Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ประวัติพระกริ่ง แห่งสยามประเทศ [สั่งพิมพ์]

โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:42
ชื่อกระทู้: ประวัติพระกริ่ง แห่งสยามประเทศ
ประวัติพระกริ่ง แห่งสยามประเทศ

ที่มาของพระกริ่ง

รูปแบบองค์พระกริ่งมาตรฐาน มีพระพุทธลักษณะประทับนั่งบนกลีบบัวคว่ำ บัวหงาย ปางมารวิชัย เพียงแต่บนพระหัตถ์ซ้ายจะปรากฎหม้อยาบ้าง วัชระบ้าง ซึ่งองค์พระกริ่งนี้ได้ถูกจำลองจาก "พระไภสัชคุรุ" เป็น พระพุทธเจ้าปางหนึ่งของลัทธิมหายาน ซึ่งหมายความว่า ทรงเป็นครูในด้านเภสัช คือ การรักษาพยาบาล

ทั้งนี้นิกายมหายานได้เผยแพร่สู่ดินแดนธิเบต จีน และกัมพูชา จึงมีคติสร้างพระกริ่งเพื่อทำการสักการะบูชา

ในประเทศจีนและธิเบต ฝ่ายไทยเรียก พระกริ่งนอก, พระกริ่งใหญ่ หมายถึงพระกริ่งนอกประเทศ ส่วนพระกริ่งใหญ่ หมายถึงพระกริ่งที่มีขนาดใหญ่ พระกริ่งจีนมีความอวบอิ่มบนพระพักตร์ แสดงความเป็น "จีน" เอาไว้อย่างเต็มรูปแบบ และส่วนใหญ่เป็นการสร้างเพื่อไว้เป็นพระบูชาประจำราชวงศ์

ภาพพระกริ่งจีนใหญ่ เนื่องจากองค์ล่ำสัน มีขนาดใหญ่จึงเป็นที่มาของการเรียกชื่อ





ที่มา http://topicstock.pantip.com/lib ... 07687/K9607687.html






โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:43

ในประเทศกัมพูชา ฝ่ายไทยเรียก พระกริ่งอุบาเก็ง (พระกริ่งพนมบาเค็ง – พระกริ่งหนองแส) และพระกริ่งพระปทุมสุริยวงศ์

พระกริ่งหนองแส เป็นพระกริ่งอีก องค์หนึ่งที่ขุดพบในประเทศเขมร บนเขาพนมบาเค็ง แต่ความจริงแล้วเป็นพระกริ่งที่สร้างอยู่ที่หนองแส หรือเมืองแส แห่งอาณาจักรน่านเจ้า ซึ่งแต่เดิมก็เป็นอาณา จักรของคนไทยเชื้อสายหนึ่ง ในปัจจุบันคือมณฑลฮุนหนำในประเทศจีน ผู้ที่สร้างพระกริ่งหนองแส สันนิษฐานว่า เป็นพระกริ่งที่กษัตริย์ราชวงศ์หนองแสได้สร้างขึ้น ในขณะที่อาณาจักรน่านเจ้ารุ่งเรืองที่สุด น่าจะเป็นสมัยพระเจ้าพีล่อโก๊ะ หรือขุนบรม ปกครองอยู่ในระหว่างปี พ.ศ. ๑๒๗๐ – ๑๒๙๐ ซึ่งมีความสัมพันธไมตรีกับประเทศจีนและทิเบต

ภาพพระกริ่งหนองแส จะมีลักษณะองค์บาง





โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:44

พระกริ่งหนองแส ก็เรียกอีกชื่อว่า พระกริ่งบาเค็ง ตามชื่อภูเขาที่ค้นพบในประเทศกัมพูชา




โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:48

พระกริ่งตั๊กแตน หรือพระกริ่งเขมร นี้มีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศกัมพูชา สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยที่ขอมเรืองอำนาจ และได้สร้างกันต่อๆ มาหลายยุคหลายสมัย แต่ที่นิยมเสาะหากันนั้นเป็นพระกริ่งที่สร้างขึ้นในยุคแรกๆ ซึ่งพระพักตร์ของพระกริ่งตั๊กแตนในยุคแรกๆ นั้น จะมีพระนาสิกใหญ่ พระเนตรจะเป็นรอยลึกลงไปในเนื้อพระ ที่มักเรียกกันว่าตาเจาะ สันนิษฐานว่าเวลาสร้างหุ่นเทียนนั้นคงจะใช้วัสดุเซาะขีดลงไปในหุ่นเทียน พระโอษฐ์ก็เป็นการเซาะขีดลงไปในหุ่นเทียนเช่นกัน พระศกเป็นเม็ดกลมๆ พระเกศจะเป็นตุ้มกลมๆ เช่นกัน คนในสมัยก่อนคงจะเห็นลักษณะแปลกๆ คล้ายหน้าตั๊กแตนหรืออย่างไรไม่ทราบได้ จึงเรียกพระกริ่งชนิดนี้ว่า "พระกริ่งหน้าตั๊กแตน" และเป็น "พระกริ่งตั๊กแตน" ในที่สุด

พระ กริ่งตั๊กแตนนี้เป็นการสร้างแบบปั้นหุ่นเทียนที่ละองค์ ดังนั้น พระแต่ละองค์จะไม่มีองค์ใดๆ เลยที่จะเหมือนกันเปี๊ยบ เนื่องจากไม่ได้ถอดหุ่นเทียนออกมาจากแม่พิมพ์ จะมีขนาดใหญ่เล็กต่างกันไปไม่มากก็น้อย การวางพระหัตถ์ก็จะไม่เหมือนกันทีเดียวนัก กล่าวคือมีทั้งปางสมาธิและปางมารวิชัย และปางมารวิชัยกลับด้าน หรือที่นิยมเรียกกันว่าปางสะดุ้งกลับ การถือสิ่งของในมือก็เช่นกัน มีทั้งแบบที่ไม่ถืออะไรเลย จนมีถือดอกบัวบ้าง ถือหม้อน้ำมนต์บ้าง ถือหอยสังข์บ้างก็มี พระทุกองค์จะมีประคำสวมใส่ที่คอทุกองค์ และบัวที่ฐานก็มีแบบต่างๆ เช่น บัวฟันปลา บัวตุ่ม บัวย้อย บัวเม็ดมะยม และบัวฟองมัน เป็นต้น

พระกริ่งตั๊กแตนเป็นพระกริ่งที่บรรจุกริ่งใน ตัว มีรอยอุดที่ด้านหลังแถวๆ สะโพก ที่ใต้ฐานมักทำเป็นลักษณะคล้ายเลขหนึ่งไทย ลักษณะการปั้นเป็นเส้นแบบขนมจีนและขดวางลงไปที่หุ่นเทียน มีความหมายถึงคำว่า "โอม" พบว่าบางองค์เป็นฐานเรียบๆ ไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ ก็มี ส่วนเนื้อหาพระกริ่งตั๊กแตนยุคต้นๆ นั้นจะเป็นเนื้อสำริดแก่เงิน ผิวจะเป็นสีดำคล้ำๆ





โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:49

พระกริ่งพระปทุมสุริยวงศ์

ซึ่งเป็นที่เรียกกันเพื่อเป็นที่รู้กันว่าเป็นพระกริ่งที่สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมัน  เป็นพระกริ่งที่เก่าแก่ แต่อายุการสร้างน้อยกว่าพระกริ่งหนองแส ซึ่งปรากฏว่าเจ้าเมืองเขมรที่เสด็จมาประเทศไทย  ได้ถวาย  “พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์”  แก่สมเด็จกรมพระปวเรศฯ  ไว้องค์หนึ่ง  ซึ่งต่อมาได้เค้ามาเป็นแบบอย่างของพระกริ่งปวเรศ อันโด่งดัง
นิราศนครวัด ความตอนหนึ่งว่า

“อนึ่งเรา(สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ) มาเที่ยวนี้ได้ตั้งใจสืบสวนเรื่องหนึ่งคือการสร้างพระพุทธรุปองค์เล็กๆซึ่งเรียกกันว่า  พระกริ่ง เป็นของนับถือและขวนขวายหากันในเมืองเรามาแต่ก่อน  กล่าวกันว่าเป็นของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์สร้างไว้  เพราะได้ไปจากเขมรทั้งนั้น เมื่อครั้งรัชกาลที่ ๔ พระอมรโมลี(นพ) วัดบุปผาราม  ลงมาส่งพระมหาปาน ราชาคณะธรรมยุติ  ในกรุงกัมพูชาองค์แรก ซึ่งต่อมาได้เป็น สมเด็จพระสุคนธ์ นั้น มาได้พระกริ่งขึ้นไปให้คุณตา (พระยาอัมภันตริกามาตย์)  ท่านให้แก่เราแต่ยังเป็นเด็กองค์เล็ก  เมื่อเราบวชให้เป็นสามเณรนำไปถวายสมเด็จฯ (สมเด็จกรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์)ทอดพระเนตท่านตรัสว่าเป็นพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์  นั้นมี ๒ อย่าง เป็นสีดำอีกอย่างหนึ่งเป็นสีเหลืององค์ย่อมกว่าสีดำมากกว่าสีดำอย่างหนึ่ง แต่สีเหลืองนั้นเราไม่เคยเห็นของผู้อื่นเป็นสีดำทั้งนั้น

ต่อมาเมื่อเราอยู่กระทรวงมหาดไทย พระครูเมืองสุรินทร์เข้ามากรุงเทพ  เอาพระกริ่งมาให้อีกองค์หนึ่ง  ก็เป็นอย่างสีดำ  ได้พิจารณาเทียบเคียงกับองค์ที่คุณตาให้เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเลย  จึงเข้าใจว่าพระกริ่งนั้นแต่เดิมเห็นจะตีพิมพ์ทำทีละมากๆและรูปสัณฐานเห็นว่าเป็นพระพุทธรูปอย่างจีน  มาได้หลักฐานเมื่อเร็วๆนี้ด้วย ราชทูตต่างประเทสคนหนึ่งเคยไปอยู่เมืองปักกิ่ง  ได้พระกริ่งทองของจีนมาหนึ่งองค์  ขนาดเท่ากันแต่พระพักตร์มิใช่พิมพ์เดียวกับพระกริ่งพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์  แต่ถึงกระนั้นก็เป็นหลักฐานว่าพระกริ่งเป็นของจีนคิดแบบอย่างตำราในลัทธิฝ่ายมหายาน  เรียกว่า ไภษัชคุรุ  เป็นพระพุทธรูปปางทรงถือเครื่องบำบัดโรค  ถือบาตรน้ำมนต์หรือผลสมอ  สำหรับบูขาเพื่อป้องกันโรคาพาธและอัปมงคลต่างๆ

             เพราะฉะนั้นพระกริ่ง  จึงเป็นพระสำหรับทำน้ำมนต์  เรามาเที่ยวนี่จึงตั้งใจสืบหาหลักฐานว่า  พระกริ่งนั้นหากันได้ที่ใหนของเมืองเขมร  ครั้นมาถึงพนมเปญพบพระเจ้าพระสงฆ์เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ลองไต่ถามก็ไม่มีใครรู้หรือเคยพบเห็น พระกริ่ง มีออกญาจักรี  คนเดียวบอกว่าสัก ๒๐ ปีมาแล้ว  เคยเห็นองค์หนึ่ง เป็นของชาวบ้านนอก  แต่ก็หาได้เอาใจใส่ไม่  ครั้นมาถึงนครวัดจึงมาได้รับความจริงจาก เมอร์ซิเออร์  มาร์ชาล  ผู้จัดการโบราณสถาน  ว่าสัก ๒-๓ เดือนมาแล้วเขาขุดซ่อมเทวสถานซึ่งแปลงเป็นวัดพระพุทธศาสนาบนยอดเขา มาเก็บพบพระพุทะรูปองค์เล็กๆอยู่ในหม้อใบหนึ่งหลายองค์  เอามาให้เราดูเป็นพระกริ่งปทุมสุริยวงศ์ทั้งนั้น มีทั้งอย่างเนื้อดำและเนื้อเหลือง ตรงกับที่สมเด็จพระอุปัชฌาย์ ทรงอธิบายจึงเป็นอันได้ความแน่นอนว่าพระกริ่งที่ได้ไปยังต่างประเทศเราแต่ก่อนนั้นเป็นของหาได้ในกรุงกัมพูชา  แต่จะนำมาจำหน่ายจากเมืองจีนหรือพวกขอมจะเอาแบบพระจีนมาหล่อขึ้นในประเทศขอมหรือไม่ทราบ”


ลักษณะครอบน้ำพระพุทธมนต์ จะอัญเชิญพระกริ่งพร้อมยันต์คาถา ปูไว้เบื้องล่างในครอบน้ำมนต์ แล้วจึงเติมน้ำให้เต็ม เพื่อทำการสวดทำน้ำมนต์ เช่น ครอบน้ำมนต์ปทุมโลหิต แห่งวัดสุทัศน์อันโด่งดัง









โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:50
พระกริ่งในประเทศไทย

พระกริ่งในประเทศไทย นั้นต้องยอมรับว่า เจ้าตำรับการสร้างพระกริ่งในปัจจุบันนี้ ต้องยกให้วัดสุทัศน์เทพวราราม เนื่องจากมีชื่อเสียงโด่งดังและมีประวัติการสร้างพระกริ่งมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๔๑ เป็นต้นมา

แต่ถ้าจะยกย่องให้พระกริ่งองค์แรก ที่หล่อขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ก็ได้แก่ วัดบวรนิเวศ โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงสร้างขึ้นมาและเรียกกันโดยสามัญว่า “พระกริ่งปวเรศ”

สำหรับตำราการสร้างพระกริ่งในประเทศไทยพบดังนี้ว่าตำราสร้างพระกริ่งในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นี้ เดิมเป็นตำราของสมเด็จพระนพระชัต วัดป่าแก้ว สำนักอรัญญิกาวาสสมถธุระวิปัสสนาธุระแห่งกรุงศรีอยุธยา และมาอยู่ที่สมเด็จกรมพระยาปรมานุชิตชิโนรส ศรีสุคตขัตติยวงศ์ วัดพระเชตุพนฯ จากนั้นพรมงคลทิพย์มุนี (มา) วัดจักรวรรดิราชาวาส ก่อนที่จะมาตกอยู่ที่สมเด็จพระสังฆราช (แพ) เมื่อครั้งยังทรงสมณศักดิ์เป็นพระเทพโมลี

โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:51

พระกริ่งปวเรศ

เป็นสมัญญานามของพระกริ่งที่ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงสร้างขึ้น ทราบกันมาว่า ทรงสร้างขึ้นเพื่อประทานแก่เจ้านายที่ทรงคุ้นเคยสนิทสนม และ เจ้านายที่ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ มีจำนวนน้อยมาก ไม่เกิน ๓๐ องค์ ทรงสร้างด้วยเนื้อนวะโลหะ คว้านฐาน บรรจุเม็ดกริ่ง ปิดทับด้วยแผ่นทองแดง ซึ่งประวัติ พิธีการสร้าง ไม่มีจดบันทึกไว้ เป็นเพียงจากคำบอกเล่าและอ้างอิงกัน ดังเช่น

กรมหลวงวชิรญาณวงศ์แห่งวัดบวรฯ เคยมีดำรัสถึงเรื่องพระกริ่งปวเรศนี้ว่า "เท่าที่ฉันได้ยินมานั้น สมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ท่านทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง มีจำนวนน้อยมากน่าจะไม่เกิน 30 องค์ ต่อมาได้ประทานให้หลวงชำนาญเลขา(หุ่น) ผู้ใกล้ชิดพระองค์นำไปจัดสร้างขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง แต่หลวงชำนาญเอาไปเทนั้น จะมากน้อยเท่าใดฉันไม่ได้ยินเขาเล่ากัน"

การสร้างพระกริ่งปวเรศของสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯนั้น น่าจะเนื่องจากว่าท่านได้รับการถวายพระกริ่งที่เรียกกันว่า "กริ่งปทุมสุริวงศ์" พร้อมตำราการสร้างพระกริ่งและตำรามงคลโลหะ ที่มีมาแต่โบราณสืบค้นได้ถึงสมัยสมเด็จพระพนรัตนวัดป่าแก้ว ทรงเห็นว่าพระกริ่งนั้นดีมีมงคล หากจะสร้างขึ้นตามตำรา แต่ดัดแปลงพุทธลักษณะที่คล้ายเทวรูปในคตินิยมแบบมหายาน ให้มีพุทธลักษณะคตินิยมแบบหินยานก็น่าจะมีเอกลักษณ์ดี

อีกทั้งเมื่อมีการขยับพระพุทธชินสีห์คราวสร้างฐานชุกชีนั้น พบว่ามีเนื้อฐานพระพุทธชินสีห์ชำรุดจึงโปรดให้ช่างตัดแต่งให้งามดุจเดิม และเนื้อฐานพระพุทธชินสีห์นั้นเองล่ะกระมังที่เป็นแรงบันดาลใจ เมื่อทรงได้ตำราสร้างพระกริ่งและตำราโลหะมงคลมา จึงได้นำโลหะที่เหลือจากการแต่งฐานพระพุทธชินสีห์มาใช้ เพราะนานไปเศษโลหะนั้นจะไม่มีผู้รู้ค่าว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์จะถูกทิ้งเสียเปล่า

พระองศ์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ได้ทรงดำรัสถึงเรื่องพระต้นแบบพระกริ่งปวเรศเป็นความว่า "ฉันเห็นหม้อน้ำมนต์ของวัดบวรนิเวศวิหาร ฉันได้เอาแว่นขยายส่องดู จึงแน่ใจว่าเป็นพระกริ่งใหญ่(พระกริ่งจีน) หรือที่เรียกกันว่าปทุมสุริวงศ์ อันน่าจะได้รับถวายมาจากราชวงศ์นโรดมกัมพูชา? สำหรับพระกริ่งใหญ่หรือพระกริ่งปทุมสุริวงศ์นี้ เป็นพระกริ่งของจีนโบราณสมัยหมิง ได้แพร่หลายเข้ามานานแล้ว แต่ที่พบจะมาพร้อมพระกริ่งบาเก็ง ซึ่งศิลปะสกุลช่างจีนเช่นเดียวกันแต่พบที่ปราสาทบาแคงที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาพนมบาแคง

ท่านอาจารย์ตรียัมปวาย ได้กล่าวถึงเรื่องพระกริ่งปวเรศไว้ดังนี้ "พระกริ่งปวเรศที่คนโบราณเขานิยมกันนั้น มีอยู่เนื้อเดียว คือเนื้อนวโลหะผิวกลับดำ เมื่อขัดเนื้อในจะเป็นสีจำปาเทศ และเมื่อทิ้งไว้ถูกกับอากาศก็จะกลับดำอีกครั้งหนึ่งในเวลาไม่นาน การอุดก้นนั้นพบสองลักษณะ คืออุดด้วยทองแดง และอุดด้วยฝาบาตร มีเครื่องหมายลับไว้กันปลอมแปลงด้วยแต่เป็นกริ่งที่หายาก และมีผู้เจนจัดชนิดชี้เป็นชี้ตายได้น้อยแทบไม่มีเลย นอกจากจะมีองค์ที่เป็นองค์ครูแล้วนำเอาองค์อื่นมาเทียบเคียงเท่านั้น"

ภาพพระกริ่งปวเรศ อันโด่งดัง เป็นพระกริ่งแรกสุดของกรุงรัตนโกสินทร์









โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:52

พระกริ่งสายวัดสุทัศน์

พระกริ่งวัดสุทัศนนั้นเนื่องจากเมื่อครั้งที่ สมเด็จพระวันรัต(แดง) พระอุปัชฌาย์อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของพระองค์ทรงเคยรักษาผู้ป่วยเป็นอหิวาตกโรคให้หายได้ ด้วยการอาราธนาพระกริ่งลงในน้ำ ทำเป็นน้ำพระพุทธมนต์ แล้วโปรดให้น้ำนั้นแก่ผู้ป่วยดื่ม ปรากฏว่าหายอย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้วก็อาราธนาพระกริ่งลงในน้ำ ทำน้ำพระพุทธมนต์ประทานแก่ สมเด็จพระวันรัต(แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์นั้นแล้วก็บรรเทาหายอาพาธเป็นปกติ (คือนำพระกริ่งปวเรศ มาทำน้ำพระพุทธมนต์)
สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทว) วัดสุทัศนเทพวรารามได้ทอดพระเนตรเห็นคุณวิเศษน่าอัศจรรย์ของพระกริ่งในขณะนั้นแล้ว จึงเกิดความสนพระทัย และทรงเริ่มศึกษาค้นคว้าตำราที่จะสร้างพระกริ่งเรื่อยมา จนมีความรู้ความเชี่ยวชาญในการสร้าง จนเจนจบ เมื่อจะมีการสร้างพระกริ่งขึ้นครั้งใด พระองค์จะถูกขอร้องให้เป็นผู้ชี้แจงการสร้าง และการหล่อ ในฐานะประธานการหล่อพระกริ่งเสมอมา

ตำนานความเป็นมาของพระกริ่งและ พระชัยวัฒน์ "คำว่ากริ่ง" นี้ หมายความว่ากระไร สมเด็จฯ (สมเด็จพระสังฆราช แพ ติสฺสเทว) เคยรับสั่งเสมอว่า คำว่า "กริ่ง" นี้ มาจากคำถามที่ว่า "กึ กุสโล" (กิง กุสะโล) คือ เมื่อพระโยคาวจรบำเพ็ญสมณธรรมมีจิตผ่านกุศลธรรมทั้งปวงเป็นลำดับไปแล้ว

มูลเหตุที่สมเด็จพระสังฆราช(แพ) ทรงสร้างพระกริ่งและ พระชัยวัฒน์นั้น มีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ ทรงเล่าว่าเมื่อพระองค์ดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศรีสมโพธิ ครั้งนั้น สมเด็จพระวันรัต (แดง) อาพาธเป็นอหิวาตกโรค สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่นเสด็จมาเยี่ยม เมื่อรับสั่งถามถึงอาการของโรคเป็นที่เข้าพระทัยแล้ว รับสั่งว่า เคยเห็นกรมพระยาปวเรศฯเสด็จพระอุปัชฌาย์ของพระองค์อาราธนาพระกริ่งแช่น้ำอธิษฐาน ขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วให้คนไข้เป็นอหิวาตกโรคกินหายเป็นปกติ
พระองค์จึงรับสั่งให้มหาดเล็กที่ตามเสด็จไปนำพระกริ่งที่วัดบวรนิเวศแต่สมเด็จฯ ทูลว่า พระกริ่งที่กุฏิมี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า จึงรับสั่งให้นำมา แล้วอาราธนาพระกริ่งแช่ น้ำอธิษฐานขอน้ำพระพุทธมนต์แล้วนำไปถวายสมเด็จพระวันรัต (แดง) เมื่อท่านฉันน้ำพระพุทธมนต์แล้ว โรคอหิวาต์ก็บรรเทาหายเป็นปกติ ส่วนจะเป็นพระกริ่งสมัยไหนพระองค์ท่านรับสั่งว่าจำไม่ได้





โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:53

กำเนิดพระกริ่งเทพโมลี

สมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์เทพวราราม พระนามเดิมว่า แพ พระนามฉายาว่าติสฺสเทว ประสูติในรัชกาลที่ ๔ เมื่อ ณ วันพุธ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะโรงจุลศักราช ๑๒๑๘ ตรงกับวันที่ ๑๒พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๓๙๙ บิดาชื่ออ้น เป็นชาวสวนบางลำภูล่าง อำเภอคลองสาน จังหวัดธนบุรี

ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๔๑ ทรงตั้งเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่พระเทพโมลี มีสำเนาที่ทรงตั้งดังนี้ให้เลื่อนพระศรีสมโพธิ์เป็นพระเทพโพลี ตรีปฎกธรา มหาธรรมกถึกคณฤศร บวรสังฆราม คามวสี สถิตย์ ณ วัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมมหาวิหาร พระอารามหลวง มีนิตรยภัตรเดือนละ ๔ ตำลึงกึ่ง มีถานานุศักดิ์ควรตั้งถานานุกรมได้ ๔ รูป คือ พระครูปลัด ๑ พระครูสังฆวิชิต ๑ พระครูสมุห์ ๑ พระครูใบฎีกา ๑

จนเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๒ ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานพระสุพรรณบัฏ ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช (เป็นองค์ที่ ๑๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) และในวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๗ ก็ได้เสด็จดับขันธ์สิ้นพระชนม์สิริพระชนมายุ ๘๙ โดยมีพระพรรษา ๖๖

ดังนี้แล้วในวโรกาสที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชคณะผู้ใหญ่ที่ พระเทพโมลี ท่านจึงได้สร้างพระกริ่งขึ้นตามตำรับอย่างวัดป่าแก้ว และพระกริ่งปวเรศที่ทรงรำลึกถึง ซึ่งตำรับการสร้างมีพิธีอันละเอียดซับซ้อนและเต็มไปด้วยพิธีกรรมมากมาย อีกทั้งจำนวนการสร้างถือคติกำลังวัน เช่นวันจันทร์ มีกำลังวัน ๑๕ ก็สร้างพระ ๑๕ องค์, วันอังคาร กำลังวัน ๘ ก็ถือคติสร้าง ๘ องค์เป็นต้น

ภาพสมเด็จพระสังฆราช (แพ) ขณะดำรงตำแหน่งพระเทพโมลี เมื่อพ.ศ. ๒๔๔๑





โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:54

การสร้างพระกริ่งตำรับวัดสุทัศน์นั้น สมเด็จพระสังฆราช (แพ) ท่านได้ตรัสว่า “ดีในและดีนอก” หมายถึงเมื่อสร้างพระกริ่งออกมาแล้ว จะต้องมีเสียงเขย่า ดังของเม็ดกริ่งที่ดังกังวาน และไม่เห็นรูเจาะ รูคว้านให้เห็น ซึ่งจะต้องทำให้เป็นเนื้อเดียวกับองค์พระ ซึ่งคือ “ดีใน”

สำหรับ “ดีนอก” คือมวลสารแห่งเนื้อพระต้องตามสูตรอย่างโบราณประกอบไปด้วย
๑.ชินน้ำหนัก ๑ บาท
๒.จ้าวน้ำเงิน น้ำหนัก ๒ บาท(แร่ชนิดหนึ่ง สีเขียวปนน้ำเงิน)
๓.เหล็กละลายตัว น้ำหนัก ๓ บาท
๔.บริสุทธิ์ทองแดงบริสุทธิ์น้ำหนัก ๔ บาท
๕.ปรอท น้ำหนัก ๕ บาท
๖.สังกะสี น้ำหนัก ๖ บาท
๗.ทองแดง น้ำหนัก ๗ บาท
๘.เงิน น้ำหนัก ๘ บาท และ
๙.ทองคำ น้ำหนัก ๙ บาท

มาหล่อหลอมให้กินกันดีแล้วนำมาตีเป็นแผ่นแล้วจารยันต์ ๑๐๘ กับ นะ ปถมัง ๑๔ จึงได้เนื้อนวโลหะออกมาสีอย่างนาคสุก เมื่อปล่อยไว้นานเข้าจะกินอากาศ เป็นผิวกลับดำ มีพรายเงิน พรายทองแล้วแต่กระแสโลหะ และผิวดำมันวาวอย่างสีปีกแมลงทับ ซึ่งเรียกว่า “ดีนอก”
หลังจากการสิ้นพระชมน์ของพระสมเด็จพระสังฆราช (แพ) การสร้างพระกริ่งสายวัดสุทัศน์ยังคงสืบทอดำรับกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้การสร้างพระกริ่งยังคงได้รับการพัฒนาและต่อยอดมาจนทุกวันนี้

ภาพพระกริ่งเทพโมลี ของสมเด็จพระสังฆราช (แพ)




โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:55

พระกริ่งสายวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส

ยังมีพระกริ่งอีกสายหนึ่ง ซึ่งคงความเข้มข้นด้านเนื้อหาและประวัติการสร้างพระจากตำรับโบราณ คือ พระกริ่งสายวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส ซึ่งสร้างในสมัยพระพุฒาจารย์ เอนกสถานปรีชา ฯ (มา) สมัยรัชกาลที่ ๕
พระพุฒาจารย์ เดิมชื่อ มา ชื่อ อินทร์สร ในพระพุทธศาสนา เกิดในสกุลอุบาสกใจบุญ โยมผู้ชายชื่อ ทองอยู่ โยมผู้หญิงชื่อ แช่ม พระพุฒาจารย์เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน พระพุทธศักราช ๒๓๘๐ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีระกานพศก (จุลศักราช ๑๑๙๙) ณ ตำบลบ้านเขาแหลม อำเภอสำเพ็ง กรุงเทพฯ ครั้นพระพุทธศักราช ๒๔๐๔  ตรงกับปีระกา ตรีศก (จุลศักราช ๑๒๒๓) ท่านมีชนมายุได้ ๒๕ ปี จึงอุปสมบทเป็นภิกษุ ณ วัดจักรวรรดิ์ราชาวาส

และวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ (รัตนโกสินทรศก ๑๓๓) ตรงกับ ณ วันศุกร์ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีขาล ฉศก (จุลศักราช ๑๒๗๖) เวลา ๑๐ ทุ่ม ๓๐ นาที ท่านได้ถึงแก่มรณภาพ มีชนมายุ ๗๘ ปี กับ ๑ เดือน ๒๒ วัน มีพรรษาได้ ๕๒ พรรษา

การสร้างพระกริ่งของท่านเจ้ามานั้น มีการสร้างพระกริ่งและขนาดเล็ก (พระชัยวัฒน์) ซึ่งหล่อไว้ในราวอายุใกล้เคียงกับสมัยสมเด็จพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์วราราม ซึ่งถ่ายทอดวิชาความรู้ตำรับการสร้างพระกริ่งระหว่างกันและกัน





โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:55

พระกริ่งล้มลุก

เป็นพระกริ่งที่มีชื่อเสียงอันดับ ๑ แห่งวัดจักรวรรดิ์ราชาวาส ซึ่งองค์พระมีขนาดเล็ก ไม่ใหญ่มาก ลักษณะองค์พระกริ่งนั่งขัดสมาธิเพชร ประทับบนดอกบัว ส่วนฐานถูกตะไบให้มีกลม เนื่องจากเป็นการหล่อพระแบบโบราณ ช่างจึงตะไบที่ฐานเพื่อลบเศษโลหะที่ไม่ต้องการออก เลยทำให้เป็นฐานกลม เหมือนตุ๊กตาล้มลุก อีกทั้งชื่อยังพ้องกับ ล้มแล้วลุก จึงเป็นที่ใฝ่หาของบรรดาลูกศิษย์มาก

ภาพพระกริ่ง พิมพ์ล้มลุก





โดย: Metha    เวลา: 2014-3-26 03:57
ลักษณะที่ดีของพระกริ่ง

พระกริ่งที่มีลักษณะดี ต้องมีเสียงเขย่าแล้วดังกังวาน ถ้าไม่ดัง เขานิยมเรียกกันว่า "พระกริ่งใบ้" ผิวโลหะเป็นมันวาว สีดำสนิด และขัดถูด้วยมือจะเห็นเป็นสีเงินยวง สักพักผิวจะกลับดำ และเนื้อโลหะต้องตึง ไม่มีรูตามด

การบรรจุกริ่งเข้าไป ทำได้หลายวิธี ต่างสำนักก็ต่างวิธี แต่ที่สุดยอดต้องยกให้ของวัดสุทัศน์อีกเช่นกัน ทำการอุดกริ่งด้วยการไม่เห็นความแตกต่างของเนื้อโลหะ และอุดกรุ่งตรงสะโพกเท่านั้น

พระกริ่งบางสำนักก็อุดที่ฐาน อุดสะโพก หรือแม้กระทั่งคว้านก้นให้เป็นรูแล้วหาแผ่นมาปิด ก็แล้วแต่จะทำกัน

การหล่อโลหะก็สำคัญ บางแห่งทำจากโรงงาน บางแห่งหล่อแบบโบราณตามตำรับ บางแห่งใช้โลหะปั๊มขึ้นรูป ก็ขึ้นอยู่กับว่ากระบวนการสร้างพระกับเจตนา ต่างกันอย่างไร แต่เขาจะให้เกียรติการหล่อโบราณให้เป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งการหล่อแบบโบราณคือ การหล่อพระและหุ้มดินขี้วัว ตอกทอย และมัดด้วยลวด ซึ่งมีกระบวนการยุ่งยากและซับซ้อน มีการหล่อแบบเป็นช่อ หล่อแบบลอยตัว (เรียกว่าเบ้าทุบ) ครับ

แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 53 11:22:30


ที่มา http://topicstock.pantip.com/lib ... 07687/K9607687.html





โดย: lnw    เวลา: 2014-3-26 08:43
ขอบคุณคับ
โดย: sriyan3    เวลา: 2014-3-26 09:02
ขอบคุณคร้าบ




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2