Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
พระพุทธชินราช
[สั่งพิมพ์]
โดย:
kit007
เวลา:
2014-4-27 07:24
ชื่อกระทู้:
พระพุทธชินราช
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kit007 เมื่อ 2014-4-27 07:25
[พระพุทธชินราช : ปางมารวิชัย พุทธศิลป์แบบสุโขทัยตอนปลาย หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทอง
ประดิษฐานในซุ้มเรือนแก้ว ณ พระวิหารวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) จ.พิษณุโลก]
พ ร ะ พุ ท ธ ชิ น ร า ช
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
ขนาดหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว สูง ๗ ศอก ๑ คืบ
วัสดุสำริดลงรักปิดทอง
เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย
และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดพิษณุโลก
เป็นต้นแบบในการสร้างพระพุทธชินราชจำลอง
ที่วัดเบญจมพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร
พระพุทธชินราชนับเป็นพระพุทธรูปที่งดงามล้ำเลิศ
ความสูงส่งแห่งฝีมือช่างกรุงสุโขทัย
จากความงดงามแห่งเส้นรอบนอกองค์พระ
ความละมุนละมัยของสุนทรียศิลป์ ที่สะท้อนออกมาทางรูปทรง
วงพระพักตร์อันอิ่มเอิบด้วยความเมตตา
ที่แฝงด้วยความสงบสันติ หลุดพ้นจากกิเลส
เป็นการผสมผสานความสมบูรณ์ลงตัว
ของศิลปะสุโขทัยแบบเชียงแสนอย่างกลมกลืน
เมื่อ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เสด็จมานมัสการพระพุทธชินราชครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๕ ทรงบันทึกว่า
“เวลานั้นยังไม่ได้ทรงปฏิสังขรณ์แก้ไขพระวิหารให้สว่างอย่างทุกวันนี้
พอไปถึงประตูวิหารแลเข้าไปข้างในดูที่อื่นมืดหมด
เห็นแต่องค์พระชินราชตระหง่านงามเหมือนลอยอยู่ในอากาศ
เห็นเข้าก็จับใจเกิดเลื่อมใสขึ้นทันที”
การประดิษฐานองค์พระให้หน้าตักอยู่นระดับสายตา ในวิหารที่มีรูปทรงยาว
เปรียบเหมือนการส่องกล้องปรับระยะการมองให้คมชัดที่สุด
ความพอดีของมุมมองและแสงเงาจึงทำให้เห็นความงามอย่างเต็มที่
พระพุทธชินราชประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านในเมืองพิษณุโลก
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
ยังทรงสรรเสริญว่า
พระพุทธชินราชนี้เป็นหลักเป็นศรีของเมืองพิษณุโลกและของเมืองไทยทั้งประเทศ
และในเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี
ประชาชนจึงพร้อมใจกันอัญเชิญพระพุทธชินราชไปทำพิธีสรงน้ำ
ซึ่งถือเป็นพิธีที่ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมากระทั่งปัจจุบัน
โดย:
kit007
เวลา:
2014-4-27 07:25
• ประวัติการสร้างพระพุทธชินราช
การสร้างพระพุทธชินราช ตามตำนานแย้งกันเป็น
๒
นัย
นัยหนึ่งว่าสร้างเมื่อราวจุลศักราช ๓๑๙ (พ.ศ. ๑๕๐๐)
แต่อีกนัยหนึ่งกล่าวว่าสร้างเมื่อราวจุลศักราช ๗๑๙ (พ.ศ. ๑๙๐๐)
ตำนานที่อ้างถึงพระพุทธชินราชหล่อขึ้นในจุลศักราช ๓๑๙ นั้น
เป็นตำนานที่กล่าวไว้ในพงศาวดารเหนือ
ปรากฏอยู่ใน
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔)
ว่าด้วยเรื่องพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา
และ
พระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่๕)
เรื่องพระพุทธชินราช ความว่า
เมื่อ
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
ผู้ครองนครเชียงแสน
ได้ยกกองทัพลงมาตีเมืองศรีสัชนาลัย
ซึ่งมีพระเจ้าพสุจราชปกครองอยู่
ทหารทั้งสองฝ่ายรบราฆ่าฟันกันตายลงเป็นอันมากมิได้แพ้ชนะกัน
พระพุทธโฆษาจารย์ซึ่งเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่
มีความเศร้าสลดใจในศึกครั้งนี้
จึงเข้าทำการไกล่เกลี่ยให้พระราชาทั้งสองนี้เป็นสัมพันธไมตรีกัน
พระราชาทั้งสองก็ยอมปฏิบัติตาม
พระเจ้าพสุจราชได้ทรงยกพระนางปทุมราชเทวีราชธิดา
อภิเษกให้เป็นมเหสีแห่งพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
มีพระราชโอรสด้วยพระนางปทุมราชเทวี ๒ พระองค์
ทรงพระนามว่า เจ้าไกรสรราชกับเจ้าชาติสาคร
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
มีพระประสงค์จะป้องกันการรุกรานของชาติขอม
ซึ่งขณะนั้นมีอำนาจอยู่ทางละโว้หรืออีกนัยหนึ่งเป็น
การแผ่ราชอาณาจักรให้ไฟศาลออกไป
จึงได้สร้างเมืองพิษณุโลก ให้ราชโอรสขึ้นครองเมือง
ตามพงศาวดารกล่าวว่าได้สร้างเมืองพิษณุโลก
เมื่อจุลศักราช ๓๑๕ (พ.ศ. ๑๔๙๖)
เมื่อสร้างเสร็จแล้ว
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
ได้เสด็จลงมาอภิเษกเจ้าไกรสรราชขึ้นครองเมือง
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
นี้
ทรงพระปรีชาสามารถรอบรู้แตกฉานพระไตรปิฎกมาก
จึงได้รับเฉลิมพระนามาภิไธย
โดย:
kit007
เวลา:
2014-4-27 07:26
ดังนั้น ขณะที่เสด็จประทับอยู่ ณ เมืองพิษณุโลกที่ได้สร้างขึ้นใหม่
ก็มีพระประสงค์จะบำเพ็ญบุญกุศลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา
และให้พระเกียรติศัพท์พระนามปรากฏในภายหน้า
จึงตรัสสั่งให้สร้าง
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ
ขึ้นเป็นคู่กับเมือง
สร้างพระมหาธาตุเป็นรูปปรางค์สูงราว ๘ วา ตั้งกลาง
แล้วสร้างพระวิหารรอบปรางค์ทั้งสี่ทิศ มีระเบียง ๒ ชั้น
พระองค์ต้องการจะสร้างพระพุทธรูปขึ้น ๓ องค์
เพื่อเป็นพระประธานในพระวิหาร
ในเวลานั้นที่เมืองศรีสัชนาลัย ทั้งสวรรคโลกและสุโขทัย
เป็นที่เลื่อลือปรากฏในการฝีมือช่างต่างๆ
ทั้งการทำพระพุทธรูปว่าฝีมือดียิ่งขึ้น
จึงมีพระราชสาส์นไปยังกรุงศรีสัชนาลัย
เพื่อขอช่างมาช่วยปั้นหุ่นพระพุทธรูป
สมเด็จพระเจ้ากรุงศรีสัชนาลัยจึงส่งช่างพราหมณ์ที่ฝีมือดี ๕ นาย
ชื่อบาอินทร์ บาพราหมณ์ บาพิษณุ บาราชสิงห์ และบาราชกุศล
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
โปรดให้ช่างสวรรคโลกสมทบกับช่างชาวเชียงแสนและช่างหริภุญชัย
ช่วยกันหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ทั้ง ๓ องค์
มีทรวดทรงสัณฐานคล้ายกัน แต่ประมาณนั้นเป็น ๓ ขนาด
องค์ที่ ๑ ตั้งพระนามไว้ว่า
พระพุทธชินราช
มีขนาดหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๕ นิ้ว
มีเศษสูง ๗ ศอก พระเกศสูง ๑๕ นิ้ว เป็นปางมารวิชัย
องค์ที่ ๒ ตั้งพระนามไว้ว่า
พระพุทธชินสีห์
มีขนาดหน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๑ คืบ ๔ นิ้ว เป็นปางมารวิชัย
องค์ที่ ๓ ตั้งพระนามไว้ว่า
พระศรีศาสดา
มีขนาดหน้าตักกว้าง ๔ ศอก ๑ คืบ ๖ นิ้ว เป็นปางมารวิชัย
พระศรีธรรมไตรปิฎกทรงเลือกลักษณะอาการตามชอบพระทัยให้ช่างทำ
คือ สัณฐานอาการนั้นอย่างพระพุทธรูปเชียงแสน
ไม่เอาอย่างพระพุทธรูปในเมืองศรีสัชนาลัย สวรรคโลก และเมืองสุโขทัย
ที่ทำนิ้วสั้นยาวไม่เสมอกันอย่างมือคน
ทรงรับสั่ง ให้ทำนิ้วให้เสมอกันตามที่พระองค์ทราบว่า
เป็นพุทธลักษณะ พระลักษณะอื่นๆ ก็เป็นอย่างเชียงแสนบ้าง
อย่างศรีสัชนาลัยและสวรรคโลก สุโขทัยบ้าง
โดย:
kit007
เวลา:
2014-4-27 07:28
จวบจนวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปีเถาะ สัปตศก จุลศักราช ๓๑๗
ได้มงคลฤกษ์ กระทำพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์
และเมื่อเททองหล่อเสร็จแล้ว กระทำการแกะพิมพ์ออกมาปรากฎว่า
พระองค์ที่ ๒ คือพระพุทธชินสีห์ และพระองค์ที่ ๓ คือพระศรีศาสดา
องค์พระบริบูรณ์ดีมีน้ำทองแล่นติดตลอดเสมอกันสวยงาม ๒ องค์เท่านั้น
ส่วนรูป
พระพุทธชินราช
นั้น ทองแล่นไม่เต็มองค์ ไม่บริบูรณ์
นับว่าเป็นอัศจรรย์ของช่างและผู้มาร่วมพิธีเป็นอันมาก
ช่างได้ช่วยกันทำหุ่น และเททองหล่ออีกถึง ๓ ครั้ง
ก็ไม่สำเร็จเป็นองค์พระได้ คือทองแล่นไม่ติดเต็มองค์
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกทรงรู้สึกประหลาดพระทัยยิ่งนัก
พระองค์จึงตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงเอาบุญบารมีของพระองค์เป็นที่ตั้ง
อีกทั้งขอให้ทวยเทพเทวดาช่วยดลใจ
ให้สร้างพระพุทธรูปสำเร็จตามพระประสงค์เถิด
แล้วให้ช่างปั้นหุ่นใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ในครั้งหลังนี้ ปรากฏว่ามี
ตาปะขาว
คนหนึ่ง
ไม่มีผู้ใดทราบว่าชื่อใดมาจากไหนเข้ามาช่วยปั้นหุ้นและช่วยเททอง
ทำการงานอย่างแข็งแรงทั้งกลางวันและกลางคืนจนเสร็จโดยไม่พูดจากับผู้ใด
ครั้นได้มหามงคลฤกษ์
ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ ปีมะเส็ง นพศกจุลศักราช ๓๑๙
(ุพุทธศาสนากาลล่วงแล้ว ๑๕๐๐ หย่อนอยู่ ๗ วัน)
ก็ประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธชินราช
คราวนี้น้ำทองที่เทก็แล่นเต็มบริบูรณ์ตลอดทั่วองค์พระ
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
ทรงปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง
จึงตรัสสั่งให้ตาปะขาวผู้มาช่วยปั้นหุ่นและช่วยเททองนั้น แต่มิได้พบ
ปรากฏว่าเมื่อหล่อพระเสร็จแล้ว ก็เดินทางออกประตูเมืองด้านทิศเหนือ
พอถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็หายไปไม่มีใครพบเห็นอีก
จึงพากันเข้าใจว่า
ตาปะขาว
ผู้นั้น
คือเทพยดาแปลงกายมาหล่อพระพุทธชินราช
อันเป็นเหตุทำให้ เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธรูปองค์นี้ยิ่งขึ้น
ตำบลบ้านที่ตาปะขาวหายไปนั้นได้ชื่อว่า บ้านตาปะขาวหายต่อมาจนถึงทุกวันนี้
โดย:
kit007
เวลา:
2014-4-27 07:29
เมื่อแกะพิมพ์ออกหรือกระเทาะหุ่นออกมาก็เป็นที่ประหลาดใจ
และตื่นเต้นของชาวพุทธบริษัทเป็นอย่างยิ่ง
คือ เมื่อกระเทาะหุ่นออกคราวนี้
ทองแล่นติดเต็มองค์พระงดงามสมบูรณ์ดั่งสวรรค์เนรมิต
เนื้อทองสำริดสุกสกาวสดใส งามจนหาที่ติไม่ได้
จึงพากันเชื่อว่าพระพุทธชินราชองค์นี้น่าจะเป็นเทวดามาสร้างให้เป็นแน่แท้
ถึงได้มีพุทธลักษณะสวยงามที่สุดในแดนสยาม
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
โปรดฯ ให้อัญเชิญเข้าประดิษฐานไว้ในสถานที่ทั้ง ๓
คือพระพุทธชินราช อยู่ในพระวิหารใหญ่ผันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก
พระพุทธชินสีห์อยู่ทิศเหนือ และพระศาสดาอยู่ทิศใต้
สำหรับพระวิหารใหญ่ทิศตะวันออกนั้น เป็นที่ฟังธรรมสักการ
ะที่ถวายนมัสการพระมหาธาตุและเป็นที่ชุมนุมสงฆ์
อนึ่ง เมื่อเวลาหล่อพระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาเสร็จแล้วนั้น
ทองชลาบและชนวนของพระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์ที่เหลืออยู่
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกรับสั่งให้รวมลงในทองซึ่งจะหล่อพระพุทธชินราช
หล่อองค์พระใหม่เรียกว่า
"พระเหลือ"
ส่วนชนวนและชลาบของพระที่เรียกว่าพระเหลือนั้น
ก็หล่อรูปพระสาวก ๒ องค์ สำหรับพระเหลือนั่นเอง
ครั้นเมื่อการหล่อพระเสร็จแล้ว
จึงรับสั่งให้เก็บอิฐซึ่งก่อเป็นเตาหลอมและเตาสุม
หุ้มหล่อพระทั้งปวงนั้นมาก่อเป็นชุกชี สูง ๓ ศอก
และให้ขุดดินที่อื่นมาผสมกับดินพิมพ์ที่ต่อยจากพระพุทธรูปถมในชุกชีนั้น
แล้วทรงปลูกต้นมหาโพธิ์ ๓ ต้น หันหน้าต่อทิศอุดร
แล้วเชิญพระเหลือกับสาวกอีก ๒ องค์เข้าไว้ในที่นั้น
ให้เป็นหลักฐานแสดงที่ซึ่งหล่อพระพุทธรูปทั้ง ๓ องค์
ที่กล่าวมาแล้วนี้เป็นความในพงศาวดารเหนือ
ที่ปรากฏอยู่ใน
พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และ
พระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดย:
kit007
เวลา:
2014-4-27 07:30
ส่วนอีกนัยหนึ่งมีกล่าวว่า สร้างเมื่อประมาณ จุลศักราช ๗๑๙ นั้น
เป็นพระวิจารณ์แห่ง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในหนังสือ
"เที่ยวเมืองพระร่วง"
มีความดังต่อไปนี้
เรื่องตำนานการสร้างเมืองพิษณุโลก
และการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์นั้น
สอบสวนหลักฐานจะเห็นว่ารูปเรื่องจะเป็นดังกล่าวในพงศาวดาร
แต่พงศาวดารเหนือลงนามเป็นของ
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
นั้น มิใช่ผู้อื่น
คือ
พระมหาธรรมราชาลิไท รัชกาลที่ ๔ ในราชวงศ์พระร่วง
นั่นเอง
มีเรื่องในศิลาจารึกว่า เมื่อเป็นพระมหาราชครองเมืองศรีสัชนาลัย
ก่อนจะได้รับราชสมบัติมีศัตรูยกกองทัพลงมาติดเมืองสุโขทัย
ในเวลาที่พระบิดาประชวรหนัก จึงได้ครองราชอาณาจักร
ตรงกับที่ว่า
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
ยกทัพมาติดเมืองสวรรคโลกได้ราชสมบัติในเมืองนั้น
และพระมหาธรรมราชาลิไท ทรงรอบรู้พระไตรปิฎกจึงสามารถแต่ง เรื่อง
"พระไตรปิฎก"
หรือ
ไตรภูมิ
ตรงกับที่เรียกว่า
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
มีแต่พระองค์เดียวเท่านั้น
อีกประการหนึ่งโบราณวัตถุที่สร้างไว้ ณ เมืองพิษณุโลก
เป็นแบบอย่างครั้งกรุงสุโขทัย เมื่อรับลัทธิพระพุทธศาสนาลังกาวงศ์มาแล้ว
ยกตัวอย่างดังเช่น
พระพุทธรูป พระชินราช พระชินสีห์
คงจะเชื่อได้ดังกล่าวในพงศาวดารเหนือว่า เป็นประชุมช่างอย่างวิเศษ
ทั้งที่มณฑลพายัพและในอาณาเขตสุโขทัยมาให้ช่วยกันถอดแบบอย่าง
แต่พึงสังเกตได้ที่ทำปลายนิ้วพระหัตถ์เท่ากันทั้ง ๔ นั้น
เป็นความคิดที่เกิดขึ้นด้วยวินิจฉัย คัมภีร์มหาปุริสลักขณะ กันอย่างถ้วนถี่ ในชั้นหลัง
พระพุทธรูปชั้นก่อนหาทำนิ้วพระหัตถ์เช่นนั้นไม่
ในที่สุดยังมีหลักฐานอีกอย่างหนึ่ง
ด้วยในพงศาวดารเมืองเชียงแสนมิได้ปรากฏว่า
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก
หรือพระเจ้าเชียงแสนองค์ใดได้ลงมาตีเมืองสวรรคโลก
เหมือนอย่างกล่าวในพงศาวดารเหนือด้วยมีหลักฐานต่างๆ ดังกล่าวมา
จึงสันนิษฐานว่า
พระมหาธรรมราชาลิไท
เป็นผู้สร้างเมืองสองแควขึ้นเป็นเมืองลูกหลวง
และหล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์เมื่อราว พ.ศ. ๑๙๐๐
รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก :
พระพุทธชินราช ใน “พระพุทธรูป มรดกล้ำค่าของเมืองไทย :
Buddha Image of Thailand’s Precious Heritage”
โดย ทศพล จังพาณิชย์กุล, หน้า ๑๗๕
http://www.geocities.com/firecontrol35/chinnarat.html
http://www.kapook.com
พระพุทธชินราช พระประธานในพระวิหารใหญ่
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19299
พระเหลือ หรือ “หลวงพ่อเหลือ” หรือ “พระเสสันตปฏิมากร”
พระประธานในพระวิหารพระเหลือ หรือพระวิหารหลวงพ่อเหลือ
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วรมหาวิหาร อ.เมือง จ.พิษณุโลก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19715
................................................................................
ที่มา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=24657
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2