"หลวงพ่อ ทำไมเป็นอย่างนั้นเล่า เมื่อคืนก็มาสมาทานศีลกันแล้วว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ ไม่กินเหล้า ทำไมไปทำกันอีกอย่างนี้" นี่คือความจริงของเขา ถ้าทำอย่างนี้มันจะเป็นการเป็นงานไหมมันจะได้ผลไหมกำลังใจของท่านอ่อนไปมากเพราะคิดว่า ถ้าใครสมาทานศีลในพุทธศาสนาแล้วก็เลิกละกันไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเหล้า แต่นี่มันอยู่อย่างเก่า รับศีลก็รับไปเถอะ เหล้าก็กินไปเถอะทั้งสองอย่างฝรั่งดูไม่ออก ไม่รู้ข้าง หน้าข้างหลัง มันเป็นอย่างไร ท่านก็เลยลำบากไม่สบายใจ อาตมาก็ว่า "สุเมโธ อย่าไปคิดมันมากซิ ให้เข้าใจว่าสอนพวกเด็กๆมันเป็นอย่างนั้น อย่าไปถือเลย เมื่อมีความรู้ความเห็นขึ้นมา เขาจะละไปเองล่ะ"ดังนั้น ท่านก็อยู่ได้ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนเรา มันไม่เข้าถึงที่สุดอยากจะบรรลุธรรม อยากจะประพฤติธรรม แต่ว่าไม่รู้จักกำหนดจิตใจของเจ้าของ ราคะโทสะ โมหะ เกิดขึ้นมาในจิตไม่รู้จักกำจัด บางคนก็ส่งเสริมมันเสียด้วย ไม่รู้จักบำบัดมันมันเป็นอย่างนี้ อย่างฝรั่งคนหนึ่งก็พูดว่า ประเทศไทยมีพุทธศาสนา ทำไมถึงมีขโมยมากอาตมาก็ว่า "สหรัฐมีกฎหมายห้ามขโมยไหม" "ห้าม" "มีขโมยไม?" "มีครับ" "อ้าวทำไมล่ะ ทำไมมีขโมยล่ะ ทำไมกฎหมายไม่ฆ่ามันซะ"อย่างเดียวกันอย่างนั้น จะไปโทษพุทธศาสนาว่าศาสนาเป็นขโมยไม่ใช่หรอก คนมันเป็นขโมยเหมือนกฎหมายสหรัฐห้ามไม่ให้ขโมยแต่คนยังเป็นขโมยกัน เป็นเพราะคน ไม่ใช่เป็นเพราะกฎหมายดังนั้นอาตมาจึงสอนอยู่แถวๆนี้ล่ะไม่ต้องไปไกล ไม่ต้องไปสอนไปในพระไตรปิฎกหรอก สอนแค่ว่าคนที่ไม่รู้จักบาปนี่ทำไมมันจึงจะรู้สึกสอนถึงหัวใจมันเลย หัวใจพระพุทธศาสนา ก็คือ ไม่กระทำบาปทั้งปวงนั่นล่ะอันหนึ่ง แล้วก็ทำจิตให้เป็นบุญเป็นกุศลอย่างหนึ่ง แล้วก็สอนทำใจให้ผ่องใสอีกอันหนึ่งแต่ว่าเมื่อเราทำนะ มันไม่เอาอย่างนั้น สูตรทั้งหลายมีหมด ตับมันก็มี หัวใจมันก็มีเรียนกัน แต่ว่าเรียนแล้วเอาไปเป่าผีซะ สัพกะระณีเอาไปกันผีซะ มันแปลกไปอย่างนั้นเอาตับ ให้มันดีกว่าเขาล่ะ มันก็ยังไม่กิน เอาหัวใจมันให้ก็ไม่กินอีก จะเอาอะไรไปให้มันก็ไม่เอาแล้วก็มาพูดว่าไม่ได้เรียนไม่รู้จัก จะไปเรียนอะไรมากมาย ท่านย่อให้แล้วแต่เราก็ไม่รู้จักเอาไปทำอย่างอื่นหมดชอบทำแต่ที่เรียกว่าไม่รู้เรื่องดังนั้น เราจึงต้องประพฤติปฏิบัติไปจนกว่ามันจะเข้าใจ เหมือนน้ำที่เราหยดลงไปอย่างนี้หยุดห่างๆ ปั๊บ...ปั๊บ...ปั๊บ...เราเร่งกามันขึ้นหยดของน้ำมันก็ถี่เข้า ปั๊บ...ปั๊บ...ปั๊บ...ปั๊บ...เร่งขึ้นไปมันก็ติดกันจนไหลเป็นสายหยดแห่งน้ำมันหายไปไหน มันเป็นสายของน้ำ ถ้ามันติดกันแล้วเขาไม่เรียกว่าหยดน้ำเขาเรียกว่า สายน้ำ สายน้ำมันเกิดจากอะไร มันเกิดมาจากหยดแห่งน้ำ นี่มันต้องเอาอย่างนี้มันจะต้องค่อยๆไปอย่างนั้น ประพฤติปฏิบัติขัดเกลาไป การประพฤติปฏิบัติ ทำไมมันจะไม่ขัดใจเจ้าของละอาตมามันขัดจนได้บวชมาถึงขนาดนี้ ขัด โอ้โธ่! มาฉันข้าวมื้อเดียว เด็กรุ่นๆจะทำอย่างไรฉันมื้อเดียวไปนั่งภาวนามันก็หิว นั่งอยู่ตอนกลางวันใจมันก็เดินไปตลาดโน่นไปหาก๋วยเตี๋ยวกิน กินโน่น ไปโน่น สารพัดอย่าง มันจะไปแต่เราก็ไม่อยากให้มันไปขัดใจก็ไม่รู้จะทำอย่างไร กิเลสมันหลาย จำเป็นจะต้องอดทน บางทีปฏิบัติไปท้องไม่สบายไปให้หมอตรวจก็ว่า "ท่านไม่ได้หรอก มันเป็นโรคกระเพาะ ท่านต้องฉันข้าวสองสามเวลา"บางทีก็บังคับให้ฉันข้าวเย็นอีกเสียด้วย "อ้าวโยม ให้ฉันข้าวเย็น มันก็กินข้าวเย็นเท่านั้นแหละไม่ใช่ฉันหรอก" สารพัดอย่าง จึงต้องอดทนต่อสู้ขึ้นต่อพระพุทธเจ้าองค์เดียว
"โยมขอเถอะ อาตมาขอเถอะ อย่าทำเถอะแก่แล้ว" "โอ้ เป็นพระคุณอย่างยิ่งแล้วให้ผมขออีกสักปีเถอะ"อ้อนวอนขอกินเหล้าอีกสักปีจึงจะเลิก มันเสียดายเหลือเกินคือมันไม่ได้พิจารณานั่นเองฉะนั้นความชั่วมันถึงไม่หลุดจากเราไป ใจของเรามันก็ไม่ผ่องใส ไม่ละบาป ไม่ละความชั่วแล้วจิตก็ไม่ผ่องใสหรอก เกิดเป็นบุญขึ้นยาก ถ้าหากไม่ทำความผิดแล้วเป็นศีลนะโยมกายวาจา เป็นศีล พอเป็นศีลปุ๊บ ศีล สมาธิติดต่อกันเลย สมาธิคือความตั้งใจมั่นคือเมื่อมันเห็นชัดในการละ มันเห็นชัดในการวาง มันเห็นชัดในการที่ไม่ทำอย่างนั้นมันมั่นอยู่อย่างนั้น ใครจะพูดไปตรงไหนมันก็มั่น นี่เรียกว่า สมาธิมันมั่นถ้ามีศีล สมาธิแล้ว ปัญญามันก็เกิดเท่านั้นแหละ มันไม่อยู่หรอก เกิดปัญญารู้รอบสิ่งทั้งหลายท่านจึงว่าหลักพุทธศาสนาของเรา_คือศีลสมาธิ ปัญญา ฉะนั้นจึงให้เราทำให้เราภาวนา มันจะมีกำลังเป็นเหตุให้ศีลดีขึ้นสมาธิดีขึ้นปัญญาดีขึ้น มันเป็นไวพจน์รอบกันอยู่เสมอเลยทีเดียว
"น้อยฉันขนุนไหม" "ฉันครับ" "อร่อยไหม?" "อร่อยครับ" "เมล็ดมันทำอย่างไร"" เอาไปต้ม"หลวงตาพูดไม่ได้เลย มันไปคนละเรื่องกัน หลวงตาว่าจะเอาไปทำพันธุ์ เณรน้อยว่าเอาไปต้มมันก็หมดไม่เหลือ รสมันดีมันอร่อยเราก็รู้จัก เมล็ดมันน่าเอาไปทำพืชทำพันธุ์แต่นี่เอาไปต้มเลย มันก็เสร็จเท่านั้นแหละ ไม่มีเหลือ นี่มันสั้นขนาดนี้ คิดๆดูก็ขันเหมือนกันนะมนุษย์เรานี่อย่างคำว่า "โลก" นี่ แต่ก่อนอาตมาก็เถียงพระพุทธเจ้าเหมือนกันนะ ท่านว่า"มันไม่ใช่ตน มันไม่ใช่ของๆตน" เราก็ฟังไม่ได้คือความอยากมันหลาย มันก็ทับไปเลยความเป็นจริงพวกที่เขามีธรรมะ แล้วเขาเอาธรรมะมาใช้ มันก็ยิ่งรวยอยู่อย่างเก่านั่นแหละยิ่งสบายยิ่งมีปัญญา ยิ่งแปรเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ใช่มันเสียหายไปตรงไหน ได้ประโยชน์เสียด้วยคนที่ไม่มีธรรมะนั่นซิมันทุกข์ หาจนไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักถอย ทำแต่งานไม่ต้องกินผลงาน_ทำแต่งานเท่านั้นแหละฉะนั้น พวกเราทุกคนที่เรียกว่า มันพอสมควรแล้วก็เบาลง พยายามทำให้มันเบา พยายามทำสิ่งใดที่มันไม่เป็นบาปนั่นล่ะอาตมาเคยไปพบพรานคนหนึ่งอยู่ที่ต่อเขต เป็นนายพรานตั้งแต่อายุสิบหกปีจนแก่อาตมาไปเห็น โอ้ บ้านเป็นกระต๊อบเล็กกับมีกระบอกปืน แกไม่เอาอะไรโยม เอาแต่ไปยิงช้างเอางามันอาตมาก็มาคิดว่า "โอ เรานี่ ถ้าหากว่าจะโปรดคนๆนี้ได้แล้ว เห็นว่าจะได้บุญหลายละมั้ง"ก็เลยแวะเข้าไปที่เขาอยู่ อาตมาก็เลยไปพูด
"โยม ทุกวันนี้ทำอะไร ทำมาหากินอะไร" แกก็ว่า "ยิงช้างเอางามันไปขาย""โอ้ แล้วกัน ฟันของโยมนะเสียดายไหม มีคนมาถอนจะว่าอย่างไรไหม อาตมาว่าเปลี่ยนอาชีพอื่นไม่ได้หรือโยมงาช้างนั้นกว่ามันจะได้เมตรหนึ่ง หรือห้าสิบ เจ็ดสิบนี่ ช้างมัน รักษาของมันอยู่ไม่รู้กี่สิบปีนะ"เราอธิบายให้ฟัง เขาก็นั่งฟังแล้วก็ตอบว่า "โอ้ย ก็มันอยากได้นี่น้า" เราก็อธิบายไปอีกมันก็ว่าแต่ความเดียว "มันอยากได้นี่น้า" เราก็อธิบายไปอีก มันก็ไปไม่ได้"มันอยากได้นี่น้า"มันก็ว่ามันอยากได้อยู่อย่างนั้น มันแน่นมันหนา มันไม่มีทางไปได้ปลูกพืชปลูกผักมันก็ได้กินแล้วนี่ไปหายิงช้างหลายปีก็ไม่ค่อยจะได้งามัน มันเป็นกรรม พระพุทธองค์ท่านสอนให้เราทำมาหากินไปในทางที่ชอบสัมมาอาชีวะ อย่าไปทำบาปเบียดเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่นมันก็มีทางพอหาได้แต่ว่ามันไม่หาไม่ทำ มันจะเอา แต่สิ่งที่มันเป็นบาปนั่นล่ะ มันไม่เห็น จะพูดอย่างไรมันก็ไม่เห็นคือ มันไม่ได้ภาวนากันนั่นเองอย่างพวกเราที่พากันมาเข้าวัดอย่างนี้มันก็บางไปพอสมควรแล้วพอรู้เรื่องแล้วถึงละบาปยังไม่หมดก็พอครึ่งๆกลางๆ จะพยายามละพยายามถอน ถึงวันนี้ยังไม่ได้พรุ่งนี้ก็พยายามอยู่เรื่อยๆ ทำให้มันเป็นนิสัย ให้มันเป็นปัจจัย ถ้าเรานับถือพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์แล้ว แต่เราไม่ทำความดีอย่างนี้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรไม่มีความหมาย ดังนั้น ท่านจึงให้ละ พูดง่ายๆว่า ละบาปบำเพ็ญบุญ แต่เดี๋ยวนี้มันละบุญบำเพ็ญบาปกันเสียแล้วแต่ก่อนมันเอาม้า ออกหน้ารถเดี๋ยวนี้มันเอารถออกหน้าม้า ท่านสอนว่าละบาปบำเพ็ญบุญมันก็ทำมาๆ มันไม่ทันใจ มันก็ละบุญบำเพ็ญบาป เลยมันกลับไปซะ มันเป็นอย่างนี้.
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |