Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
พญานาคราช เทพพิทักษ์พระพุทธศาสนา
[สั่งพิมพ์]
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-3-30 07:10
ชื่อกระทู้:
พญานาคราช เทพพิทักษ์พระพุทธศาสนา
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย AUD เมื่อ 2014-10-10 07:51
ความหมายของ "พญานาค"
"........พญานาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง
........นาคสะดุ้ง...ที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตน เอาหลังหนุนบันไดไว้ หรือแม้แต่ "ตุง" ของชาวล้านนาและพม่า ก็เชื่อกันว่าคลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์
ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า "นาค" เป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น “พญานาคราช” ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือก็บั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอก "พญาแถน" บนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา.."
สำหรับ "ภาคเหนือ" ก็มีตำนานเกี่ยวกับพญานาคอยู่เช่นกัน ดังใน
ตำนานสิงหนวัติ
ซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ของทางภาคเหนือเอง “เมื่อพระเจ้าสิงหนวัติอพยพคนมาจากนครไทยเทศ (กรุงราชคฤห์) พระองค์เป็นโอรสองค์สุดท้องของพระเจ้าพิมพิสาร พญานาคได้แปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมืองเป็นเมือง
นาคพันธุ์สิงหนวัติ
ต่อมายกทัพปราบเมืองอื่นได้และรวมดินแดนเข้าด้วยกันจึงเปลี่ยนชื่อเป็น
แคว้นโยนกนคร
ต้นวงศ์ของ
พระยามังราย
ผู้ก่อกำเนิด
อาณาจักรล้านนา
นั่นเอง” ซึ่งประวัติการสร้างเมืองทางภาคเหนือ ก็ตรงกับประวัติการสร้างเมืองหนองหาร (สกลนคร) เล่าไว้ว่า
พญาสุวรรณนาคราช
ก็ได้แปลงกายมาชี้ตำแหน่งการสร้างเมืองใหม่ให้แก่
พระยาสุวรรณภิงคาร
เช่นกัน
พิธีบวงสรวงพญานาคที่พะเยา
"........จังหวัดพะเยาก็ยังมีสถานที่สำคัญที่กล่าวถึง "พญานาค" คือ
พระเจ้าองค์หลวง
ณ วัดศรีโคมคำ อ.เมือง จ.พะเยา ตามประวัติของวัดเล่าว่า สมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ได้เสด็จขึ้นมาที่ดอยจอมทอง (ปัจจุบันคือ พระธาตุจอมทอง) ได้ให้พระอานนท์ไปตักน้ำที่ "หนองเอี้ยง" (กว๊านพะเยา) แต่ถูกพญานาคชื่อว่า
จาตุ๊มะสักขี
ขัดขวาง จึงไม่สามารถตักน้ำไปถวายพระพุทธองค์ได้ ต่อมาพระอานนท์ได้ขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงเสด็จลงไปทรมานพญานาคจนสิ้นพยศ
สมัยต่อมา
พญาจาตุ๊มะสักขีนาคราช
ก็ได้นำทองคำมาให้ "ตายายคู่หนึ่ง" ที่ตั้งบ้านอยู่ริมกว๊านพะเยาเพื่อสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ ซึ่งตายายคู่นี้ใช้เวลา สร้างถึง 33 ปี (พ.ศ. 2034 - 2067) เรียกกันว่า "พระเจ้าองค์หลวง" หรือ "วัดพระเจ้าตนหลวง" เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในลานนาไทย
ฉะนั้น เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๐ เวลา ๑๘.๐๐ น. ได้มีพิธีบวงสรวงพญานาคที่ชื่อว่า
"ธุมะสขี"
(ในตำนานเรียก จาตุ๊มะสักขี) ในอดีตเป็นพญานาคที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้แปลงร่างเป็นมานพหนุ่มนำทองมาให้สองตายายสร้าง
พระเจ้าตนหลวง
วัดศรีโคมคำ พุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันแกะสลัก "เทวรูปพญานาค" เพื่อเป็นที่สักการบูชาแก่คนทั่วไป
พญานาคใน "มหาปรินิพพานสูตร"
ประวัติสำคัญที่ปรากฏใน
"มหาปรินิพพานสูตร"
หลังจากถวายเพลิงพระพุทธสรีระแล้ว
ท่านโทณพราหมณ์
ได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ทะนาน ถวายให้เหล่ากษัตริย์ทั้งหลายไปสักการบูชาตามเมืองต่างๆ ดังนี้
๑. พระเจ้าชาตศัตรู เมืองราชคฤห์ ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาค ในพระนครราชคฤห์
๒. พวกกษัตริย์ลิจฉวี เมืองเวสาลี ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองเวสาลี
๓. พวกกษัตริย์ศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์ ก็ได้กระทำพระสถูป และการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองกบิลพัสดุ์
๔. พวกกษัตริย์ถูลี เมืองอัลกัปปะ ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมือง อัลกัปปะ
๕. พวกกษัตริย์โกลิยะ เมืองรามคาม ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองรามคาม
๖. พราหมณ์ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปกะ ก็ได้ กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองเวฏฐทีปกะ
๗. พวกเจ้ามัลละ เมืองปาวา ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองปาวา
๘. พวกเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคในเมืองกุสินารา
๙. โทณพราหมณ์ ก็ได้กระทำสถูปและการฉลอง "ตุมพะ" (ทะนานตวงพระบรมธาตุ)
๑๐. พวกกษัตริย์โมริยะเมืองปิปผลิวัน ก็ได้กระทำพระสถูปและการฉลอง "พระอังคาร" ในเมืองปิปผลิวัน ฯ
พระสถูปบรรจุพระสรีระมี ๘ แห่ง เป็น ๙ แห่ง ทั้งสถูปบรรจุทะนาน และเป็น ๑๐ แห่งทั้งพระสถูปบรรจุพระอังคาร ด้วยประการฉะนี้ การแจกพระธาตุและ การก่อพระสถูปเช่นนี้ เป็นแบบอย่างมาแล้ว ฯ
พระสรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ ๘ ทะนานนั้น ๗ ทะนานบูชากันอยู่ในชมพูทวีป ส่วนพระสรีระอีกทะนานหนึ่งของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุรุษที่ประเสริฐอันสูงสุด
พวกนาคราช
บูชากันอยู่ในรามคาม
พระเขี้ยวองค์หนึ่งเทวดาชาวไตรทิพย์บูชาแล้ว ส่วนอีกองค์หนึ่ง บูชากันอยู่ในคันธารบุรี อีกองค์หนึ่งบูชากันอยู่ในแคว้นของพระเจ้ากาลิงคะ อีกองค์หนึ่ง พญานาคบูชากันอยู่ ฯ
ด้วยพระเดชแห่งพระสรีระพระพุทธเจ้า นั้นแหละ แผ่นดินนี้ชื่อว่าทรงไว้ซึ่งแก้ว ประดับแล้วด้วยนักพรตผู้ประเสริฐที่สุด พระสรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีจักษุนี้ ชื่อว่า อันเขาผู้สักการะๆ สักการะดีแล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์ใด อันจอมเทพจอมนาคและจอมนระบูชาแล้ว อันจอมมนุษย์ผู้ ประเสริฐสุดบูชาแล้วเหมือนกัน ขอท่านทั้งหลายจงประนม มือถวายบังคมพระสรีระนั้นๆ ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้ยากโดยร้อยแห่งกัป ฯ พระทนต์ พระเกศา และ พระโลมาทั้งหมด พวกเทวดานำไปองค์ละองค์ๆ โดยนำต่อๆ กันไปในจักรวาล ดังนี้แล ฯ
ในหนังสือพระบรมสารีริกธาตุ (Buddha Relics) โดยมูลนิธิ พระบรมธาตุ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ได้กล่าวไว้ว่า มีพระบรมสารีริกธาตุอยู่ ๗ องค์ ที่ไม่แตกทำลายเป็นเม็ดเล็กเม็ดน้อย และมีผู้นำไปประดิษฐานไว้ในที่ต่างๆ คือ
1. พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนขวา๑ และพระรากขวัญเบื้องขวา๑ ประดิษฐานอยู่ที่พระจุฬามณีเจดีย์ ณ ดาวดึงสเทวโลก.
2. พระเขี้ยวแก้วเบื้องล่างขวา๑ ปัจจุบันอยู่ที่ประเทศศรีลังกา (เมืองแคนดี้)
3. พระเขี้ยวแก้วเบื้องล่างซ้าย๑ ประดิษฐานอยู่ในภพของพญานาค
4. พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนซ้าย๑ ประดิษฐาน ณ แคว้นคันธาระ (ปัจจุบันน่าจะอยู่ที่ประเทศจีน)
5. พระรากขวัญเบื้องซ้าย๑ และพระอุณหิส๑ ประดิษฐานในทุสสเจดีย์ ณ พรหมโลก.
พระทนต์ ๓๖ องค์ พระโลมา พระนขา เทพยดาในหมื่นจักรวาล นำไปบูชาจักรวาลละองค์.
ธาตุอันตรธาน
"ธาตุอันตรธาน" เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "พระบรมธาตุนิพพาน" และคำว่านิพพานในที่นี้ มีอยู่ ๓ ประการ คือ
1. กิเลสนิพพาน
คือ การตรัสรู้ที่โคนต้นศรีมหาโพธิ์
2. ขันธนิพพาน
คือ การดับแห่งเบญจขันธ์ ที่สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา
3. ธาตุนิพพาน
คือ พระบรมสารีริกธาตุสูญสิ้นไปจากโลก ซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคต
การนิพพานแห่งพระบรมธาตุทั้งหลายนั้น จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ พระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ในที่ต่างๆ ไม่มีผู้สักการะบูชา พระบรมธาตุในที่นั้นก็จะเสด็จไปยังถิ่นประเทศที่มีคนเคารพสักการะบูชา จวบจนวาระสุดท้ายมาถึง ทั่วทุกถิ่นประเทศ หาผู้สักการะบูชาไม่มีเลย.
เมื่อนั้น พระบรมธาตุทั้งหมด ทั้งจากมนุสโลก เทวโลกและนาคพิภพ จะเสด็จมาสู่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้ แล้วรวมกันเป็นรูปพระพุทธองค์ ทรงประดิษฐาน ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้น ประหนึ่งว่า พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ จะทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ในที่นั้น แต่ในครั้งนี้ มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย จะไม่มีผู้ใดได้เห็นพระองค์เลย.
ที่มา - เว็บ gotoknow.org
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-3-30 07:11
สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ต่อมาสมัยเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระราชศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เมื่อเสร็จจากการทำสังคายนา (ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕) เหมือนว่าเป็นปฏิสังขรณ์ศาสนาครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ก็ทรงตั้งพระทัยต่อศาสนวัตถุที่กำลังเสื่อมโทรม โดยเฉพาะสถูป ๘ แห่งที่ประดิษฐานพระบรมพระธาตุ ที่ได้รับมอบจากกษัตริย์แห่งกุสินารา โปรดให้เที่ยวค้นหาพระบรมสารีริกธาตุตามเมืองต่าง ๆ
ในตอนนี้ หลวงจีนที่จาริกไปถึงอินเดียได้เล่าว่า พระเจ้าอโศกเสด็จมาถึง
รามคาม
ด้วยพระองค์เอง และเตรียมการจะขุดสถูป
พญานาคราช
ซึ่งเฝ้าสถูปอยู่ได้แปลงร่างเป็นพราหมณ์ ขอร้องให้พระองค์อย่าขุดทำลายสถูปนี้เลย เพราะเป็นของสำคัญในชีวิตของนาค พระสถูปทั้ง ๗ จึงถูกขุดบูรณะเสียใหม่ จัดให้มีการบูรณะเสียใหม่ และสร้างเพิ่มอีก ๘๔,๐๐๐ องค์ นำพระบรมสารีริกธาตุแจกจ่ายไปบรรจุโดยทั่ว และนำไปบรรจุไว้ที่สถูปของพระองค์ ในเมืองปาตลีบุตรด้วย
ในบรรดาเจดีย์ที่ขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุนั้น จึงยกเว้นสถูปที่
รามคาม
แห่งนี้เท่านั้น เพราะเหตุว่าพระเจ้าอโศกได้รับการแสดงความเป็นเจ้าของผู้ดูแลจาก "นาคราชา" พร้อมด้วยบริวาร ถวายการอารักขาพระบรมธาตุอย่างมั่นคงอยู่แล้วนั่นเอง (แต่ในประวัติบางแห่งเล่าว่า พระสถูปที่เมืองรามคามนั้นตั้งอยู่ริมตลิ่ง ต่อมาได้เกิดน้ำเซาะพังลงไปในน้ำ พญานาคราชจึงได้อัญเชิญไปบูชาไว้ที่นาคพิภพ)
(หมายเหตุ :
กษัตริย์โกลิยะ รามคาม นครหลวงของแคว้นโกลิยะ บัดนี้อยู่ในเขตประเทศเนปาล เป็นที่ประดิษฐานสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุแห่งหนึ่ง อันเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ชาวเทวทหะได้รับส่วนแบ่งมาแต่เมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระพุทธเจ้า ที่กุสินารา เป็นพระบรมสารีริกธาตุองค์ที่ ๘ ที่ยังไม่เคยมีใครพบ ฉันรู้เพียงว่าพระธาตุเจดีย์นั้นประดิษฐานอยู่ที่เมืองรามคาม ซึ่งเป็นชื่อของกรุงเทวทหะในอดีต นี่เป็นบันทึกของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ได้เคยไปสำรวจมาแล้ว)
สุมนสามเณร ไปอัญเชิญพระบรมธาตุจากนาคพิภพ
ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเช่นกัน พระองค์ได้ส่งพระโอรสและพระธิดา ซึ่งได้ทรงออกผนวชในพระพุทธศาสนา คือ
พระมหินทเถระ และ พระนางสังฆมิตตาเถรี
เดินทางไปประกาศพระศาสนาที่
เกาะลังกา
ในคราวนั้นมีเรื่องเล่าว่า พระบรมสารีริกธาตุใน "รามคาม" ที่พระมหินทเถระใช้ให้
สุมนสามเณร
ผู้เป็นหลาน (เป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ) ไปนำมาจาก
นาคพิภพ
อีกทั้งเหาะขึ้นไปขอ
พระรากขวัญเบื้องขวา
มาจากท้าวสักกเทวราชด้วย
ในตอนนี้ จะต้องขอเล่าย้อนตอนเนื้อความที่กล่าวถึงการบรรจุพระบรมธาตุของ
พระเจ้าอชาตศัตรู
ณ กรุงราชคฤห์ ซึ่งประธานฝ่ายสงฆ์ คือ
พระมหากัสสปเถระ
ได้อาราธนาพระบรมสารีริกธาตุที่ถูกแบ่งคราวนั้นไปตามเมืองต่างๆ ทั้ง ๗ แห่ง (เว้นเมืองรามคาม) ให้เสด็จมารวมกันในพระสถูป ณ กรุงราชคฤห์
พระมหาเถระดำริว่า เพราะเหตุการณ์ต่อไปในอนาคต พระบรมธาตุทั้งหลายใน
รามคาม
ที่เหล่าพญานาคเก็บรักษาไว้ อันตรายของพระบรมธาตุเหล่านั้นไม่มี และต่อไปในอนาคตกาล คนทั้งหลายจักอัญเชิญไปบรรจุไว้ใน
พระมหาเจดีย์ ในมหาวิหาร ลังกาทวีป
ดังนี้ แล้วจึงไม่นำพระบรมธาตุเหล่านั้นมา.
สรุปได้ว่า
สุมนสามเณร
ได้ขึ้นไปขอ
พระรากขวัญเบื้องขวา
มาจากพระอินทร์ แสดงว่า "พระรากขวัญเบื้องขวา" ที่กล่าวไว้ในตอนต้นๆ ว่าอยู่ที่ดาวดึงสเทวโลกนั้น บัดนี้ ได้มาประดิษฐานอยู่ในมนุษยโลกแล้ว เพราะพระอินทร์ได้มอบให้สามเณรมาแล้ว ที่ดาวดึงส์ยังเหลือแต่
พระเขี้ยวแก้วเบื้องบนขวา
เท่านั้น
(และพระเมาฬีที่ตัดในวันผนวช)
นอกจากพระรากขวัญเบื้องขวาแล้ว สุมนสามเณรยังได้พระบรมธาตุอีกส่วนหนึ่งมาจากพระเจ้าอโศกมหาราช. และอีกส่วนหนึ่งมาจาก
นาคพิภพ
ในรามคาม สายทางแห่งพระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้ เคลื่อนย้ายสถานที่ไป เพื่อความดำรงมั่นแห่งพระพุทธศาสนาในโลก เป็นอันทำกิจในส่วนของตนๆ สำเร็จแล้ว
ทั้งนี้ คงแล้วแต่ความเหมาะสม หรือแล้วแต่กาลเวลาที่พระบรมสารีริกธาตุส่วนที่สำคัญของพระพุทธเจ้า ถึงเวลาอันสมควรที่จะประดิษฐานอยู่ที่ใด เพื่อเป็นขวัญเป็นกำลังใจ และเป็นที่กราบไหว้บูชา เพื่อเป็นอานิสงส์แห่ง "พระนิพพาน" สืบไป ตราบเท่าสิ้นอายุพระพุทธศาสนาครบถ้วน ๕ พันปีนั่นเอง
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-3-30 07:12
ภาพนี้คือ "สุวรรณมาลิกเจดีย์" ประเทศศรีลังกา พระเจ้าทุฎฐคามินีอภัยสร้าง
เพื่อบรรจุพระบรมธาตุที่ได้มาจาก
นาคพิภพ
ซึ่งเดิมกษัตริย์โกลิยะบรรจุไว้ที่
รามคาม
ต่อมาน้ำเซาะพระเจดีย์พังลงไปพญานาคได้นำไปไว้ที่เมืองบาดาล
"........เป็นอันว่าเรื่อง “พญานาค” ชาวศรีลังกามีความเชื่อถืออย่างแน่นอน ดังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ “พญานาค” ปรากฏอยู่ใน “พระไตรปิฎก” อีกว่า ในสมัยที่ยังทรงพระชนม์อยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูได้เสด็จไปที่เกาะลังกา ๓ ครั้งด้วยกัน พอที่จะนำมาสรุปโดยย่อไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้
.......สมัยสมเด็จองค์ปัจจุบันได้เสด็จเป็นครั้งแรก ณ เกาะลังกา หลังจากตรัสรู้ในเดือนที่ ๙ ได้เสด็จประทับยืนบนอากาศตรงจุดที่สร้าง
มหิยังคณเจดีย์
(เมืองมหิยังเกน่า) ทรงทรมานยักษ์ให้พ่ายแพ้หนีไปเสียแล้ว เหล่าเทพยดาได้มาชุมนุมฟังพระสัทธรรมเทศนา ครั้งนั้น
สุมนเทพบุตร
ผู้เป็นใหญ่ได้สำเร็จโสดาปัตติผล ต่อมาได้เสด็จเป็นครั้งที่ ๒ เพื่อทรงทรมาน
หมู่พญานาคราชทั้งหลาย
การเสด็จครั้งที่ ๒ หลังจากตรัสรู้ได้ ๕ พรรษา เสด็จมาพระองค์เดียวเหมือนกัน เพื่อทรมานพญานาคผู้เป็นลุงกับหลานทะเลาะกัน หมู่นาคราชเหล่านั้นเลื่อมใสแล้ว จึงถวายบัลลังก์แก้วมณีของตน แต่พระองค์ทรงรับแล้วประทับนั่งหน่อยหนึ่ง แล้วจึงประทานคืนให้หมู่นาคเอาไว้บูชาแทนพระองค์ เหล่าพญานาคจึงเอาบัลลังก์แก้วมณีนั้นบรรจุไว้ภายในเจดีย์ที่นาคทวีป ซึ่งอยู่เหนือสุดลังกา (บริเวณแหลมจ๊าฟน่า)
ครั้นถึงปีที่ ๘ แห่งการตรัสรู้ องค์สมเด็จพระบรมครูได้เสด็จมาพร้อมพระภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร เป็นครั้งที่ ๓ ตามคำอาราธนาของ
พญามณีอักขิกะนาคราช
มายังที่
กัลยาณีเจดีย์
ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์ทองและได้ทรงแสดงธรรมแล้ว จึงเสด็จไปจากที่นั้น นาคเหล่านั้นจึงสร้าง “กัลยาณีเจดีย์” ครอบบัลลังก์นั้นไว้ (ปัจจุบัน “วัดกัลยาณี” เมืองโคลัมโบ) เป็นที่กราบไหว้จนทุกวันนี้
เมื่อได้กล่าวถึงประเทศศรีลังกาแล้ว ปรากฏว่าไปพบเรื่อง “พญานาค” อีกแห่งหนึ่งที่
“ภูลังกา”
อ.บ้านแพง จ.นครพนม มีความลี้ลับอาถรรพ์มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนกระทั่งถึงปัจจุบัน เป็นเรื่องพูดยากอธิบายยากเพราะเป็นเรื่องของนามธรรม ที่ทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ทั้งๆ ที่พิสูจน์ไม่ได้
คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันที่มีการศึกษาสูงๆ เป็นครู เป็นข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และระดับศาสตราจารย์ด็อกเตอร์จากต่างประเทศจำนวนไม่น้อยก็ยอมรับว่า เรื่องความลึกลับนามธรรมเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่ต้องรับฟังไว้เพื่อศึกษาพิจารณาค้นคว้าต่อไป จะปฏิเสธเสียเลยทีเดียวไม่ได้
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-3-30 07:14
ภูลังกา
"........จากหนังสือ " พญานาค...เมืองลับแล " โดยคุณนรเศรษฐ์ (โพสในเว็บ topicstock.pantip
.com) เล่าว่า
“ภูลังกา”
เป็นตำนานเรื่อง “พระเจ้า ๕ พระองค์” (นโมพุทธายะ) และเป็นเมืองหลวงของ “ชาวบังบด – ลับแล” อันมีเมืองพญานาครวมอยู่ด้วย และยังเป็นสนามรบกับกองทัพกิเลส ที่กองทัพธรรมของ
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ
ส่งศิษยานุศิษย์ที่เป็นพระธุดงค์กรรมฐานทุกรุ่นทุกสมัยมารบราฆ่าฟันกับกิเลสตัณหา ที่ภูลังกาไม่เคยเลิกราจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
พระกรรมฐานที่มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพเลื่อมใสของมหาชนที่เคยไปบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ภูลังกามาแล้วคือ
หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ครูบาวัง ฐิติสาโร พระอาจารย์สมชาย เขาสุกิม พระอาจารย์ชา วัดหนองป่าพง พระอาจารย์โง่น โสรโย ฯลฯ
ตามตำนานพระเจ้า ๕ พระองค์นั้นกล่าวว่า กาเผือกได้ตกไข่ ๕ ฟองที่ภูลังกา วันหนึ่งเกิดลมพายุใหญ่หอบเอาไข่ปลิวไปตามลม ไข่นั้นได้ตกกระจัดกระจายไปในสถานที่หลายแห่ง ต่อมาไข่นั้นได้ฟักออกมาเป็น
พระเจ้ากกุสันโธ พระเจ้าโกนาคโม พระเจ้ากัสสโป พระเจ้าโคตโม
และองค์ต่อไปได้แก่
พระศรีอาริยเมตรัยโย
ที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตอีกประมาณ ๗๕๐ ล้านปี เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในภัทรกัปนี้ ( ตัวเลข ๗๕๐ ล้านปี เป็นเพียงสันนิษฐานของปราชญ์ผู้รู้ อย่าได้ยึดเอาเป็นหลักฐานทางประวัติพุทธศาสนา )
พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร กล่าวว่า “ภูลังกา” เป็นเมืองหลวงของชาวบังบดลับแล เพราะภูลังกาเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์มาแต่ดึกดำบรรพ์เกี่ยวข้องกับตำนานของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น ต่อไปนี้จะเป็นตอนที่หลวงปู่ตองเล่าถึงเรื่องพญานาคและชาวบังบดลับแล
เมื่อหลวงปู่ตองมาอยู่ที่ “ถ้ำชัยมงคล” ภูลังกา ในปี พศ. ๒๕๓๕ ท่านก็ได้ทำทางขึ้นไปตามมีตามเกิด พอให้ปีนป่ายโหนต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นไปได้ช่วงไหนทีสูงชันอันตรายหวาดเสียวก็ทำบันไดไม้พาดไว้อย่างง่ายๆ พอให้ไต่ขึ้นไปได้ ใครที่ร่างกายอ่อนแอขึ้นไม่ได้เลย ขนาดคนหนุ่มๆ ร่างกายแข็งแรงขึ้นไปก็หอบแอกๆ ไม่อยากขึ้นไปอีกเป็นครั้งที่สอง เรียกว่าเข็ดเหมือนตอนแมว แต่หลวงปู่ตองสามารถขึ้นไปได้สบายมาก ทั้งๆ ที่มีอายุได้ ๖๐ ปีเศษแล้ว ร่างกายยังแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม ท่านแบกถุงทรายถุงปูนครั้งละ ๒ - ๓ ถุง ขึ้นไปวันละหลายเที่ยว สร้างเจดีย์สูง ๑๓ เมตร สำหรับบรรจุอัฐิธาตุของพระอาจารย์วังและรูปปั้นพระพุทธรูปหลายองค์
หลวงปู่ตองเปิดเผยวิธีการแบกถุงปูนถุงทรายขึ้นภูลังกาว่า ใช้วิธีทำจิตให้เป็นสมาธิ โดยกำหนดลมหายใจเข้าออกแบบอานาปานัสสตินั่นเอง เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วร่างกายจะเบาหวิวเหมือนปุยนุ่น สามารถเคลื่อนไหวได้ว่องไว แบกถุงปูนซีเมนต์และถุงทรายขึ้นไปได้สบายๆ
วิธีทำตัวเบาของหลวงปู่ตองนี้ฟังแล้วง่ายแต่ทำจริงๆ ยาก เพราะการทำจิตให้เป็นสมาธินั้นไม่ใช่ทำกันได้ทุกคน ต้องเป็นคนมีบุพวาสนาบารมีสนับสนุนถึงจะทำสำเร็จ วิธีทำตัวเบาของหลวงปู่ตองนี้คล้ายกับวิชา " ลูกเบา " ของบรรดาพระกรรมฐานสมัยโบราณคือต้องบริกรรมภาวนาจนจิตนิ่งแน่วเป็นสมาธิ เกิดอาการตัวเบาลอยตัวได้สามารถที่จะลอยตัวขึ้นไปบนต้นกล้วย แล้วเดินเล่นนอนเล่นบนก้านใบตองกล้วยได้ โดยที่ก้านกล้วยไม่หักแต่อย่างใด
เมื่อขึ้นไปอยู่ถ้ำชัยมงคลภูลังกาแล้ว หลวงปู่ตองก็ลงมือบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ ปั้นพระพุทธรูปและซ่อมแซมพระพุทธรูป ซ่อมแซมถ้ำและเพิงผาผุพัง สร้างพระเจดีย์ขึ้นมาใหม่บนยอดเขา เทปูนทำสะพานขนาดเล็กข้ามหุบร่องน้ำลึกแคบให้เชื่อมกับถ้ำ ทำความสะอาดบริเวณเขตสงฆ์
ความขยันขันแข็งเอาจริงเอาจังกับงานบูรณปฏิสังขรณ์นี้คงจะ " เข้าตา " สิ่งลึกลับหรือเทพพรหมหรือผีสางเทวดาทั้งหลายที่เฝ้าจับตามองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นในวันหนึ่งต่อมาก็ส่ง " ทูต " มาหา เป็นทูตพิเศษที่ไม่ธรรมดา ทูตที่มาหานี้เป็น " งูจงอาง " ขนาดยักษ์สองผัวเมีย ลำตัวใหญ่ขนาดต้นเทียนพรรษาขนาดใหญ่ หรือขนาดโคนขาคนผู้ใหญ่ มีความยาวมากใครเห็นแล้วจะต้องขนหัวลุกตกใจกลัวเป็นลมหรือช็อกตาย
งูจงอางยักษ์ทั้งสองนี้มาหาหลวงปู่ตองในถ้ำชัยมงคล ขณะที่ท่านทำวัตรสวดมนต์ มันผงกหัวแสดงความเรพแล้วก็แผ่พังพานยืดลำตัวขึ้นสูงเป็นวาแล้วผงกหัวทำความเคารพอีก จากนั้นก็ขดตัวที่มุมถ้ำไม่ยอมไปไหนมองดูท่านเฉยๆ ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรอีก ท่านรู้ด้วยจิตว่าไม่ใช่งูจงอางธรรมดาเพราะมันใหญ่โตผิดงูจงอางที่เคยเห็น
แต่เป็น " พญานาค " แปลงร่างมาเป็นงูจงอางยักษ์เพื่อทำหน้าที่อารักขาถ้ำชัยมงคลและเจดีย์ใหญ่ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ! หลวงปู่ตองเล่าให้ท่านเจ้าคุณราชเมธากรฟังว่า...
" เขามาแปลก! มาอยู่กับผมในถ้ำ เมื่อถึงเวลาหากินก็พากันเลื้อยออกไปหากินข้างนอกแล้วกลับมานอนในถ้ำ บางวันก็เข้าไปนอนในรูโพรงถ้ำ วันหนึ่งมีญาติโยมขึ้นมาหาผมมีเด็กหนุ่มรุ่นคะนองมาด้วย ๒-๓ คน พวกเด็กวัยคะนองวิ่งเล่นที่พลาญหิน แล้วเอาก้อนหินขว้างเล่นลงไปทางหน้าผาบ้าง ขว้างลงไปในหุบเหวป่าไม้บ้างเป็นที่สุกสนาน ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้ว่าภูลังกาเป็นแดนอาถรรพ์ศักดิ์สิทธิ์ทำให้เจ้าป่าเจ้าเขาโกรธ "
หลวงปู่ตองเว้นระยะแล้วเล่าต่อ
" พญางูจงอางยักษ์สองผัวเมีย ได้เลื่อยปราดออกไปจากถ้ำชัยมงคลส่งเสียงร้องอย่างน่ากลัว เลื้อยพล่านไปทั่วพลาญหินบนยอดภูลังกา แผ่พังพานคุกคาม ผมเห็นท่าไม่ดีกลัวมันจะไล่ฉกกัดพวกเด็กๆ จึงได้ร้องห้ามไว้ไม่ให้ทำอันตราย เพราะเด็กวัยคะนองไม่รู้ประสีประสาอะไร...
อัศจรรย์มาก! งูจงอางยักษ์ทั้งสองเชื่อฟังผม ยอมเลื้อยกลับเข้าถ้ำแสดงถึงมันฟังภาษารู้เรื่อง "
ผู้เขียนได้นมัสการถามบ้างว่า " พวกเด็กขว้างก้อนหินเล่นมีความผิดอย่างๆร? "
หลวงปู่ตองตอบว่า " ตามหน้าผาก็ดี ตามซอกเขาหรือโตรกผาก็ดี ตามหมู่ไม้ใหญ่น้อยในหุบเหวข้างล่างก็ดี เป็นบ้านเป็นเมืองของชาวบังบดลับแลหรือคนธรรพ์ เป็นบ้านเป็นเมืองของพวกยักษ์หรือรากาสหรืออสูร เป็นบ้านเป็นเมืองของภูติผีปีศาจเปรตอสุรกาย บ้านเมืองหรือภพภูมิของพวกนี้มันสลับซับซ้อน มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นมันซ้อนกันอยู่
เหมือนเอากระดาษซับกระดาษซึมมาสักแผ่นหนาๆ แล้วเราเอาน้ำสีต่างๆ หยอดลงไปบนกระดาษซึม สีต่างๆ เหล่านั้นก็จะอยู่รวมกันได้ในกระดาษซึมนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ภูมิภพหรือแดนอยู่อาศัยของพวกวิญญาณก็อยู่กันได้อย่างสลับซับซ้อนเช่นนั้นแหละ เพีงแต่เรามองไม่เห็น แต่ถ้าพวกเขาอยากให้เราเห็น เขาก็จะทำให้เราเห็นได้ เมื่อพวกเด็กขว้างก้อนหินลงไปก็ไปถูกบ้านเรือนของชาวบังบดลับแล เขาก็ไม่พอใจ "
" หลวงปู่เคยเข้าไปในเมืองลับแลมั้ย? " ถามอีก
หลวงปู่ตอบว่า " เคยเห็นแต่บ้านเมืองของชาวบังบดลับแลอยู่เสมอ เพราะชาวลับแลเขาเปิดให้เห็น แต่อาตมาไม่ได้เข้าไป "
" เหตุใดหลวงปู่ไม่เข้าไป "
" ถ้าเป็นบุคคลอื่นอาจจะอยากเข้าไปเมืองลับแล แต่สำหรับตัวอาตมาแล้วไม่อยากเข้าไปเลย ความรู้สึกลึกๆ ในใจได้เตือนว่า ถ้าตัวเรายังมีภูมิจิตภูมิธรรมน้อยอยู่ หากเข้าไปในเมืองลับแลแล้วอาจจะได้รับภัยอันตรายอย่างลึกลับ "
" ภัยอันตรายอย่างลึกลับหมายถึงอะไร "
" พวกลับแลหรือบังบดมาหาอาตมาอยู่บ่อยๆ มักจะมาตอนค่ำมืดแล้ว ถ้าลับแลนุ่งขาวห่มขาว เป็นพวกบวชแล้ว ถือศีล ๑๐ ข้อ เรียกตัวเองว่าดาบสหรือมุนี เป็นนักพรตคล้ายฤาษี..
ถ้าแต่งตัวธรรมดาเหมือนชาวไร่ชาวนา แสดงว่าเป็นพวกลับแลที่ยังทำมาหากินเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด...
ถ้ารูปร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำหรือผิวดำ เป็นพวกพญานาคแปลงตัวมาเป็นมนุษย์ ภพภูมิของพญานาคและภพภูมิของชาวลับแลเขาไปมาหาสู่กันได้...
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-3-30 07:25
ถ้าชาวลับแลผิวขาว เป็นอีกเผ่าหนึ่งที่มีบุพกรรมเกี่ยวข้องกับมนุษย์ที่มีผิวขาว เช่น ภูไท ลาวโซ่ง ชาติจีน ชาติญวน เป็นต้น โลกของชาวลับแลก็คือโลกของวิญญาณหรือโอปาติกะ เมื่อเราเป็นพระประพฤติพรหมจรรย์เข้าไปในโลกของชาวลับแล โอกาสที่จะถูกทดสอบหรือลองของเรื่องพรหมจรรย์มีมาก เป็นต้นว่า
เอาลาภสักการะเพชรนิลจินดา สร้อยแหวนเงินทองสมบัติโบราณมาถวาย เอาสาวงามมาคอยปรนนิบัติวัฏฐาก หรือให้แม่ชีสาวๆ สวยๆ มาอยู่ใกล้ชิด เอาสุรายาฝิ่นมาถวาย อะไรๆ เหล่านี้ ถ้าพระเผลอไผลขาดสติไปแตะต้องเข้าโดยไม่รู้ว่าเป็นเหยื่อล่อ ก็จะถูกชาวลับแลลงโทษหมดโอกาสได้กลับออกมา "
หลวงปู่ตองเล่าต่อไปอีกว่า " พวกบังบดลับแลเคารพนับถือพระภิกษุสงฆ์ ชอบฟังธรรมะ เชื่อในธรรมะ ชอบประพฤติปฏิบัติอยู่ในศีลกินในธรรมะ ไม่อยากได้ทรัพย์สินเงินทอง อยากได้แต่ธรรมะ อยากสำเร็จธรรมะ อยากไปเกิดในภพภูมิสูงๆ ขึ้นไป...
ชาวลับแลพากันขบขันที่มนุษย์ทั้งหลาย อยากได้นั่นอยากได้นี่ อยากรวย อยากสวย อยากมีชื่อเสียงเกียรติยศ อยากใหญ่ อยากดัง อยากมีอายุยืนยาวไม่อยากแก่เฒ่า ชาวลับแลบอกว่าชาวโลกมนุษย์มีกิเลสตัณหาความโลภมากยิ่งนัก หลงใหลยึดถือในสิ่งสมมติ เมื่อตายไปก็เอาอะไรไปด้วยไม่ได้ "
ผู้เขียนได้เรียนถามอีกว่า... " กระผมเคยได้ยินได้ฟังมาจากปากของปราชญ์ผู้รู้บางท่าน ได้ให้อรรถาธิบายเรื่องลับแลว่า ชาวลับแลหรือบังบดก็ดี พวกคนธรรพ์ในป่าในถ้ำก็ดี เป็นเทวดาชั้นต่ำสุดอาศัยอยู่บนพื้นดินปะปนกับมนุษย์เรา มีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณหยาบเหมือนมนุษย์ ทำมาหาเลี้ยงชีพเหมือนมนุษย์ แต่ถือศีลธรรมเคร่งครัดมาก มีหิริโอตัปปะละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป...
วิบากกรรมแต่หนหลังทำให้มาเกิดเป็นพวกลับแลหรือคนธรรพ์ชั้นต่ำ แต่ก็ยังอยู่ภายใต้การปกครองของเทพเจ้าชั้นสูง คือ ท้าวธตรฐมหาราช จอมคนธรรพ์ชั้นจาตุมหาราชิกา ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาโลกมนุษย์อยู่ที่ทิศตะวันออก ไม่ทราบว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ "
หลวงปู่ตองตอบว่า " บังบดลับแลเป็นเรื่องลึกลับ อาตมารู้น้อยตอบไม่ได้ "
" ขอถามเรื่องพญานาคอีก "
" พญานาคมีจริง เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์วิเศษ
"
" หลวงปู่เคยเห็นหรือ?
"
" อ้าว..งูจงอางยักษ์สองผัวเมียในถ้ำชัยมงคลนั่นแหละ คือพญานาค "
" พญางูจงอางยักษ์ทั้งสอง บอกอย่างนั้นหรือ?
"
" เปล่า "
" แล้วหลวงปู่รู้ได้อย่างไร? "
" พวกบังบดลับแลเป็นคนบอกว่า งูจงอางยักษ์สองผัวเมียคู่นั้นเป็นพญานาคอยู่ภูลังกามานานหลายหมื่นปีแล้ว เป็นสหายของพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ผู้ล่วงลับมรณภาพไปแล้ว ดวงวิญาณของพระอาจารย์วังได้สั่งให้พญานาคทั้งสองมารักษาถ้ำชัยมงคลและรักษาอาตมา "
" นอกจากพญานาคทั้งสองที่แปลงร่างเป็นงูจงอางมา หลวงปู่เคยเห็นพญานาคตัวอื่นๆ มั้ย? "
" เห็นบ่อยไป เป็นงูสีแปลกๆ ตัวใหญ่ก็มีตัวเล้กก็มี มากันเป็นสิบเป็นร้อย เลื้อยเข้าออกถ้ำทุกวัน ที่เลื้อยเล่นเพ่นพ่านตามพลาญหินบนยอดภูลังกาก็มีเยอะ พอค่ำมืดลงพวกเขาก็แปลงเป็นมนุษย์มาสนทนาธรรมด้วย จึงได้รู้ว่าเป็นพญานาค "
" จะทำอย่างไรจึงจะได้พบเห็นพญานาคและชาวลับแลคนธรรพ์ได้โดยไม่ได้รับอันตราย? " ถามอีก หลวงปู่ตองนิ่งอึ้งชั่วขณะ ก่อนตอบว่า
" เอ! เรื่องนี้มันไม่ง่ายนะ เป็นเรื่องยากมาก มันมีเหตุปัจจัยสนับสนุนหลายอย่างจึงจะได้ประสบพบเห็น เป็นต้นว่า เคยมีความเกี่ยวข้อง ผูกพันกันมาในชาติปางก่อน อาจจะเคยเป็นญาติสนิทมิตรสหายกัน อาจจะเคยเป็นบิดามารดาหรือครูบาอาจารย์กันมาในปางก่อน หรืออาจเคยเป็นคู่ครองกัน อาจจะเคยตักบาตรร่วมขันทำบุญร่วมกัน เคยสนับสนุนค้ำชูกันให้เจริญรุ่งเรือง หรืออาจจะมีภาระหน้าที่ผูกพันกันบางอย่าง หรือเป็นศัตรูคู่แค้นจึงจะได้พบกัน "
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-3-30 07:25
" อย่างพระธุดงค์ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัย? "
" ถูกแล้ว! พระธุดงค์ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยแต่ชาติปางก่อนมาสนับสนุน จึงจะสามารถพบเห็นพญานาคและชาวลับแลได้ ถึงแม้จะเป็นพระธุดงค์ผู้แก่กล้าในฌานสมาบัติ แต่ถ้าไม่มีบุพกรรมเกี่ยวข้องกันมาก่อนก็ไม่มีทางจะได้พบเห็นพญานาคและชาวลับแล สำหรับคนมีบุพกรรมเกี่ยวข้องผูกพันกันนั้น แม้จะเป็นชาวไร่ชาวนาธรรมดาหาเช้ากินค่ำ ก็สามารถพบกับพญานาคและชาวลับแลได้ มีตัวอย่างหลายรายแต่ไม่อยากพูดถึง "
หลวงปู่ตองถ้ำชัยมงคลภูลังกา มีเรื่องผูกพันกับพญานาคและชาวลับแลอีกมากมายเป็นเรื่องลึกลับมหัศจรรย์ ท่านบอกว่าเล่าให้ใครฟังไม่ได้ เพราะเป็นความลับของฟ้าดิน ขืนเปิดเผยไปจะเกิดอาถรรพ์ฟ้าดินลงโษเอาได้ง่ายๆ ชนิดคาดไม่ถึง
อย่างเมื่อไม่นานมานี้ ฟ้าคะนองเกิดพายุถล่มภูลังกา ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมาที่หม้อแปลงไฟฟ้าห่างจากหลวงปู่ตองประมาณสองวา ท่านสลบไปหลายชั่วโมงจีวรถูกไฟไหม้หมดแต่ไม่ตาย กลับฟื้นคืนชีวิตมาได้อย่างน่าอัศจรรย์เหลือเชื่อ! เรื่องพญานาคที่ภูลังกาขอยุติลงเพียงเท่านี้..!
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-3-30 07:26
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-3-30 08:22
เป็นอันว่าเรื่องราวของ “พญานาค” นอกจากจะเป็นที่นับถือของชาวไทยและชาวศรีลังกาแล้ว ในประเทศพม่าที่นับถือพระพุทธศาสนาเช่นกัน ยังมีเรื่องเล่าจาก “พงศาวดารมอญ” ที่กล่าวถึงประวัติการสร้าง “พระเจดีย์ชเวดากอง” ไว้ว่า
"....... ในคราวที่
ท่านตปุสสะ และ ภัลลิกะ
พ่อค้าชาวมอญสองพี่น้องได้เดินทางไปค้าขาย แล้วได้ถวายข้าวสัตตุผลแด่พระพุทธเจ้า จนเข้าถึงสรณคมน์เป็นอุบาสกคนแรกในโลก ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ได้ทรงประทานพระเกศา ๘ เส้น แล้วตรัสสั่งให้นำมาบรรจุไว้ที่
ดอยสิงฆุตตระ (ชเวดากอง)
แต่ในระหว่างที่เดินทางกลับมาด้วยเรือสำเภานั้น
พญาชัยเสนนาคราช
ที่อาศัยอยู่ในท้องมหาสมุทรได้เห็นรัศมีบนเรือ จึงแอบขโมยพระเกศาธาตุไป ๒ เส้น หลังจากนั้นพ่อค้าทั้งสองคนก็อัญเชิญพระเกศาธาตุไปบรรจุไว้ที่พระเจดีย์ชเวดากอง ต่อมาพระเกศาธาตุก็ได้ถูกบรรจุไว้ใน
พระเจดีย์มอดินซูน
(ปัจจุบันอยู่ที่แหลมเนเกรย์)
เรื่องพญานาคในท้องทะเลก็ยังมีเรื่องเล่าในบ้านเราอีกเช่นกัน ตามที่เคยเล่าเรื่อง “พญานาค” ทางภาคเหนือกันแล้ว ลงมาทางภาคใต้ก็มีเหมือนกัน นอกจาก “พญานัมทานาคราช” ทูลขอรอยพระพุทธบาท ณ ฝั่งน้ำนัมทานที (เกาะแก้วพิสดาร จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นจังหวัดที่ริเริ่มในการถือศีลกินเจ มีการเข้าทรงกันมากมาย ทราบข่าวว่าทุกครั้ง “ม้าทรง” จะต้องไปที่แหลมพรหมเทพก่อน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับเกาะแก้วพิสดารนั่นเอง) ยังมีในประวัติ
“วัดมหาธาตุฯ”
นครศรีธรรมราช อีกว่า
ในตอนที่
พระนางเหมชาลา
และพระราชบุตรชื่อ
ทันตกุมาร
อัญเชิญ
พระเขี้ยวแก้ว
ไปลังกา ขณะที่โดยสารมากับเรือสำเภา เรือออกแล่นไปถึงกลางมหาสมุทร ก็เกิดอัศจรรย์เรือหยุดอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไป นายสำเภาจึงประชุมลูกน้องว่าเรือหยุดอยู่กับที่โดยหาสาเหตุไม่ได้เช่นนี้ คงจะเป็นเพราะสองพี่น้องโดยสารเรือมาเป็นแน่ ต้องจับฆ่าโยนลงทะเลเสีย ด้วยเหตุนี้ เจ้าฟ้าจึงระลึกถึง
พระมหาเถระพรหมเทพ
ให้มาช่วย ตามที่พระเถระเคยบอกไว้ก่อนว่า หากมีภัยอะไรก็ขอให้นึกถึง ท่านจะมาช่วยเหลือทันที
ทันใดนั้นพญาครุฑใหญ่ปีกกว้างประมาณ ๓๐๐ วา ได้บินมาที่เรือ เหตุอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นก็หายไป พญาครุฑก็กลายร่างเป็นพระเถระฯ แล้วชี้แจงให้ลูกเรือทราบว่าเรือหยุดเป็นเพราะ
พญานาคราชและบริวาร
ขึ้นมานมัสการพระทันตธาตุจึงเกิดอัศจรรย์ พระมหาเถระชี้แจงแล้วก็กลับไป เรือสำเภาก็แล่นต่อไปยังเมืองลังกาได้ สองเจ้าฟ้าจึงขึ้นเฝ้าพระเจ้ากิตติสิริเมฆวัน กษัตริย์กรุงลังกา แล้วเล่าเรื่องราวต่าง ๆ พร้อมทั้งถวายพระทันตธาตุ พระเจ้ากรุงลังกาปิติโสมนัสยิ่งนัก จึงสร้างพระเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระทันตธาตุไว้เป็นที่สักการบูชาของประชาชนสืบไป
ที่มาและข้อมูลเพิ่มเติม
http://tamroiphrabuddhabat.com/xmb/viewthread.php?tid=322
โดย:
Nujeab
เวลา:
2014-6-29 04:19
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-8-22 10:08
โดย:
Metha
เวลา:
2014-8-22 21:23
โดย:
AUD
เวลา:
2014-10-10 07:47
โดย:
Metha
เวลา:
2014-10-13 23:35
"........พญานาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาค กับ รุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง
........นาคสะดุ้ง...ที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตน เอาหลังหนุนบันไดไว้ หรือแม้แต่ "ตุง" ของชาวล้านนาและพม่า ก็เชื่อกันว่าคลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์
โดย:
Metha
เวลา:
2014-12-7 15:53
สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช
ต่อมาสมัยเมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระราชศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง เมื่อเสร็จจากการทำสังคายนา (ประมาณ พ.ศ. ๒๓๕) เหมือนว่าเป็นปฏิสังขรณ์ศาสนาครั้งยิ่งใหญ่แล้ว ก็ทรงตั้งพระทัยต่อศาสนวัตถุที่กำลังเสื่อมโทรม โดยเฉพาะสถูป ๘ แห่งที่ประดิษฐานพระบรมพระธาตุ ที่ได้รับมอบจากกษัตริย์แห่งกุสินารา โปรดให้เที่ยวค้นหาพระบรมสารีริกธาตุตามเมืองต่าง ๆ
ในตอนนี้ หลวงจีนที่จาริกไปถึงอินเดียได้เล่าว่า พระเจ้าอโศกเสด็จมาถึง รามคาม ด้วยพระองค์เอง และเตรียมการจะขุดสถูป พญานาคราช ซึ่งเฝ้าสถูปอยู่ได้แปลงร่างเป็นพราหมณ์ ขอร้องให้พระองค์อย่าขุดทำลายสถูปนี้เลย เพราะเป็นของสำคัญในชีวิตของนาค พระสถูปทั้ง ๗ จึงถูกขุดบูรณะเสียใหม่ จัดให้มีการบูรณะเสียใหม่ และสร้างเพิ่มอีก ๘๔,๐๐๐ องค์ นำพระบรมสารีริกธาตุแจกจ่ายไปบรรจุโดยทั่ว และนำไปบรรจุไว้ที่สถูปของพระองค์ ในเมืองปาตลีบุตรด้วย
ในบรรดาเจดีย์ที่ขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุนั้น จึงยกเว้นสถูปที่ รามคาม แห่งนี้เท่านั้น เพราะเหตุว่าพระเจ้าอโศกได้รับการแสดงความเป็นเจ้าของผู้ดูแลจาก "นาคราชา" พร้อมด้วยบริวาร ถวายการอารักขาพระบรมธาตุอย่างมั่นคงอยู่แล้วนั่นเอง (แต่ในประวัติบางแห่งเล่าว่า พระสถูปที่เมืองรามคามนั้นตั้งอยู่ริมตลิ่ง ต่อมาได้เกิดน้ำเซาะพังลงไปในน้ำ พญานาคราชจึงได้อัญเชิญไปบูชาไว้ที่นาคพิภพ)
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2