้นมาทุกครั้งที่ต้องการ    เมื่อท่านต้องการที่จะมีบุตรหรือธิดา ก็เพียงแต่สัมผัสกันด้วยใจคือมีความนึกคิดว่าจะมีเ้ท่านั้นเองก็จะเกิดขึ้นมาตามความต้องการ มิต้องมีการสัมผัสกันด้วยกายเหมือนมนุษย์
   ในกาลครั้งนั้น ยังมีกษัตริย์ที่สละสมบัติอีกพระองค์หนึ่งซึ่งตั้งตน บำเพ็ญตบะเป็นพระฤษีทรงพระนามว่า พระกุศนาภ  มีพระราชธิดาทั้งหมดถึง ๑๐๐ นาง แต่ละนางมีความงดงามต้องตาต้องใจ ของผู้ที่ได้พบเห็นและความงามนี้ก็เท่าเทียมกันทุกนางด้วย อยู่มาวันหนึ่ง ซึ่งจะต้องบังเอิญให้เกิดเหตุอันที่จะต้องบันทึกไว้เป็นประวัติ นางทั้งร้อยได้ออกมาจากสถานที่อยู่อาศัย  เพื่อออกไปเที่ยวเล่นและเก็บดอกไม้ผลไม้ในป่ากันอย่างสนุกสนานต่างก็กระเซ้าเย้าแหย่กันมาตลอดทาง พอดีมาพบกับพระพายในระหว่างทางไนป่าเปลี่ยวพระพายเห็นนางทั้งร้อยมีความสวยงามเป็นที่น่ารักและถูกใจจึงตรงเข้าไปขอความรัก  และขอร่วมรักกับนางทั้งร้อยนั้น  แต่ทุกนางก็ไม่มีใครยอมตกลงมิหนำซ้ำยังช่วยกันรุมล้อมทำการขับไล่ให้พระพายไปจากที่นั่น พระพายทั้งโกรธและอายจึงกลั่นแกล้งสาปให้นางทั้งร้อยกลายเป็นนางค่อม(กันยากุพชา)กันทั้งหมดทุกนาง แล้วพระพายก็จากไปโดยไม่หันมามองอีกเลยว่านางทั้งร้อยจะบังเกิดความทุกขอย่างไร
   นับแต่นั้นมา นครหลวงของพระกุศนาภจึงมีนามเรียกขานกันต่อๆมาว่า นครกานยกุพช์  เพราะเป็นเมืองที่อยู่ของ  กันยากุพชานางค่อมทั้งร้อยนั่นเอง ท่านท้าวกุศนาภก็มีความคั่งแค้น ที่พระธิดาของท่านต้องกลายมาเป็นนางค่อมโดยการกลั่นแกล้งของพระพาย แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ในที่สุดพระกุศนาภก็ยกพระธิดาพิการทั้งร้อยนางใหักับท่านท้าวพรหมทัตกษัตริย์แห่ง นครกามปิลย์ไปเป็นชายา ด้วยเหตุที่ว่าท่านท้าวพรหมทัต  ท่านเป็นมานัสบุตร คือ  บุตรที่เกิดจากใจพระจุลีพรหมฤษี  จึงเป็นผู้ที่มีบารมีมากดังนั้นพอท่านท้าวพรหมทัตรับนางทั้งร้อย แล้วพากลับเข้าสู่พระราชฐานแล้ว เพียงแตสัมผัสแตะต้องตัวนางค่อมเท่านั้น ทุกนางก็กลับกลายเป็นหญิงผู้มีรูปโฉมงดงามหายจากการพิการหมดสิ้นทั้งร้อยนาง
   นี่คือประวัติย่อๆของพระพรหมฤษีจุลี ที่มีทั้งอภินิหารและบารมีอันล้นพ้นหากท่านผู้อ่านมีศรัทธาและนับถือท่านก็ทำพิธีกราบ
กราบไหว้ขอพรบารมีจากท่าน บางทีท่านอาจจะประทานให้ก็ได้....




โดย: Metha    เวลา: 2014-5-16 13:46
ึ78.พระอาฬารดาบสกาลามโคตร(ผู้เป็นพระอาจารย์เอกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)  

                 ท่านเป็นพระอาจารย์เอกของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ปัจจุบันนี้ ท่านก็ยังละสังขารจากโลกมนุษย์ ขึ้นไปเสวยสุขอยู่บนทิพย์วิมานในชั้นพรหมโลกนี้ด้วยเหมือนกัน จนกว่าจะสิ้นอายุขัย
ต่อมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้แล้วก็ทรงดำริที่จะไปแสดงธรรม และก็คิดว่าจะแสดงธรรมในที่ใดกับผู้ใดก่อน ซึ่งจะโปรดเป็น
คนแรกเมื่อพระองค์ระลึกได้ว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงออกผนวชใหม่ๆ ก็ได้อาศัยพระอาฬารดาบสนี้ เป็นอาจารย์ผู้สั่งสอนในสิ่งต่างๆ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ท่าน
สอนนั้นจะไม่บรรลุก็ตามก็ยังจัดว่า พระอาฬารดาบสท่านนี้ ก็ยังนับว่ามีพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่นั่นเอง ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ มีความฉลาด กิเลสน้อย
ปัญญาก็ดี มีความสามารถที่จะรู้ได้เร็วกว่าผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงคิดที่จะทรงแสดงธรรมโปรด เพื่อที่จะให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
เพียงแต่พระพุทธเจ้าทรงเล็งทิพย์ญานดู ก็รู้ว่าท่านพระอาฬารดาบสได้ละสังขารตายไปเสียแล้ว ก่อนหน้าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้เพียง ๗ วัน เท่านั้น
แล้วขึ้นไปบังเกิดเป็นอรูปพรหม อยู่ในชั้นที่ ๑๙ นั่นเองจึงหมดโอกาสที่จะแสดงธรรมโปรด ให้บรรลุธรรมขั้นวิเศษ ที่จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ต่อไปไ ด้
เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีวิญญาณที่จะได้สดับรับฟัง
      พระอาฬารดาบสจึงหมดโอกาสที่จะได้เป็นพระอรหันต์ และหมดโอกาส
ที่จะให้พระพุทธเจ้า นำพามุ่งสู่ ศิวาโลกแดนพระมหานิพพานได้อีกแล้ว จึง
ต้องเสวยทิพย์อยู่ในวิมานอากาศเป็นอรูปพรหม ต่อไปถึงแปดหมื่นมหากัปป์.....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-16 13:57


79.พระฤษีสุเมธ
             พระฤษีองต์นี้บำเพ็ญพรตอยู่ที่ป่าหิมพานต์ ท่านสามารถใช้คาถาอาคมของท่านในการล่องหนหายตัว ผูกจิต สะกดจิต สะกดทัพ เรียกลม เรียกฝนเรียกน้ำ เรียกไฟ ได้ตามความต้องการของท่าน ก็นับได้ว่าในดินแดนแห่งป่าหิมพานต์นั้น ยากนักที่จะมีพระฤษีองค์ใดมีความสามารถ เสมอเหมือนกับพระฤษีสุเมธได้ดังประวัติและเรื่องราวของท่าน หลังจากที่มหายมยักษ์ หรือท้าวศากยวงศา ผู้ครอบครองเมืองบาดาลได้สวรรคตไปแล้ว ท้าวไมยราพณ์ผู้เป็นโอรสก็ขึ้นครองบาดาลสืบไป ในด้านวิชาความรู้ก็ยังมีน้อยนัก จึงต้องไปร่ำเรียนวิชาอาคมกับพระฤษีสุเมธ อยู่ในอาศรมแห่งป่าหิมพานต์นั้น พระฤษีก็อบรมสั่งสอนให้ไมยราพณ์ได้ท่องบ่นมนตร์ที่สำคัญๆ จนกระทั่งเชี่ยวชาญและมีความรู้ความสามารถเป็นอย่างดี ทั้งในด้านคงกระพันชาตรี ล่องหน กำบังกาย หายตัว สะกดทัพ สะกดจิต ผูกใจ เรียกฝน เรียกลม เรียกน้ำ เรียกไฟ ได้อย่างแม่นยำครบถ้วนทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยความขยันหมั่นเพียรและเอาจริงเอาจัง และไมยราพณ์ก็มีนิสัยดี ว่านอนสอนง่าย จึงทำให้พระฤษีสุเมธมีความรักต่อไมยราพมาก ไม่ว่าจะมีอะไรก็ไม่ปิดบังนำเอามาถ่ายทอดอบรมสั่งสอนให้จนหมดสิ้น ในที่สุดพระฤษีสุเมธก็ทำพิธีถอดดวงใจให้ไมยราพณ์เพื่อจะได้อยู่ยงคงทน ใครฆ่าก็ไม่ตาย พระฤษีทำพิธีสะกดจิตวิญญานและดวงใจด้วยการนั่งบริกรรมพระคาถาไศยาคมด้วยดวงจิตที่มุ่งมั่นและแน่วแน่ ด้วยตบะและบารมีฌานของท่าน ครั้นแล้วในไม่ช้านักดวงใจของไมยราพณ์ก็ลอยออกมาทางปาก แล้วจึงกลายเป็นแมลงภู่ บินวนเวียนอยู่รอบปรำพิธี เป็นการทักษิณาวัฏครบ ๓ รอบ แล้วพระฤษีสุเมธก็เรียกให้แมลงภู่บินเข้ามาใกล้ จับใส่ผอบแล้วจึงส่งให้ไมยราพณ์ ให้นำเอาไปเก็บซ่อนไว้มิให้มีผู้ใดรู้เห็น ที่ในถ้ำลึกยอดเขาตรีกูฏ พร้อมทั้งกำชับว่าอย่าบอกใครเป็นอันขาด ไมยราพณ์จะได้มีชีวิตอยู่ยืนยงถาวรสืบต่อไป ทั้งหนังก็เหนียวใครฆ่าไม่ตาย ไม่มีใครทำลายชีวิตไมยราพณ์ได้
            นี่ก็คือประวัติอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยฤทธาบารมีของพระฤษีสุเมธ....
             พระฤษีสุเมธ สวมชฎาดอกลำโพง หรือเทริดยอดบายศรีลายหนังเสือ เป็นอาจารย์ของไมยราพณ์ บำเพ็ญพรตอยู่ที่เชิงเขาป่าหิมพานต์....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 09:43


80.พระฤษีครรคยมุนี
               ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับพระฤษีองค์นี้ก็คือ ท้าวยุธาชิต โอรสของท้าวอัศวบดี มีปุโรหิตประจำคือ พระฤษีอังคีรส ซึ่งพระฤษีครรคยมุนีนี้ก็เป็นบุตรของพระฤษีอังคีรสเชื่อมโยงกันดังนี้
              วันหนึ่งท้าวยุธาชิตได้ให้พระฤษีอรรคคย ไปร้องเรียนให้พระรามทราบว่าบัดนี้ในปัญจนัทยเทศ มีคนธรรพ์ที่ดุร้ายอยู่เป็นจำนวนสามสิบโกฏิ ได้รบกวนและรังแกชาวบ้านชาวเมืองตลอดจนกระทั่งฤษีชีพราหมณ์ในป่าของแคว้นเกกัยชนบทเป็นประจำได้รับความเดือดร้อนกันอย่างหนัก ขอให้พระรามไปช่วยปราบคนธรรพ์นั้นด้วยเถิด หากขืนปล่อยเอาไว้เช่นนั้นแล้วมันก็จะต้องมีความดุร้ายมากขึ้นไปอีก
            พระรามจึงให้พระภรต พร้อมด้วยพระตักษ์และพระบุษกร ผู้ที่เป็นโอรสของพระภรตทั้งสอง ให้ยกกองทัพไปปราบคนธรรพ์และพระรามยังกำชับว่า ถ้าหากชนะศึกปราบคนธรรพ์ได้แล้ว ให้แบ่งเมืองให้กับพระตัษ์และพระบุษกรคนละครึ่งพระนคร พระภรตกับพระโอรสทั้งสองก็ยกกองทัพไป สมทบกับกองทัพของท้าวยุธาชิต แล้วก็ปราบคนธรรพ์สามสิบโกฏิได้สำเร็จ
พระพรตก็จัดแบ่งปัญจนัทยเทศออกเป็นสองเขต แล้วจึงสร้างพระนครให้
พระตักษ์เป็นนครหลวง มีนามว่า นครตักษศิลา มาในภายหลังเรียกเพี้ยน
ไปเป็น ตักกะศิลา แล้วก็สร้างเมืองหลวงให้กับพระบุษกร มีนามว่า นครบุษ
กราวดี มาจนถึงบัดนี้
          ทั้งสองพระนครและพระราชาใหม่ ทรงปกครองด้วยทศพิธราชธรรมจึงเป็นที่รักของปวงประชาราช และยังส่งเสริมบรรดาผู้ทรงศีลอีกด้วย ได้จัด
สร้างสถานที่แล้วอัญเชิญให้พระฤษีในป่าทั่วๆไป ให้มาบำเพ็ญตบะสร้าง
บารมี ภายในเขตแดนทั้งสองพระนคร
        พระฤษีทั้งหลายก็ประทานพรให้กับพระราชาใหม่ทั้งสองพระนครให้อยู่เย็นเป็นสุขหมดสิ้นทุกข์ภัยจากมารร้ายทั้งปวง ทั้งพระฤษีก็มีความเป็นอยู่
ที่สะดวกสบายไม่มีรากษสและอสูรมาคอยรังแกรบกวนให้ได้รับความเดือด
ร้อนอีกเลย....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 09:45

81.พระฤษีสมมิตร
  ท่านผู้นี่ได้บำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่าจนมีชื่อเสียงโ่ด่งดังเลื่องลือไปไกล ก็
เพราะความดีความชอบและการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดของท่าน จนเป็นที่ยก
ย่องกันในวงการพระฤษี สำนักของท่านเลยกลายเป็นสำนักใหญ่โตที่มีผู้สน
ใจและฝากตัวเป็นศิษย์ ต่างก็เข้ามาบวชเป็นพระฤษีบำเพ็ญตบะสร้างบารมี
อยู่ในสำนักของท่านอาจารย์ฤษีฤสมมิตร พระอาจารย์ท่านก็อบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งหลายเหล่านั้นด้วยความรักและเมตตา สั่งสอนทั้งทางโลกและทางธรรมประกอบกันไป เพื่อจะให้ศิษย์ทั้ง
หลายได้นำเอามาชั่งน้ำหนักดูว่าสิ่งใดและสิ่งใดไม่ควรเมื่อพิจารณาได้เช่นนั้นแล้วก็จะนำเอาเข้ามาสู่หลักการณ์การปฏิบัติกันต่อไป สิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ดีก็จะเก็บเอาไว้ให้อยู่ยงคงทนต่อไป ถ้าเห็นว่าสิ่งใดไม่ดีท่านก็จะต้องรีบสลัดตัดออกไปให้พ้น ดังนั้นบรรดาศิษย์ทั้งหลายจึงมีความศรัทธาเลื่อมใสต่อองค์อาจารย์ฤษีฤสมมิตรไม่เปลี่ยนแปลงต่างก็อยู่ในโอวาทเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระอาจารย์แต่ก็นั่นแหละ ที่ไหนมีดีที่นั่นก็มักมีชั่วคละเคล้าปะปนกันไปไม่มากก็น้อยในกลุ่มคนจำนวนมากยากนักที่จะให้ดีไปหมดทุกคน ย่อมจะต้องมีคนที่แหกคอกนอกคำสั่งสอนกันบ้างล่ะ เพียงแต่ว่าจะมากน้อยเท่าใด นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง......


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 09:48

82.พระฤษีวาปุระมุนี
  ท่านผู้นี้ก็มีความสามารถอีกท่านหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเพื่อนเกลอกับ พระฤษีมุสิก
มุนี และอยู่ในถิ่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นศิษย์สำนักอาจารย์เดียวกันอีกด้วยตอนเช้าหลังจากพระฤษีทั้งสองออกจากฌาณสมาบัติแล้ว มักจะออกมานั่งสนทนาธรรมกัน ที่บริเวณกองไฟหน้าอาศรม ผิงไฟระงับความหนาวกันอยู่ทุกวัน   ฝ่ายเจ้าลิงทะโมนใหญ่ เมื่อหนีฝนมาอย่างทุลักทุเลทั้งเปียกชุ่มทั้งหนาวสั่น เมื่อมันเห็นพระฤษีทั้งสองกำลังนั่งผิงไฟกันอยู่ มันก็ดีใจเดินตรงเข้าไปจะผิงไฟบ้าง เพื่อจะได้ประทังความหนาว แต่แล้วมันก็ต้องหยุดชะงัก มีความคิดขึ้นมาว่า ถ้าหากว่ามันจะเข้าไปร่วมผิงไฟกับพระฤษีด้วยลักษณะเช่นนี้ที่ไหนพระฤษีทั้งสองท่านจะยอมให้เข้าไปร่วมกับท่าน ดังนั้นมันจึงคิดหาเล่ห์เหลี่ยมที่จะต้องเข้าไปผิงไฟให้ได้และแล้วสมองของมัน ก็พลันมีความคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ที่ว่ามันจะต้องปลอมแปลงเป็นพระฤษีแล้วเข้าไปนั่งผิงไฟนั่นแหละจึงจะสำเร็จเมื่อคิดได้เช่นนั้นมันจึงลัดเลาะไปรอบๆอาศรม เก็บเอาเปลือกไม้เก่าๆของพระฤษีที่ทิ้งเอาไว้มาห่มครองให้กับตัวมัน แล้วจึงหาไม้เท้า คดๆงอๆ ทำท่าทางให้เหมือนพระฤษี แล้วเดินเข้าไปผิงไฟด้วย มันแสดงกิริยาท่าทางวางมาตรไม่ผิดเพี้ยนจากพระฤษีเลยสักนิด


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 09:49
ฝ่ายพระฤษีวาปุระก็แปลกใจที่อยู่ๆก็มีพระฤษีแปลกหน้าเข้ามานั่งผิงไฟด้วยถึงแม้จะเพ่งมองและใช้ความสังเกตุ อย่างไร ก็จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักมาแต่ก่อนหรือไม่ มองกันไปมองกันมา เจ้าลิงทะโมนมันก็วางท่าได้สมบทบาท พระฤษีวาปุระจึงถามพระฤษีมุสิกขึ้นว่า 'เอ..พระฤษีผู้นี้ดูทีท่าว่าจะไม่เคยเห็นหน้ามาแต่ก่อนนี้เลยนี่ ท่านมาอย่างไรกัน' พระฤษีมุกสิกก็โบกมือช้าๆแล้วกล่าวออกไปตามตรงว่า 'มันใช่ฤษีที่ไหนกัน ลิงต่างหากล่ะ มันเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่สมควรจะให้เข้ามา'
      เมื่อพระฤษีวาปุระทราบเช่นนั้นก็คว้าได้ไม้เท้าแล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวด
เร็ว เจ้าลิงทะโมนเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ คิดว่าพระฤษีจะต้องเอาแน่ด้วยความ
กลัวมันเลยลุกขึ้นกระโดดโครมหมายจะหนีไปให้พ้นจากที่นั้นโดยเร็ว แต่
อนิจจาแทนที่มันจะหนีออกไปจากกองไฟนั้น ด้วยความเผลอของมันที่มิ
ทันได้ระวังเอาไว้ก่อน มันดันกระโดดพรวด เข้าไปในกองไฟผ้าเปลือกไม้
ที่มันห่อหุ้มคลุมอยู่นั้นเลยเกี่ยวพันกับกองฟืน ไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา มันจะดิ้น
สักเท่าใดก็ดิ้นไม่หลุดด้วยไฟอันร้อนแรงที่กำลังลุกโชนอยู่นั้น ก็เลยไหม้ร่าง
ของมันจนกระทั่งขาดใจตาย ร่างของมันดำเป็นตอตะโก
'ก็สมควรแล้วกับชีวิตของลิงชั่วๆ ที่มันฆ่าตัวเอง ไม่มีใครเขาทำมันเลย'
พระฤษีวาปุระกล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินกลับอาศรม ต่อจากนั้นมาก็ไม่มีลิงมา
รบกวนพระฤษีอีกเลย......


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 09:51



83.พระฤษีมุสิกมุนี
***    ท่านผู้นี้ก็มีวิชาอาคมและตบะฌานเก่งกล้า มุ่งมั่นในบารมีธรรม จึงได้มุ่ง
ออกบวชเป็นพระฤษี แล้วมาสร้างอาศรมอยู่ในป่าหิมพานต์ เพื่อหามุมสงบที่
เหมาะสมในการบำเพ็ญ และยังเป็นเพื่อนเกลอของพระฤษีวาปุระมุนีอีกด้วย...


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 09:53


84.พระฤษีทธิวามุนี
***  ท่านผู้นี้แต่เริ่มแรกเดิมทีเป็นพ่อค้านำสินค้าไปต่างประเทศ ก็บังเอิญเกิดมรสุมทำให้เรือแตก จึงได้เกาะขอนไม้ลอยไปติดเกาะแห่งหนึ่ง จึงขึ้นไปบนเกาะนั้น และก็ไม่มีทางใดที่จะกลับบ้านหรือถิ่นกำเนิดได้จึงบำเพ็ญตนถือเพศเป็นพระฤษีอยู่ในเกาะกลางทะเลนั้นเป็นเวลาแสนนาน จนกระทั่งได้บรรลุฌานขั้นต่ำ จึงมีความมุ่งมั่นมานะพยายามบำเพ็ญตบะต่อไปเพื่อหวังในผลสำเร็จ จะได้กลับถิ่นเดิมได้.....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 09:55


85.พระฤษีคาวินท์
    พระฤษีองค์นี้ก็มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับรามเกียรติ์อีกท่านเป็นพระฤษีที่ชรามากบำเพ็ญตบะอยู่ในป่าด้วยความมุ่งมั่นเคร่งในการปฏิบัติ
    วันหนึ่ง วานรนิลราช ในขบวนการทหารของพระรามเข้ามาถึงอาศรม ใน
ขณะที่พระฤษีกำลังหลับตาเข้าฌานอยู่ ด้วยความซุกซนของวานรและมีนิ
สัยสนุกสนานคึกคะนอง มองเห็นไม้เท้าของพระฤษีวางอยู่ข้างๆ ก็คิดจะแกล้งล้อพระฤษี จึงได้ขโมยไม้เท้าไปซ่อนไว้ เมื่อพระฤษีออกจากฌานแล้วก็หาไม้เท้าไม่พบ จึงโกรธ นิลราชแล้วจึงสาปไปว่า ไม่ว่านิลราชจะทิ้งอะไรลงไปในทะเลหรือว่ามหาสมุทร สิ่งของนั้นจะต้องจมนิ่งอยู่กับที่ จะไม่มีการลอยหรือขยับเขยื้อนไปทางไหนจนกว่าจะได้รับใช้อาสาทำงานให้กับพระรามเมื่อไหร่ จึงจะพ้นคำสาป
    ก็นับว่าไม่เบาเลยทีเดียวสำหรับฤทธาศักดานุภาพของพระฤษีคาวินท์พระ
องค์นี้.....
    พระฤษีคาวินท์ สวมชฎาดอกลำโพงสีกลัก นิลราชได้นำไม้เท้าไปซ่อนใน
น้ำด้วยนึกสนุก พระฤษีจึงสาปว่าหากนำสิ่งใดทิ้งในน้ำก็ขอให้ของสิ่งนั้นจม
อยู่กับที่ เมื่อพระรามจองถนนจึงให้นิลราชรับก้อนหิน นำไปถมเพียงผู้เดียว
จึงพ้นคำสาป....


โดย: Nui_nawa    เวลา: 2014-5-17 10:40
หามาลงเยอะมากเลย ขอบคุณครับ
โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 10:44

86.พระฤษีอินทรปัต
  พระฤษีองค์นี้เป็นชาวเมืองพาราณสี ที่ออกไปบวชตนเป็นพระฤษีบำเพ็ญ
ตบะอยู่ในป่า จนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญ ในด้านวิชาความรู้ทั้งอิทธิฤทธิ์และ
บารมี ท่านมีความสามารถที่จะเหาะเหินเดินอากาศไปทุกหนทุกแห่งได้ตาม
ความต้องการอยู่มาวันหนึ่งมีพระโอรศของกษัตริย์ที่ไม่รักในการครอบครองราชสมบัติได้พาพระชายามาอยู่ในป่าหิมพานต์ทางด้านริมฝั่งน้ำพระคงคามหานที เช้าพระโอรสก็ออกไปป่าเพื่อหาผลไม้และเผือกมัน เอามาเก็บเอาไว้บริโภคในเวลาเย็นก็จะเดินกลับมายังที่พัก เป็นอย่างนี้ทุกวัน
วันหนึ่งหลังจากที่พระโอรสออกไปป่าแล้ว นางผู้เป็นพระชายาก็ติดไฟขึ้น
เพื่อจะต้มเผือกมันเอาเก็บไว้ให้พระสวามีได้เสวยเมื่อเวลากลับมาในตอนเย็น ควันที่ก่อไฟนั้นได้กระจายเกลื่อนขึ้นไปในอากาศ เป็นขณะเดียวกันกับที่พระฤษีอินทรปัตเหาะมาทางนั้นพอดีก็รู้ว่าในบริเวณนี้มีคนอยู่จึงเหาะลงมาเพื่อหวังจะได้พักเหนื่อย นางที่กำลังต้มเผือกอยู่นั้นก็มีความยินดี จึงต้อนรับพระฤษีพร้อมทั้งนำผลไม้เผือกมันมาถวายให้กับพระฤษีฉัน ด้วยว่านางนั้นมีรูปร่างสวยงามบาดตาบาดใจพระฤษียิ่งนัก จึงฉันไปพลางคุยไปพลางและก็มองไปพลาง จึงมีความคิดเตลิดเปิดเปิงไปในทางที่ผิดศีลธรรมเนื่องด้วยเกิดกิเลสตัณหาขึ้นมาแทรกแซงเพียงแค่คิดเท่านั้นก็ยังทำให้บารมีฌานของพระฤษีนั้นเสื่อมถอยลงไปได้


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 10:44
ครั้นว่าฉันอิ่มแล้วก็ยังไม่ค่อยอยากจะออกไปจากที่นั้น ยังนั่งคุยกับนางอยู่นานจนกระทั่งเย็นก็ยังไม่ยอมไป ได้เวลาพระโอรสผู้เป็นพระสวามีของนางนำเอาผลไม้กลับมาจากป่า พระฤษีเห็นเช่นนั้นก็ลุกหนีไปส่วนพระโอรสก็จะแกล้งพระฤษี จึงทำเป็นหยิบดาบ แล้ววิ่งไล่กวด พระฤษีเห็นเช่นนั้นก็ตกใจคิดว่าภัยจะมาถึงตัวแน่ๆ จึงตั้งท่าหมายจะเหาะทะยานหนีขึ้นไปในอากาศ แต่ด้วยอำนาจของกิเลสและตัณหาราคะปกคลุมอยู่ในใจจึงทำให้ฌานบารมีเสื่อม ในขณะที่จะกระโดดขึ้นไปจึงเหาะไม่ได้เหมือนอย่างแต่ก่อน จึงหล่นตูมลงไปในแม่น้ำพระคงคามหานทีนั่นเอง แต่เดชะที่ยังมีบารมีมากอยู่จึงไม่จมน้ำ ยังคงยืนนิ่งอยู่ในน้ำนั้นได้ เมื่อพระโอรสเห็นดังนั้นก็ให้นึกขำจึงกล่าวขึ้นมาดังๆว่า'ดูเถอะผู้ทรงศีลผู้มีบารมีมากๆ ในขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ยังมาปล่อยใจให้กิเลสมันมาครอบคลุมจิตใจเอาไว้ได้ เมื่อพบกับสิ่งที่ยั่วยวนก็อดใจไม่อยู่ เผลอไผลหลงลืมตัวจนกระทั่งฌานเสื่อม ตบะแตกป่นปี้ มันน่าขำสิ้นดี'  พระฤษีได้ฟังเช่นนั้นก็ระลึกถึงตัวเองได้ จึงสำรวมกิริยาให้เป็นปกติ แล้วในที่สุดฌานบารมีของพระฤษีก็กลับมาเหมือนเดิม แล้วจึงเหาะขึ้นไปในอากาศทะยานหนีไปโดยเร็ว

          พระโอรสเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ทรงระลึกได้ว่าสิ่งยั่วยวนทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันไม่จีรังยั่งยืนมีแต่ทางเสื่อมเสีย มีแต่ความมืดทั้งแปดด้านอย่างเช่นพระฤษี เมื่อมาพบหญิงงามเข้าแล้ว ถึงกับต้องทำให้ตบะแตกฌานเสื่อมลงไปนั่นมันเป็นเพราะอะไรมิใช่สิ่งนี้หรอกหรือเมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วพระโอรส
จึงพานางผู้เป็นพระชายากลับไปส่งให้อยู่ในเมืองตามถิ่นฐานบ้านเดิมของนางแล้วพระองค์เองก็มุ่งหน้าไปสู่ป่าหิมพานต์อีกครั้ง แล้วจึงบวชตนเป็นพระฤษีถือเพศพรหมจรรย์ บำเพ็ญตบะ สร้างบารมีอยู่ในป่า แห่งนั้นตลอดจนชั่วอายุขัย.....


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 10:47


87.พระฤษีกสิรมุนี ท่านผู้นี้เคยเป็นข้าราชบริพาร ของท่านท้าวพรหมทัตแห่ง
เมืองพาราณสี ที่เกิดความเบื่อหน่ายในทางโลก จึงสละโลกภายนอกออกบวชเป็นพระฤษี บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าหิมพานต์ พร้อมทั้งน้องชายอีก ๓ คน ก็พากันไปบวชเป็นพระฤษีทั้งหมด


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 10:51


88.พระฤษีวชิรามุนี ผู้ที่เป็นน้องรองจากกสิร ก็ลาท่านท้าวพรหมทัตติดตาม
พี่ชายมาบวชเป็นพระฤษีด้วย บำเพ็ญตบะอยู่ในป่าหิมพานต์เช่นเดียวกัน


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 10:58


89.พระฤษีวาโปนะมุนี ผู้นี้ก็เป็นน้องรองจากวชิราลงมา ก็มีความเห็นชอบ
ในทางธรรมว่าเป็นความสว่างในภายหน้า จึงออกมาบำเพ็ญตบะในเพศพระ
ฤษีอีกผู้หนึ่ง


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 11:01


90.พระฤษีมกันติมุนี ผู้นี้เป็นน้องคนสุดท้องในจำนวน ๔ คน ก็เห็นดีเห็นงาม
ในเพศสมณะจึงสละทางโลกเข้ามาพึ่งทางธรรม บวชตนเป็นพระฤษีกับเขาบ้าง


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 11:02
พระฤษีกสิรมุนี,พระฤษีวชิรามุนี,พระฤษีวาโปนะมุนี,พระฤษีมกันติมุนี

    แรกเริ่มเดิมทีทั้ง ๔ คน พี่น้องก็เป็นพราหมณ์ประจำสำนักของท่านท้าว
พรหมทัต แห่งเมืองพาราณสี แต่มีความคิดว่าการอยู่เป็นพราหมณ์รับราชการอยู่นั้น สิ่งที่ได้มันทำให้สุขกายสบายใจก็จริงอยู่ แต่มันก็เป็นเพียงความสุขได้เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น มันเป็นการโกหกหลอกลวงทั้งนั้น เหมือนกับการแสดงโขน ละครที่ครอบเอาไว้ด้วยหัวต่างๆ ที่เรียกว่า'หัวโขน' จึงได้มียศมีอำนาจสูง และจะครอบให้เป็นอะไรก็ได้ แต่ครั้นแสดงจบแล้วก็จะต้องถอดหัวโขนนั้นออก มันก็คือคนธรรมดาไม่มีอำนาจ ไม่มีฤทธิ์เหมือนอย่างที่มีหัวโขนสวมอยู่ ก็จะต้องเดินดินกินข้าวแกงต่อไป มันไม่มีความสว่างไสวที่จะส่องนำทางไปยังโลกหน้าได้เลย หากหลงงมงายติดอยู่ในกองกิเลสอย่างที่เป็นและที่เห็นกันอยู่จำเจแล้ว ก็คงไม่มีทางหลุดพ้นไปได้เลย
    เมื่อทั้ง ๔ พราหมณ์พี่น้องตกลงกันดังนั้นแล้ว ก็พากันขึ้นไปกราบทูลลา
ออกจากข้าราชการ แล้วมุ่งหน้าเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ต่างฝ่ายต่างสร้างอาศรม
แล้วสำรวมใจบำเพ็ญธรรมประโยชน์กันอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ จึงมีความอด
ทนเป็นที่ตั้ง ทั้งมานะพยายามหวังว่าจะต้องกระทำให้สำเร็จ
    ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็ย่อมอยู่ที่นั่น ทั้ง ๔ พระฤษีจึงได้
สำเร็จในอภิญญาฌานกันทั้งหมด แต่ก็ยังมิได้เพียงพอยังคงปฏิบัติกันต่อ
ไปไม่หยุดยั้ง    เวลาผ่านล่วงเลยไป จนกระทั่งพระฤษีกสิร พระฤษีผู้พี่ใหญ่ก็ได้ถึงกาลกิริยา ดับขันธ์ทิ้งร่างกายขึ้นไปบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในเทวโลก แต่เทพบุตรนั้นก็ยังมีความรำลึกนึกถึงน้องชายในอดีตชาติทั้ง ๓ อยู่ทุกขณะ จึงลงมาเยี่ยมพระฤษีที่เป็นน้องทั้ง ๓ เป็นประจำทุกวันมิได้ขาด คงปฏิบัติเช่นนั้นตลอดมา
    ต่อมาพระฤษีวชิรามุนีก็เกิดเป็นโรคแทรกแซงขึ้นมา มีอาการหนาวสั่น
จนกระทั่งร่างกายผอมแห้งจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแต่ก็ยังมีความเพียร
ในการบำเพ็ญไม่ยอมเลิกล้ม
    ฝ่ายเทพบุตรผู้เป็นพี่ใหญ่ในอดีต ก็ลงมาหาอีกเช่นเคย เมื่อเห็นอาการ
ของพระฤษีผู้ที่เคยเป็นน้องเช่นนั้นก็มีจิตสงสาร จึงประทานขวานเพชรอัน
ศักดิ์สิทธิ์ให้กับพระฤษีวชิรามุนีแล้วสั่งว่า จงเก็บรักษาขวานเพชรกายสิทธิ์
เล่มนี้เอาไว้ให้ดีจะใช้ให้ไปหาฟืนมาสุมไฟผิงกันหนาวก็ได้ หรือว่าจะใช้ให้
ไปทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เทพบุตรสั่งเสร็จก็รีบเหาะกลับไปวิมานในสวรรค์ พระ
ฤษีวชิรามุนีก็ค่อยมีความสุขสดชื่นขึ้นมาได้ แล้วมุ่งมั่นในการบำเพ็ญตบะ
ต่อไป


โดย: Metha    เวลา: 2014-5-17 11:03
ต่อมาอีกวันเทพบุตรก็ลงมาเยี่ยมน้องชายอีกคนที่ชื่อพระฤษีวาโปนะ
พร้อมทั้งถามว่า มีความเดือดร้อนในเรื่องอันใดบ้าง พระฤษีก็บอกว่า ความ
เป็นอยู่ในที่นี้ก็สบายดีอยู่หรอก แต่ทว่าในป่านี้มีความกันดารมาก จึงขาดแคลนอาหารที่จะบริโภค เทพบุตรจึงประทานหม้อทิพย์ให้กับพระฤษีแล้วสั่งว่าถ้าหากต้องการนมข้นหรือเนยใส ก็ให้อธิษฐานแล้วคว่ำหม้อกายสิทธิ์นี้ลงไปต้องการสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะไหลออกมาจากหม้อไม่หยุด จนกว่าจะสั่งว่าพอ
สั่งพระฤษีเสร็จแล้วเทพบุตรก็เหาะกลับสวรรค์ไป
    วันต่อมา เทพบุตรก็เหาะลงมาหาพระฤษีมกันติผู้มีอดีตเป็นน้องคนสุดท้องแล้วก็ถามว่ามีความเดือดร้อนอะไรบ้าง พระฤษีก็บอกว่าเป็นดินแดนแห่งป่าหิมพานต์ก็มีแต่ความสงบเงียบสงัด แต่ว่าอาศรมนี้อยู่ห่างไกลจากผู้อื่น จึงเดือดร้อนแต่เรื่องสัตว์ร้ายที่จะคอยมารบกวนเท่านั้น เทพบุตรจึงมอบกระดิ่งวิเศษให้กันพระฤษี แล้วสั่งว่าหากมีสัตว์ร้ายเข้ามารบกวนก็จงเขย่ากระดิ่งนี้ขึ้นแล้วสัตว์เหล่านั้นมันก็จะตกใจกลัวแล้วพากันหนีไป และศัตรูที่ร้ายๆ เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งนี้แล้วก็จะต้องอ่อนน้อมยอมเป็นมิตรและบรวารของเราแต่จงอย่าใช้ในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล ภัยมันจะเกิดขึ้นมาได้ ว่าแล้วเทพบุตรก็เหาะกลับสวรรค์เช่นเคย
    นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระฤษีทั้ง ๓ พี่น้องก็มีแต่ความสุขสะดวกสบายใน
การบำเพ็ญตบะ เพราะมีของกายสิทธิ์คอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา....
              พระฤษีพระองค์นี้มีอิทธิฤทธิ์และบารมีสูงส่ง เป็นพระอาจารย์ของทศกัณฑ์ เดิมทีพระฤษีองค์นี้ ก็เป็นวงค์พรหมอีกองค์หนึ่งซึ่งได้ลงมาบำเพ็ญตบะสร้างบารมีอยู่ในโลกมนุษย์(ในรามเกียรติ์เรียกว่าพระฤษีโคบุตร)
    ทศกัณฑ์ได้ร่ำเรียนวิชาจากพระฤษีเศรษฐบุตรจนเก่งกล้าสามารถ มีความชำนาญทั้งคาถาอาคมเวทย์มนตร์อันขลังและศักดิ์สิทธิ์สามารถกำบังกายหายตัวได้ จะย่อตัวให้เล็กลงก็ได้ จะทำให้ตัวใหญ่เท่ากับภูเขาก็ได้ และจะแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นตามความต้องการ และยังสอนให้ยิงธนูเก่งอีกด้วย   ในครั้งหนึ่งทศกัณฑ์ได้ร่ำลาพระฤษีเที่ยวเล่นไปในป่า ด้วยการเหาะขึ้นไปในอากาศจนกระทั่งมาถึงนคร มหิษมดี ในแคว้นไหหัยชนบท พบสวนดอกไม้ของอรชุนก็เหาะลงไปในอุทยานนั้นแล้วจึงเที่ยวเก็บดอกไม้และผลไม้เล่นเป็นที่สนุกสนานด้วยความซุกซนและฮึกเหิม ด้วยยังเป็นวัยรุ่นที่มีจิตใจภาลสันดาลต่ำ จึงกลั่นแกล้งหักต้นไม้ ถอนต้นไม้ในสวนนั้นอย่างสนุกมือ
    ในขณะนั้นก็พอดีพระอรชุนออกมาในอุทยานและพบว่าทศกัณฑ์หักต้นไม้เล่นทำให้ได้รับความเสียหาย ท้าวอรชุนก็โกรธจึงเข้ามาต่อว่า แต่แทนที่ทศกัณฑ์จะเกรงกลัวกลับหยิ่งยโสโอหัง ในที่สุดก็เกิดการต่อสู่กันขึ้นทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความสามารถด้วยกันทั้งคู่จึงสู้กันอยู่เป็นนานและแล้วในที่สุดท่านท้าวพันมือ(อรชุนมีมือถึงพันมือ)ได้ทีจึงแผลงศรพญานาคเข้าไปมัดทศกัณฑ์ ถึงแม้ว่าจะดิ้นรนหรือใช้คาถาอาคมในการแก้มัดก็ไม่สำเร็จ เพราะพระอรชุนเก่งกว่าจึงจับตัวทศกัณฑ์พาไปตระเวนไปในอากาศเพื่อที่จะประจานให้ใครๆได้รับรู้ในความชั่วช้าเลวทรามของทศกัณฑ์ ในระหว่างนั้นก็บันดาลให้เสียงกึกก้องกัมปนาทบนท้องฟ้า ตามระยะทางที่ท้าวอรชุนพาทศกัณฑ์เหาะมาทั้งแผ่นฟ้าสะท้านสะเทือนไปตลอดทาง






ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2