Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
~ บ้านที่แท้จริง ~
[สั่งพิมพ์]
โดย:
kit007
เวลา:
2014-2-21 08:19
ชื่อกระทู้:
~ บ้านที่แท้จริง ~
บัดนี้ขอให้โยมจงตั้งใจฟังธรรมะซึ่งเป็นโอวาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเคารพต่อไป
ให้โยมตั้งใจว่าในเวลานี้ ปัจจุบันนี้ซึ่งอาตมาจะได้ให้ธรรมะให้โยมตั้งใจเสมือนว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นตั้งอยู่ในที่เฉพาะหน้าของโยมจงตั้งใจใหดีกำหนดจิตให้เป็นหนึ่งหลับตาให้สบายน้อมเอา พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์มาไวที่ใจ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บัดนี้ อาตมาไม่มีอะไรฝากโยมด้วยสิ่งของที่จะเป็นแก่นเป็นสาร นอกจากธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นและเป็นของฝากที่เป็นชิ้นสุดท้ายขอให้โยมจงตั้งใจรับให้โยมทำความเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นถึงแม้จะเป็นผู้มีบุญวาสนาบารมีมากก็จะหลีกหนีความทุพพลภาพไปไม่ได้อายุถึงวัยนี้แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราท่านก็ปลงปลงอายุสังขารคำว่าปลงนี้ก็คือว่าให้ปล่อยวางอย่าไปหอบไว้อย่าไปหิ้วไว้อย่าไปแบกไว้ให้โยมยอมรับเสียว่าสังขารร่างกายนี้ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างไรๆก็ตามมันเถอะเราก็ได้อาศัยสกลร่างกายนี้มาตั้งแต่กำเนิดขึ้นมาจนถึงวัยเฒ่าแก่ป่านนี้ก็พอแล้ว
ก็เปรียบประหนึ่งว่าเครื่องใช้ไม้สอยของเราต่างๆที่อยู่ในบ้านซึ่งเราเก็บกำไว้นานแล้วเช่นถ้วยโถโอจานบ้านช่องของเรานี้เบื้องแรกมันก็สดใสใหม่สะอาดดีเมื่อเราใช้มันมาจนบัดนี้มันก็ทรุดโทรมไปบางวัตถุก็แตกไปบ้างหายไปบ้าง ชิ้นที่มันเหลืออยู่นี้ก็แปรไปเปลี่ยนไปไม่คงที มันก็เป็นอย่างนั้น
ถึงแม้ว่า อวัยวะร่างกายของเรานี้ก็เหมือนกันตั้งแต่เริ่มเกิดมาเป็นเด็กเป็นหนุ่มมันก็แปรมาเปลี่ยนมาเรื่อยๆมาจนถึงบัดนี้แล้วก็เรียกว่า"แก่" นี้คือให้เรายอมรับเสียพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าสังขารนี้ไม่ใช่ตัวของเราทั้งในตัวเรานี้ก็ดีกายเรานี้ก็ดีนอกกายนี้ก็ดีมันเปลี่ยนไปอยู่อย่างนั้นให้โยมพินิจพิจารณาดูให้มันชัดเจน
สัจจธรรมของชีวิต
อันนี้แหละทั้งก้อนที่เรานั่งอยนี่ที่เรานอนอยู่นี้ที่มันกำลังทรุดโทรมอยู่นี้นี้แหละมันคือสัจจธรรมสัจจธรรมคือความจริงความจริงอันนี้เป็นสัจจธรรมเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แน่นอนเพราะฉะนั้นท่านจึงให้มองมันให้พิจารณามันให้ยอมรับมันเสียมันก็เป็นสิ่งที่ควรจะยอมรับถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างไรอะไร ก็ตามทีเถอะพระพุทธองค์ท่านก็สอนว่าเมื่อเราถูกคุมขังในตะรางก็ดีก็ให้ถูกคุมขังเฉพาะกายอันนี้เท่านั้นแต่ใจอย่าให้ถูกขังอันนี้ก็เหมือนกันฉันนั้นเมื่อร่างกายมันทรุดโทรมไปตามวัยโยมก็ยอมรับเสียให้มันทรุดไปให้มันโทรมไปเฉพาะร่างกายเท่านั้นเรื่องจิตใจนั้นเป็นคนละอย่างกันก็ทำจิตใหมีกำลังให้มีพลัง เพราะเราเข้าไปเห็นธรรมว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมันก็เป็นอย่างนั้นมันต้องเป็นอย่างนั้นพระพุทธองค์ท่านก็สอนว่าร่างกายจิตใจนี้มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นมันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้นมันจะไม่เป็นไปอย่างอื่นคือ เริ่มเกิดขึ้นมาแล้วก็แก่แก่มาแล้วก็เจ็บเจ็บมาแล้วก็ตายอันนี้เป็นความจริงเหลือเกินซึ่งคุณยายก็พบอยู่ในปัจจุบันนี้มันก็เป็นสัจจธรรมอยู่แล้วก็มองดูมันด้วยปัญญาให้เห็นมันเสียเท่านั้น
ถึงแม้ว่าไฟมันจะมาไหม้บ้านของเราก็ตามถึงแม้ว่าน้ำมันจะท่วมบ้านของเราก็ตามถึงแม้ว่าภัยอะไรต่างๆมันจะมาเป็นอันตรายต่อบ้านต่อเรือนของเราก็ตามก็ให้มันเป็นเฉพาะบ้านเฉพาะเรือนถ้าไฟมันไหม้ก็อย่าให้มันไหม้หัวใจเราถ้าน้ำมันท่วมก็อย่าให้มันท่วมหัวใจเราให้มันท่วมแต่บ้านให้มันไหม้แต่บ้านซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกกายของเราส่วนจิตใจของเรานั้นให้มันมีการปล่อยวางเพราะในเวลานี้มันก็สมควรแล้ว.มันสมควรที่จะปล่อยแล้ว
ที่โยมเกิดมานี้ก็นานแล้วใช่ไหมตาก็ได้ดูรูปสีแสงต่างๆตลอดหมดแล้วทิ้งอวัยวะทุกชิ้นทุกส่วนหูก็ได้ฟังเสียงอะไรทุกๆอย่างหมดแล้วอะไรทุกอย่างก็ได้รับมามากๆทั้งนั้นแหละและมันก็เท่านั้นแหละจะรับประทานอาหารที่อร่อยอร่อยมันก็เท่านั้นรับประทานสิ่งที่ไม่อร่อยมันก็เท่านั้นตาจะดูรูปสวยสวยมันก็เท่านั้นหรือดูรูปที่ไม่สวยมันก็เท่านั้นหูได้ฟังเสียงที่ไพเราะไพเราะจับอกจับใจมันก็เท่านั้นจะได้ฟังเสียงที่ไม่ไพเราะมันก็เท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงบอกว่าทั้งคนร่ำรวยทั้งคนยากจนทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กตลอดทั้งเดีย-รัจฉานทั้งหมดด้วยซึ่งเกิดขึ้นมาในสกลโลกอันนี้มันไม่มีอะไรจะยั่งยืนจะต้องผลัดไปเปลี่ยนไปตามสภาวะของมัน
อันนี้เป็นสภาวะความจริงที่เราจะแก้ไขอย่างไรๆเพื่อจะให้มันไม่เป็นอย่างนั้นไม่ได้แต่ก็มีทางแก้ไขอยู่ว่าพระพุทธองค์ท่านให้พิจารณาสังขารร่างกายนี้ที่เดียวเท่านั้นให้พิจารณาจิตใจนี้ด้วยว่าทั้งสองอย่างนี้มันไม่ใช่ของเราไม่ใช่เรา มันเป็นของสมมติเช่นว่า บ้านของคุณยายนี้ก็เป็นของสมมติว่าเป็นของคุณยายเท่านั้นจะเอาติดตามไปที่ไหนก็ไม่ได้สมบัติพัสถานมันสมมติว่าเป็นของคุณยายเท่านั้นมันก็ตั้งอยู่เท่านั้นจะเอาไปที่ไหนก็ไม่ได้ลูกหลานบุตรธิดาทั้งหลายทั้งปวงนั้นเขาสมมติว่าเป็นลูกเป็นหลานของคุณยายมันก็เรื่องสมมติทั้งนั้นมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละไม่ใช่ว่าเป็นเราคนเดียว มันเป็นกันทั้งโลกถึงแม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นอย่างนี้พระอรหันต์สาวกทั้งปวงท่านก็เป็นอย่างนี้แต่ท่านแปลกกว่าพวกเราทั้งหลายแปลกอย่างไรคือท่านยอมรับยอมรับว่า สกลร่างกายนี้มันเป็นของมันอยู่อย่างนี้จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้มันจะต้องเป็นอย่างนี้
โดย:
kit007
เวลา:
2014-2-21 08:20
รู้จักปล่อยแล้วก็วาง
ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงให้พิจารณาดูสกลร่างกายตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาบนศีรษะตั้งแต่ศีรษะลงไปหาปลายเท้าดูซิว่ามันมีอะไรบ้างอะไรเป็นของสะอาดไหมเป็นของเป็นแก่นสารไหมนับว่าแต่มันจะทรุดเรื่อยมาอย่างนี้ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เห็นสังขารว่าของไม่ใช่ของเรามันก็เป็นอย่างนี้ของที่ไม่ใช่ของเรามันก็เป็นอย่างนี้จะให้มันเป็นอย่างไรล่ะอันนี้มันถูกแล้วถ้าโยมมีความทุกข์โยมก็คิดผิดเท่านั้นแหละไปเห็นสิ่งที่มันถูกอยู่โดยความเห็นผิดมันก็ขวางใจเท่านั้น
เหมือนน้ำในแม่น้ำที่มันไหลลงไปในทางทลุ่มมันก็ไหลไปตามสภาพอย่างนั้นอย่างแม่น้ำอยุธยาแม่น้ำมูลแม่น้ำอะไรๆก็ตามเถอะมันก็ต้องมีการไหลวนไปทางใต้ทั้งนั้นแหละมันไม่ไหลขึ้นไปทางเหนือหรอกธรรมดามันเป็นอย่างนั้นสมมติว่าบุรุษคนหนึ่งไปยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำแล้วก็มองดูกระแสของแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไปทางใต้แต่บุรุษนั้นมีความคิดผิดอยากจะให้น้ำนั้นมันไหลขึ้นไปทางเหนืออย่างนี้เป็นต้นเขาก็เป็นทุกข์เขาคนนั้นจะไม่มีความสงบเลยถึงแม้จะยืนจะเดิน จะนั่งจะนอน เขาก็ไม่มีความสงบเพราะอะไรล่ะเพราะบุรุษนั้นคิดผิดคิดทวนกระแสน้ำคิดอยากจะไปให้น้ำไหลขึ้นไปทางเหนือความจริงนั้นน้ำมันจะไหลขึ้นไปทางเหนือนั้นไม่ได้มันจะต้องไหลไปตามกระแสของมันเป็นธรรมดาอยู่อย่างนั้นเมื่อมันเป็นอย่างนี้บุรุษนั้นก็ไม่สบายใจทำไมถึงไม่สบายใจก็เพราะบุรุษนั้นคิดไม่ถูกพิจารณาไม่ถูกดำริไม่ถูกเพราะเขามีความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้วก็ต้องเห็นว่าน้ำก็ต้องไหลไปตามกระแสของมันคือไหลไปทางใต้ที่จะให้ไหลไปทางเหนือนั้นมันเป็นความเห็นผิดมันกมีความกระทบกระทั่งตะขิดตะขวงใจอยู่อย่างนั้นจนกว่าบุรุษคนนั้นจะมาพิจารณาคิดกลับเห็นว่าน้ำธรรมดามันก็ต้องไหลไปทางใต้อย่างนี้เป็นเรื่องของมันอยู่อย่างนี้
อันนี้เป็นสัจจธรรมอย่างหนึ่งซึ่งเราจะเอามาพิจารณาว่าเออ....อันนี้มันก็เป็นความจริงอย่างนั้นแม่น้ำที่มันไหลไปทิศใต้มันก็เหมือนชีวิตร่างกายของยายอยู่เดี๋ยวนี้แหละเมื่อมันหนุ่มแล้วมันก็แก่เมื่อมันแก่แล้วก็วนไปตามเรื่องของมันอันนี้เป็นสัจจธรรมอย่าไปคิดว่าไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่าไปคิดอย่างนั้นเรื่องอันนี้ไม่ใช่ว่าเราจะมีอำนาจไปแก้ไขมันพระพุทธเจ้าท่านให้มองตามรูปมันมองตามเรื่องของมันเห็นตามสภาพของมันเสียว่ามันเป็นอย่างนั้นเท่านั้นเราก็ปล่อยมันเสียเราก็วางมันเสียเอาความรู้สึกนี้เองเป็นที่พึ่งให้ภาวนาว่าพุทโธพุทโธ ถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยก็ตามเถอะ
ให้โยมทำจิตให้อยู่กับลมหายใจหายใจออกยาวๆสูดลมเข้ามายาวๆหายใจออกไปยาวๆแล้วก็ตั้งจิตขึ้นใหม่แล้วก็กำหนดลมว่าพุทโธ พุทโธโดยปกติถึงแม้ว่ามันจะเหนื่อยมากเท่าไรก็ยิ่งกำหนดลมเข้าให้ละเอียดละเอียดเข้าไปมากเท่านั้นทุกครั้งเพื่ออะไรเพื่อจะต่อสู้กับเวทนาเมื่อมันกำลังเหน็ดเหนื่อยก็ให้โยมหยุดความคิดทั้งหลายให้โยมหยุดคิดอะไรๆทั้งปวงเสียให้เอาจิตมารวมอยู่ที่จิตแล้วเอาจิตให้รู้จักลมภาวนาพุทโธพุทโธ ปล่อยวางข้างนอกให้หมดอย่าไปเกาะกับลูกอย่าไปเกาะกับหลานอย่าไปเกาะกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งนั้นให้ปล่อยให้เป็นอันเดียวรวมจิตลงที่อันเดียวดูลม ให้กำหนดลมเอาจิตนั่นแหละไปรวมอยู่ที่ลมคือให้รู้ที่ลมในเวลานั้นไม่ต้องไปรู้อะไรมากมายกำหนดให้จิตมันน้อยไปๆละเอียดไปๆเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะมีความรู้สึกน้อยๆมันจะมีความตื่นอยู่ในใจมากที่สุด
อันนี้เวทนาที่มันเกิดขึ้นมันจะค่อยๆระงับไปๆผลที่สุดเราก็ดูลมเหมือนกับญาติมาเยี่ยมเราเราก็จะตามไปส่งญาติขึ้นรถลงเรือเราก็ตามไปถึงท่าเรือไปถึงรถเราก็ส่งญาติเราขึ้นรถเราก็ส่งญาติเราลงเรือเขาก็ติดเครื่องเรือเครื่องรถไปลิ่วเท่านั้นแหละเราก็มองไปเถอะเมื่อญาติเราไปแล้วเราก็กลับบ้านเราเราดูลมก็เหมือนกันฉันนั้นเมื่อลมมันหยาบเราก็รู้จักเมื่อลมมันละเอียดเราก็รู้จักเมื่อมันละเอียดไปเรื่อยๆเราก็มองไปๆตามไปน้อมไปๆทำจิตให้มันตื่นขึ้นทำลมให้มันละเอียดเข้าไปเรื่อยๆผลที่สุดแล้วลมหายใจมันน้อยลงๆจนกว่าลมหายใจไม่มีมันก็จะมีแต่ความรู้สึกเท่านั้นตื่นอยู่นั้นก็เรียกว่าเราพบพระพุทธเจ้าแล้วเรามีความรู้ตื่นอยู่ที่เรียกว่าพุทโธ ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบานถ้าเป็นเช่นนั้นเราได้อยู่กับพระพุทธเจ้าแล้วเราได้พบพระพุทธเจ้าแล้วเราพบความรู้แล้วเราพบความสว่างแล้วมันไม่ส่งจิตใจไปทางอื่นแล้วมันจะรวมอยู่ที่นั่น
นั้นเรียกว่าเข้าถึงพระพุทธเจ้าของเราถึงแม้ว่าท่านปรินิพพานไปแล้วนั่นเรียกว่าพระพุทธรูปเป็นรูปกายมีรูปแต่พระพุทธเจ้าอย่างแท้จริงนั้นก็คือความรู้อันสว่างไสวเบิกบานอย่างนี้เมื่อพบเช่นนี้เราก็มีอันเดียวเท่านั้นให้มารวมที่นี้ฉะนั้นให้วางวาางทั้งหมดเหลือแต่ความรู้อันเดียวแต่อย่าไปหลงนะอย่าให้ลืมถ้าเกิดนิมิตเป็นรูปเป็นเสียงอะไรมาก็ให้ปล่อยวางทั้งหมดไม่ต้องเอาอะไรทั้งนั้นแหละไม่ต้องเอาอะไรเอาแต่ความรู้สึกอันเดียวเท่านั้นแหละไม่ห่วงข้างหน้าไม่ห่วงข้างหลังหยุดอยู่กับที่จนกว่าว่าเดินไปก็ไม่ใช่ถอยกลับก็ไม่ใช่หยุดอยู่ก็ไม่ใช่ไม่มีที่ยึดไม่มีที่หมายเพราะอะไรเพราะว่าไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีเราและไม่มีของของเรา...หมด
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนให้เราหมดอย่างนี้ไม่ให้เราคว้าเอาอะไรไปให้เรารู้อย่างนี้รู้แล้วก็ปล่อยก็วาง
บัดนี้มันเป็นภาระของเราคนเดียวเท่านั้นให้เข้าถึงธรรมะอย่างนี้อันนี้เป็นทางที่จะทำให้เราพ้นจากวัฏฏสงสารพยายามปล่อยวางให้เข้าใจให้ตั้งอกตั้งใจพินิจพิจารณาอย่าไปห่วงคนโน้นอย่าไปห่วงคนนี้ลูกกดี หลานกดีอะไรทั้งปวงเหล่านั้นอย่าไปห่วงเลยที่เขายังเป็นอยู่เขาก็เป็นอยู่อนาคตต่อไปเขาก็จะเป็นอย่างนี้เป็นอย่างคุณยายที่เป็นอยู่นี้ไม่มีใครที่จะเหลืออยู่ในโลกได้จะต้องเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นอันนี้คือสภาวะความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเพราะฉะนั้นของที่ไม่มีสาระแก่นสารจริงๆท่านจึงให้วางถ้าวางแล้วก็เห็นความจริงถ้าไม่วางมันก็ไม่เห็นความจริงมันเป็นอยู่อย่างนี้ใครทั้งหมดในสกลโลกนี้มันก็เป็นอย่างนี้ดังนั้นยายโยม ไม่ควรห่วงใยไม่ควรเกาะเกี่ยว
ถึงแม้มันจะคิดก็ให้มันคิดแต่ว่าคิดให้อยู่กับปัญญาให้คิดด้วยปัญญาอย่าคิดด้วยความโง่นึกถึงลูกก็นึกถึงความปัญญาอย่านึกถึงด้วยความโง่นึกถึงหลานก็ให้นึกถึงด้วยปัญญาอย่าให้นึกถึงด้วยความโง่อะไรอะไรทั้งหมดนั่นแหละเราก็คิดได้เรารู้มันก็ได้แต่เราคิดด้วยปัญญาเรารู้ด้วยปัญญาถ้ารู้ด้วยปัญญาเราก็ต้องปล่อยรู้ด้วยปัญญาก็ต้องวางถ้ารู้ด้วยปัญญาคิดด้วยปัญญามันจะไม่มีทุกข์มันจะมีความเบิกบานมีความสำราญมีความสงบ มีความระงับเป็นอันเดียวจิตใจเรามารวมอยู่อย่างนี้อะไรที่เราจะต้องอาศัยอยู่ในปัจจุบันในคราวนี้ก็คือลมลมหายใจนี่แหละ
บัดนี้เป็นภาระของคุณยายคนเดียวไม่เป็นภาระของคนอื่นภาระของคนอื่นก็ให้เป็นของคนอื่นเขาธุระหน้าที่ของเราก็เป็นธุระหน้าที่ของเราอย่าไปเอาธุระของลูกหลานมาทำอย่าไปเอาธุระของคนอื่นมาทำอย่าไปเอาธุระอะไรๆทั้งปวงทั้งนั้นแหละมาทำไม่ใช่หน้าที่ของเราในเวลานี้เราควรปล่อยแล้วเราควรจะวางแล้วอาการที่จะปล่อยจะวางนี้จะทำความสงบนี้เป็นธุระของเราเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำในปัจจุบันให้รวมจิตเข้ามาเป็นหนึ่งนี้คือธุระหน้าที่ของเราเรื่องอะไรก็ปล่อยให้เขาเสียเรื่องรูปก็ปล่อยให้เขาเสียเรื่องเสียงก็ปล่อยให้เขาเสียเรื่องกลิ่นเรื่องรสก็ปล่อยให้เขาเสียเรื่องอะไรๆก็ปล่อยให้เขาแล้วเราจะทำธุระหน้าที่ของเรา
มันจะมีอะไรเกิดเป็นอารมณ์ขึ้นมาก็ให้นึกอยู่ในใจว่าอย่ามากวนฉันไม่ใช่ธุระหน้าที่ของฉันความวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็ตามเช่นว่าเราจะกลัวกลัวในชีวิตของเราเพราะเราจะตายอย่างนี้เป็นต้นคิดถึงคนโน้นแล้วก็คิดถึงคนนี้เมื่อมันเกิดขึ้นในจิตอย่างนั้นเราก็บอกในใจเราว่าอย่ามากวนฉันไม่ใช่ธุระของฉันบอกอย่างนี้ไว้ในใจของเราเพราะว่าเราเห็นธรรมทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นมา
ธรรมคืออะไรธรรมก็คือทุกสิ่งทุกอย่างอะไรที่ไม่เป็นธรรมก็ไม่มีแล้วโลกก็คืออะไรโลกก็คืออารมณ์ที่มันมายุแหย่กวนยายอยู่เดี๋ยวนี้แหละเดี๋ยวคนนั้นจะเป็นอย่างไรเดี๋ยวคนนี้จะเป็นอย่างไรเมื่อเราตายไปนี่ใครจะดูแลเขาใครจะเป็นอะไรอย่างไรไหมอย่างนี้น่ะเป็นโลกทั้งนั้นแหละถึงแม้ว่าเราคิดขึ้นเฉยๆเราก็กลัวจะตายกลัวจะแก่ กลัวจะเจ็บอะไรทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นโลกทั้งนั้นทิ้งโลกเสียโลกนี้มันเป็นอย่างนั้นถ้ามันมีขึ้นมาในใจก็เรียกว่าโลกนี้คืออารมณ์อารมณ์นี้มันมาบังจิตไม่ให้เห็นจิตของตนอะไรๆทุกอย่างนั่นถ้ามันเกิดขึ้นมาให้โยมคิดว่าอันนี้ไม่ใช่ธุระของฉันเป็นเรื่องอนิจจังเป็นเรื่องทุกขังเป็นเรื่องอนัตตา
เราจะคิดว่าอยากอยู่ไปนานๆอย่างนี้ก็ให้เกิดทุกข์เราอยากจะตายเสียเดี๋ยวนี้เร็วๆนี้อันนี้ก็ไม่ถูกทางนะยายนะ เป็นทุกข์เพราะว่าสังขารนี้ไม่ใช่ของเราเราจะไปตกแต่งอะไรมันก็ไม่ได้หรอกมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้นตกแต่งมันได้ก็นิดๆน้อยๆเป็นต้นว่าตกแต่งร่างกายของเราให้สะสวยให้มันสะอาดดูเด็กๆเขาสิทาปาก ทำเล็บให้มันยาวทำอะไรให้มันสะสวยเสียมันก็แค่นั้นแหละโยมเมื่อแก่มาแล้วก็รวมในกระป๋องเดียวกันไม่มีอะไร ตกแต่งได้แค่นั้นแหละตกแต่งจริงๆไม่ได้หรอกมันก็เป็นอย่างนั้นเรื่องของสังขารที่จะตกแต่งได้ก็เรื่องจิตใจของเรา
โดย:
kit007
เวลา:
2014-2-21 08:20
บ้านที่แท้จริง
ตึกรามบ้านช่องทั้งหลายก็สร้างขึ้นมาได้อย่างบ้านคุณหมออุทัยนี่อาตมาก็เคยไปขึ้นบ้านใหม่ให้สร้างขึ้นจะสวยใหญ่โตก็ได้สร้างนั้นมันสร้างบ้านข้างนอกใครๆก็สร้างกันได้ทั้งนั้นแต่ว่าพระพุทธองค์ท่านเรียกว่าบ้านข้างนอกไม่ใช่บ้านที่แท้จริงมันเป็นบ้านโดยสมมติบ้านอยู่ในโลกมันก็เป็นไปตามโลกบางคนก็ลืมนะได้บ้านใหญ่โตสนุกสุขสำราญลืมบ้านจริงๆของเขาบ้านที่จริงของเราอยู่ที่ไหนบ้านที่จริงของเราคือที่ว่ามีความรู้สึกที่มันสงบคือความสงบนั่นแหละเป็นบ้านจริงๆของเราบ้านที่เราอยู่นี้หรือบ้านที่ไหนก็ตามทีเถอะบ้านก็สวยหรอกแต่อยู่กันไม่ค่อยสงบเดี๋ยวก็เพราะอันโน้นเดี๋ยวก็เพราะอันนี้เดี๋ยวก็ห่วงอันนั้นเดี๋ยวก็ห่วงอันนี้อยู่อย่างนี้แหละเรียกว่าไม่ใช่บ้านเราไม่ใช่บ้านข้างในมันเป็นบ้านข้างนอกอีกประเดี๋ยววันใดวันหนึ่งเราก็เลิกมันเท่านั้นแหละบ้านนี้เราอยู่ไม่ได้หรอกมันเป็นบ้านของโลกไม่ใช่บ้านของเรา
สกลร่างกายของเรานี้ก็ยังเห็นว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขาอีกอันนี้ก็เป็นบ้านหลังหนึ่งซึ่งติดอยู่กับตัวของเราที่เราเข้าใจว่าตัวเราหรือของเรานี้อันนี้ก็ไม่ใชอีกอันนี้ก็เป็นบ้านของโลกไม่ใช่บ้านของเราอย่างแท้จริงแต่คนก็ชอบแต่จะสร้างบ้านข้างนอกไม่ชอบสร้างบ้านข้างในบ้านที่มันสำหรับอยู่จริงๆที่มันสงบจริงๆไม่ค่อยจะสร้างกันไปสร้างแต่ข้างนอกก็เพราะมันเป็นอย่างนี้แหละ
อย่างคุณยายนี่ก็ลองคิดดูซิเวลานี้มันเป็นอย่างไรนะคิดดูตั้งแต่วันที่เราเกิดมาเรื่อยๆมาจนถึงบัดนี้คือเราเดินหนีจากความจริงเดินไปเรื่อยและเดินมาจนแก่จนเจ็บขนาดนี้ไม่อยากจะให้เป็นอย่างนี้ห้ามมันก็ไม่ได้มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้จะให้เป็นอย่างอื่นมันก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกันกับเป็ดจะให้มันเหมือนไก่มันก็ไม่เหมือนเพราะว่ามันเป็นเป็ดไก่อยากให้เหมือนกับเป็ดมันก็เป็นไปไม่ได้เพราะว่ามันเป็นไก่ถ้าใครไปคิดอยู่ว่าอยากให้เป็ดเหมือนไก่อยากให้ไก่เป็นเหมือนเป็ดมันก็ทุกข์เท่านั้นล่ะก็เพราะมันเป็นไปไม่ได้ถ้าโยมมาคิดเสียว่าเออ เป็ดมันก็ต้องเป็นของมันอย่างนั้นไก่มันก็ต้องเป็นของมันอย่างนั้นจะให้เป็ดเหมือนไก่จะให้ไก่เหมือนเป็ดมันก็เป็นไปไม่ได้เพราะมันเป็นอยู่อย่างนั้น
ถ้าเราคิดเช่นนี้แล้วเราจะมีพละเราจะมีกำลังเพราะว่าสกลร่างกายนี้อยากจะให้มันยืนนานถาวรไปเท่าๆไรมันก็ไม่ได้มันก็เป็นอย่างนี้นี่ท่านเรียกสังขารอนิจฺจา วตสงฺขาราอุปฺปาทวยธมฺมิโนอุปชฺฌิตฺวานิรุชฺฌนฺติเตสวูปสโม สุโขสังขาร คือ ร่างกายจิตใจนี้แหละมันเป็นของไม่เที่ยงเป็นของไม่แน่นอนมีแล้วก็หาไม่เกิดแล้วก็ดับไปแต่มนุษย์เราทั้งหลายอยากให้สังขารนี้มันเที่ยงอันนี้คือความคิดของคนโง่ดูซิว่าลมหายใจของคนเรานี้มันเข้ามาแล้วมันก็ออกไปเป็นธรรมดาของลมมันก็ต้องเป็นอยู่อย่างนั้นต้องกลับไปกลับมามีความเปลี่ยนแปลงเรื่องสังขารมันก็อยู่ด้วยความเปลี่ยนแปลงอย่างนี้จะให้มันไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ลองคิดดูซิว่าหายใจออกอย่างเดียวไม่ให้มันเข้ามาได้ไหมสบายไหม สูดลมเข้ามาแล้วไม่ให้มันออกดีไหมนี่ อยากจะให้มันเที่ยงอย่างนี้มันเที่ยงไม่ได้มันเป็นไปไม่ได้ออกไปแล้วก็เข้ามาเข้ามาแล้วก็ออกไปเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินเกิดแล้วก็แก่แก่แล้วเจ็บและก็ตายเป็นเรื่องธรรมดาแท้ๆเหมือนกับลมเข้าแล้วไม่ให้ออกไม่ได้ออกแล้วไม่ให้เข้าไม่ได้ถ้ามีการเข้าแล้วออกออกแล้วเข้าก็ทำให้ชีวิตเช่นมนุษย์ทั้งหลายเป็นอยู่ได้เท่าทุกวันนี้เพราะสังขารมันทำตามหน้าที่ของมันอย่างนี้แหละมันจริงอยู่แล้วไม่ใช่เป็นของไม่จริงมันจริงของมันอยู่อย่างนั้นแหละ
ที่พักชั่วคราวของมนุษย์
เมื่อเราเกิดมาแล้วโยม ก็คือเราตายแล้วนั่นเองแหละไอ้ความแก่กับความตายมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละเหมือนกับต้นไม้อันหนึ่งต้นอันหนึ่งปลายเมื่อมีโคนมันก็มีปลายเมื่อมีปลายมันก็มีโคนไม่มีโคนปลายก็ไม่มีมีปลายก็ต้องมีโคนมีแต่ปลายโคนไม่มีก็ไม่ได้มันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นก็นึกขำเหมือนกันนะมนุษย์เราทั้งหลายเมื่อจะตายแล้วก็โศกเศร้าวุ่นวาย นั่งร้องไห้เสียใจสารพัดอย่างหลงไปสิ โยม มันหลงนะพอคนตายก็ร้องไห้พิไรรำพันแต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อยได้พิจารณาให้ชัดแจ้งนะความเป็นจริงแล้วอาตมาขอโทษด้วยนะอาตมาเห็นว่าถ้าจะร้องไห้กับคนตายน่ะร้องไห้กับคนที่เกิดมาดีกว่าแต่มันกลับกันเสียถ้าคนเกิดมาแล้วโยมทั้งหลายก็หัวเราะดีอกดีใจกันชื่นบานความเป็นจริงเกิดนั่นล่ะคือตายตายนั่นล่ะก็คือเกิดต้นก็คือปลายปลายก็คือต้นเราไม่รู้จักถึงเวลาจวนจะตายหรือตายแล้วก็ร้องไห้กันนี่คือคนโง่ถ้าจะร้องไห้อย่างนั้นมาแต่ต้นก็ยังจะดีนะเมื่อเกิดมาก็ร้องไห้กันเสียทีเถอะดูให้ดีซิถ้าไม่เกิดมันก็ไม่ตายเข้าใจไหม
เพราะฉะนั้นโยมอย่านึกอะไรมากมายให้นึกว่ามันเป็นอย่างนั้นนี้คือธุระหน้าที่ของเราแล้วบัดนี้ใครช่วยไม่ได้ลูกก็ช่วยไม่ได้หลานก็ช่วยไม่ได้ทรัพย์สินเงินทองก็ช่วยไม่ได้ช่วยได้แต่ความรู้สึกของโยมที่คิดให้ถูกต้องเดี๋ยวนี้นะไม่ให้หวั่นไหวไปมาปล่อยมันทิ้งเสียเราปล่อยมันทิ้งมัน
ถ้าเราไม่ปล่อยมันไม่ทิ้งมันมันก็จะหนีอยู่แล้วเห็นไหมอวัยวะร่างกายของเราน่ะมันพยายามจะหนีอยู่แล้วน่ะเห็นไหม ดูง่ายๆว่าเมื่อเกิดมาเป็นหนุ่มเป็นสาวผมมันก็ดำเห็นไหมบัดนี้มันหมอกนี่เรียกว่ามันหนีแล้วนะตาเราเคยสว่างไสวดีตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวบัดนี้มันฝ้าฟางเห็นไหมนี่เรียกว่ามันหนีแล้วเขาทนไม่ไหวเขาต้องหนีที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของเขาอะไรทุกชิ้นทุกส่วนเขาก็จะหนีแล้วฟันของเราตอนเป็นเด็กมันแน่นหนาถาวรไหมบัดนี้มันมันโยกมันคลอนแล้วจะใส่ฟันใหมเสียก็ได้นี่มันก็ของใหม่ไม่ใช่ของเก่าสิ่งทั้งหลายในอวัยวะร่างกายของคุณยายนี้น่ะเขาพยายามจะหนีไปแล้วตา หู จมูกลิ้นกาย ทั้งหมดเขาพยายามจะหนีทำไมถึงจะหนีเพราะตรงนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของเขาเป็นสังขารอยู่ไม่ได้อยู่ชั่วคราวเท่านั้นก็ไปไม่ว่าแต่ตัวของเราทั้งหมดอวัยวะนี่ผมก็ดีขนก็ดี เล็บกดีทั้งหมดนั่นเดี๋ยวนี้เขาเตรียมหนีเขาหนีไปบ้างแล้วแต่ยังไม่หมดยังเหลือแต่คนเฝ้าบ้านเล็กๆน้อยๆเฝ้าบ้านอยู่แต่ไม่ค่อยดีหรอกตาก็ไม่ค่อยดีฟันก็ไม่ค่อยดีหูนี่ก็ไม่ค่อยจะดีร่างกายนี้ก็ไม่ค่อยจะดีก็เพราะเขาหนีไปบ้างแล้ว
นี่ให้ยายเข้าใจว่าที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์โดยตรงเป็นที่พักชั่วคราวเท่านั้นล่ะเพราะฉะนั้นยายไม่ควรห่วงใยอะไรมากมายมาอยู่ในโลกก็ให้พิจารณาโลกนี้ว่ามันเป็นอย่างนั้นไม่ว่าแต่อะไรทั้งหลายเลยเขาเตรียมจะหนีกันแล้วดูซิ ดูตามสภาพร่างกายซิว่ามันมีอะไรเหมือนเดิมไหมร่างกายเหมือนเดิมไหมหนังเหมือนเดิมไหมผมเหมือนเดิมไหมไม่เหมือน เขาไปที่ไหนกันหมดแล้วนี่ธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้นเมื่ออยู่ครบตามวาระของเขาแล้วเขาก็ต้องไปเพราะธุระเขาเป็นอย่างนั้นความเป็นจริงมันเป็นอย่างนั้นเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ที่แน่นหนาถาวรอะไรอยู่แล้วกวุ่นๆวายๆสุขๆทุกข์ๆไม่สงบ ระงับ
ถ้าเป็นคนก็เป็นคนที่เดินไปยังไม่ถึงบ้านยังอยู่ระหว่างทางเดี๋ยวก็จะกลับเดี๋ยวก็จะไปเดี๋ยวก็จะอยู่นี่คือคนไม่มีที่อยู่เปรียบเหมือนว่าเราเดินออกจากบ้านไปกรุงเทพฯหรือว่าไปที่ไหนก็ตามเถอะเราก็เดินไปเมื่อเดินไปยังไม่ถึงบ้านเมื่อไรมันก็ยังไม่น่าอยู่นั่งก็ไม่สบายนอนก็ไม่สบายเดินก็ไม่สบายนั่งรถไปก็ยังไม่สบายเพราะอะไร เพราะว่ายังไม่ถึงบ้านเราพอเรามาถึงบ้านเราแล้วก็สบายเพราะเราเข้าใจว่านี่เป็นบ้านเราอันนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
โดย:
kit007
เวลา:
2014-2-21 08:21
ในโลกนี้มันเรื่องไม่สงบทั้งนั้นถึงแม้มันจะร่ำจะรวยมันก็ไม่สงบมันจนก็ไม่สงบมันโตก็ไม่สงบเป็นเด็กก็ไม่สงบมีความรู้น้อยมันก็ไม่สงบมีความรู้มากมันก็ไม่สงบเรื่องมันไม่สงบมันเป็นอยู่อย่างนี้เพราะฉะนั้นคนที่มีน้อยก็มีทุกข์คนที่มีมากก็มีทุกข์เป็นเด็กมันก็เป็นทุกข์ผู้ใหญ่ก็เป็นทุกข์แก่แล้วมันก็ทุกข์ทุกข์อย่างคนแก่ทุกข์อย่างเด็กทุกข์อย่างคนรวยทุกข์อย่างคนจนมันเป็นทุกข์ทั้งนั้นนั่นล่ะดังนั้นอวัยวะทุกส่วนเขาจึงทยอยกันไปเรื่อย
เมื่อคุณยายพิจารณาอย่างนี้แล้วก็จะเห็นว่าอนิจจังมันเป็นของไม่เที่ยงทุกขัง มันเป็นทุกข์เพราะว่าอะไรเพราะว่าอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนร่างที่ยายอาศัยอยู่เดี๋ยวนี้น่ะร่างกายที่นั่งนอนเจ็บป่วยอยู่นี้และทั้งจิตใจที่รู้ว่ามันเป็นสุขเป็นทุกข์มันเจ็บป่วยอยู่เดี๋ยวนี้ทั้งสองอย่างนี้ท่านเรียกว่าธรรม
สิ่งที่ไม่มีรูปที่มันเป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นเรียกว่ามันเป็นนามมันก็เป็น "นามธรรม"สิ่งที่มันเจ็บปวดขยายไปมาอยู่นี้อันนี้มันก็เป็น"รูปธรรม" สิ่งที่เป็นรูปก็เป็นธรรมสิ่งที่เป็นนามก็เป็นธรรมฉะนั้นเราถึงอยู่กันด้วยธรรมะคือ อยู่ในธรรมมันเป็นธรรมนั่นแหละตัวของเราจริงๆที่ไหนมันไม่มีมันเป็นธรรมะสภาพธรรมมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไปๆสภาวะธรรมมันเป็นอยู่อย่างนั้นมีความเกิดแล้วก็มีความดับเราก็มีความเกิดดับอยู่ทุกขณะเดี๋ยวนี้น่ะมันเป็นอยู่อย่างนี้
ฉะนั้น เมื่อเราคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็น่าไหว้น่าเคารพ น่านับถือท่านพูดจริงท่านพูดตามความจริงมันก็เห็นจริงอย่างนั้นถ้าเราเกิดมาพบอยที่นี่เราก็เห็นธรรมะแต่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมะบางคนปฏิบัติธรรมะแต่ไม่เห็นธรรมะบางคนรู้ธรรมะเรียนธรรมะปฏิบัติธรรมะก็ยังไม่เห็นธรรมะก็ยังไม่มีที่อยู่
ดังนั้นให้เข้าใจเสียว่าที่นี่ทุกคนแม้ปลวกหรือมดหรือสัตว์ตัวนิดๆก็ตามทีเถอะเขาก็พยายามจะหนีกันทั้งนั้นสิ่งที่มชีวิตเขาอยู่กันพอควรแล้วเขาก็ไปกันทั้งนั้นล่ะทั้งคนจน ทั้งคนร่ำรวยทั้งเด็ก ทั้งคนแก่ทั้งสัตว์เดียรัจฉานสิ่งที่มีชีวิตในโลกนี้มันก็ย่อมแปรไปเปลี่ยนไปอย่างนี้
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณยายรู้ว่าโลกนี้มันเป็นอย่างนี้แล้วก็น่าเบื่อหน่ายน่าเบื่อมันอะไรมันไม่เป็นตัวของตัวทั้งนั้นเบื่อหน่ายนิพพิทา คำว่าเบื่อหน่ายไม่ใช่ว่ารังเกียจนะเบื่อหน่ายคือใจมันสว่างใจมันเห็นความเป็นจริงไม่มีทางจะแก้ไขอะไรแล้วมันเป็นอย่างนี้รู้อย่างนี้ก็เลยปล่อยวางมันปล่อยโดยความไม่ดีใจปล่อยโดยความไม่เสียใจปล่อยไปตามเรื่องของสังขารว่าสังขารมันเป็นอย่างนั้นด้วยปัญญาของเรานี่เรียกว่าอนิจจา วต สังขาราสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงที่ไม่เที่ยงคือ มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อย่างนั้นแหละเรียกว่าไม่เที่ยงคือ อนิจจัง
พูดง่ายๆว่าตัวอนิจจังนั่นแหละคือตัวพระพุทธเจ้าล่ะถ้าเราเข้าไปเห็นอย่างจริงๆจังๆว่าอนิจจังคือของไม่เที่ยงนั่นแหละคือตัวพระพุทธเจ้าของที่ไม่เที่ยงถ้าเราเห็นชัดเข้าไปมันก็เที่ยงเที่ยงอย่างไรก็เที่ยงที่มันเป็นอยู่อย่างนั้นแหละมนุษย์สัตว์เกิดมาก็เป็นอย่างนั้นมันเที่ยงอย่างนั้นแต่ว่ามันไม่เที่ยงคือว่ามันแปรไปแปรมาคือมันเปลี่ยนเป็นเด็กเป็นหนุ่ม เป็นเฒ่าแก่ชรา เรียกว่ามันไม่เที่ยงไอ้ความที่มันเป็นอย่างนั้นก็เรียกว่ามันเที่ยง ไม่แปรเป็นอย่างอื่นถ้าคุณยายเห็นอย่างนี้ใจก็จะสบายไม่ว่าเราคนเดียวหรอกทุกๆคนเป็นอย่างนี้
ดังนั้นเมื่อคิดได้เช่นนี้ก็น่าเบื่อเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายหายความกำหนัดรักใคร่ในโลกในกามในโลกามิสทั้งหลายเหล่านี้มีมากก็ทิ้งไว้มากมีน้อยก็ทิ้งไว้น้อยทุกคนดนี่ซิที่คุณยายเกิดขึ้นมานี้เห็นไหมเห็นคนรวยไหมเห็นคนอายุสั้นไหมเห็นคนอายุยืนไหมมันก็มีเท่านั้นล่ะ
เพราะฉะนั้นที่สำคัญคือพระพุทธเจ้าท่านให้สร้างบ้านเรือนตัวเองสร้างโดยวิธีที่อาตมาบรรยายธรรมะให้ฟังเดี๋ยวนี้น่ะสร้างบ้านให้ได้ปล่อยวางให้ได้ปล่อยวางมันให้มันถึงความสงบเรียกว่าไม่เดินไปข้างหน้าไม่ก้าวไปข้างหลังไม่หยุดอยู่นี่เรียกว่าสงบสงบจากการเดินไปสงบจากการถอยกลับสงบจากการหยุดอยนี่ไอ้ความสุขก็ไม่ใช่ที่อยู่ไอ้ความทุกข์ก็ไม่ใช่ที่อยู่ของเราทุกข์มันก็เสื่อมสุขมันก็เสื่อมทั้งนั้น
พระบรมครูของเราท่านเห็นว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยงเพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้พวกเราทั้งหลายปล่อยวางเมื่อถึงเวลาสุดท้ายของทุกคนเพราะว่ามันเอาไปไม่ได้จำเป็นมันก็ต้องวางอยู่นั่นเองล่ะแต่เราก็วางมันไว้ก่อนเสียจะไม่ดีกว่าหรือเราแบกก็รู้สึกว่ามันหนักเมื่อมันหนักแล้วเราก็ทิ้งมันเสียก่อนจะไม่ดีหรือจะไปกวนแบกมันทำไมเราปล่อยวางก็ให้ลูกหลานพยาบาลเราสบายๆ
ผู้ที่พยาบาลคนที่ป่วยก็มีคุณธรรมคนที่ป่วยก็ให้โอกาสแก่ผู้พยาบาลอย่าทำให้ลำบากแก่คนที่รักษาเจ็บตรงไหน เป็นอะไรก็ให้ได้รู้จักทำจิตให้มันดีคนที่รักษาพ่อแม่ก็ให้มีคุณธรรมมีความอดทนอย่ารังเกียจอันนี้ที่จะเป็นการสนองคุณพ่อแม่ของเราก็เวลานี้เท่านั้นล่ะเบื้องต้นเกิดมาเราเป็นเด็กพ่อแม่เป็นผู้ใหญ่เราอาศัยพ่อแม่จึงเติบโตจนถึงบัดนี้ได้มาอยู่บัดนี้นั่งรวมกันอยู่ที่นี่ก็เพราะคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงเรามาสารพัดอย่างแล้วมีบุญคุณมากที่สุดเหลือเกินนะ
บัดนี้ให้ลูกหลานทุกๆคนนี้จงเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้พ่อแม่กลายเป็นลูกเราเสียแล้วแต่ก่อนเราเป็นลูกของพ่อแม่บัดนี้พ่อแม่เป็นลูกเราเสียแล้วเพราะอะไร เพราะแก่ไปๆจนกลายเป็นเด็กจำก็ไม่ได้ตาก็มองไม่เห็นหูไม่ได้ยินสารพัดอย่างบางทีพูดถูกๆผิดๆเหมือนเด็กนั่นเองดังนั้นให้ลูกหลานทั้งหลายปล่อยคนที่รักษาคนป่วยก็ให้ปล่อยอย่าไปถือเลยปล่อยเสียให้ตามใจทุกอย่างเหมือนเด็กๆที่เกิดมาอะไรที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ก็ปล่อยทุกอย่างนั่นล่ะปล่อยให้เด็กมันสบายไม่ให้เด็กมันร้องไห้อย่าให้เด็กขัดใจอะไรเหล่านี้พ่อแม่ของเราบัดนี้ก็เหมือนมันสัญญามันวิปลาสบางทีเรียกลูกคนหนึ่งไปถูกคนหนึ่งบางทีเรียกหลานคนหนึ่งไปถูกหลานอีกคนหนึ่งจะเรียกเอาขันมาก็ได้จานมามันเป็นเรื่องของธรรมดาอย่างนั้นอันนี้ก็ให้พิจารณาคนที่ป่วยก็ให้นึกถึงคนพยาบาลมีคุณธรรม ให้อดให้ทนต่อทุกขเวทนาเวทนาสารพัดอย่างที่มันเกิดขึ้นมาให้อดกลั้นให้ทำความเพียรในใจของเราอย่าให้มันวุ่นวายอย่าให้มีความลำบากยากเกินไปแก่ผู้ปฏิบัติผู้อุปัฏฐากก็ให้มีคุณธรรมอย่ารังเกียจน้ำมูกน้ำลาย อุจจาระปัสสาวะ อะไรก็ต้องพยายามเท่าที่เราจะทำได้ลูกๆเราทุกคนให้ช่วยกันดู
บัดนี้เรามีพ่อแม่เท่านี้แหละเราอาศัยมาได้เกิดมาได้เป็นครูเป็นอาจารย์เป็นพยาบาลเป็นหมอ เป็นอะไรมาทุกอย่างเหล่านี้อันนี้คือบุญคุณของท่านที่เลี้ยงเรามาให้ความรู้เรามาให้ความเป็นอยู่ของเรามาให้ทรัพย์สมบัติเรานี่คือคุณของพ่อแม่
ถ่ายทอดรับมรดกกันมาอย่างนี้เป็นวงศ์ตระกูลอย่างนี้พระพุทธองค์ท่านจึงสอนเรื่องกตัญญูกตเวทีกตัญญู กับกตเวทีนี้เป็นธรรมซึ่งสนองซึ่งกันและกันท่านต้องการอะไรท่านไม่สบายท่านมีความลำบากท่านมีความขัดข้องประการใดเราก็ต้องเสียสละช่วยท่านรับภาระธุระอันนั้นนี้คือกตัญญูกตเวทีเป็นธรรมที่ค้ำจุนโลกอยู่ให้วงศ์ตระกูลของเราไม่กระจัดกระจายให้วงศ์ตระกูลของเราเรียบร้อยมั่นคง
วันนี้อาตมาได้เอาธรรมะคำสอนมาฝากยายในเวลาที่เจ็บป่วยอยู่อย่างนี้ซึ่งอาศัยคุณหมออุทัยลูกของโยมนั่นแหละนึกถึงผู้มีพระคุณอาตมาจะฝากอะไรมามันก็ไม่มีจะฝากวัตถุอะไรมาที่บ้านนี่ก็เยอะแยะแล้วอาตมาจึงฝากธรรมะซึ่งมันหมดไม่ได้มันเป็นแก่นเป็นสารถึงยายได้ฟังธรรมะนี้แล้วจะถ่ายทอดให้คนอื่นเท่าไรก็ยังไม่หมดไปสัจจธรรมคือความจริงตั้งมั่นอยู่อย่างนี้อันนี้ อาตมาก็พลอยดีใจด้วยที่ได้ฝากธรรมะมาให้คุณยายเพื่อจะได้มีจิตใจที่เข้มแข็งต่อสู้กับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้.....
ที่มา
http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Our_Real_Home.html
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2