Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
วัดพระธาตุดอยม่วงคำ จ.ลำปาง “ต้นกำเนิดแห่งตำนานหมาขนคำ”
[สั่งพิมพ์]
โดย:
kit007
เวลา:
2014-5-8 10:21
ชื่อกระทู้:
วัดพระธาตุดอยม่วงคำ จ.ลำปาง “ต้นกำเนิดแห่งตำนานหมาขนคำ”
วัดพระธาตุดอยม่วงคำ จ.ลำปาง
“ต้นกำเนิดแห่งตำนานหมาขนคำ”
วัดพระธาตุดอยม่วงคำ
หรือเรียกว่า
วัดดอยม่วงคำ
ตั้งอยู่ที่บ้านแม่ทะ หมู่ที่ 1 ต.แม่ทะ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง เป็นวัดชั้นราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีเนื้อที่วัด 13 ไร่ 2 งาน อยู่ห่างจาก อ.เมือง ประมาณ 17 กิโลเมตร มีบันไดขึ้นที่ชันมากประมาณ 484 ขั้น และถ้าขึ้นไปชั้นสูงสุดจะมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามมาก ก่อนจะถึงบันไดชั้นสูงสุดจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ที่ศาลา ซึ่งเป็นที่สักการะของผู้ที่มาเที่ยววัดดอยม่วงคำ
เดิมพื้นที่วัดเป็นป่าเขา ต่อมามีการค้นพบฐานเจดีย์เก่าซึ่งสอดคล้องในตำนานหมาขนคำของคนโบราณ พระครูรัตนโสภณ (หลวงพ่ออิ่น) อดีตเจ้าคณะอำเภอแม่ทะ อดีตเจ้าอาวาสวัดเมืองศาสน์ ร่วมกับ หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดลำปางได้ทำการสร้างวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2468 และได้รับความอุปถัมภ์สมณะศรัทธา เช่น พระครูสุเวทกิตติคุณ (หลวงปู่บุญชุบ) วัดเกาะวารลุการาม อ.เมือง จ.ลำปาง และชาวบ้านทั่วไป ตลอดจนถึงคณะศรัทธาอำเภอแม่ทะ และคณะศรัทธาตำบลกล้วยแพะ และศรัทธาทั่วสารทิศจำนวนมาก โดยหลวงพ่อพระครูรัตนโสภณ ได้ดำรงตำแหน่งรักษาการแทนเจ้าอาวาสรูปแรก ตั้งแต่ พ.ศ.2468-2512 เป็นเวลา 44 ปี จนท่านมรณภาพ จากนั้นวัดพระธาตุม่วงคำ ก็เป็นวัดร้างถึง 21 ปี ต่อมาก็มี พระอธิการทินพันธ์ ทินฺนวโร จากวัดเมืองศาสน์ อ.เมืองลำปาง มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสตั้งแต่ พ.ศ.2533 จนถึงปัจจุบัน และที่วัดพระธาตุดอยม่วงคำนี้จะจัดงานสรงน้ำพระธาตุทุกปี ซึ่งงานประเพณีสรงน้ำพระธาตุประจำปีจะตรงกับ วันแรม 8 ค่ำ เดือน 9 เหนือ ซึ่งมีงานสมโภชอย่างใหญ่โตและวัดพระธาตุดอยม่วงคำนี้ ก็เป็นแหล่งกำเนิดตำนานที่ลือลั่นแห่งหนึ่งของเมืองลำปาง เรียกกันว่าตำนานหมาขนคำ หรือหมาขนสีทองคำ ซึ่งตำนานหมาขนคำมีความเป็นมาดังนี้
จากตำนานได้กล่าวถึงครั้งตั้งแต่สมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเรา และเหล่าพระอรหันต์สาวกจำนวน 1,500 องค์ ได้เสด็จโดยทางนภากาศ มาประทับที่ดอยแห่งนี้ พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงพระธรรม อริยสัจสี่ แก่พระอานนท์และพระสาวก เทพบุตรเทพธิดา พระอินทร์ พระพรหม ยมราช พญาครุฑ พญานาค และพุทธบริษัทที่มาเข้าเฝ้า จากนั้นพระสาวกรูปหนึ่งได้ตรัสถามถึงความเป็นมาในอดีตของดอยแห่งนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า ในอดีตที่แห่งนี้ได้มีพระพุทธเจ้าในภัทรกัปแห่งเรา มาอยู่สร้างพระสัมมาสัมพระโพธิญาณทุกพระองค์ จากนั้นพระพุทธองค์ทรงลูบพระเศียรทรงนำเส้นพระเกศาจำนวน 8 เส้น ให้บรรจุไว้ในหลุมลึกประมาณ 50 วา โดยพระอินทร์ได้สั่งให้พระวิษณุกรรมเทพบุตร ไปนำเอากิ่งมะม่วง (กัมปะละ) ปักที่หลุมนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายไว้ แล้วทรงตรัสพยากรณ์ต่อไปว่า จากนี้ไปในภายภาคหน้าที่แห่งนี้จะมีชื่อว่า ดอยม่วงคำ และเมื่อตถาคตปรินิพพานไปแล้ว เหล่าพระสาวกจะอัญเชิญ พระมหาจานุกัง (กระดูกคางด้านซ้าย) มาบรรจุไว้ที่นี่
โดย:
kit007
เวลา:
2014-5-8 10:22
สำหรับตำนานหมาขนคำที่ดอยม่วงคำนี้ เล่าว่า นานมาแล้วมีนายพรานคนหนึ่งได้เลี้ยงหมาตัวเมียมีขนสีทองจึงเรียกกันว่าหมาขนคำไว้หนึ่งตัว และในย่านนั้นไม่มีหมาตัวผู้อยู่เลย วันหนึ่งแม่หมาเกิดตั้งท้องขึ้นมา นายพรานเกรงจะถูกชาวบ้านครหาว่ามีเมียเป็นหมา จึงคิดจะกำจัดแม่หมา บ้านของนายพรานอยู่ในย่านบ้านเหล่าปลดริมป่า คือบ้านเสาสูงแบบเรือนต้นไม้ ราวบันไดปลดเก็บขึ้นไว้บนเรือนเพื่อป้องกันมิให้สัตว์ร้ายขึ้นเรือนไปทำร้ายชีวิตคนบนบ้านได้ เย็นวันหนึ่ง นายพรานปลดบันไดบ้านเก็บไว้บนบ้านโดยทิ้งแม่หมาไว้ข้างล่าง โดยหวังที่จะให้เสือมาคาบแม่หมาเอาไปกิน แม่หมาก็วิ่งหนีไปถึงดอยผาสามเส้า ริมดอยวัดม่วงคำ (เขตอำเภอแม่ทะ) แล้วคลอดลูกแฝดเป็นเด็กหญิงน่ารักสองคน ในแต่ละวันแม่หมาก็ไปหาอาหารมาเลี้ยงลูกน้อย และคาบเสื้อผ้าที่ชาวบ้านตากไว้บนราวตากผ้านำไปให้ลูกสาวสวมใส่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปลูกสาวฝาแฝดทั้งสองคนเติบโตเป็นหญิงสาว คนพี่ชื่อนางเจตะกา คนน้องชื่อนางบัวตอง กิตติศัพท์ความสวยงามของหญิงสาวทั้งสองกระฉ่อนไปถึงในเมือง
เมื่อพระยาปลัมมะโฆษา เจ้าเมืองทราบข่าว ปรารถนาจะได้ธิดาแฝดไปเป็นมเหสีซ้ายขวา ก็จัดขบวนวอทองไปรับสองธิดาแฝดที่ดอยผาสามเส้าขณะที่แม่หมาไม่อยู่ ธิดาแฝดบัวตองผู้น้องแสดงความเสียใจร้องไห้คร่ำครวญถึงแม่หมา ส่วนผู้พี่มีทีท่าตื่นเต้นที่มีวาสนาจะได้เข้าไปอยู่ในวัง พระยาปลัมมะโฆษา เจ้าเมืองได้สร้างปราสาทสองหลังให้นางเจตะกาและนางบัวตองอยู่คนละหลัง ฝ่ายแม่หมาเมื่อกลับมาถึงผาสามเส้าก็พบว่าลูกสาวหายไป แม่หมาก็เห่าหอนและตะกุยหน้าผาจนเป็นรอยคล้ายเล็บเท้าฝังในเนื้อหินผา ที่ชาวบ้านเรียกว่ารอยตีนหมาขนคำร้องไห้หาลูกสาว มาจนทุกวันนี้ ร้อนถึงพระอินทร์เวทนาแม่หมาจึงเนรมิตให้แม่หมาพูดได้ แม่หมาจึงเดินทางติดตามหาลูกสาวถึงในเมือง แม่หมาได้ถามไถ่ชาวบ้านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงปราสาทของนางเจตะกา ทหารได้ซักถามแม่หมาว่ารู้จักและเกี่ยวข้องกับนางเจตะกาอย่างไร แม่หมาก็บอกว่านางเจตะกาเคยเป็นนายเก่ามาก่อน ครั้นเมื่อทหารนำความมาแจ้งแก่นางเจตะกา นางเจตะกากลัวว่าจะอับอายที่มีแม่เป็นหมา จึงสั่งให้ทหารทำร้ายแม่หมาจนได้รับบาดเจ็บจนต้องวิ่งหนีไป
แม่หมาได้รับบาดเจ็บก็วิ่งมาถึงปราสาทนางบัวตอง นางบัวตองรีบวิ่งมารับแม่หมานำเข้าไปในปราสาทเพื่อเยียวยารักษา ให้ข้าวให้น้ำแก่แม่หมา นางบัวตองได้ทูลขอหีบขนาดใหญ่จากสวามีโดยบอกว่าจะเอาไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าภายในกำหนดเวลาเจ็ดวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางบัวตองได้นำหีบไว้เป็นที่ซ่อนของแม่หมาในวัง เมื่อครบเจ็ดวันแล้ว แม่หมาทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สิ้นใจตาย พระอินทร์ได้เนรมิตร่างแม่หมาให้กลายเป็นแก้วแหวนเงินทอง เมื่อพระยาเจ้าเมืองพบว่ามีแก้วแหวนเงินทองเต็มหีบ พระองค์ก็โปรดปรานนางบัวตองเป็นอันมาก พระองค์ก็ให้นางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าอีกครั้งหนึ่ง นางบัวตองมีความเสียใจที่แม่หมาเสียชีวิต นางจึงคิดจะกระโดดหน้าผาเพื่อฆ่าตัวตาย แต่บริเวณข้างล่างของหน้าผาเป็นที่อยู่ของยักษ์ซึ่งป่วยเป็นฝีกลัดหนองเจ็บปวดมาก เมื่อนางบัวตองกระโดดลงไปกระทบกับร่างของยักษ์ทำให้ฝีแตก ยักษ์จึงหายปวดเป็นปลิดทิ้ง ยักษ์จึงมอบทรัพย์สมบัติให้นางบัวตองเป็นอันมาก นางบัวตองจึงนำสมบัติกลับวังมาถวายพระยาปลัมมะโฆษา
ฝ่ายนางเจตะกา เมื่อทราบข่าวว่านางบัวตองไปขนสมบัติที่ผาสามเส้า นางก็รู้สึกอิจฉานางบัวตอง นางจึงอาสาพระยาปลัมมะโฆษา จะไปขนสมบัติที่ผาสามเส้าบ้าง เมื่อไปถึงผาสามเส้านางเจตะกาก็กระโดดหน้าผาตามที่นางบัวตองแนะนำ ด้วยความที่นางเจตะกามีบาปหนาฆ่าแม่ของตัวเอง ยักษ์จึงจับนางเจตะกากินเป็นอาหาร แล้วยักษ์ก็ไล่กินขบวนช้างม้าตายเกลื่อนเป็นจำนวนมาก สถานที่แห่งนี้จึงเรียกว่าโทกหัวช้าง ซึ่งในปัจจุบันเป็นชุมชนอยู่ในเขตอำเภอเมืองลำปาง และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า นายพรานคนนั้นหลังจากสิ้นชีวิตลงได้เกิดมาเป็น พระเทวทัต แม่หมาขนคำได้เกิดมาเป็น นางปฏาจารา นางบัวตองได้เกิดมาเป็น พระนางพิมพายโสธรา นางเจตะกาได้เกิดเป็น นางจิญจมาณวิกา ผู้ใส่ร้ายพระพุทธเจ้า ทำให้โดนแผ่นดินสูบลงมหานรกอเวจี ส่วนพระยาปลัมมะโฆษานั้นได้เกิดมาเป็นพระตถาคตแห่งเราทั้งหลาย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าให้บรรดาพระพุทธสาวก เทพ เทวดา มนุษย์ ที่มาเฝ้า ณ ที่นั้นได้รับทราบ…ถึงตำนานที่มาของหมาขนคำแห่งนี้
โดย:
kit007
เวลา:
2014-5-8 10:22
ที่มา :
http://www.banmuang.co.th/2012/07/%E0%B ... %E0%B8%9B/
....................................................................................
ที่มา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=45971
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2