Baan Jompra
ชื่อกระทู้: หลวงปู่ดู่กับหลวงพ่อเกษม [สั่งพิมพ์]
โดย: Sornpraram เวลา: 2014-2-10 12:34
ชื่อกระทู้: หลวงปู่ดู่กับหลวงพ่อเกษม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-2-10 12:36
“…เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2531 วันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้าแต่งหน้ากำลังจะไปรับลูกที่โรงเรียน ก็สังเกตเห็นว่าคอของตนเองบวมจึงไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เพื่อทำการตรวจ แพทย์พบว่ามีก้อนเนื้อขนาด เท่าลูกมะปรางอยู่ในคอ แพทย์บอกว่าอาจจะเป็นเนื้อร้ายต้องผ่ามาพิสูจน์ เมื่อรู้ดังนั้นข้าพเจ้าก็รีบเดินทางไปหาหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแก พอไปถึงก็กราบเรียนท่าน ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ไม่ปงไม่เป็นหรอกมะเร็ง”
แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่ามีชาวบ้านมาหาท่าน เขาเป็นมะเร็งในมดลูก ท่านทำมือให้ดูว่าก้อนเนื้อมีขนาดเท่าลูกส้มโอ หมอบอกว่าต้องผ่าตัด เขากลัวมากเลยมาหาท่าน ท่านก็เมตตาให้เขาดื่มน้ำมนต์และให้ภาวนาไปด้วย
ชาวบ้านผู้นั้นก็ปฏิบัติตามคือดื่มน้ำมนต์และภาวนาพุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ อย่างเคร่งครัดจนครบ 3เดือนก็ไปหาหมอตรวจดูปรากฏว่าก้อนเนื้อนั้นได้หายไปอย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากที่ท่านเล่าให้ฟังแล้วท่านก็เมตตาอธิษฐานจิตดอกบัวให้ข้าพเจ้านำกลับไปต้มกับ
น้ำมนต์ ดื่มเป็นประจำทุกวันและให้ภาวนาไตรสรณคมน์ไปด้วย คืนหนึ่งข้าพเจ้านอนหลับฝันไปว่า ข้าพเจ้ากับสามีนั่งอยู่ในเรือลำหนึ่งโดยนั่งข้างหน้าและมีคนนั่งอยู่กัน เต็มลำ เรือลำนี้มุ่งหน้าข้ามไปยังเกาะกลางทะเล
บนเกาะมีคุณตาคุณยายนั่งอยู่ในกระท่อม
พอไปถึงคนทั้งหลายก็ขึ้นฝั่ง ไปให้ท่านทั้งสองรักษาโรคให้ด้วยการเป่า เมื่อท่านทั้งสองเป่ารักษาให้คนทั้งหลายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บในทันทีแล้วพา กันกลับลงเรือ
ส่วนข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไปขอให้ท่านทั้งสองช่วยรักษา คุณตาคุณยายกลับบอกว่า
“ข้าช่วยเอ็งไม่ได้”
ได้ยินเพียงเท่านี้ข้าพเจ้าก็ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ท่านทั้งสองช่วยด้วยเถิด และข้าพเจ้ายังตัดพ้อว่าคนอื่นเขามากันเต็มลำเรือท่านยังช่วยได้ทำไมเราคน เดียวท่านไม่ช่วย
อ้อนวอนทั้งน้ำตาอยู่นานก็ไม่เป็นผล ข้าพเจ้าจึงเดินร้องไห้กลับมาเพื่อจะลงเรือ
ทันทีนั้นก็ได้ยินเสียงท่านเรียกแล้วพูดว่า
“เอาอย่างนี้มีคนเดียวที่ช่วยได้”
ข้าพเจ้ารีบถามว่าเป็นใคร ท่านก็บอกว่า “หลวงพ่อเกษม เขมโก ที่ลำปาง”
ข้าพเจ้าจึงพูดว่าหลวงพ่อเกษม เขมโกท่านพบยาก ไปก็ลำบากไม่รู้จักใครที่จะพาไป
ท่านบอกว่าให้ไปอยุธยาแล้วจะมีคนพาไป
เมื่อตื่นขึ้นมาข้าพเจ้าก็ รีบไปหาหลวงพ่อดู่ที่วัดสะแกทันที ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3โมงแล้ว
ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านให้ฟังถึงความฝัน ท่านก็เลยพานั่งสมาธิ กำหนดพาข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อเกษม เขมโก ที่สุสานไตรลักษณ์แล้วนิมนต์หลวงพ่อเกษม เขมโกมาวัดสะแก
เป็นเรื่อง น่าอัศจรรย์ยิ่งนักที่ หลวงพ่อเกษม เขมโก ท่านมาให้เห็นเป็นกายเนื้อนั่งอยู่ด้านขวามือของหลวงพ่อดู่ แล้วข้าพเจ้าก็กราบเรียนท่าน หลวงพ่อเกษมท่านก็รักษาให้โดยการเป่า
หลวงพ่อดู่ท่านยังเมตตาฝากข้าพเจ้ากับหลวงพ่อเกษมว่า วันข้างหน้าหากข้าพเจ้ามีอะไรติดขัดก็จะขอให้กราบเรียนหลวงพ่อเกษม เขมโก ซึ่งท่านก็พยักหน้ารับ
ข้าพเจ้านึกรู้ทันทีว่าหลวงพ่อดู่จะต้องละสังขารก่อนหลวงพ่อเกษม แน่นอน
พอกลับ มาบ้านอาการที่เป็นอยู่ก็ไม่ทรุดโทรมแต่ค่อย ๆ ดีขึ้น ทว่าหลังจากที่หลวงพ่อดู่ท่านละสังขาร
ข้าพเจ้างานยุ่งมากทำให้จิตไม่ค่อยมั่น ภาวนาบ้างไม่ภาวนาบ้าง
แล้วก็เชื่อผู้อื่นที่หวังดีแนะนำไปหาหมอหลายหมอ จิตจึงไม่นิ่งนั่งสมาธิไม่ค่อยดี
ร่างกายจึงเริ่มทรุดโทรมต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัด เมื่อผ่าตัดเสร็จและฟื้นขึ้นมา
ข้าพเจ้าได้เห็นวิญญาณของผู้ชายคนหนึ่ง
กลายเป็นไก่ตัวผู้ตัวใหญ่มากยืนอยู่
เห็นเหนียงที่คอยาวจนเกือบถึงพื้น
เขาบอกว่าข้าพเจ้าเคยช่วยแม่จับขาเขาทำร้ายเขาถึงชีวิต
ไปทำเขาไว้เขาโกรธก็เลยตามมาจะแก้แค้น
รอโอกาสที่จะแก้แค้นข้าพเจ้ามานานจนกระทั่ง
ตัวเขาแก่มากเหนียงยาวเกือบถึง พื้น
หลังจากผ่าตัด 6เดือนหมอก็ให้กลืนน้ำแร่ฆ่าเชื้อและป้องกันมะเร็งที่คอ 7 วันวันแรกประมาณบ่าย 3 โมง
กลืนน้ำแร่หยดเล็ก ๆ พอบ่าย 5โมงคอเริ่มบวมแดงไปหมดกลืนน้ำลายกลืนน้ำไม่ได้ ต้องนอนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม
เตียงที่นอนล้อมรอบด้วยแผ่นตะกั่วกันรังสีอยู่คนเดียวห้ามเยี่ยม หมอและพยาบาลจะเข้ามาต้องใส่ชุดกันรังสี ข้าพเจ้าเกิดอาการแพ้มากจึงกดออดเรียกหมอบอกหมอถึงอาการ แต่หมอก็ไม่เชื่อคงเพราะกรรมมาบังไว้
ตอนทุ่มครึ่งพยาบาลนำยานอนหลับมาให้ทานก็แอบเอาไว้ไม่ยอมทาน
ข้าพเจ้าสวด มนต์ไหว้พระ-รับศีลเพื่อเตรียมตัวตาย
เพราะจำได้ว่าหลวงพ่อดู่ท่านสั่งแล้วสั่งอีกเป็นสิบ ๆ ครั้งก่อนที่ท่านจะละสังขารว่า..
“ก่อนตายสำคัญมากต้องมีสติภาวนารักษาศีล”
และ เนื่องจากข้าพเจ้าเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเขียนไว้ว่า
ก่อนตายให้นึกถึงพระนิพพานและให้ภาวนาว่า “นิพพานัง ปรมัง สุขัง”
ข้าพเจ้าจึงได้ทำตามแล้วก็นอนทำสมาธิภาวนาไปเรื่อย ๆ จิตก็ดี พอภาวนาไปได้พักหนึ่งจิต
ก็หวนคิดถึงลูกคนเล็กซึ่งมีอายุเพียงขวบกว่า ๆ เกิดความคิดว่าเมื่อตายแล้วหากไปนิพพาน
ก็จะไม่ได้กลับมาเห็นลูกอีก เลยเปลี่ยนคำภาวนาเป็น
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จิตก็รวมดี
ไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็เห็นตัวเองสวมชุดขาวออกเดินไปในทุ่งอันกว้างใหญ่ มีต้นข้าวเขียวขจีอ่อนพลิ้วไปตามกระแสลม ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นดวงสว่างปรากฏขึ้นและเห็นหลวงพ่อดู่ท่านมา
จึงรีบตรงเข้าไปกราบท่าน ท่านก็พาไปยังกุฎิที่ท่านอยู่ ซึ่งหน้ากุฎิท่านนั้นมีลำธารเป็นแก้วใส
และมีต้นโพธิ์ทองแก้วเป็นแก้วใส 2 ต้นสูงประมาณ 2 เมตรอยู่ด้านหน้ากุฎิ
ท่านนั่งห้อยขาอยู่บนกุฎิ ซึ่งเป็นทองสวยอร่ามมาก ข้าพเจ้าก็เข้าไปกราบท่านแล้วบอกว่าจะขออยู่กับท่านตลอดไปไม่กลับ ท่านก็บอกว่า “อยู่ไม่ได้บุญยังไม่พอ”
ข้าพเจ้าร้องไห้ทวงสัญญาว่าหลวงพ่อเคยรับปากลูกว่าจะให้ลูกเกาะชายผ้าเหลือง ไปทุกภพท
ทุกชาติลูกจะไม่ขอกลับไปแล้ว ท่านจึงพูดว่า
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันลงไปทำความดีอีก 10 ปี…แล้วค่อยว่ากันใหม่”
ก็เลยตกใจตื่นขึ้นมา ดูนาฬิกาเป็นเวลาเกือบตี 4 และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
เพราะอาการที่ป่วยอยู่ทุกอย่างได้เริ่มหายเป็นปกติ ข้าพเจ้าอยู่โรงพยาบาลครบ 7วัน ก็ได้กลับบ้าน
และหายจากโรคร้ายอย่างเด็ดขาดไม่มีอาการเจ็บป่วยอีกเลย
ข้าพเจ้าได้แต่กราบแทบเท้าหลวงพ่อทั้งสองเพื่อขอบพระคุณที่ท่านมีเมตตาอนุเคราะห์ให้
ความช่วยเหลือข้าพเจ้าและครอบครัวในทุก ๆ เรื่องตลอดมากระทั่งทุกวันนี้…”
หลวงปู่เกษม พระอริยเจ้าที่หลวงปู่ดู่ให้ความเคารพมาก กล่าวกับลูกศิษย์ว่า
“อยากฟังธรรมะ ให้ไปหาท่านพุทธทาส
อยากไหว้พระปฏิบัติดี ให้ไปไหว้หลวงพ่อดู่ วัดสะแก”
ที่มา..http://prasaksit.wordpress.com
โดย: Sornpraram เวลา: 2014-2-10 12:44
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-2-10 12:51
ในบรรดาพระสุปฏิปันโนหลาย ๆ ท่านนั้น
หลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์
เป็นพระอันดับต้น ๆ ที่หลวงปู่ดู่กล่าวยกย่องชมเชย
จนอยู่มาวันหนึ่ง มีเรื่องราวที่ผู้คนกล่าวถึงหลวงพ่อเกษมในทางที่อาจเกิดการปรามาสท่านได้ นั่นก็คือเรื่องที่หลวงพ่อเกษมฉันอาหารในยามวิกาลในบางคราว
หลวงปู่ตั้งคำถามกับลูกศิษย์คนหนึ่งว่า.
แกเห็นว่ายังไง เข้าใจยังไง กับการที่หลวงพ่อเกษมท่านฉันอาหารในยามวิกาลในบางคราว
ลูกศิษย์ก็ไม่กล้าแสดงทัศนะเพราะกลัวบาป
หลวงปู่จึงเมตตาอธิบายให้ทราบถึงเหตุผลของเรื่องนี้ว่า
หลวงพ่อเกษมท่านต้องการสงเคราะห์ดวงวิญญาณที่มาขอส่วนบุญในเวลานั้น ๆ โดยการนำอาหารที่ญาติของเขานำมาถวายไว้ (ตั้งแต่ตอนเช้า) มาฉันให้เขาได้บุญ แล้วจึงค่อยอุทิศส่วนบุญไปให้
ดวงวิญญาณนั้น
จึงเป็นอันว่าหลวงพ่อเกษมท่านทำเพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น หาใช่ทำเพราะความมักมากในอาหาร หากเราได้ศึกษาข้อวัตรของท่านให้ดี ก็จะทราบว่า โดยปรกติแล้ว ท่านจะฉันเอกา (ฉันวันละครั้งเดียวเท่านั้น) รวมทั้งฉันสำรวม (คือเอาอาหารคาวหวานมารวมกันในบาตร) องค์ท่านเองก็ผอมเหลือเกิน จึงไม่น่ามีเหตุผลที่มาที่ไปว่าท่านเป็นผู้มักมากในอาหารแต่อย่างใด
เรื่องที่หลวงปู่ดู่ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ได้ฟังจึงทำให้ศิษย์ทั้งหลาย ณ ที่นั้น ได้เรียนรู้ว่า เรามิพึงด่วนสรุปอะไร ๆ จากภาพที่เห็นภายนอก เพราะยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกินสติปัญญาความรู้ของเรา
แต่อย่างไรก็ดี จะสังเกตว่าเรื่องดังกล่าว (หมายถึงการฉันอาหารยามวิกาล) นี้ องค์หลวงพ่อเกษมเองก็มิได้ทำเป็นกิจวัตร หากแต่นาน (แสนนาน) จะทำสักหนหนึ่ง และก็มิได้กระทำอย่างผู้มีแผล
คือต้องแอบ ๆ ทำ
เพราะหลวงปู่กล่าวยกย่องท่านว่าเป็นผู้ไม่มีแผลแล้ว เป็นผู้ที่ใคร ๆ จะปรับอาบัติท่านไม่ได้แล้ว
เฉกเช่นเดียวกับพระผู้หลุดพ้นแล้วทั้งปวง
ความเป็นอยู่ของท่านเหล่านั้น ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลกโดยถ่ายเดียว ซึ่งหากเป็นผู้ที่ยังไม่หมดกิเลส ทำอย่างเดียวกันกับท่าน ย่อมไม่พ้นอาบัติ และย่อมเป็นความเศร้าหมองแก่ตนเองโดยถ่ายเดียว
โดย: oustayutt เวลา: 2014-2-10 13:02
นมัสการหลวงปู่ทั้ง2
โดย: sritoy เวลา: 2014-2-10 14:15
สาธุครับ
โดย: Sornpraram เวลา: 2014-9-19 12:42
โดย: รามเทพ เวลา: 2014-10-2 05:18
นมัสการพระคุณเจ้า
โดย: AUD เวลา: 2014-10-2 21:16
สาธุครับ
โดย: LightGuardian เวลา: 2015-6-16 14:07
สาธุครับๆ กระทู้นี้ควรอ่าน
โดย: ธี เวลา: 2015-6-16 16:33
โดย: oustayutt เวลา: 2015-6-16 21:01
โดย: Sornpraram เวลา: 2015-6-16 21:24
เรามิพึงด่วนสรุปอะไร ๆ
จากภาพที่เห็นภายนอก
เพราะยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่เกินสติปัญญาความรู้ของเรา
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) |
Powered by Discuz! X3.2 |