Baan Jompra

ชื่อกระทู้: เรื่องเล่าของเดียรัจฉานวิชา [สั่งพิมพ์]

โดย: รามเทพ    เวลา: 2013-4-26 13:29
ชื่อกระทู้: เรื่องเล่าของเดียรัจฉานวิชา
เรื่องเล่าของเดียรัจฉานวิชา





    เขต ชายแดนติดต่อประเทศไทยและภาคเหนือของเขมรแห่งหนึ่ง เส้นทางแสนจะลำบากลำเค็ญในทุก ๆ ฤดู เป็นเวรกรรมของผู้ที่ใช้เส้นทางนี้ หมู่บ้านมะแว้ง ตั้งอยู่กลางดงไม้อันหนาแน่นไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้ริเริ่มในการมา ลงหลักปักฐาน ถึงแม้นจะเป็นกลางดงลึก แต่ก็มีผู้คนอาศัยอยู่เกือบ ๕๐ หลังคาเรือน อาจจะเป็นเพราะดินค่อนข้างต่ำ น้ำค่อนข้างชุ่ม จากต้นน้ำหลาย ๆ สายของทิวเขาตลอดชายแดน
  ก่อนจะเข้าพรรษาประมาณเดือน พฤษภาคม   ก่อนฝนจะมาชาวบ้านมะแว้ง ได้มีโอกาสต้อนรับ พระภิกษุสงฆ์วัยชรารูปหนึ่งอายุ ราว ๆ ๖๐ เศษ ท่านได้ธุดงค์ผ่านมา           ท่านปรารภว่า " เข้าพรรษาปีนี้อาตมาประสงค์จะจำวัดที่หมู้บ้านมะแว้งแห่งนี้ " พุทธบริษัทต่างปรีดาปราโมทย์เป็นยิ่งนัก จึงพร้อมใจกันสร้างกุฏิขึ้น ๑ หลัง เลือกสถานที่เริ่มแม่น้ำเพราะเห็นวิเวกดี


   ชาวบ้านมะแวังมีอุปนิสัยชอบในการทำบุญ ถึงแม้จะเป็นหมู่บ้านที่ยากจนแต่ทุกคนมีศีลธรรมรักใครกรมเกียวกันดี จึงทำให้หลวงพ่อพระธดงค์ได้พำนักอย่างสบายใจ ในพรรษาชาวบ้านได้อยู่เย็นเป็นสุขกันมา จนกระทั้งผ่านมาถึงเดือนสุดท้ายก่อนออกพรรษา ข้าวในนาตั้งรวง อากาศเย็นเริ่มโชยมา ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดเพราะเมฆฝนหายไป มีแต่ปุยฝ้ายเข้ามาแทนที่ ท้องฟ้าสีเงิน ตัดเมฆงามตายิ่งนัก แต่น้ำในห้วยเริ่มขาดแคลน


แล้วข่าวร้ายก็ได้กระจายทั่วหมู่บ้าน หมูแม่พันธุ์ที่มีอยู่ตัวเดียวของนายมิ่ง ที่เลี้ยงไว้ไต้ถุนบ้าน ได้หายไปในตอนกลางคืน นายพรานคงชี้ชัดบอกว่า เสือมาคาบเอาไปกินเพราะบริเวรรอบบ้านมีรอยเท้าเสือเกลือนไปหมด ตั้งแต่นั้นมาวัวควายก็ทยอยหายไปเรื่อย ๆ แม้แต่สัตว์เล็กอย่างเป็ดไก่ก็พลอยหายไปด้วยเป็นที่หวาดผวาของชาวบ้านมะแว้ง ใครมีวัวมีควายต่างก็นำมาผูกรวมกันไว้คอกกลางหมู่บ้านและได้ก่อไฟเปลี่ยนเวร ยามกันอย่างแน่นหนา



  พอค่ำหน่อยต่างก็ปิดประตูหน้าต่างกันเงี่ยบไม่ได้ยินแม้แต่เด็กที่ร้องให้ เพราะกลัวเสือมันจะมาคาบเอาไปกิน ใครจะมีธุระกลางค่ำกลางคืนมาจะไม่คนเป็นประตูรับเป็นอันขาด ถ้ามีปวดท้องก็กลั้นเอากลั้นไม่อยู่ก็จะต้องมีคนมาคุมไม่น้อยกว่า ๓-๖ ยืนคุมพร้อมด้วยอาวุธที่มี.. ส่วนมากจะไม่มีใครกล้าลงจากบ้านกันเลย
*

   และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชาวบ้านมะแว้งต้องสยองขัวญเพราะเสือได้คาบหมูของ นายอินนางจันทร์สองสามีภรรยาเอาไปกิน หมาเลี้ยงไว้หลายตัวแต่ละตัวล้วนแต่ดุ ๆ เห่าเก่ง วันที่เกิดเหตุต่างไม่มีตัวไหนเลยที่จะส่งเสียงมาเตือน พวกมันมัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกัน พรานคงได้นำชายหนุ่มฉกรรจ์ออกตามรอยเท้าเสือพบเศษซากของหมู เกลื่อนกลาดไปเป็นทาง



   อีกหนึ่งอาทิตย์จะออกพรรษาหัวหน้าชาวบ้านเรียกลูกบ้านมาประชุมกันถึงเรื่อง งานบุญปีนี้จะเอาอย่างไรกันดีเพราะได้มีเสือเข้าในหมู่บ้าน และได้มีผู้กล้าหาญ ๕-๖ อาสาออกไปจัดการกับเสือร้ายโดยนายพรานคงเป็นหัวหน้า พรานคงให้นายวินเป็นคนเอาหมูออกไปผูกล่อเสือตรงกลางทุ่งแล้วพวกขางพรานคงก็ ทำคัดห้างที่ต้นไม้ใหญ่คอยจ้องมองว่าเสือมันจะมาคาบเอาหมูที่ผูกไว้เมื่อไหร่





  เสือมันก็รู้ตัวไม่ยอมโผ่ลมาให้เห็น คืนที่สองก็แล้วจนกระทั้งคืนที่สาม ดวงจันทร์ขึ้น ๘ ค่ำแสงจากดวงจันทร์สว่างจ้า ลมเย็น ๆ เริ่มโรยตัวลงมาแต่เหล่านายพรานคงยังคงถือปืนจ้องไปที่หมูที่ผูกเอาไว้ เสียงจิ้งหรีดที่พากันร้องจ้าจนแสบแก้วหูพลันพาพร้อมใจกันหยุดร้องเงี่ยบก ริบแม้แต่ลมก็พลอยจะหยุดไปด้วย ลมโชยมาอีกครั้งคราวนี้ได้กลิ่นสาบและร่างของเสือ็ปรากฏขึ้น หมูที่ผูกไว้มันรู้ว่าภัยได้มาถึงตัวมันแล้วมันดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ เชือกที่ผูกมัดไว้กับตอไม้หลุดออกแต่ก็ไม่พ้นจากกรงเล็บของเจ้าลายพลาดกลอน ไปได้ นายพรานคงถึงกับผงะเพราะเสือตัวใหญ่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย พอตั้งสติได้จึงยกปืนแก๊ปเล็งและวาดกระบอกปืนไปที่ร่างของเสือ เสียงปืนดังสนั้นหวั่นไหว



ทุกคนเห็นชัด ๆ ว่าเสือกระเด็นไปตามแรงของปืน แต่อะไรนั้นมันลุกขึ้นยืนสะบัดขนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และก็ได้คาบเอาเหยื่อแล้วเดินหายลับไปต่อหน้านายพรานคง ทุกคนตลึงอ้าปากค้าง



รุ่งเช้าทุกคนออกตามรอยเสือไป ไม่มีแม้แต่รอยเลือดของเสือคงมีแต่เลือดของเหยื่อเท่านั้นปืนของนายพรานคงทำ อะไรมันไม่ได้เลยเหรอ ข่าวเสือร้ายบุกเข้าไปคาบสัตว์เลี้ยงของชาวบ้าน นายอำเภอและตำรวจได้ออกมาช่วยไล่ล่าเสือแต่ไม่มีวี่แววของเสือมาให้เห็นเลย จนกระทั้งออกพรรษา ทุกคนลงความเห็นว่ามันคงแผ่นไปไกลไม่มาในหมู่บ้านนี้แล้ว ต่างคนก็ดีใจที่จะได้ไม่ต้องขวัญหนีดีฝ่อกันอีกแล้วต่างประกอบอาชีพกันตาม ปกติ หลังจากออกพรรษาไปได้ ๓ วัน ลูกสาวของพรานคงเอาขนมไปให้ยายที่บ้านท้ายทุ้ง ก็ถูกเสือคาบเอาไปกิน ร่องรอยเสือแทะจนเหลือแต่กระดูก ตับไตไส้พุงหายเกลี้ยง มันต้องเป็นเสือตัวเดียวกับตัวเดิมนั้นเอง



ชาวบ้านมะแว้งต้องขวัญเสีย อยู่กันอย่างหวาดผวาอีกครั้ง และไม่กี่วันถัดมา มีเด็กถูกเสือคาบเอาไปกินอีก.... เป็ดไก่วัวควายก็เริ่มหายไป ในที่สุดพวกชาวบ้านก็อพยพหนีจนเกือบจะหมดหมู่บ้าน พากันทิ้งข้าวในนาที่กำลังออกรวงเหลืองอร่าม
ท่ามกลางความเงียบและน่า กลัว ได้มีเกวียนเทียมวัวบรรทุกขายสินค้าพาสองสามีภรรยาวัยชราผ่านมาพบกับชาวบ้าน ชุดสุดท้ายที่เตียมอพยพลูกเมียออกจากหมู่บ้าน พอชายชราเห็นดังนั้นจึงได้ถามไถ่ได้ความมาว่าเสือร้ายได้มีก่อกวนจนเหลือทน แล้ว พ่อเฒ่าทั้งสองก็เหมือนกันต้องรีบออกไปจากหมู่บ้านนี้ก่อนมืดค่ำเดี๋ยวจะไม่ ทันการ
*


ชายชราได้ฟังแล้วก็พูดขึ้นว่านี้ก็เย็นแล้วเห็นจะไม่ทันแล้ว และได้ขอร้องขอให้ทุกคนอยู่แต่ในที่พัก หากว่าคืนนี้มีเสียงอึกทึกครึกโครมอะไรห้ามออกมาดูและส่งเสียงเป็นอันขาด ยายได้ไปชวนพวกผู้หญิงทำอาหารเย็นไว้กินกันก่อนที่จะมืด ฝ่ายตาก็ได้เข้าไปทำพิธีในเกวียน
  คืนวันเพ็ญเดือน ๑๒ แสงจันทร์ได้สาดส่องให้เห็นอะไรในตอนคืนได้เหมือนกับกลางวัน เวลาผ่านไปเลยเที่ยงคืนลูกเด็กเล็กแดงได้นอนหลับกันหมดแล้วยังคงมีแต่พวก ผู้ใหญ่ที่คอยเงี่ยหูฟังว่าคืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น และทุกคนต่างก็สดุ้งเมื่อได้ยินเสียงหายใจฟืดฟาด เหมือนเสียงวัวควายชนกัน กลางแสงจัทนร์นั้น ควายสีดำเป็นมันล่ำพี ๒ ตัว กำลังต่อสู่กับเสือขนาดมหึมา ควายตัวหนึ่งนั้นถูกแรงตบจากอุ้งมือเสือกระเด็นไปแต่ ควายอีกตัวกระโจรเข้าขวิดทันทีเมื่อเสืองับคอควายตัวที่กระเด็น นอกจากจะไม่ระคายหนังควายแล้ว เสือยังถูกแรงสบัดหลุดกระเด็นแถมถูกซ้ำด้วยการขวิดของควายอีกตัวเข้าด้าน หลัง ในที่สุดเสือพยายามหนีเพราะควาย ๒ ตัวรุมเสืออย่างไม่ให้ตั้งตัวติด



และ ในที่สุดควายตัวหนึ่งพุ่งชน ร่างกระเด็นลอยสูงไปตกบนหลังคากระท่อม จากนั้นมันกระโจนหายไปอย่างไม่รู้ทิศทาง และไม่มีใครรู้ว่ามันไปไหน ควายสองตัวเดินสะบัดหัวสะบัดหางเฉียดเกวียนสองตายายแล้วร่างของควายทั้ง สองก็หายวับจากสายตาที่จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ
รุ่งเช้าพวกชาวบ้านที่ยัง เหลืออยู่ได้พากันดีใจ ได้เตียมอาหารหวานคาวเพื่อไปทำบุญเพราะเรื่องร้าย ๆ ได้มลายหายไปแล้วชาวบ้านไม่ลืมที่ไปชวนสองตายายไปใส่บาตรด้วยกัน และพวกชาวบ้านได้พากันตะลึงอ้าปากค้างก้าวขาไม่ออกเพราะภาพที่เห็น
ที่ หน้ากุฏิร่างของของหลวงตานอนหายใจระรวย ตามตัวมีบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง เลือดสด ๆ ไหลโกรกออกมาจากบาดแผล ตามร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือด จมูกและปากก็มีเลือดไหล อะไรหรือนั้นที่ท่อนล่างตั้งแต่ท่อนเอวลงไป เป็นร่างของเสือลายพลาดกลอนเหลืองดำ หางสั่นระริกแสดงว่าใกล้จะสิ้นใจเต็มทนแล้ว




สายตาของหลวงตาเต็มไปด้วย ความเศร้าสร้อย เหมือนจะบอกว่า มีใครบ้างอยากตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ ทุกอย่างเป็นกฏของกรรม โดยแท้ เพราะเป็นพระแทนที่จะเจริญศีลภาวนากลับมุ่งร่ำเรียนแต่ เดียรัจฉานวิชา...ผลจึงออกมาเช่นนี้....

ที่มา godgram

โดย: AUD    เวลา: 2013-4-26 18:57
ขอบคุณครับ
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-4-29 16:30
พึ่งได้อ่าน ขอบคุณครับ
โดย: sriyan3    เวลา: 2013-5-2 16:59
สนุกดีครับ
โดย: Chalanon    เวลา: 2013-5-4 04:52
สนุกคับ รอติดตามเรื่องใหม่อยุ่น่ะคับ
โดย: Thara    เวลา: 2013-5-4 07:39
หนุกดี ฮ๊าฟ...ตามชมเรื่องหน้า  คับป๋ม..

โดย: Metha    เวลา: 2013-5-4 09:15
ระหว่าง เดรัจฉานวิชา กับคน เดรัจฉาน
อันไหนน่ากลัวกว่ากัน
โดย: Sornpraram    เวลา: 2014-11-13 08:27
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 09:15
ระหว่าง เดรัจฉานวิชา กับคน เดรัจฉาน
อันไหนน่ากลัวกว่ ...
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-4 09:15
ระหว่าง เดรัจฉานวิชา กับคน เดรัจฉาน
อันไหนน่ากลัวกว่ ...



แรงส์....ส์...ส์..ส์.ส์


โดย: ธี    เวลา: 2014-11-13 10:47
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ธี เมื่อ 2014-11-13 10:53

เรื่องเล่าที่ดีครับ ....หลายคนมักจะรับรู้ว่าเสือสมิงเกิดจากคนมีอาคมและใช้ในทางไม่ดี ...ผมมีเรื่องเล่าจากผู้ชราที่รู้จักเกี่ยวกับเสือสมิง อีกแง่มุมหนึ่ง

หลายคนสำหรับผู้เล่าเรียนทางไสยเวทย์คงคุ้นเคยกับคำว่า "ปู่เจ้าสมิงพราย" ซึ่งถือว่าเป็นบรมครูด้านเสน่ย์ และมีกล่าวถึงในลิลิดพระลอ ตอนปู้เจ้าสมิงพรายแสกไก่ฟ้าลอพระลอ

ผมได้รับการเล่าเรื่อง "คนกลายร่างเป็นเสือ" ในแง่มุมหนึ่ง....มีครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งทางใต้ มีผู้เฒ่าท่านหนึ่งอายุยืนยาวมาก (อาจ 150-180 ปี) มีลูก มีหลาน มีแเหลน และมีโลน ... วันหนึ่งผู้เฒ่าบอกลูกหลานว่า ขอไปอยู่ที่กระท่อมชายป่า ลูกหลานจึงสร้างกระท่อมให้และจัดเวรส่งอาหาร อยู่มาวันหนึ่งผู้เฒ่าไม่ออกจากกระท่อมแต่มีเสียงสั่งให้ลูกลานที่มาส่งข้าว วางอาหารไว้หน้ากระท่อม ลูกหลานแปลกใจ จึงได้แอบมอง ปรากฎว่า สิ่งที่ออกมาจากกระท่อมเป็นผู้เฒ่าแต่ร่างมีขนงอกเหมือนเสือ ทุกคร้งที่นำอาหารมาให้ก็จะแอบดู จนเห็นผู้เฒ่ากลายร่างเป็นเสือออกมากินอาหารโดยให้ปากแต่ยังไม่มีหางงอก วันหนึ่งช่วงกลางคืน ลูกหลานได้ยินเสียงเสือร้องลั่น แต่ไม่มีใคร่ลงไปดู เวลาใกล้รุ่ง ลูกหลานต่างฝันว่า ผู้เฒ่ามาบอกว่าตนเองงอกหางแล้วและจะเข้าไปอยู่ในป่าแล้ว หากมีธุระอะไร ก็ให้จุดธุปบอกกล่าวตนจะมาช่้วย ส่วนกระท่อมของผู้เฒ่าลูกหลานก็ดูแลให้ อยู่มาวันหนึ่ง มีเสือมากินวัวในหมู่บ้าน ลูกหลานผู้เฒ่าก็จุดธุปบอกกล่าว ตกดึกลูกหลานก็ฝันว่าผู้เฒ่ามาหาและบอกว่า เสือตัวนี้มันใหญ่มากกว่าตน รุ่งเช้าให้ไปที่ปลายนา จะเห็นเสือสองตัวสู้กันอยู่ ผู้เฒ่าจะอยู่ทิศตะวันออก ให้ช่วยเหลือด้วยเพราะเห็นจะสู้มันไม่ได้ รุ่งเช้า ลูกหลานก็ไปที่ปลายนา เห็นเสือสองตัวสู้กัน ทุกคนก็คอยโหและเอาอุปกรณ์ตีให้เกิดเสียงดัง ไม่มีใครกล้ายิงเพราะกลัวถูกผู้เฒ่า(ทวด) เสืออีกตัวตกใจจึงแพ้และหนีออกจากหมู่บ้าน ผู้เฒ่า(ทวด) จึงกลับเข้ากระท่อม ลูกหลานก็เอาอาหารมาวางไว้ให้ 2-3 วันต่อมา ผู้เฒ่าก็เข้าฝันบอกว่าจะไปแล้ว ....ปัจจุบันบริเวณที่เป็นกระท่อมผู้เฒ่า หากพรานยิงสัตว์แถวนั้น จะหาสัตว์ที่ถูกยิงไม่พบและจะให้โทษแก่ผู้ที่ทำร้ายสัตว์บริเวณนั้น ผู้ใดทำร้ายสัตว์ก็ต้องไปขอขมาโทษจึงหายป่วย

ผู้ชราเล่าว่า เสือสมิงบางตนเกิดจากคนที่มีบุญมากถึงขั้นที่จะไม่แก่ไม่ตาย(อมตะ) แต่คนเล่านี้จะสิ้นเมือเกิดไฟบรรลัยกรรล้างโลกเพื่อเปลี่ยนเป็นศาสนาพระศีอารยะ ผมถามว่า ปัจุบันคนถางป่า ทำไมไม่พบเสือพวกนี้ ผู้ชราเล่าว่า เสือจำพวกนีัมีเวทย์กำบังกาย คนไม่เห็น และเขาไม่ทำร้ายคนดี  

ผู้ชราบอกผมว่า เข้าป่าอย่าพูดสิ่งที่ลากมกเพราะเจ้าป่าและเทวดา หรือเสือสมิงเหล่านี้ไม่ชอบ ....ผู้ชราเล่าว่า เคยไปหาเหล็กไหลในถ้ำที่จังหวัดสตูล ขณะขึ้นเขา มีเสือโคร่งตัวใหญ่สองตัวยืนอยู่และหายไป ผู้ชราบอกว่า ผู้รู้เขาบอกว่า เป็นเสือสมิงผัวเมีย เสือทั้ง 2 ตัว เป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม และอายุยืนยาวจนกลายร่างเป็นเสือทั้งคู่ ตกดึกคนหนุ่มๆที่ไปด้วยชวนกันพูดสิ่งลามก และได้ยินเสียเหยียบไม้ดังอยู่บริเวณใกล้ๆ รุ่งเช้าก็พบเห็นรอยเท้าเสือใหญมากบริเวณรอบๆ ที่ตั้งเคม ........ผู้มีความรู้จึงบอกว่าให้กลับ ถ้าไม่กลับพวกคนหนุ่มๆที่พูดลามกจะถูกเสือกิน เพราะทวดเสือไม่พอใจและแสดงให้เห็นแล้วว่าถ้าไม่กลับเขาจะฆ่า ทุกคนจึงเดินทางกลับ ใกล้ถึงทางตีนเขเห็นเสือสองตัวยืนมองอยู่

เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เล่ามา....จริงหรือไม่ก็พิจารณาครับ
โดย: Nujeab    เวลา: 2014-11-13 11:38
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2