Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ~ รู้แจ้งโลก ~ [สั่งพิมพ์]

โดย: kit007    เวลา: 2014-2-19 08:07
ชื่อกระทู้: ~ รู้แจ้งโลก ~


...จะปฏิบัติธรรมอย่างไร คนเราไม่รู้จัก นึกว่าการเดินจงกรม นึกว่าการฟังธรรมนึกว่าการนั่งสมาธิ เป็นการปฏิบัติ นั่นเป็นส่วนน้อย ก็จริงอยู่ แต่มันเป็นเปลือกของมันการปฏิบัติจริงๆ ก็ปฏิบัติเมื่อประสบอารมณ์ นั่นแหละการปฏิบัติ แล้วที่มันประสบอารมณ์กับอยู่นั้นเช่นมีอะไร มีคนมาพูดไม่ถูกใจนะ เราเป็นทุกข์ขึ้นมา ถ้าคนพูดให้ถูกใจเรา เราก็เป็นสุขตรงนี้แหละตรงที่จะปฏิบัติเราจะปฏิบัติอย่างไร อันนี้สำคัญ ถ้าเราไปวิ่งกับสุข ไปวิ่งกับทุกข์ มัวไปวิ่งกับสุขไปวิ่งกับทุกข์อยู่นั่น จะวิ่งตลอดจนถึงวันตายก็ไม่พบธรรมะนี่ ก็อยู่ไม่ได้เมื่อรู้จักสุขทุกข์ทั้งสองนี้ขึ้นมาเมื่อไร เราจะแก้ไขปัญหาอย่างไรโดยธรรมะนี่คือการปฏิบัติ
โดยมากคนที่ได้ของที่ไม่ชอบใจ ไม่อยากจะพิจารณานะ อย่างคนนินทาว่าเรา อย่ามาว่าฉันมาว่าฉันทำไม นี่คือคนปิดตัวไว้ ตรงนั้นแหละต้องปฏิบัติ ถ้าเขาว่าเราไม่ดีเขานินทาเรานี่ควรฟัง เขาว่าถูกหรือผิดอะไรหนอ ไม่ดีตรงไหน เราควรรับฟัง ไม่ต้องปิดปล่อยเข้ามาให้ดูไว้ บางทีก็มีนะที่เราไม่ดีนั่นน่ะ เขาว่าถูกยังไปโทษเขาอีกนี่ทีนี้เรามาดูตัวเรา เราเห็นที่ไหนมันไม่ค่อยดี เราก็เขี่ยมันออกเสีย เขี่ยโดยไม่ให้ใครรู้จักนั่นแหละเขี่ยสิ่งที่ไม่ดีออกเสีย มันก็ดีขึ้นมาอีก นี่คือคนมีปัญญา
สิ่งที่มันวุ่นวาย สิ่งที่มันไม่สงบอยู่ ตรงนั้นแหละ มันเป็นเหตุ สิ่งที่สงบอยู่ก็ตรงนั้นเองเราเอามันแทนที่เข้าไปที่มันไม่สงบนั่นไง นี่บางคนไม่รับฟัง ทิฏฐิมันแรง เราทำอย่างนั้นจริงๆก็ไปเถียงเขาอีกนะ ยิ่งกับลูกเราแล้ว ความเป็นจริงบางอย่างมันถูกของเขา แต่เราเข้าใจว่าเราเป็นแม่เขาไม่ยอมมันอย่างนี้ก็มี อย่างเราเป็นครูคนนี่ บางทีลูกศิษย์นะ เขาพูดถูกแต่ว่าเราไม่ยอมมันทำไมเพราะว่าเราเป็นครูเขา เขาจะเถียงเราได้อย่างไร นี่คิดอย่างนี้มันคิดไม่ถูก
ในครั้งพุทธกาล มีสาวกองค์หนึ่ง ท่านมีปัญญามาก พระพุทธเจ้าก็เทศน์ธรรมะให้ฟังเทศน์ไปเรื่อยๆ ท่านก็ฟังไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าถามว่า "ท่านพระสารีบุตร ท่านฟังธรรมนี้ท่านเชื่อไหม?" "เกล้ากระผมยังไม่เชื่อ" พระพุทธเจ้าชอบใจเลย "เออ...ดีแล้วท่านมีปัญญา คนที่มีปัญญาไม่ควรเชื่อง่าย ต้องรับอันนี้ไปพิจารณาดูเหตุผลกันก่อนจึงเชื่อ"นี่แหละ ธรรมที่เป็นครูสอนคนอย่างดีทีเดียว คือความเป็นจริงมันถูกของท่านพระสารีบุตรที่ท่านพูดท่านเอาใจจริงมาพูดให้ฟังเลย บางคนก็ว่า ถ้าจะพูดว่าไม่เชื่อก็ดูเหมือนจะฝ่าฝืนอำนาจพระพุทธเจ้ากลัว ก็เลยกลัวในสิ่งที่ไม่ควรกลัว ก็เลยว่าถูกตามกันไปหมด นี่โลกของเรามันเป็นอย่างนี้พระพุทธเจ้าของเราตรัสว่า สิ่งที่ไม่ผิดไม่เป็นบาปไม่ต้องอายเลย เพราะเรายังเชื่อไม่ได้เราพิจารณาไม่ได้ เรายังไม่เชื่อ พระสารีบุตรจึงพูดว่า "ข้าพระองค์ยังไม่เชื่อ"พระพุทธเจ้าชอบใจ "องค์นี้มีปัญญามาก ให้ไตร่ตรองดูเหตุผลก่อนจึงเชื่อ" พระสารีบุตรนี้มีปัญญาอันนี้เป็นคติของผู้ที่เป็นครู เป็นอาจารย์ของคนเป็นอย่างดี บางทีความรู้เราได้จากเด็กๆก็มีนะเราอย่าไปถือ ไปยึดมั่นอะไรทั้งหลายเลย
ที่เราเกิดมา จะยืน จะเดินไปมา จะนั่งที่ไหน เวลานั้นเรียกว่า เราศึกษาทุกอย่างเราศึกษาตามธรรมชาติ รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี โผฏฐัพพะก็ดี เราต้องฟังต้องรับฟัง คนมีปัญญาต้องรับฟังข้อประพฤติปฏิบัตินั้น ก็ท่านปฏิบัติให้มันหมดเรื่องถ้าเรามีความชอบใจ ไม่รู้เท่าความชอบใจ ไม่รู้เท่าความไม่ชอบใจ นี่เรายังมีเรื่องถ้าเรารู้เท่ามันแล้ว ความชอบใจ ความสุขนี้ก็ไม่มีอะไร สักแต่ว่าความรู้สึกแล้วมันก็หายไป ไม่ชอบใจนี้ก็ไม่มีอะไรมากมาย สักแต่ว่าความรู้สึกเท่านั้นแล้วมันก็หายไป จะเอาอะไรกับมันเล่า ถ้าเรานึกว่าสุขนั้นเป็นของเราทุกข์นั้นเป็นของเรามันก็ทุกข์ยากลำบากไปเท่านั้นแหละ มันหมดเรื่องจบเรื่องไม่ได้ ปัญหาอันนี้มันก็เกิดต่อๆๆๆไปเรื่อยๆ นี่มันเป็นเช่นนี้ หลักความจริงมันก็เป็นเช่นนี้
แต่ว่าเราสอนกัน ไม่ค่อยพูดกันถึงเรื่องจิตใจ ไม่ค่อยพูดกันถึงเรื่องความจริงถ้าเอาความจริงมาพูดกันคนจะไม่ชอบด้วยซ้ำ ไม่รู้จักกาละเทศะ ไม่รู้จักประสีประสาอะไรต่ออะไร ฟังธรรม นี่ต้องรับฟัง คือ ธรรมะนี้ไม่ใช่ว่าท่านเอาความจำมาพูดท่านเอาความจริงมาพูด คนทางโลกนี่มันเอาความจำมาพูดกัน แล้วก็ไปพูดในแง่ที่ว่ายกหูชูหางขึ้นไป เช่นว่าเรานี่พรากกันมานานแล้วนะ จากกันไปอยู่ต่างประเทศหรือจากกันไปอยู่ต่างจังหวัดกันมานาน อีกวันหนึ่งเผอิญไปขึ้นรถไฟพบกันเข้า"แหม...ผมดีใจเหลือเกิน ผมนึกว่าจะไปเยี่ยมคุณอยู่เร็วๆนี้" อันนี้ไม่ใช่ความเป็นจริงไม่เคยนึกเลย แต่ไปพูดขึ้นเดี๋ยวนั้นแหละ ไปปรุงขึ้นเดี๋ยวนั้นแหละคนมันชอบเป็นอย่างนี้ โกหก โกหกโดยไม่รู้ตัวเจ้าของนี่ ธรรมะมันเป็นเช่นนี้ถึงว่าพระนี่ท่านพูดยาก เมื่อท่านพูดท่านเอาความจริงมาพูดให้ฟัง พูดไปพูดไปเถอะคนฟังก็ไม่เข้าใจ เข้าใจยาก ถ้าเราเข้าใจธรรมะเราก็ได้ปฏิบัติในส่วนของธรรมะไม่ถึงกับว่าจะต้องมาบวชก็ได้ถ้าเราเข้าใจ แต่การบวชนี่มันเป็นรากฐานโดยตรงผู้จะมาปฏิบัติโดยตรงต้องออกมาอยู่ในป่า ต้องสละครอบครัว ต้องสละสมบัติ มันถึงไม่กังวลการเข้ามาอยู่ในป่า หรือในที่สงัดนั้นเป็นเครื่องปฏิบัติโดยตรง



โดย: kit007    เวลา: 2014-2-19 08:07
บัดนี้ถ้าเรายังมีครอบครัวอยู่ ยังมีภาระอยู่ ทำอย่างไรเราจึงจะปฏิบัติได้บางคนก็นึกว่าเราปฏิบัติไม่ได้ล่ะ พระกับโยมในโลกนี้ในประเทศไทยเรานี้ ใครมากกว่ากันโยมนั่น ส่วนพระมาปฏิบัติเท่านี้ โยมนั้นไม่ปฏิบัติ มันก็วุ่นวายเท่านั้นเองนี่คือเรายังเข้าใจผิด ผมยังบวชไม่ได้ ไม่ใช่บวชหรอก ไม่ใช่การบวช บวชมาแล้วก็ไม่ได้อะไรถ้าเราไม่ปฏิบัติ ก็เป็นอย่างเก่านั้นแหละ ก็เสียไปอย่างนั้น ถ้าเราคิดถูกแม้จะทำอะไรอยู่ที่ไหนก็ช่างเถอะ เป็นครูเป็นอาจารย์เป็นข้าราชการ ทำหน้าที่การงานที่ไหนก็ตามถ้าเรารู้เรื่องของเรื่องอันนี้จะได้รับการอบรมทุกวินาที เราได้ปฏิบัติบางคนเข้าใจว่าโอ๊ย...ฉันเป็นฆราวาส ทำไม่ได้หรอก นี่คือมันหลงเตลิดเปิดเปิงไปทั้งร้อยเปอร์เซนต์เลยอย่างอื่นทำไมทำได้ อย่างอื่นทำได้ อะไรที่ไม่มีเราก็หาได้ เพราะเราอยากได้เราก็ทำได้"ผมไม่มีเวลาเลยผมมีแต่การงาน" "เอ้า...ทำไมคุณมีเวลาหายใจล่ะ" นี่เป็นเรื่องอย่างนี้ ทำไมคุณจึงมีเวลาหายใจหาเวลามาจากไหน แน่ะ! เพราะเรื่องสำคัญในชีวิตของคุณ ถ้าคุณเห็นว่าเรื่องการปฏิบัตินี้เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของคุณแล้วการปฏิบัติของคุณก็เสมอลมหายใจเท่านี้แหละ ก็เพราะการปฏิบัตินี้ มิใช่ว่าจะไปวิ่งหรือไปเล่นกีฬาหรือจะต้องออกกำลังกายหรือจะไปทำอะไรให้มันวุ่นวาย เราดูความรู้สึกของเรานี่ มันเกิดมาจากเหตุใดตาเห็นรูปหูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรสอะไรมา ก็รวมกันมาที่ผู้รู้ คือ จิตนี้มีความรู้ขึ้นมันเป็นอย่างไร ถ้ามันไม่ชอบใจ มันก็ไม่เอา เป็นทุกข์ ถ้ามันชอบใจมันก็เอาเป็นสุขเสียเรื่องเท่านี้แหละ ทีนี้เราลองคิดว่า ถ้าคุณอยู่ในโลกนี้คุณจะไปเอาสุขที่ไหนจะไปหาคนในโลกนี้มาพูดให้ถูกใจจนตลอดชีวิตเราจะได้ไหม...ไม่ได้ไม่ได้คุณจะไปอยู่ที่ไหนโลกนี้มันต้องเป็นอยู่อย่างนี้ ท่านจึงตรัสว่า "โลกวิทู" รู้แจ้งโลก พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้พระพุทธเจ้าก็อยู่อย่างนี้ ไม่ใช่ท่านจะไปอยู่ที่ไหน ท่านก็อยู่ในโลกนี้ มีครอบมีครัวท่านจึงพิจารณาจนมันเบื่อจนเห็นโทษมัน แล้วทำอย่างไรเราจะปฏิบัติได้ ถ้าคุณจะปฏิบัติได้คุณต้องพยายามเมื่อคุณพยายามไปเรื่อยๆ คุณเข้าไปเห็นโทษในสิ่งนั้นแน่นอนแล้ว คุณก็วางมันได้เท่านั้นเอง
อย่างคนดื่มเหล้านี้ "แหม! ผมเลิกไม่ได้เหล้านี่" จะทำอย่างไรก็ไม่ได้ยังไม่เห็นโทษของมันซี ถ้าคุณไปเห็นโทษของมันอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ต้องมีใครสอนหรอกยังไม่เห็นโทษพอที่จะละมัน ไม่เห็นอานิสงส์ที่จะเกิดขึ้นมาได้ การงานอันนั้นจึงไม่สำเร็จประโยชน์เอาเล็บเขี่ยเล่นอยู่เฉยๆ ถ้าเราเห็นโทษของมันอย่างชัดเจน เห็นอานิสงส์ของการละมันอย่างชัดเจนเออ...เช่นคุณไปสุ่มปลา สุ่มไปเถอะ รู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในสุ่มของเรา มันดังคึกคักๆเรานึกว่าปลา เอามือล้วงลงไปเจอสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่มันอยู่ในน้ำ ตาไม่เห็นแต่มีความรู้สึกในใจของเรา นึกว่าเราเป็นปลาไหลบ้าง นึกว่าเป็นงูบ้างนะ จะทิ้งมันก็เสียดายมันหากว่ามันเป็นปลาไหลแล้วก็เสียดาย จะจับไว้ ถ้าหากว่ามันเป็นงูมันก็จะกัดเอานี่เข้าใจไหม สงสัยอยู่ไม่ชัดเจน ไอ้ความอยากนี่มันมาก อุตส่าห์จับไว้ เผื่อมันจะเป็นปลาไหลนะพอโผล่ขึ้นมาพ้นน้ำ เห็นแสกคอมันลาย วางเลย ไม่มีใครมาบอกว่า อันนั้นงู วางๆไม่มีใครบอกหรอก มันบอกมันเอง ยิ่งชัดกว่าเราบอกเสียด้วย เพราะอะไร เพราะเห็นโทษว่างูมันกัดเป็น ใครจะไปบอกมัน จิตนี้ ถ้าเราฝึกมันแล้ว รู้เช่นนั้นแล้ว มันไม่เอาหรอก
นี่เราไม่ค่อยฝึกกันนะ ฝึกในทางอื่น ไม่ค่อยฝึกเรื่องนี้ มันก็เลยไม่แก่กันไม่ตายกัน..พูดแต่เรื่องไม่แก่ไม่ตายกันเรื่อยๆอันนี้มันเก็บความรู้สึกไว้ในธรรมกันไม่ได้ไม่ได้ปฏิบัติเลย ถึงไปฟังธรรมะก็ไปฟังกัน แต่ไม่ได้ฟัง คือไปถึงที่นั้น ฟังอยู่ข้างนอกนี่บางทีในสังคมใหญ่ๆนิมนต์อาตมาเทศน์ไม่อยากเทศน์หรอกรำคาญในใจ ทำไมไม่อยากจะเทศน์ เพราะไม่เกิดประโยชน์เพราะเมื่อมองๆดูคนในที่นั้น ไม่ใช่คนที่จะเตรียมตัวมาฟังธรรม ดื่มเหล้ามาบ้างสูบบุหรี่บ้าง คุยกันบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง มันไม่เป็นลักษณะของคนที่มีศรัทธาที่จะมาฟังธรรมก็คิดว่าไปเทศน์ที่นั้นก็เรียกว่าประโยชน์มันน้อย หรือไม่มีประโยชน์เลย คนที่ยังมั่วสุมอยู่ในความประมาทเขาก็คิดว่า แหม...เทศน์นานเกินไป ทำนั่นก็ไม่ให้ทำ มันคิดอยู่อย่างนี้เขาไม่ได้ฟังธรรมหรอกบางทีเขานิมนต์พระเทศน์เป็นพิธีเสียด้วย นิมนต์พระคุณท่านสักนิด เขาไม่ให้เทศน์มากหรอกรบกวนเขา นิมนต์พระคุณท่านสักนิดหนึ่ง เราฟังแค่นี้เราก็เข้าใจแล้ว พวกนี้ไม่ชอบฟังธรรมเขารำคาญ พระเทศน์นิดเดียวก็ไม่เข้าใจกัน อย่างเอาของนิดๆหน่อยๆให้เรา มันพอไหมมันยังไม่พอ
บางทีพระอุตส่าห์เทศน์ไปหนักๆ สักหน่อยก็มีคนเมาๆ อยู่ข้างๆ นิมนต์ว่าเฮ้ย...ให้ทางท่าน ให้ทางท่านบ้าง ท่านจะออกมาแล้ว ไล่พระอยู่นั่น ถ้าอาตมาเห็นชนิดนี้ไปพบชนิดนี้ ก็มีปัญญามากซึ้งในธรรมะ ซึ้งในจิตใจของคนเรา อันนี้เรียกว่ามันไปอุดอยู่ตรงนี้คล้ายๆกับว่าน้ำในขวดเรามันมีเต็มอยู่ เขาจะมาขอน้ำจากเรา ทั้งๆที่น้ำในขวดของเขาก็ยังเต็มอยู่เราจะเอาน้ำของเรารินลงไปมันก็ไม่มีที่เก็บ มันล้นออกมา ถ้าเห็นอาการมันเป็นอย่างนั้นปัญญาก็เห็นไปอย่างนั้น เหมือนกับไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส และไม่สมควร เพราะน้ำในขวดนั้นยังเต็มอยู่ที่เก็บน้ำมีอยู่แล้ว เต็มอยู่แล้ว เราจะเอารินลงไปอีก นี่ มันก็ล้นไปหมดประโยชน์มันไม่มีแล้ว นี่ ประโยชน์ไม่มี ถ้าหากว่าในขวดเขามันว่างๆอยู่ มาขอน้ำกะเราเราจับขวดน้ำเทลงไป คนที่เก็บน้ำก็สบาย คนให้ก็สบายใจ มันมีที่เก็บน้ำ อย่างคนที่ฟังธรรมะก็ฟังนั่งฟังเข้าใจธรรมะจริงๆ เราก็มีกำลังใจ มีสมาธิ มีความมั่นใจ เทศน์ให้ฟังก็เหมือนกันถ้าหากว่าไม่มีคนตั้งใจฟัง ก็เหมือนเทน้ำใส่ขวดที่มันบรรจุน้ำอยู่แล้วเต็มๆนั่นแหละไม่รู้จะทำไปทำไม ไม่รู้จะเทไปทำไมนะ พลังของจิต พลังของธรรมะนี้ก็ไม่วิ่งขึ้นมาสู่ความรู้อันนี้เพราะว่าผู้ให้ก็ไม่ตั้งใจให้ เพราะคนรับไม่ตั้งใจรับ มันเป็นเสียเช่นนี้
โดยมากทุกวันนี้มันก็ชอบกันเสียอย่างนั้นกัน แล้วมันไม่เป็นอยู่เท่านี้มันทวีขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่มันจะหยุดอยู่แค่นี้ อันนี้มันเป็นอยู่ในความรู้สึกของมนุษย์ทุกวันนี้คือไม่ค้นไปหาความจริงกัน อย่างการร่ำการเรียน การหาวิชาความรู้ เขาก็หาแต่เพียงไปเป็นอาชีพของเขาเท่านั้นแหละเพื่อจะเลี้ยงชีวิตไป เลี้ยงครอบครัวไป เลี้ยงอัตตภาพไปเท่านั้นแหละ เรียนเพื่ออาชีพนะแต่เพื่อสัมมาอาชีพให้มันเป็นธรรมะน่ะ ที่ให้เข้าอกเข้าใจในธรรมะมันน้อย มันมีอยู่แต่มันน้อยดังนั้นพวกนักเรียนทุกวันนี้มันจึงมีความรู้หลักการวิชาการ ดีกว่าสมัยโบร่ำโบราณที่เราเคยทำกันมาตลอดถึงเครื่องมือเครื่องใช้อะไรต่างๆ มันครบบริบูรณ์แล้ว จะทำอะไรสะดวกกว่ามีความรู้มากกว่าแต่ก่อน สมัยนี้คนเยอะ วุ่นวายกว่าแต่ก่อน เป็นทุกข์กว่าแต่ก่อนมันเป็นเช่นนั้น นี่ไม่ใช่เพราะอื่นใด เพราะเขาพยายามว่าเขาเรียนมาเพื่ออาชีพเท่านั้นนักบวชทุกวันนี้ที่เป็นเด็กรุ่นๆ เคยได้ถามบวชแล้วทำไมไม่ปฏิบัติ"ผมบวชมาเพื่อเรียนหนังสือผมไม่ได้บวชมาปฏิบัติธรรมวินัย" นี่มันไปรูปนี้ ไม่ได้บวชมาเพื่ออันนั้น บวชมาเพื่อเรียนหนังสือถ้าพูดด้วยภาษาคำเราทุกวันนี้ ก็เรียกว่า ไม่มีทาง อย่างเราถามเขาว่า เป็นอย่างไรล่ะ...ไม่มีทางคำว่า ไม่มีทาง นี่ คือนักบวชนักพรต นักเรียนมาพูดอย่างนี้ "ผมไม่ได้บวชมาปฏิบัติพระธรรมวินัยผมบวชมาเพื่อเรียนหนังสือ" คำนี้แหละเรียกว่า ไม่มีทางใช่ไหม คือ ไม่มีทางมันจบแล้วไม่ต่อไปอีก ที่จริงแล้ว เมื่อเราพูดถึงที่เรียนมาแล้ว เอาความจำมาสอนกันบางทีจิตเป็นอย่างหนึ่ง สอนไปอีกอย่างหนึ่ง สอนไปตามความจำ ไม่ได้สอนเพื่อความจริงนี่โลก ฉะนั้นโลกก็ต้องเป็นอยู่อย่างนี้ ถ้าหากอยู่ร่วมกับเขา จะมาปฏิบัติอย่างนี้ไปอยู่เฉยๆให้มีศีลมีธรรมะสงบระงับเขาเห็นว่าคนนั้นเป็นคนแปลก เขาทำโลกไม่ให้เจริญ ทำสังคมไม่ให้เจริญเขายิ่งยุกันเข้าไป คนดีๆก็เลยเป็นคนไม่ค่อยดี ถูกเขารุมเอาเสีย นึกแล้วก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆเปลี่ยนไปลึกแล้วก็จะกลับออกมา มาไม่ได้ เลยมีคำพูดว่า "โอ๊ย...ทุกวันนี้ผมไปไม่ได้ครับ...ผมเข้าลึกแล้วผมถอนไม่ได้"อันนี้ปัญหาในโลก มันมักจะเป็นอย่างนั้น แต่ความเป็นจริงเราไม่รู้จักคุณค่าของธรรมะคุณค่าของธรรมะนั้น ไม่ใช่ไปเต้นตามตัวหนังสือตามตำราอันนั้นเป็นนั่น อันนั้นเป็นนั่น...อันนั้นมันอยู่ข้างนอกมันไม่เห็นธรรมะซึ้งในจิตของตน เมื่อเราดูจิตของตน มันจะเห็นจิตของตน เห็นความจริงอยู่อย่างนั้นถ้าเราเอาความจริงพูดขึ้นมา มันก็เป็นความจริง มันก็ตัดกระแสความไม่จริงทั้งหมดเลยฉะนั้น ธรรมะในบางแห่งก็วุ่นวายขึ้นมา อย่างคนดื่มเหล้า ไปเทศน์ให้คนดื่มเหล้าฟังว่ามันไม่ดีอย่างนั้น เป็นบาปอย่างนั้น โอ๊ย คนกินเหล้าจะมารุมเอาให้ได้


โดย: kit007    เวลา: 2014-2-19 08:08
ฉะนั้น จึงว่าสมัยนี้ สมัยไหนก็ช่างเถอะ คำสอนที่พระพุทธเจ้าของเราท่านสอนไว้นั้นมันเป็นความจริงความจริงนี้จริงตลอดได้สองพันห้าร้อยยี่สิบกว่าพรรษามาแล้ว อันใดที่พระพุทธเจ้าของเราเทศน์แล้วทรงสั่งสอนเป็นความจริงแล้ว ถอดออกมาจากใจแล้ว อันนั้น ท่านว่าอย่าไปเปลี่ยนแปลงอย่าไปเพิ่มเติม อย่าไปถอน ธรรมอันนี้แหละพระพุทธเจ้าตรัส "อย่าไปบัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติอย่าไปถอนสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ให้สมาทานตามสิกขาบทอันนั้น" คือปิดไว้ทำไมถึงปิด เพราะอันนี้เป็นคำพูดของผู้ที่ไม่มีกิเลส โลกจะเปลี่ยนไปสักเท่าไรก็ตามอันนี้มันคงที่อยู่ ไม่เปลี่ยนไปตามอันใดที่มันผิด คนว่าถูกมันก็ไม่ถูกไปด้วยอันใดมันดี คนว่าไม่ดี มันก็ไม่เปลี่ยน ถึงว่าเราตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายมันก็ไม่เปลี่ยน เพราะคำนี้คือความจริง
ความจริงอันนี้ใครสร้างขึ้นมา ก็ความจริงมันสร้างขึ้นมา ไม่ใช่พระพุทธเจ้าสร้างหรือไม่ใช่...ท่านไปค้นพบว่าอันนี้เป็นอย่างนี้ท่านก็เอาออกมาสอน คำสอนอันนี้พระพุทธเจ้าจะเกิดมาก็ตามไม่เกิดมาก็ตาม ความจริงอันนี้มันเป็นอยู่อย่างนี้ที่เรียกว่า พระพุทธเจ้านี้ เป็นเจ้าของพระธรรม คือความจริงอันนี้เท่านั้นเองความเป็นจริงท่านก็ไม่ได้สร้างมันขึ้นมา มันเป็นอยู่แล้วแต่นานๆแล้ว แต่ไม่มีใครพบไม่มีใครค้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ ท่านค้นพบเป็นอมตะนิยายแล้ว เอามาสอนคนเป็นธรรมะมิใช่ว่าท่านมาแต่งขึ้น อันนี้มันเป็นของเก่า ถึงแม้พระพุทธเจ้าไม่เกิดก็มีอยู่ถึงเกิดมาก็มีอยู่แม้คนไม่ปฏิบัติก็มีอยู่ ถึงคนจะปฏิบัติอันนี้ก็มีอยู่ เพราะอันนี้เป็นความจริงเพราะฉะนั้นธรรมะอันนี้ตั้งมั่นขึ้นมา ตั้งมั่นอยู่นะ แล้วก็ปฏิบัติตามความเป็นจริงกันไปแล้วก็ถล่มทลายตายฉิบหายหมด ก็วนกลับเข้ามาหาความเป็นอยู่อีก ความเป็นจริงคือธรรมะก็หล่อเลี้ยงคนไปอีกนานๆไปคนมากขึ้นไปก็ประมาทอีก มันก็ทำไปตามโลก ตามความมืดของคนไป เจริญไปๆแล้วก็เสื่อมอีก ตั้งไม่ได้ วุ่นวายอีก แล้วกลับมาตั้งความเป็นจริงอีก เพราะอันนี้ไม่หายพระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็ไม่หาย พระพุทธเจ้าทุกองค์นิพพานแล้วก็ไม่หาย ท่านมาเกิดแล้วก็ไม่หายท่านดับขันธ์ไปแล้วอันนี้คงตั้งอยู่ โลกเวียนมาบรรจบ อันนี้ มันก็คล้ายๆกับว่ามะม่วงต้นหนึ่งมันก็เป็นดอกมันก็เป็นผล เป็นผลเล็ก แล้วเป็นผลโตเรื่อยๆขึ้นมา จนกว่ามันห่ามมันห่ามแล้วก็สุก เหลือสุกมันก็เละ มันก็หล่นลงมาอีก เมล็ดมันก็กลับมาสู่แผ่นดินอีกเป็นต้นใหม่ขึ้นมาอีก เรื่อยๆไปผลที่สุดมันก็ห่ามแล้วมันก็สุก สุกแล้วมันก็เละเมล็ดมันก็ตกไปสู่ดินอีกต้นก็มาเกิดอีกเช่นนี้ มันก็เป็นอยู่อย่างนี้ในโลกนี้ มันไม่ไปอื่นไกล มีแต่ของเก่านั้นแหละ
อย่างที่เราทำทุกวันนี้ก็เหมือนกัน วันนี้เราก็ทำของเก่านั้นแหละ พรุ่งนี้เราก็ไปทำอย่างเก่าล่ะไม่ไปทำอย่างอื่นหรอก เออ...ไปทำให้มันยุ่งยากขึ้นมาอีก คนคิดมากเกินไป ก็ของในโลกมันมีหลายๆอย่างนี่พยายามค้นขึ้นมาได้ มันก็มีขึ้นมา แต่มันจบไม่ได้ จบไม่ได้ พุทธศาสตร์ก็ดีวิทยาศาสตร์ก็ดี ศาสตร์ทั้งหลายที่มีมาหลายๆศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จิตศาสตร์เกษตรศาสตร์ ทุกอย่างนั่นแหละ ค้นไปมันก็มีมา แต่ว่ามันก็มาจบอยู่ที่ความจริงของมันเพราะมันเป็นวัฏฏะเหมือนกันกับล้อเกวียน เรามีเกวียนสักเล่มหนึ่ง แล้วก็มีโคลากมันไปล้อเกวียนมันไม่ยาวแต่รอยมันยาว ถ้าโคตัวนั้นนะ มันลากเกวียนไปไม่หยุด อันรอยเกวียนนั้นมันก็ทับรอยโคไปไม่หยุดมันกลม แต่ว่ามันยาว จะว่ามันยาวก็ได้ แต่ว่ามันกลม เราเห็นความกลมมันเช่นนี้ก็ไม่เห็นความยาวในกงเกวียนอันนั้นแต่เมื่อโคลากไป แหม...กี่วันกี่เดือน มันยาว เมื่อโคมันลากไปไม่หยุด ล้อเกวียนก็หมุนไปไม่หยุดอีกวันหนึ่งโคมันเหนื่อย มันสลัดแอกออกไปเสียแล้ว โคไปโค เกวียนไปเกวียน ล้อเกวียนก็หยุดเองนี่...นานไปมันก็ทิ้งไปเอง นานๆไปมันก็เป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมถมทับเป็นดินหญ้าไปอย่างเดิม



คนกระทำกรรมนี้ก็เหมือนกันมันไม่จบเรื่องของมัน เราจะค้นอยู่ในโลก มันก็ไปอยู่อย่างนี้ มันก็ไปของมันเรื่อยๆของมันไม่จบเหมือนกัน ตลอดถึงทุกวันนี้ คนพูดความจริงอย่างนี้มันก็ไม่จบเหมือนกันคนมิจฉาทิฏฐิก็มีไม่จบเหมือนกัน มันมีกำลังเท่ากัน เหมือนมีดเล่มหนึ่ง เรามาลับให้มันคมๆเสียจะเอาไปทำให้มันเป็นประโยชน์ มันก็มีประโยชน์ เป็นกำลังในทางที่เป็นประโยชน์เราจะเอาไปทำให้ไร้สาระไร้ประโยชน์ มันก็มีกำลังเท่าๆกัน เพราะมีดมันมีความคมเสมอกันนี่ก็เหมือนกัน แต่ว่าต่อไปมีดเล่มนั้น เมื่อมันเกิดเป็นมีดมาได้ สักวันหนึ่งมันจะหยุดเป็นมีดคนทำกรรมนี้ก็เหมือนกัน ทำไปๆ มันหยุดตรงไหน เราหยุดการกระทำมาแล้ว รอยเกวียนมันก็ไม่หมุนไปตามมันเลิกแค่นั้นแหละ ถ้าเราวิ่งไปไม่หยุด มันก็ไม่หยุด มันก็หมุนไปเรื่อย การกระทำกรรมชั่วของเราก็เหมือนกันถ้าเราไม่หยุดมันก็ไม่หยุด ถ้าเราหยุดมันก็หยุด แค่นี้ นี่คือการปฏิบัติธรรม

ที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... g_of_the_World.html





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2