Baan Jompra

ชื่อกระทู้: คาถาชนะสัจจกนิครนถ์ [สั่งพิมพ์]

โดย: Metha    เวลา: 2014-4-27 02:08
ชื่อกระทู้: คาถาชนะสัจจกนิครนถ์
คาถาชนะสัจจกนิครนถ์



สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ.
เมื่อสัจจกนิครนถ์ผู้มืดบอดละเลยความจริงอันประเสริฐ
ประสงค์ประลองโต้วาทะกับพระพุทธองค์ เพื่อประกาศความเห็นของตนว่าถูกต้อง
พระพุทธองค์ทรงชนะด้วยวิปัสสนาปัญญาญาณ
ด้วยพระเดชนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า




โดย: Metha    เวลา: 2014-4-27 02:09
เล่าเรื่อง
          ณ  กรุงไพศาลี  แห่งแคว้นวัชชี  สัจจกนิครนถ์ผู้เป็นพระอาจารย์สอนบรรดาราชกุมาร

และพระญาติวงศ์ในราชสำนักแห่งกษัตริย์ลิจฉวี  มีความถือตนว่าเป็นผู้เลิศล้ำทางปรัชญาอันลึกซึ้ง

ในลัทธิศาสนาของตน  และลัทธิศาสนาอื่นๆ  เป็นอย่างดี เชื่อมั่นว่าตนเป็นผู้ฉลาด เป็นนักปราชญ์

ใหญ่ของบ้านเมือง   ด้วยความมั่นใจในความรู้ที่ตนมี   จึงเที่ยวท้าทายโต้วาทีประลองความรู้กับ

เจ้าลัทธิตามเมืองต่างๆ เจ้าลัทธิทั้งหลายต่างพากันพ่ายแพ้ในความรู้ของสัจจกนิครนถ์ จนหมดสิ้น

และชัยชนะที่ได้รับนั้น  นับวันก็ยิ่งเพิ่มความอหังการในตนเป็นยิ่งนัก  ถึงกับปรารภต่อหน้ามหาชน

ทั้งหลายว่า
          “ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิคณาจารย์และผู้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์  เมื่อต้อง

มาโต้วาทะประลองความรู้กับเราสัจจกนิครนถ์แล้วละก็   จักต้องมีอาการสะทกสะท้าน  ประหม่า

หวั่นไหว  จนเหงื่อกาฬแตกไหลออกมาเป็นแน่นอน ”
          กระทั่งวันหนึ่ง  กิตติศัพท์ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า  ขจรขจายเข้าสู่นคร

ไพศาลี   ว่าพระองค์ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า   ทรงคุณอันเลิศ   ประกอบด้วย

พระมหาปัญญาญาณ  หาบุคคลใดจะเปรียบปานได้  เทพยดา  อินทร์  พรหม  มนุษย์ และสัตว์

ทั้งปวง  ต่างน้อมใจกระทำการสักการะบูชาเป็นอันมาก
          เมื่อสัจจกนิครนถ์ทราบถึงกิตติศัพท์ของพระบรมศาสดา  ก็เกิดความอดรนทนไม่ได้

เพราะสำคัญตนว่า  ที่หนึ่งแห่งปัญญาต้องเป็นตนผู้เดียวเท่านั้น   ด้วยความหลงในความรู้พร้อม

ความเชื่อมั่นที่ได้รับชัยชนะทุกครั้งจากการโต้วาทะ   ความอหังการก็กำเริบหนักขึ้นคิดไปว่า  

ถ้าได้ประลองวาทะกับพระสมณโคดมผู้ที่มหาชนยกย่องว่าเป็นผู้ล้ำเลิศทางปัญญา  หากความ

พ่ายแพ้ของพระสมณโคดมเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตามหาชนแล้ว  เกียรติยศ  ชื่อเสียง  ของตน

จักต้องปรากฏระบือลือไกลไปทั่วทุก ๆ  แว่นแคว้น


โดย: Metha    เวลา: 2014-4-27 02:09
รุ่งอรุณหนึ่ง  พระอัสสชิเถระเดินรับบาตรในเมืองไพศาลี  สัจจกนิครนถ์เห็นพระภิกษุ

ในพุทธศาสนา  จึงตรงเข้ามาลองเชิงเลียบเคียงตั้งคำถามถึงพระสมณโคดม
สัจจกนิครนถ์
:
ท่านบวชในศาสนาของพระสมณโคดมด้วยเหตุผลอันใดเล่า
พระอัสสชิ
:
อาตมาออกบรรพชาเพื่อประโยชน์ในมรรคผล  นิพพาน
สัจจกนิครนถ์
:
หลักคำสอนของพระสมณโคดมว่าอย่างไรเล่า
พระอัสสชิ
:
พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง  ขันธ์  ๕ ( รูป  เวทนา  สัญญา สังขาร

วิญญาณ )  เป็นอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ( ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์

ไม่ใช่ตัวตน )

สัจจกนิครนถ์
:
พระสมณโคดมมีหลักคำสอนเช่นนี้เองรึ  เห็นทีเราจักต้องเป็นผู้

ปลดเปลื้องความเห็นผิดให้กับพระสมณโคดมเสียแล้วกระมัง

โดย: Metha    เวลา: 2014-4-27 02:11
เมื่อสัจจกนิครนถ์ได้สนทนากับพระอัสสชิ  และทราบถึงหลักคำสอนของพระสมณโคดม

แล้ว  ก็ยิ่งเกิดความลำพองใจเป็นยิ่งนัก  หมายใจมั่นว่าการท้าประลองวาทะครั้งนี้  ตนก็จักเป็น

ผู้มีชัย  เช่นทุกคราที่ผ่านมาเป็นแน่นอน
          ครั้นวันต่อมา  สัจจกนิครนถ์จึงเข้ากราบทูลกษัตริย์ลิจฉวี  ว่าตนประสงค์จักสนทนา

เพื่อถามปริศนาธรรมกับพระสมณโคดม  พร้อมชักชวนสานุศิษย์กว่า  ๕๐๐  คน ซึ่งล้วนแต่เป็น

พระราชบุตร  พระญาติวงศ์ของกษัตริย์ลิจฉวีร่วมติดตามไปเป็นสักขีพยานในการโต้วาทะครั้งนี้ด้วย
          ครานั้น  องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าสู่มหากรุณาสมาบัติแผ่ข่ายสัพพัญญุตญาณ

( พระปรีชาญาณหยั่งรู้ อดีต  ปัจจุบัน  อนาคต )  เล็งเห็นอุปนิสัยแห่งสัจจกนิครนถ์  จักประกอบด้วย

ปัญญาสมบัติอันยิ่งยวดในอนาคตชาติ  ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ทรงมีพระดำริ

จักเสด็จโปรดสัจจกนิครนถ์ในวันรุ่งขึ้น
          ครั้นอรุณรุ่ง  องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จพระราชดำเนินพร้อมภิกษุสาวกเข้าสู่

กรุงไพศาลี  เสด็จประทับ  ณ  กูฏาคารศาลา  กลางป่ามหาวัน
          บ่ายคล้อยนั้น  สัจจกนิครนถ์พร้อมสานุศิษย์กว่า  ๕๐๐  คน  เดินทางเข้าป่ามหาวัน

มุ่งตรงยังกูฏาคารศาลาอันเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า



โดย: Metha    เวลา: 2014-4-27 02:11
  สัจจกนิครนถ์เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้ว  ด้วยความหยิ่งผยองลำพองตนก็หาได้ทำการ

อภิวาทพระองค์ไม่ แล้วทูลว่า
สัจจกนิครนถ์
:
ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ความล้ำเลิศทางปัญญาของท่านขจรขจาย

ทั่วกรุงไพศาลี  ในกาลนี้ข้าพเจ้าจะขอซักถามว่าท่านแนะนำสั่งสอน

สาวกด้วยหลักคำสอนใด
พระผู้มีพระภาค
:
ดูกร.....สัจจกนิครนถ์  เราแนะนำสั่งสอนสาวกทั้งหลายว่า  ขันธ์  ๕  อัน

ได้แก่  รูป  ( กาย )  เวทนา  ( ความรู้สึก )  สัญญา  ( รู้ตัว )  สังขาร

( การปรุงแต่ง )  วิญญาณ  ( การรับรู้ทางอายตนะ  ๖ )   เป็น อนิจจัง

ทุกขัง  อนัตตา
  ( ไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  ไม่มีตัวตน )
สัจจกนิครนถ์
:
เป็นเช่นนั้นรึ...สมณะ  หากบรรดาพืชพันธุ์ต่าง ๆ  ยังคงต้องอาศัย

ผืนแผ่นดินในการเจริญงอกงามฉันใด  บุคคลก็จักต้องอาศัยรูปที่เป็น

ตัวตนนี้ประกอบกรรมดี - ชั่วฉันนั้น   หากท่านกล่าวว่า  ขันธ์  ๕  อันมี

รูป  เป็นต้น  ไม่มีตัวตน  ( อนัตตา )  แล้วบุคคลจักประสบบุญ - บาป

ได้อย่างไรเล่า
พระผู้มีพระภาค
:
ดูกร....สัจจกนิครนถ์  ท่านกล่าวว่า  ขันธ์  ๕  เป็นตัวตนของท่าน

ใช่หรือไม่
สัจจกนิครนถ์
:
ใช่  ข้าพเจ้ายืนยันและเชื่อเช่นนั้นว่า  รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร

วิญญาณ  เป็นตัวตนของเรา  ( อัตตา )
พระผู้มีพระภาค
:
หากท่านยืนยันดังคำที่กล่าว  เราขอถามท่านว่า
  ๑. ท่านมีอำนาจสั่งการ รูป ว่าอย่าได้ป่วยชราได้หรือไม่?
  ๒. ท่านมีอำนาจสั่งการ เวทนา  ว่าอย่าได้มีความรู้สึกใดๆ ได้หรือไม่?
  ๓. ท่านมีอำนาจสั่งการ สัญญา  ว่าอย่าจำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้หรือไม่?

  ๔.
ท่านมีอำนาจสั่งการ สังขาร ว่าอย่าได้ปรุงแต่งความคิดได้หรือไม่?

  ๕. ท่านมีอำนาจสั่งการ วิญญาณ  ว่าอย่าได้รับรู้การสัมผัสจาก ตา หู

       จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้หรือไม่?





โดย: Metha    เวลา: 2014-4-27 02:12
พระผู้มีพระภาคตรัสถามสัจจกนิครนถ์ถึง  ๒  ครั้ง  สัจจกนิครนถ์ยังคงนั่งนิ่งมิยอมตอบ

เหงื่อกาฬเริ่มแตกไหลไปทั่วร่าง  พระองค์จึงตรัสเตือนว่า
พระผู้มีพระภาค
:
ดูกร....สัจจกนิครนถ์  ใยท่านจึงนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามเรา  ท่าน

ยังคงยืนยันและเชื่อว่า  ขันธ์  ๕  เป็นตัวตนของท่านอีกหรือไม่
สัจจกนิครนถ์
:
ไม่พุทธเจ้าข้า  ข้าพเจ้าไม่มีอำนาจสั่งการ  รูป  เวทนา  สัญญา

สังขาร วิญญาณ  ให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
พระผู้มีพระภาค
:
ดูกร.....สัจจกนิครนถ์  บัดนี้คำพูดของท่านขัดแย้งกันเองเสียแล้ว

คำก่อนเป็นอย่างหนึ่ง  คำหลังเป็นอีกอย่างหนึ่ง
          ขณะนั้น  สัจจกนิครนถ์มิได้หลงเหลือสภาพของนักปราชญ์ใหญ่แม้แต่น้อย  สูญเสีย

ความมั่นใจรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วกาย  เหงื่อกาฬแตกไหลไม่หยุดหย่อน  จึงตัดสินใจกราบทูลว่า
สัจจกนิครนถ์
:
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า  ขอพระองค์โปรดเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า

โปรดเมตตาให้หลักธรรมคำสอน  เพื่อแจ้งในปัญญาของข้าพระองค์

ณ  บัดนี้เถิดพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาค
:
ดูกร....สัจจกนิครนถ์  อันบรรดาพืชพันธุ์ต่างๆ  มิได้เกิดมาจากผลกรรม

เหตุเพราะมีแต่รูป  แต่ไม่มีจิต  ( เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ )

จึงสืบต่อผลกรรมมิได้ แต่สรรพสัตว์ทั้งหลายใน ๓๑ ภพภูมิ มีทั้งรูปและจิต

( รวมเรียกว่า ขันธ์ ๕ ) โดยมีกิเลสตัณหาเป็นผู้บงการให้กระทำกรรมต่างๆ

ทั้งที่เป็นบุญและบาป แล้ววิบากที่เป็นผลของกรรมนั้น

ก็จะส่งผลให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
สัจจกนิครนถ์
:
พุทธเจ้าข้า ข้าพระบาทมักเป็นผู้สำคัญตน คอยลบล้างคุณความดีผู้อื่น

ด้วยความคะนองวาจา บัดนี้ ข้าพระบาทพร้อมด้วยสานุศิษย์ทั้งปวงได้

รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระพุทธองค์แสดงพระสัทธรรมโปรด

ขจัดมิจฉาทิฏฐิ  ( ความเห็นผิด )  ให้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น

นับว่าเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่สำหรับข้าพระบาทและสานุศิษย์ทั้งปวง

และในวันรุ่งขึ้น ข้าพระบาทขอกราบอาราธนาพระพุทธองค์พร้อมด้วย

พระสงฆ์สาวกฉันภัตตาหารยังอารามข้าพระบาทเถิดพุทธเจ้าข้า

          องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับอาราธนาด้วยพระอาการสงบ  สัจจกนิครนถ์จึง

ทูลลาพระพุทธองค์  และค่ำนั้นสัจจกนิครนถ์ก็เร่งตกแต่งอาสนะอย่างประณีตเพื่อถวายการต้อนรับ

พระพุทธองค์และหมู่สงฆ์สาวกในวันรุ่งขึ้น

          ครั้นรุ่งอรุณ  พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมพระสงฆ์สาวกเสด็จยังอารามแห่งสัจจกนิครนถ์

แล้วสถิตบนอาสนะอันประณีตนั้น  สัจจกนิครนถ์ถวายภัตตาหาร  แล้วนั่งในที่อันควร
          ครั้นพระพุทธองค์ เสร็จภัตตากิจแล้ว  จึงตรัสต่อสัจจกนิครนถ์ว่า
           “ ดูกร.....สัจจกนิครนถ์  บุญกุศลที่ท่านได้บำเพ็ญในภพนี้  จักไม่สูญหายไปพร้อมกับ

การดับของจิต  เพราะจิตดวงใหม่มีเหตุมีปัจจัยมาจากจิตดวงเดิม  เพื่อสืบต่อบุญที่ท่านสั่งสมไว้

ไปจนกว่าจะนิพพาน ”






ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2