Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
ตำนานหอยสังข์
[สั่งพิมพ์]
โดย:
AUD
เวลา:
2014-3-2 20:19
ชื่อกระทู้:
ตำนานหอยสังข์
[attach]6571[/attach]
ตำนานหอยสังข์
---สังข์เป็นหอยอีกชนิดหนึ่
ง ที่มีความเกี่ยวพันกับขนบธร
รมเนียมประเพณีวัฒนธรรมต่าง
ๆ ที่เป็นมงคลของไทย ที่เห็นบ่อย ๆ ได้แก่ การรดน้ำสังข์ในงานแต่งงาน หรือในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่มีการอัญเชิญพระสังข์ พระมหาสังข์องค์ต่าง ๆ เข้าประกอบพิธี เช่น พิธีโสกัณฑ์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก หรือแม้กระทั่งที่ผ่านมา ในงานพิธีฉลองสิริราชสมบัติ
ครบ 60 ปี ของในหลวงเรา ก็คงจะได้เห็นภาพที่พระราชค
รูวามเทพมุน
ี ถวายน้ำพระมหาสังข์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอัมรินทรวินิจฉัย ซึ่งพระมหาสังข์เอง ก็จัดเป็นหนึ่งในเครื่องราชูปโภค ซึ่งหมายถึง เครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ อีกทั้ง ยังใช้เป็นเครื่องประกอบในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งประกอบด้วยเครื่องมงคล 8 ประการ เรียกว่า "อัฐพิธมงคล" อันประกอบด้วย
1.คทา หรือ ตะบอง
2.สังข์ทักษิณาวรรต
3.จักร
4.ธงสามชาย
5.อุณหิศ หรือ หญ้าแพรก
6.โคอศุภราช
7.หม้อน้ำมนต์
8.ขอสับช้าง
---แม้แต่รูปปั้นของเทพเจ้าฮินดู ที่ทรงสังข์เป็นเทพศาสตราวุธ ในพระหัตถ์ก็จะทรงสังข์ทักษิณาวรรต หรือในมหากาพย์ต่าง ๆ เช่น มหาภารตยุทธ ก็ได้กล่าวถึงสังข์สำคัญมากมาย ซึ่งเหล่ากษัตริย์มีไว้ประจำองค์ และนำติดตัวไปเป็นเครื่องพิชัยสงคราม ยามที่ออกเล่นศึกชาญณรงค์สงคราม หลายท่านอาจจะสงสัยว่า สังข์ ใช้เป็นอาวุธได้อย่างไร จริง ๆ แล้วมิได้ใช้ ขว้าง ทิ่ม แทง ใส่ศัตรูดอกขอรับ เพียงแต่ใช้เป่า เป็นอาณัติสัญญาณให้กับไพร่พล เวลาออกทำศึกในตอนเช้า และเลิกทัพในตอนเย็น รวมถึงตอนที่เข้าประจัญบาน เพื่อให้เกิดความฮึกเหิม หรือเป็นการประกาศเดชานุภาพ ให้เหล่าทวยเทพและมหาชนได้รับรู้
---แม้แต่ในพงศาวดารหลายเรื่อง ก็มีการกล่าวถึงหอยสังข์ เช่น การใช้เปลือกหอยสังข์ มาทำเป็นผังเมืองสำหรับสร้างเมืองหริภุญไชย หรือที่กล่าวไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ในตอนสร้างกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 1893 พระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1) ทรงเห็นว่า ทำเลบริเวณหนองโสน อยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสม มีคูคลองล้อมรอบ จึงมีรับสั่งให้ชีพ่อพราหมณ์ ตั้งพิธีกลบบาตสุมเพลิง จากนั้น จึงให้พนักงานขุดดินโดยรอบ เพื่อเตรียมสร้างพระราชวัง และได้พบสังข์ทักษิณาวรรต สีขาวบริสุทธิ์ใต้ต้นหมันหนึ่งขอน
---อ้อ ลืมบอกไปขอรับ คำลักษณะนามที่ใช้เรียก “สังข์” นั้น เขาเรียกกันเป็น “ขอน” เดี๋ยวจะเข้าใจว่าเป็นขอนของต้นหมันไป ทรงถือเป็นศุภนิมิตร ทรงโปรดให้สร้างปราสาทขึ้นเพื่อประดิษฐานสังข์ทักขินาวัฎขอนดังกล่าว ในปัจจุบันจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ยังคงรูปสังข์ทักษิณาวรรต ประดิษฐานอยู่ในพานทองใต้ต้นหมัน เป็นตราประจำจังหวัด นอกจากนี้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ก็ปรากฏว่ ามีแขกคนหนึ่งชื่อ นักกุดาสระวะสี ได้นำมหาสังข์ทักษิณาวรรตมาถวายเป็นคนแรก จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็นขุนนางมียศเป็นหลวงสนิทภูบาล
---เรื่องราวที่เล่าขานมานี้ ล้วนแต่แสดงให้เห็นว่า สังข์มีความเกี่ยวพันกับคนไทยมานานแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องใช้สังข์หลั่งน้ำในงานมงคลต่าง ๆ หรือเข้าประกอบในงานมงคลต่าง ๆ นั้น เรื่องนี้มีที่มาขอรับ เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เมื่อครั้งพระอิศวรสร้างเขาพระสุเมรุแล้ว พระองค์ก็มีประกาศิต ให้พระพรหมธาดา ขึ้นไปอยู่ในพรหมโลก ให้เป็นใหญ่กว่าพรหมทั้งหลาย ในครั้งนั้น บรรดาพรหมที่มีจิตใจริษยาต่างก็ไม่พอใจ ก็เลยจุติลงมาเป็นสังข์อสูร อยู่ใต้เขาพระสุเมรุ ครั้งนั้น พระพรหมธาดาได้นำเอาคัมภีร์มาถวายพระอิศวร เมื่อมาถึงที่อยู่ของสังข์อสูร ก็เกิดอาการร้อนรุ่มอยากสรงน้ำ จึงได้วางคัมภีร์ไว้ริมฝั่งแล้วเสด็จลงน้ำ
---ฝ่ายสังข์อสูร เมื่อเห็นเช่นนั้น จึงได้ให้ผีเสื้อน้ำไปลักเอาคัมภีร์นั้นมา แล้วก็กลืนเข้าไว้ในท้องทั้งหมด ฝ่ายองค์พรหมเมื่อขึ้นมาจากน้ำไม่เห็นคัมภีร์ จึงรีบไปเข้าเฝ้าพระอิศวร ทูลเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ เมื่อพระศิวะเจ้า เข้าฌานก็ทราบถึงสาเหตุ จึงได้เชิญพระนารายณ์มา และให้เป็นธุระในการนำเอาพระคัมภีร์กลับมา พระนารายณ์จึงได้แปลงกายเป็นปลากรายทอง นามว่า "มัจฉาวตาร" ไล่ล่าสังหารผีเสื้อน้ำ และเข้าโรมรันกับสังข์อสูรเป็นสามารถ ในที่สุดก็เอาชนะสังข์อสูรได้ แล้วสำแดงองค์ คืนร่างเป็นพระสี่กร ยื่นพระหัตถ์เข้าไปในปากสังข์อสูร เพื่อหยิบเอาพระคัมภีร์
---บางตำนานก็ว่า ทรงแหวกปากของสังข์อสูรออก ทำให้หอยสังข์ในปัจจุบัน มีรอยนิ้วของพระนารายณ์ปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ จากนั้น พระสี่กรจึงสาปสังข์อสูรว่า สังข์อสูรเป็นพรหมมาจุติ และกลืนคัมภีร์พระเวทย์เข้าไว้ อีกทั้งยังมีรอยนิ้วพระหัตถ์แห่งพระองค์ปรากฏอยู่ด้วย นับว่าเป็นมงคล ดังนั้น ถ้าผู้ใดจะทำการมงคลพิธีในภายภาคหน้าก็จงเอาสังข์เข้าอยู่ในพิธีนั้น ผู้ใดรดน้ำในอุทรสังข์ ก็ให้เป็นมงคลกันอุบาทว์เสนียดจัญไร หรือเป่าก็ให้เป็นมงคลไปจนสุดเสียงสังข์ ครั้นสาปแล้ว พระนารายณ์ก็นำคัมภีร์ไปถวายพระอิศวร และเสด็จกลับเกษียรสมุทรตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พราหมณ์จึงถือว่าหอยสังข์ที่ปากมีริ้ว 2-4 ริ้ว อันเกิดจากนิ้วพระหัตถ์ของพระสี่กรปรากฏอยู่นั้นเป็นสังข์สำคัญ
---อีกตำนานหนึ่ง ซึ่งมีที่มาจากทางคชศาสตร์ โดยเกี่ยวพันกับเทพเจ้าแห่งช้าง ที่สำคัญสององค์ คือ “พระ พิฆเนศ” และ “พระโกญจนาเนศวร” สำหรับพระพิฆเนศนั้น เชื่อว่าหลายท่านคงรู้จักดี แล้วขออนุญาตไม่เล่าในที่นี้ขอรับ ถ้าอยากทราบประวัติของท่าน สามารถหาอ่านได้ในหนังสือ“อมนุษยนิยาย” ของ ส พลายน้อย ได้ขอรับ แต่เทพอีกองค์คือ พระโกญจนาเนศวร นั้น มีพระนามปรากฏอยู่เฉพาะในตำราคชลักษณ์ ตามตำนานกล่าวว่า ในไตรดายุค พระนารายณ์ ทรงกระทำเทวฤทธิ์ให้เกิดดอกบัวผุดขึ้นจากอุทร ดอกบัวดอกนั้นมีแปดกลีบ มีเกสร 172 เกสร แล้วนำไปถวายพระอิศวร ซึ่งองค์เทวะเจ้า ได้แบ่งเกสรดอกบัวออกเป็นสี่ส่วน หนึ่งส่วนเป็นขององค์ศิวะเจ้าเอง
---หนึ่งส่วนขององค์พรหมา ส่วนหนึ่งเป็นของพระวิษณุ และส่วนที่สี่ให้แก่พระอัคนี เพื่อให้เทวะแต่ลงองค์ ทรงบันดาลให้เกิดช้างสี่ตระกูล คือ อิศวรพงศ์, พรหมพงศ์, วิษณุพงศ์ และอัคนิพงศ์ แล้วจึงสร้างพระเวทสี่ประการ ไว้ให้สำหรับชนทั้งหลาย จะได้ปราบช้างทั้งสี่ตระกูลในโลก พระผู้ทรงจันทเศขร ทรงประสาทพร ให้พระเพลิงกระทำเทวฤทธิ์ให้บังเกิดเปลวเพลิงออกจากช่องพระกรรณทั้งสองและท่ามกลางเปลวเพลิงทางด้านขวา บังเกิดเป็นเทวกุมาร องค์หนึ่ง มีพระพักตร์เป็นช้าง พระกรขวาทรงตรีศูล พระกรซ้ายทรงดอกบัว มีอุรเคนทร์ (พญานาค) เป็นสังวาล นั่งชาณุมณฑล อยู่เบื้องขวาพระผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ทรงพระนามว่า “ศิวบุตรพิฆเนศวร” ส่วนเบื้องซ้ายบังเกิดเป็นเทวกุมาร มีพระพักตร์เป็นช้างสามเศียร มีหกพระกร ทรงพระนาม “โกญจนาเนศวร” ทรงบันดาลให้เกิดเป็นช้างเอราวัณ ช้างเผือกผู้มี 33 เศียร
---อีกพระการหนึ่ง บังเกิดช้างคิรีเมขละไตรดายุค ช้างเผือกผู้สามเศียร ช้างทั้งสองถือเป็น “เทพยานฤทธิ์” ซึ่งพระเป็นเจ้าทั้งสามประสาทพรไว้ให้เป็นเทพพาหนะขององค์อมรินทร์ พระกรอีกสองกรของพระโกญจนาเนศวร เกิดเป็นช้างเผือกซึ่งจะได้อุบัติในโลก
---สำหรับเป็นพาหนะของกษัตริย์ อันมีอภินิหารอีกข้างละสามตระกูล คือ ช้างเผือกเอก โท ตรี และพระกรเบื้องขวาเป็นพลาย อีกสองพระกรบังเกิดเป็น “สังข์ทักษิณาวรรต” เบื้องขวา “สังข์อุตราวัฏ” เบื้องซ้าย ยืนอยู่เหนือกระพองศรีษะช้างเจ็ดเศียร บรรดาหมอช้างทั้งหลายจึงไหว้บูชา พระศิวบุตรพิฆเนศวรและพระโกญจนาเนศวร ด้วยเหตุนี้ พระศิวบุตรทั้งสอง ก็ประจำอยู่ในโลกจนสิ้นภัทรกัปหนึ่ง
---ช้างเผือกทั้งสามตระกูล และสังข์สองตระกูล จึงเป็นของมงคล เพราะเกิดจากกลางฝ่ามือของพระโกญจนาเนศวรศิวบุตรนั่นเอง ความเชื่อดังกล่าว ทำให้การขึ้นระวางสมโภชช้างสำคัญในทุกรัชกาล จะทรงหลั่งน้ำพระมหาสังข์ทักขิณาวัฏเหนือศีรษะช้างสำคัญ อันเป็นพิธีใหญ่และสำคัญมาก เทียบเท่าพระเจ้าลูกยาเธอชั้นเจ้าฟ้าเลยนะครับ
---สำรับพระมหาสังข์ที่สำคัญที่ใช้ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ ประกอบด้วย พระมหาสังข์สำคัญ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลปัจจุบัน มีจำนวน 16 องค์ เป็นพระมหาสังข์ทักษิณาวรรตเจ็ดองค์ ส่วนพระมหาสังข์สำคัญองค์อื่น ๆ เป็นสังข์อุตราวัฏ ได้แก่
---พระมหาสังข์ทักขิณาวัฏ (ทักษิณาวรรต) พระมหาสังข์องค์นี้ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงใช้สำหรับบรรจุน้ำพระพุทธมนต์ สรงมูรธาภิเษกในงานพระราชพิธีปราบดาภิเษกของพระองค์ และเป็นพระราชประเพณีถือปฏิบัติสืบมาว่า ห้ามมิให้สตรีจับต้อง
---พระมหาสังข์เพชรใหญ่ (ทักษิณาวรรต) สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ทรงสร้างขึ้นไว้ประจำถาดสรงพระพักตร์ และยังใช้สำหรับมูรธาภิเษก ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลต่อ ๆ มา
---พระมหาสังข์เพชรน้อย (ทักษิณาวรรต) ไม่ปรากฏหลักฐานแน่นอนว่าสร้างในรัชกาลใด สังข์องค์นี้ ใช้ประจำสำหรับองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สรงน้ำพระแก้วมรกต ในพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงประจำฤดูกาล และทรงใช้สังข์นี้ บรรจุน้ำพระพุทธมนต์ จากที่สรงน้ำพระแก้วมรกต หลั่งลงที่พระเศียรของพระองค์เอง แล้วหลั่งพระราชทานพระราชวงศ์ ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป ที่มาเข้าเฝ้าในพระราชพิธี นอกจากนี้ พระสังข์องค์นี้ยังใช้ในพิธีสรงน้ำมูรธาภิเษก ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และเป็นพระมหาสังข์ สำหรับถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และสมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงใช้หลั่งน้ำ พระราชทานในงานพระราชพิธีมงคลต่าง ๆ เช่น อภิเษกสมรส เป็นต้น
โดย:
AUD
เวลา:
2014-3-2 20:19
---พระมหาสังข์ทอง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1
---พระมหาสังข์เงิน สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1
---พระมหาสังข์นาก สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4
---พระมหาสังข์งา สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4
---พระมหาสังข์สัมฤทธิ์ ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าสร้างขึ้น
ในรัชสมัยใด
---พระมหาสังข์เดิม (อุตราวัฏ) เป็นสังข์ของพระบรมราชชนกใน
รัชกาลที่ 1 ทรงใช้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรี
อยุธยา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ทรงใช้สำหรับหลั่งน้ำพระราช
ทานแก่ราชสกุลชั้นหม่อมราชว
งศ์ หม่อมหลวง ราชสกุล และราชนิกุล เช่น งานสมรสพระราชทาน หรือ การเข้าเฝ้าฯ เพื่อกราบถวายบังคมลาไปปฏิบ
ัติราชการ ณ ต่างประเทศ
---สังข์นคร (อุตราวัฏ) เป็นสังข์ที่เจ้าพระยานครศร
ีธรรมราช เชิญมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้
าเจ้าอยู่หัว ในรัชสมัยต่อ ๆ มา ถือเป็นราชประเพณี ใช้สำหรับพระราชทานรดน้ำแก่
ข้าราชการทั่วไป ที่เข้าเฝ้าฯ เช่น กราบถวายบังคมลาไปเป็นเอกอั
ครราชทูต หรือหลั่งน้ำพระราชทานแก่พร
ะยาแรกนา และเทพีในพระราชพิธีพืชมงคล
เป็นต้น
---พระสังข์ข้างที่ เป็นสังข์ซึ่งใช้ประจำ ณ พระราชฐานที่ประทับ สำหรับเรียกพระราชทาน ในกรณีเป็นการปกติส่วนพระอง
ค์โดยไม่มีกำหนดเวลาให้เข้า
เฝ้าฯ
---สังข์พิธีของหลวง (อุตราวัฏ) ใช้พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
---พระมหาสังข์พิธีพราหมณ์ (ทักษิณาวัตร) เป็นของหลวงมีมาแต่รัชกาลที
่ 1 สำหรับพราหมณ์ใช้ถวายน้ำเทพ
มนต์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัว ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ
---พระมหาสังข์ประจำพระพุทธ
มหามณีรัตนปฏิมากร (ทักษิณาวัตร) สร้างในรัชกาลที่ 4 ทรงถวายเป็นพุทธบูชา สำหรับถวายน้ำสรงพระแก้วมรก
ต โดยเฉพาะเมื่อเวลาเปลี่ยนเค
รื่องทรงตามฤดูกาล ประดิษฐานอยู่หน้าบุษบกที่ป
ระดิษฐานพระแก้วมรกต
---พระมหาสังข์ทักษิณาวัตรส
ำหรับพราหมณ์ สร้างในรัชกาลที่ 1 สำหรับพราหมณ์ ใช้เป่านำเสด็จพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ในพระราชพิธีปราบดาภิเษกและ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลต่อ ๆ มา มี 2 องค์
---จากเทวปกรณัมที่เล่ามา หลายคนอาจจะสงสัย พระสังข์ทักษิณาวรรต หรือถ้าแปลเป็นภาษาง่าย ๆ จะแปลว่าหอยเวียนขวา ส่วนพระสังข์อุตราวัฏ หรือหอยเวียนซ้ายนั้น จะดูอย่างไร ว่าสังข์ขอนไหนที่เป็นเวียน
ขวา หรือว่าเวียนซ้าย ก่อนอื่นเราคงต้องมาทำความเ
ข้าใจกันก่อนนะขอรับ ว่าการดูว่าเปลือกหอยเปลือก
ไหน เวียนขวาหรือว่าเวียนซ้ายนั
้น มีการมองอยู่สองแบบ แบบหนึ่งเป็นไปตามหลักการทา
งด้านสังขวิทยา
---ส่วนอีกแบบเป็นไปตามคติข
องพราหมณ์ เราลองมาเปรียบเทียบทั้งสอง
แบบดูนะขอรับ เอาแบบทางด้านสังขวิทยาก่อน
แล้วกันนะขอรับ ถ้าตอนนี้ ใครมีเปลือกหอยทะเลในมือ (ขอเป็นหอยฝาเดียวนะขอรับ หอยสองฝาเดี๋ยว ไว้มีเวลากระผมค่อยบอกว่าดู
ยังไงเป็นฝาซ้ายหรือว่าฝาขว
า) ทีนี้ลองยกเปลือกหอยขึ้นมาด
ูนะขอรับ ให้เอาด้านที่เป็นปลายแหลมช
ี้ขึ้นข้างบน แล้วหันเอาด้านที่เป็นปากเป
ิด (aperture) หันเข้าหาตัว ถูกต้องแล้วขอรับ
---ทีนี้ให้สังเกตด้านปากเป
ิด ถ้าปากเปิดอยู่ด้านขวามือเร
า แสดงว่า เป็นหอยเวียนขวา (right-hand coiling : Dextral) แต่ถ้าปากเปิดอยู่ด้านซ้ายก
็เป็นหอยเวียนซ้าย (left-hand coiling : Sinistral) ขอรับ ซึ่งในหอยทะเล 99.99 % เป็นหอยเวียนขวา และ 0.01 % เป็นหอยเวียนซ้าย เอาล่ะขอรับ ทีนี้เรามาลองดู การขดวนของหอย แบบทางคติพราหมณ์บ้างขอรับ ในทางพราหมณ์นั้น เขาไม่ได้มองการขดวน เหมือนทางวิชาการ แต่ดูจากเวลาใช้สังข์รดน้ำ ลองนึกภาพตอนที่เรารดน้ำสัง
ข์ในงานแต่งงานสิขอรับ เราทำอย่างไร
---เราจะหันเอาด้านปลายแหลม
เข้าหาตัว แล้วก็เอาด้านที่เป็นช่องที
่ใส่น้ำออกจากตัวใช้ไหมขอรั
บ ในกรณีนี้ ถ้าปากเปิด หรือช่องที่ใช้รดน้ำนั่นแหล
ะขอรับ อยู่ทางด้านซ้ายมือเรา ก็จะเรียกว่า หอยเวียนซ้าย หรือสังข์อุตราวรรต แต่ถ้าปากเปิดอยู่ทางด้านซ้
ายมือ ก็จะเป็นหอยเวียนขวา หรือสังข์ทักขิณาวรรต ทีนี้เอาใหม่นะขอรับ เราลองเอาสังข์อุตราวรรต มาดูการขดวนแบบทางวิชาการดู
สังเกตเห็นอะไรไหมขอรับ ใช่แล้วขอรับ สังข์อุตราวัฏ ก็จะกลายเป็นหอยเวียนขวาในท
างวิชาการ และในทำนองเดียวกัน สังข์ทักขิณาวรรต ก็จะกลายเป็นหอยเวียนซ้าย
---เพราะฉะนั้น อย่าได้สับสนนะขอรับ ให้เข้าใจว่า ถ้าพูดถึงสังข์ หรือพระมหาสังข์ทักษิณาวรรต
แล้วล่ะก็ จะหมายถึงหอยที่มีการขดวนขอ
งเปลือกเป็นแบบเวียนซ้าย ส่วนสังข์หรือพระสังข์อุตรา
วัฏ จะหมายถึง หอยที่มีการขดวนของเปลือกเป
็นแบบเวียนขวาขอรับ ขออนุญาตนอกเรื่องสักนิดขอร
ับ ในประเทศอินเดีย เราคงทราบดีอยู่แล้วว่า มีการปกครองแบบแบ่งวรรณะ (varna) ต่าง ๆ สี่วรรณะ เชื่อหรือไม่ขอรับว่า แม้แต่สังข์เอง ก็ยังแบ่งออกเป็นสีในการใช้
ตามวรรณะด้วยเช่นกัน
---โดยวรรณะพราหมณ์ ใช้สังข์สีขาว วรรณะกษัตริย์ ใช้สังข์สีแดงหรือสีน้ำตาล หรือชมพู วรรณไวศยะ ซึ่งได้แก่ คหบดี หรือพ่อค้า ใช้สังข์สีเหลือง และวรรณะสุดท้ายคือ ศูทร ได้แก่ ชาวไร่ ชาวนา ผู้ใช้แรงงาน ใช้สังข์สีเทา หรือสีดำ ขอรับ จากที่กล่าวมา เรื่องสีของสังข์นี่ หลายท่านอาจจะสงสัยว่า เป็นสีโดยธรรมชาติ หรือว่า เอาสีมาย้อมสังข์กันแน่นอน เมื่อสอบถามท่านผู้รู้ก็ได้
คำตอบว่า โดยทั่วไป สังข์ที่ไม่ได้เอาผิวชั้นนอ
กสุด (periostracum) ออกก็มักจะมีสีเหมือน ๆ กัน คือ สีน้ำตาล แต่ถ้าลอกเอาผิวชั้นนอกนี้อ
อก ผิวเปลือกด้านในก็จะมีสีหลา
ยสีด้วยกัน (หมายถึงแต่ละขอนนะขอรับ มิได้เป็นสีรวมมิตร) คือ สีขาวบริสุทธิ์ สีชมพู สีส้ม แดง น้ำตาล เหลือง และเทา
---พูดถึงเรื่องสังข์ทักษิณ
าวรรตแล้ว ในปัจจุบันมีการหลอกขายสังข
์ทักษิณาวรรต สำหรับคนที่อยากได้ไว้ครอบค
รอง สักขอน โดยจะนำเอาหอยสังข์อีกชนิดห
นึ่ง ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Busycon persum มาหลอกขายให้และบอกว่า เป็นสังข์ทักษิณาวรรตของแท้
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ประชากรหอยชนิดนี้ มีการขดวนของเปลือกเป็นแบบเ
วียนซ้าย (sinistral) หรือแบบทักษิณาวรรตทั้งหมด ทำให้คนที่ไม่รู้ ก็นึกว่าตัวเองได้สังข์ทักษ
ิณาวรรตของแท้ไปครอง
---เรื่องของสังข์ นี่ถ้าจะให้เล่ากันล่ะก็ คงเล่าได้ไม่รู้จบ เอาเป็นว่า เราพอที่จะสรุปได้ว่า วิถีชีวิตคนไทยเรา ผูกพันกับสังข์มานาน และแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมี
พิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสังข์ ดังเช่น งานพระราชพิธีต่าง ๆ ที่กล่าวถึงในตอนต้น และสำหรับเราเหล่าสามัญชนแล
้วล่ะก็ ที่ยังเห็นได้บ่อย ๆ คือ การรดน้ำสังข์ในงานแต่งงานน
ั่นเอง
---ทั้งนี้ทั้งนั้น ล้วนแต่มาจากคติความเชื่อที
่ว่า สังข์เป็นของมงคล และน้ำที่หลั่งจากสังข์ ช่วยปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออก
ไปได้ พอพูดถึงเรื่องนี้ คนแก่เองก็อยากทราบเหมือนกั
นว่า คนกรุงเทพฯ เรานี่จะมีสักกี่คนที่ทราบว
่า หอยสังข์อุตราวัฏสัมฤทธิ์ขน
าดใหญ่ ใน “สวนรมณีนาถ” ซึ่งสร้างในวโรกาสที่สมเด็จ
พระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษานั้น ภายในสังข์นั้นบรรจุแผ่นยัน
ต์มหาโสฬสมงคล และองค์สังข์จริง ซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบ
าทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประดิษฐานไว้ในสังข์สำริด ทำให้น้ำพุที่ไหลผ่านกลายเป
็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย.
ที่มา
http://www.watkaokrailas.com/
โดย:
นาคปรก
เวลา:
2014-3-5 13:36
ขอบคุณ งับ
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2