Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
ประวัติพระพุทธรูปปางชนะมาร
[สั่งพิมพ์]
โดย:
Metha
เวลา:
2014-2-26 21:18
ชื่อกระทู้:
ประวัติพระพุทธรูปปางชนะมาร
เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นพระบรมศาสดาแห่งศาสนาพุทธ ได้เสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานแล้ว ณ ตำบลสาลวัน แขวงเมืองกุสินารา ประเทศอินเดีย บรรดาพุทธบริษัททั้ง หลายในสมัยนั้น ก็พากันโศกเศร้าเสียใจในพระองค์ เหล่ามัลลกษัตริย์ซึ่งครองเมืองกุสินาราในขณะ นั้นก็ช่วยกันจัดงานถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เมื่อเสร็จจากการถวายพระเพลิงแล้ว เหล่ามัลลกษัตริย์ ก็ร่วมกันคิดจะสร้างพระสถูปเจดีย์ เพื่อบรรจุพระบรมธาตุไว้ ณ เมืองกุสินา รา แต่เหล่ากษัตริย์เมืองอื่นๆไม่ยอม ต่างต้องการที่จะเชิญพระบรมธาตุไปให้ผลเมืองของตนเคารพบูชาจนถึงขั้นจะสู้รบเพื่อแย่งพระบรมธาตุกัน จนกระทั่งโทณพราหมณ์ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยให้เหล่ามัลลกษัตริย์ปรองดองและแบ่งพระบรมธาตุกัน
เมื่อเหล่ามัลลกษัตริย์ได้รับพระบรมธาตุแล้ว ก็กลับไปสร้างพระสถูปเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในบ้านเมืองของตน จึงเกิดสถูปเจดีย์เป็นรูปเคารพแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่นั้นมา
ที่มา
http://www.sanooktour.com/article/details.php?article_id=5
โดย:
Metha
เวลา:
2014-2-26 21:19
ตามประพุทธประวัติได้กล่าวถึงตอนที่พระพุทธเจ้าทรงพระประชวร ใกล้จะเสด็จเข้าสู่ปริ นิพพาน พระอานนท์เถรเจ้าผู้เฝ้าถวายการพยาบาล ได้ทูลปรารภว่า ที่ผ่านมาเหล่าภิกษุอันเป็นสาวกเคยได้เข้าเฝ้าพระองค์เป็นนิจ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าสู่พระนิพพานแล้ว ก็จะมิได้เข้าเฝ้าพระองค์อีก คงจะพากันว้าเหว่เศร้าหมองไปตามๆกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงตรัสอนุญาตให้สร้างสังเวชนียสถานไว้ 4 แห่ง เพื่อให้พุทธสาวกที่ใคร่จะเห็นพระองค์ได้ปลงธรรมสังเวช ณ ที่ใดที่หนึ่ง สถานที่ๆเหมาะสมคือ
1. ณ ป่าลุมพินี แขวงเมืองกบิลพัสดุ์ อันเป็นสถานที่ๆพระองค์ประสูติ
2. ณ แขวงเมืองคยา สถานที่ๆพระองค์ตรัสรู้
3. ณ ตำบลอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี สถานที่ๆพระองค์ประทานปฐมเทศนา
4. ณ ตำบลสาลวัน แขวงเมืองกุสินารา สถานที่ๆพระองค์เสด็จเข้าสู่พระนิพพาน
นอกจากนี้ยังมีสังเวชนียสถานขึ้นในภายหลังอีก 2 แห่งคือ
ณ แขวงเมืองปิบผลิวัน บรรจุพระอังคาร
ณ แขวงเมืองกุสินารา บรรจุทะนานโลหะตวงพระบรมธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในครั้งแรกพุทธบริษัทที่สร้างสถูปเจดีย์ มิได้มีพระพุทธรูปประดับแต่อย่างใด กระทั่งกาลเวลาผ่านไปหลายปี มีผู้คิดขึ้นมาได้ว่า ต่อไปภายภาคหน้าจะไม่มีใครจดจำพุทธลักษณะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ หากจะแกะสลักหรือปั้นโดยการคาดเดาก็เกรงว่า จะผิดเพี้ยนเป็นการลบหลู่พระบารมีของพระองค์ จึงนิยมสร้างสิ่งสมมุติแทนองค์สมเด็จพระสัม มาสัมพุทธเจ้าไว้สักการะบูชาในรูปแบบต่างๆ เช่นสลักรูปดอกบัวแทนตอนประสูติ สร้างแท่นอาสนะแทนตอนตรัสรู้สร้างรูปธรรมจักรและกวางหมอบแทนตอนแสดงปฐมเทศนา สร้างสถูปเจดีย์แทนตอนเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน และสร้างลอยพระพุทธบาทเป็นต้น
กาลเวลาผ่านไป 200 ปี พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยกพลชาวกรีก ออกศึกทำสง ครามขยายอนาเขตไปทั่วทวีบยุโรปมาถึงประเทศอิเดียบางส่วนยังไม่ทันทั่วประเทศ ก็สวรรคตเสีย ก่อน พวกชาวกรีกระดับแม่ทัพนายกองของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ต่างก็ตั้งตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน ครองบ้านเมืองหลายอาณาเขต แต่ละอาณาเขตก็ชักชวนชาวกรีกจากภูมิ ลำเนาเดิมให้มาตั้งต้นทำมาหากินในท้องถิ่นที่ตนสร้างขึ้นใหม่ ส่งผลทำให้ชาวกรีกที่มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินอินเดียด้านตะ วันตกเฉียงเหนือ เรียกว่า อาณาเขตคันธารราฐจำนวนมาก
โดย:
Metha
เวลา:
2014-2-26 21:19
ในประเทศคันธารราฐ ( ประเทศปากีสถานในปัจจุบัน ) ชาวเมืองส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนาสืบมาตั้งแต่ครั้งพระเจ้าอโศกมหาราชเมื่อชาวกรีกมาอาศัยอยู่ในเมืองคันธารราฐมีความสนิท สนมและมีการสมรสกับชาวพื้นเมืองทำให้เลื่อมใสศรัทธาและนับถือพระพุทธศาสนาตามไปด้วย
อยู่มาจนถึงยุคของพระยามิลินท์ ได้บำรุงพระพุทธศาสนาในประเทศคันธารราชให้รุ่งเรืองขึ้นมาก มีการสร้างพระพุทธรูปสำหรับเป็นที่เคารพบูชาขึ้น แรกๆเรียกพระพุทธรูปว่า แบบคันธารราฐ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มีการสร้างพระพุทธรูปตามที่ต่างๆขึ้นมาอีกมากมาย
คติการสร้างพระพุทธรูปทั่วไป จะยึดเอาอิริยาบถที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในพระพุทธประ วัติมาสร้าง โดยเรียกพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเป็น “ปาง” ในประเทศไทยมีการสร้างพระพุทธรูปขึ้น มามากมายหลายปาง ปางที่นิยมสร้างกันมากคือ ปางสมาธิ ปางสะดุ้งมาร ปางมารวิชัย แต่ปางชนะมารไม่มีผู้ใดสนใจสร้างเพิ่งจะสร้างขึ้นในปี พ.ศ 2521โดยอาจารย์วัลลภ ธรรมบันดาล ได้แรงบันดาลใจมาจากพระพุทธประวัติ วันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ดังมีเรื่องกล่าวไว้ว่า ในครั้งนั้นพระสิทธัตถะรู้ด้วยพระปรีชาญาณว่า พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์จึงสระสรงพระวรกายหมดจดแล้วเสด็จไปประทับนั่งยังโคนต้นโพธิ์ วันนั้นเป็นวันเพ็ญเดือนวิสาขะ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศก 45 ปี เวลาเช้านางสุชาดาบุตรีเศรษฐีใหญ่แห่งหมู่บ้านเสนานิคมคิดจะบวงสร้วงเทวดาด้วยการจัดข้าวมธุปายาสไส่ถาดทองนำไปถวายยังโคนต้นโพธิ์
เมื่อมาพบเห็นพระสิทธัตถะประทับอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ด้วยอาการอันสงบ ก็เกิดความเลื่อม ใสศรัทธาคิดว่าเป็นเทวดา จึงน้อมถาดข้าวมธุปายาสเข้าไปถวาย พระสิทธัตถะทรงรับข้าวมธุปายาสนั้นไว้ แล้วเสด็จไปยังท่าน้ำเนรัญชรา ทรงเสวยข้าวมธุปายาสนั้นจนหมด แล้วทรงถือถาดทองลงสู่แม่น้ำแล้วอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า ถ้าพระองค์จะได้ตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณ ขอให้ ถาดทองนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป แล้วก็ทรงลอยถาดทองนั้นลงในแม่น้ำเน รัญชรา
ขณะนั้นด้วยอานุภาพพระบารมีของพระองค์ที่ทรงบำเพ็ญมาบริบูรณ์ดีแล้วได้แสดงให้เห็นอัศจรรย์ ทำให้ถาดทองนั้นลอยทวนกระแสน้ำเนรัญชราขึ้นไปประมาณ 1 เส้น แล้วก็จมลงตรงนาคภพพิมานแห่งพญากาฬนาคราช
โดย:
Metha
เวลา:
2014-2-26 21:20
ครั้นเวลาเย็นพระสิทธัตถะเสด็จกลับยังโคนต้นโพธิ์ ระหว่างทางเสด็จได้พบกับคนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ เขาได้เห็นพระอาการอันละมุนละไมของพระสิทธัตถะก็เกิดความเลื่อมใสใคร่จะถวายของ แต่ไม่มีอะไรอื่นนอกจากหญ้าคา จึงน้อมหญ้าคาไปถวาย พระสิทธัตถะทรงรับหญ้าคาแล้วปูลาดเป็นอาสนะแล้วทรงตั้งสัตยาธิฐาน 8 ณ รัตนบัลลังก์ไต้ต้นโพธิ์นั้นว่า แม้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พระองค์จะไม่ยอมลุกจากที่นั่งนั้นจนกว่าจะตรัสรู้ ถึงแม้จะอดตายในที่นั้นก็ยอม เหล่าเทพยดาได้ยินสัตยาธิษฐานก็พากันชื่นชมโสมนัสยินดีปรีดา พากันมาเฝ้ารอพระมหาบุรุษเพื่อที่จะได้สักการ บูชา หากพระองค์ตรัสรู้
ฝ่ายพญาวัสวดีมาราธิราชพญามาร ได้ยินมหาบุรุษตั้งสัตยาธิฐานก็อิจฉา กลัวเจ้าชายสิทธัตถะจะตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณพ้นจากอำนาจของตน จึงป่าวประกาศเรียกพลเสนามารนำสรรพอาวุธยกทัพเข้าขัดขวางการบำเพ็ญบารมี
เมื่อพญามารมาถึงก็สั่งให้เหล่าเสนามารห้อมล้อมพร้อมทั้งประกาศศักดานุภาพของตน ให้พระมหาบุรุษสะดุ้งตกใจกลัว ครั้นเมื่อไม่เห็นพระองค์ทรงหวั่นไหว จึงสั่งให้หมู่เสนามารบุกรุกเข้าทำร้ายด้วยการพุ่งสรรพอาวุธเข้าใส่ แต่สรรพอาวุธทั้งหลายไม่อาจทำอันตรายใดๆ กลับกลาย เป็นบุปผามาลัยมาบูชาพระสิทธัตถะแทน
เมื่อพญามารไม่อาจทำร้ายพระองค์ได้ จึงกล่าวว่า ดูก่อนสิทธัตถะ บัลลังก์นี้เกิดขึ้นด้วยบุญของเรา ท่านเป็นผู้ไม่มีบุญสมควรจะนั่ง จงลุกไปเสีย
พระมหาบุรุษตรัสตอบว่า ดูก่อนพญามาร บัลลังก์นี้เกิดขึ้นด้วยบุญที่เราได้บำเพ็ญมานานนับประมาณหามิได้ เราผู้เดียวเท่านั้นที่สมควรจะนั่ง
พญามารกล่าวคัดค้านว่า ท่านกล่าวคำไม่เป็นจริง ท่านมีใครเป็นพยาน
พระมหาบุรุษทรงดำริในใจว่า ในที่นี้มีแต่เสนามาร ไม่มีใครหาญกล้ามาเป็นพยานได้ จึงตั้งสัตยาธิฐานว่า ดูก่อนแม่นางธรณีเอ๋ย เธอจงมาเป็นพยานในการบำเพ็ญกุศลของเราในกาลบัดนี้เถิด
พระนางวสุนธราเจ้าแม่ธรณีไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ต่อไปได้จึงแทรกปฐพีขึ้นมาปรากฏกายทำอัญ ชลีอภิวาทพระมหาบุรุษแล้วประกาศให้พญามารทราบว่า พระมหาบุรุษเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ ได้บำเพ็ญบุญมามากมายตลอดกาลเหลือที่จะประมาณได้ แม้แต่น้ำกรวดที่หลั่งลงบนมวยผมข้าพ เจ้าก็เหลือที่จะคณานับ กล่าวจบก็ปล่อยมวยผมบีบน้ำที่พระมหาบุรุษกรวดสะสมไว้ในอดีตเป็นอเนกชาติให้หลั่งไหลออกมามากมายกลายเป็นทะเลหลวงกระแสน้ำพัดพาเอาพญามารและหมู่เสนามารลอยไปสุดขอบฟ้าจักรวาล พญามารตกตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจ ด้วยความกลัวภัย พนมมือนมัสการเปล่งคำสรรเสริญในบุญบารมียอมรับความปราชัย แล้วรีบอันตรธานหนีหายไปจากที่นั้นโดยรวดเร็ว
โดย:
Metha
เวลา:
2014-2-26 21:21
เมื่อพระมหาบุรุษทรงกำจัดมารและหมู่เสนามารให้ปราชัยไปด้วยพระบารมีแล้ว ก็ทำให้พระองค์เบิกบานพระทัยได้ปิติเป็นกำลังภายในสนับสนุนเพิ่มพูนแรงปฏิบัติธรรมภาวนามากขึ้นดัง นั้นพระองค์จึงมิได้ปล่อยให้เสียเวลา ทรงตั้งพระทัยเจริญภาวนาสมาธิจนจิตแน่วแน่ปราศจากอุปกิ เลส จิตสุขุมโดยลำดับและตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุธเจ้าในที่สุด ดังมีเรื่องราวให้ศึกษาในหนังสือพระพุทธประวัติและภาพจิตกรรมฝาผนังตามวัดและตามถ้ำต่างๆ
จากพุทธตำนานดังกล่าวนี้ทำให้เชื่อได้ว่าบารมีของพระพุทธเจ้าและบารมีของพระแม่ธรณีที่สามารถเอาชนะพญามารและหมู่เสนามารมาได้นั้น จะช่วยทำให้ผู้ที่มีไว้กราบไหว้บูชาเป็นประจำทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง มีโชค มีลาภ มีความ สำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา และชนะมาร ชนะอุปสรรค ชนะศัตรูคู่แข่ง ชนะวิบากกรรมทำให้เรื่องที่ร้ายๆกลับกลายเป็นดีขึ้นได้ ดุจเดียวกันกับหญ้าคาที่โสต ถิยะถวายแก่พระสิทธัตถะที่แสดงอัศจรรย์ขุดลากถอนโคนและเผาไม่ตายมาถึงทุกวันนี้
สังเกตุกันหรือไม่ว่า หญ้าคาเผาเท่าไหร่ๆก็ไม่ตาย เวลาพระท่านปลุกเสกวัตุถุมงคล ท่านจะนำหญ้าคามาปูลองนั่งเพื่อเพิ่มความขังและความศักดิ์สิทธิ์ทุกครั้ง อาจารย์วัลลภท่านบอกว่า ถ้าใครสร้างพระพุทธรูปปางชนะมารถวายวัดอุทิศให้กับวิญญาณใด วิญญาณนั้นจะอโหสิกรรมให้เรื่องของกรรมและวิบากกรรมจะคิดว่าไม่สำคัญคงไม่ได้ ถึงแม้ปัจจุบันโลกจะพัฒนาการทางด้านวิทยาศาสตร์ให้ก้าวหน้าไปได้ไกลถึงต่างดาวและย่อโลกให้เล็กลงได้แล้วก็ตาม แต่มนุษย์ก็ยังไม่สามารถที่จะพัฒนาการทางด้านชีวิตให้หนีพ้นจากกฎแห่งกรรมไปได้ ใครทำกรรมใดไว้ ก็ยัง คงต้องได้รับผลของกรรมและวิบากกรรมนั้นเป็นสิ่งตอบแทนเสมอ ไม่ว่าบุคคลคนนั้นจะเป็นคุณหญิงคุณนาย ไฮโซ - โลโซ อย่างไร เมื่อทำกรรมใดไว้ก็ต้องได้รับผลกรรมนั้นตอบสนองเหมือน กันหมด ไม่ยกเว้นแม้แต่ชาวต่างชาติ จะมีผิดกันบ้างก็ตรงที่ใครจะได้รับผลของกรรมและวิบากกรรมนั้นช้าหรือเร็วกว่ากันเท่านั้น
โดยเฉพาะผลกรรมที่เกิดจากการทำแท้งนั้น ให้โทษร้ายแรงทันตาเห็น ไม่ต้องรอไปถึงภพหน้าหรือชาติไหนๆในชาตินี้ก็สามารถทำให้ผู้ที่ทำแท้งมีอันเป็นไปต่างๆนานาได้ อย่างเช่น ทำให้ทำมาหากินไม่ขึ้น เก็บเงินเก็บทองไม่อยู่ ครอบ ครัวแตกแยก มีสุขภาพเจ็บป่วยเป็นประจำ บางรายถึงกับทำให้ล้มละลายหมดเนื้อหมดตัว หรือไม่ก็ทำให้มีบุตรพิกลพิกาลไปก็มี
และผลของกรรมและวิบากกรรมที่เกิดจากการทำแท้งนั้น ไม่ใช่จะให้โทษแต่เฉพาะผู้เป็นแม่ที่ไปทำแท้งเท่า นั้น ยังมีผลไปถึงผู้ที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือ หรือบังคับให้คนไปทำแท้งอีกด้วย หากใครไม่เชื่อก็ลองไปดูตัวอย่างจากคนที่เคยทำแท้งหรือแท้งเองมาแล้วก็ได้ ดูสิว่ามีใครไม่ได้ รับผลกรรมและวิบากกรรมดังกล่าวนั้นมาบ้าง
วิธีที่จะทำให้วิญญาณของลูกที่ถูกทำแท้งและวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้เร็ว ๆ ก็คือการสร้างพระพุท ธรูปปางชนะมารถวายวัดอุทิศให้กับวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรนั้นไป สาเหตุที่เลือกสร้างกันแต่เฉพาะพระพุทธรูปปางชนะมาร เพราะเห็นว่าวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรนั้นเปรียบ เสมือนมารของคนเราเหมือนกัน ดังนั้นการสร้างพระพุทธรูปถวายวัดเพื่อเอาชนะมารให้ได้ผลจึงเลือกสร้างกันแต่เฉพาะพระพุทธรูปปางชนะมารดังกล่าว เคยมีคนสร้างพระพุทธรูปปางอื่นแทนไปให้แล้วไม่ได้ผลมาแล้ว
การสร้างพระพุทธรูปปางชนะมารถวายวัดนำทางให้ดวงวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรไปผุดไปเกิด ได้แรงบันดาลใจและเหตุผลมาจากการที่คนนำศพจากโรงพยาบาลไปวัด ต้องนิมนต์พระสงฆ์นำทาง หรือแม้แต่การนำศพจากบ้านไปวัดก็ต้องนิมนต์พระสงฆ์นำทาง รวมถึงการนำศพขึ้นเมรุจะเผา ก็ยังต้องนิมนต์พระสงฆ์องค์เณร เดินนำหน้าศพก่อนเผาเสมอ
โดย:
Metha
เวลา:
2014-2-26 21:22
[youtube]-nLdd1knKGs[/youtube]
โดย:
Metha
เวลา:
2014-2-26 21:22
[youtube]bbwGH6NL-5k[/youtube]
โดย:
Metha
เวลา:
2014-2-26 21:23
[youtube]HX-9Wm1fTk8[/youtube]
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2