Baan Jompra

ชื่อกระทู้: แง่คิดชีวิตงาม [สั่งพิมพ์]

โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:24
ชื่อกระทู้: แง่คิดชีวิตงาม
18 นิยามความรักและชีวิต

1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือการรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง2. ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความรู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว3. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป4. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนาน จนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูแห่งความสุขบานอื่น ที่เปิดไว้รอ5. เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไรกันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด6. เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป... แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งผลของสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา7. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคน ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเราเอง8. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ9. อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณยังไม่สามารถ "ทำใจ"10. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดและมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน11. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียวสามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นอาจใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครอาจใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครอาจใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต13. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข14. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวดจากสิ่งเดียวกันเช่นกัน15. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่าเราต้องการเพียงภาพสะท้อนของตัวเราที่ปรากฎในตัวเขา16. คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก17. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดี ถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางจากความผิดพลาดในอดีต และความปวดใจ18. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ...

ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm

โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:25
นิยามของเพื่อน กับคําสอนของพ่อ

มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่สีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก พ่อของเขาจึงให้ตะปูกับเขาหนึ่งถุง และบอกกับเขาว่า"ทุกครั้งที่เขารู้สึกโมโห หรือโกรธใครสักคนให้ตอกตะปู 1 ตัวเข้าไปกับรั้วที่หลังบ้าน"วันแรกผ่านไปเด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเขาไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆลดจำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันที่ผ่านไป ก็ลดจํานวนลง น้อยลง น้อยลงเพราะเขารู้สึกว่า การรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง ให้สงบง่ายกว่าการตอกตะปูตั้งเยอะและแล้วหลังจากที่เขาสามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบกับพ่อและบอกกับพ่อของเขาว่าเขาสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้แล้วไม่มุทะลุเหมือนแต่ก่อนที่เคยเป็นมา พ่อยิ้ม และบอกกับลูกชายของเขาว่า"ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าต้องพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุกๆ ครั้งที่เขาสามารถควบคุมอารมณ์ ฉุนเฉียวของตนเองได้ให้ถอนตะปูออกจากรั้วหลังบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง" วันแล้ววันเล่าเด็กน้อยคนนั้นก็ค่อยๆ ถอนตะปูออกทีละตัวจาก 1 เป็น 2 .... จาก 2 เป็น 3 จนในที่สุดตะปูทั้งหมดก็ถูกถอนออกจนหมดเด็กน้อยดีใจมากรีบวิ่งไปบอกกับพ่อเขาว่า "ฉันทำได้ ในที่สุดฉันก็ทำจนสำเร็จ!!"พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่จูงมือลูกของเขาออกไปที่รั้วหลังบ้าน และบอกกับลูกว่า"ทำได้ดีมาก ลูกพ่อ และเจ้าลองมองกลับไปที่รั้วเหล่านั้นสิ เจ้าเห็นหรือไม่ว่ารั้วนั้นมันไม่เหมือนเดิมไม่เหมือน..กับที่มันเคยเป็น จำไว้นะลูกเมื่อใดก็ตามที่เจ้าทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผลเหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคนต่อให้ใช้คำพูด ว่า "ขอโทษ" สักกี่หนก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดขึ้นกับเขาคนนั้นได้ฉันใดก็ฉันนั้น"กับเพื่อน" .. เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณีอันมีค่าที่หายากเป็นคนที่ทำให้เรายิ้มเป็นคนที่คอยให้กำลังใจและยินดีเมื่อเราพบกับความสำเร็จเป็นคนที่คอยปลอบใจเราเมื่อยามเศร้าร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราและจริงใจกับเราเสมอ ... แสดงให้เขาเห็น ว่าเราห่วงใยเขามากแค่ไหนและระวังสิ่งที่เราทำไปไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ และจงจดจำไว้เสมอว่า "คำขอโทษ " ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ก็ตามแต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือรอยร้าวที่เขาคงไม่อาจลืมมันได้ ...... ตลอดไป"หวังว่านิทานนี้คงช่วยให้พวกเราอยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน คบกัน ด้วยความรู้สึกที่ดีต่อกันขึ้นเรื่อยๆ ตลอดไป.....

ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:25

เรื่องซึ้งๆ

ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตูลูก : "พ่อครับ,พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"พ่อ : "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"ลูก : "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่" พ่อ : "ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่,ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ"พ่อตอบด้วยความโมโหลูก "ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"ลูกพูดร้องขอพ่อ "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"ลูก : "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10 เหรียญ"พ่อกล่าวด้วยอารมณ์ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถามเพื่อจะขอเงินแล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่าแกน่ะเห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวันและไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้นเพื่อจะขอเงินได้อย่างไร หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆ และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตูพ่อ : "หลับหรือยังลูก" ลูก : "ยังครับ"พ่อ. "พ่อมาคิดดูเมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ" เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง "ขอบคุณครับพ่อ"แล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง"ก็มีเงินแล้วนี่แล้วมาขออีกทำไม"ลูก : "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงิน ครบ 20 เหรียญแล้วผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ"



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:25

ของขวัญจากเวลา

ลองจินตนาการว่ามีธนาคารแห่งหนึ่งเข้าบัญชีให้คุณทุกเช้า เป็นเงิน 86,400 บาทไม่มีการยกยอดคงเหลือไปวันรุ่งขึ้นทุกตอนเย็นจะลบยอดคงเหลือทั้งหมดที่คุณไม่ได้ใช้ระหว่างวันคุณจะทำอย่างไร? แน่นอนที่สุดคุณต้องถอนมาใช้ทุกบาททุกสตางค์ ใช่ไหม!!!
เราทุกคนมีธนาคารอย่างนั้นเหมือนกัน ธนาคารแห่งนี้ชื่อว่า "เวลา" มันเข้าบัญชีให้คุณ 86,400 วินาทีทุกคืนมันจะถูกล้างบัญชีถือว่าขาดทุนตามจำนวนที่คุณพลาดโอกาสที่จะลงทุนในสิ่งดีๆ มันไม่สะสมยอดคงเหลือไม่ให้เบิกเกินบัญชี ในแต่ละวันจะเปิดบัญชีใหม่ให้คุณ ทุกค่ำคืนจะลบยอดคงเหลือของทั้งวันออกหมดถ้าคุณเสียโอกาสที่จะใช้ประโยชน์ในระหว่างวัน ผลขาดทุนเป็นของคุณไม่สามารถถอยหลังกลับไปได้ ไม่มีการถอนของ "วันพรุ่งนี้" มาใช้ได้คุณต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบันด้วยยอดเงินฝากของวันนี้ให้ลงทุนจากเงินฝากเหล่านี้เพื่อได้ผลตอบแทนมาสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อสุขภาพความสุข และความสำเร็จ! นาฬิกากำลังเดิน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
จะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งปีให้ไปถามนักเรียนที่สอบตกต้องซ้ำชั้นจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งเดือนให้ไปถามคุณแม่ที่คลอดลูกก่อนกำหนดจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งสัปดาห์ให้ไปถามนักเขียนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์จะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งชั่วโมงให้ไปถามคนรักที่กำลังรอคอยตามนัดหมายจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา หนึ่งนาทีให้ไปถามคนที่เพิ่งพลาดขบวนรถไฟจะรู้ถึงคุณค่าของเวลา เสี้ยววินาทีให้ไปถามคนที่เพิ่งรอดหวุดหวิดจากอุบัติเหตุ
ทำทุกขณะที่คุณมีให้มีคุณค่า!และทำให้มีคุณค่ามากขึ้นไปอีกเพราะคุณใช้มันร่วมกับคนพิเศษบางคนให้พิเศษเพียงพอที่จะใช้เวลาของคุณและจำไว้เสมอว่าเวลาไม่คอยใครแม้สักคนเดียวเมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้ยังยากที่จะอธิบาย วันนี้เป็นของขวัญนั่นไงทำไมมันถึงถูกเรียกว่า "Present"




ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:26
ขาว - ดำ

อาจจะมีคนเคยอ่านแล้ว อ่านอีกครั้งก้อได้คิดอีกครั้งมีเรื่องเล่าว่า วันหนึ่ง คุณครูเดินเข้ามาแล้วชูกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่งมันเป็นกระดาษขาวที่มีจุดสีดำอยู่ตรงกลางแล้วครูจึงถามนักเรียนว่า เธอเห็นอะไรนักเรียนจึงตอบว่าเห็นจุดสีดำคุณครูพูดว่า แล้วเธอไม่เห็นกระดาษขาวแผ่นนี้เหรอ?นักเรียนจำเรื่องนี้ได้จนกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่เลย
เรื่องนี้จะเห็นได้ว่าคนส่วนมากมักจะมองเห็นสิ่งไม่ดีมากกว่าสิ่งที่ดีซึ่งที่จริงแล้ว เราควรจะหัดให้เห็นสิ่งดีมากกว่าสิ่งที่ไม่ดีโดยเฉพาะเวลาที่เรามองคนอื่น หากเรามองข้อดีของเขาเราจะรู้สึกสบายใจ และบรรยากาศรอบข้างก็จะดีด้วย




ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:27
ไม่เป็นไร ไม่ต้องทอน

เจ้าเด็กชายตัวน้อยของเราเข้าไปหาแม่และส่งกระดาษให้หลังจากแม่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้ว เธอก็ก้มลงอ่านค่าตัดหญ้า 5.00 บาทค่าทำความสะอาดห้องของผมอาทิตย์นี้ 1.00 บาทค่าซื้อของให้แม่ 2.50 บาทค่าดูแลน้องชาย 2.50 บาทค่าเอาขยะไปทิ้ง 1.00 บาทค่าได้คะแนนดี 5.00 บาทค่าทำความสะอาดและกวาดสนาม 2.00 บาทรวมค้างชำระ 19.00 บาทแม่มองลูกชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างคาดหวังเธอหยิบปากกาขึ้นมา พลิกกระดาษ ไปด้านหลังแล้วเขียน :- เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้องลูก ไม่คิดเงิน- เวลาที่แม่นั่งกับลูก พยาบาลลูก และสวดมนต์ให้ลูก ไม่คิดเงิน- ค่าที่ลูกทำให้แม่เสียน้ำตาเป็นปี ๆ ไม่คิดเงิน- หลายคืนที่แม่มีความหวาดระแวงกับความกังวล ที่แม่รู้รออยู่ข้างหน้า ไม่คิดเงิน- ของเล่น อาหาร เสื้อผ้า และแม้แต่เช็ดน้ำมูกให้ ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะลูก- และเมื่อรวมทั้งหมดเข้าด้วยกันจะเป็นราคาเต็มของความรักที่แท้จริงไม่คิดเงินเหมือนกันจ๊ะเมื่อลูกชายของเราอ่านสิ่งที่แม่เขียน น้ำตาหยดโต ๆ ก็ไหลออกมาเขาสบตาแม่และพูดว่า "แม่ครับ ผมรักแม่จริง ๆ นะครับ"แล้วเขาก็เอาปากกาเขียนหนังสือตัวโตว่า => "จ่ายหมดแล้ว"
ที่รักเธอรักด้วยชีวิต อย่าคิดเลยรักไปเท่าไร ที่ให้เธอแม้มันจะหมดหัวใจ ไม่เป็นไร ไม่ต้องทอน



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:27
หินก้อนใหญ่

วิทยากรที่มีชื่อเสียงด้านการบริหารเวลาผู้หนึ่ง บรรยายให้กับนักศึกษาฟัง ท่านวิทยากรหอบเอาโถแก้ว และก้อนหินใหญ่น้อยมาวางไว้ที่หน้าชั้นเรียน แล้วจึงเริ่มกระบวนการสอน..เริ่มต้นด้วยการใส่หินลงไปในโหลแก้วโดยใส่หินก้อนใหญ่ลงไปจำนวนหนึ่ง แล้วก็ถามผู้ที่เข้าฟังว่าโถนี้เต็มหรือยัง นักศึกษาก็บอกว่ายังไม่เต็ม วิทยากรจึงให้ผู้ฟังลองใส่หินก้อนเล็กๆลงไปอีกหลายก้อนแต่ยังมีช่องว่างเหลืออยู่ระหว่างหิน จึงเททรายใส่ลงไป และเพื่อให้มั่นใจว่าโหลเต็มจริงๆ สุดท้ายจึงเทน้ำใส่ลงไปจนต็มโหล วิทยากรท่านนั้นถามว่า "จากขวดโหลนี้คุณเห็นอะไรบ้าง?"มีคนตอบว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น"อีกคนตอบว่า "เราหาเวลาเพิ่มได้เสมอหากว่ามีความตั้งใจจริง"วิทยากรบอกว่าผิด ขวดโหลนี้แสดงให้พวกคุณเห็นว่า "หากไม่เอาหินก้อนใหญ่ใส่เข้าไปตั้งแต่แรก ก็จะไม่ทางเอามันใส่เข้าไปได้เลย เหมือนชีวิตคนเราต้องเอาเรื่องใหญ่ๆก่อนแล้ว ค่อยเติมให้เต็มด้วยเรื่องรองๆ ลงมาตามลำดับ""อะไรคือหินก้อนใหญ่ในชีวิตของเรา..การใช้เวลากับคนที่เรารัก ความเชื่อศรัทธาความหวังและความฝัน การทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม...ก่อนนอนคืนนี้ไปคิดซะ แล้วเอาหินก้อนใหญ่ใส่ไว้ก่อน"




ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:28
เชอรี่พันธุ์ดี

เรื่องมีอยู่ว่ามีพ่ออยู่คนหนึ่งได้ต้นเชอรี่พันธุ์ดีมา ก็เอามาปลูกไว้ที่บ้านและสั่งให้ทุกคนในบ้านช่วยกันดูแลเพื่อว่าเมื่อต้นเชอรี่โตขึ้นทุกคนจะได้กินผลที่อร่อยจากต้นเชอรี่พันธุ์ดีนี้และคุณพ่อเองก็เฝ้ารดน้ำ ใสปุ๋ยดูแลมันอย่างดีเป็นเชอรี่ต้นโปรดของคุณพ่อทีเดียว อยู่มาวันหนึ่งขณะที่คุณพ่อออกไปทำงานลูกชายชื่อจอร์จซึ่งได้ขวานเล็ก ๆ อันใหม่มา ด้วยความซนก็ฟันนู่นฟันนี่แล้วก็ไปโดนต้นเชอรี่แสนรักของคุณพ่อเข้าต้นเชอรี่ค่อย ๆ เอนตัวแล้วก็ล้มลงกับพื้นเหลือแต่ตอที่อยู่เหนือพื้นดินมาไม่กี่นิ้ว เมื่อคุณพ่อกลับมาถึงบ้านเห็นต้นเชอรี่แสนรักในสภาพอย่างนั้น ก็ตกใจมาก เรียกทุกคนในบ้านมาถามก็ไม่มีใครทราบจนคุณพ่อนึกถึงลูกชายคนนี้ก็ตะโกนเรียกด้วยเสียงอันดังว่า "จอร์จ มานี่ซิ " จอร์จก็เดินออกมาหาคุณพ่อคุณพ่อได้ถามจอร์จว่า"จอร์จ ลูกรู้ไหมว่าทำไมต้นเชอรี่ถึงเป็นแบบนี้"จอร์จก้มหน้าแต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นตอบคุณพ่อว่า"ผมไม่กล้าโกหกคุณพ่อหรอกครับว่าผมเป็นคนเอาขวานฟันต้นเชอรี่นี้เอง"คุณพ่อบอกจอร์จว่า "เข้าไปรอพ่อในบ้าน" ….จอร์จเดินเข้าไปรอคุณพ่อในห้องของเค้า เวลาผ่านไปพักใหญ่ ๆ คุณพ่อก็เข้ามาในห้องและถามจอร์จว่า "ทำไมลูกถึงตัดต้นเชอรี่ที่อีกหน่อยทุกคนในบ้านจะได้กินผลจากมันล่ะ"จอร์จตอบคุณพ่อว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจครับผมทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมเอง"แล้วจอร์จก็ก้มหน้าลง หน้าแดงด้วยความละอายแล้วก็ได้ยินเสียงคุณพ่อพูดว่า"จอร์จ ลูกดูหน้าพ่อซิ ถึงพ่อจะรู้สึกเสียใจที่ต้นเชอรี่ที่พ่อรักถูกโค่นไป แต่พ่อก็ดีใจยิ่งกว่าที่ลูก ของพ่อซื่อสัตย์และกล้าหาญที่ยอมรับในการกระทำของตัวเอง ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ถึงแม้จะมีเชอรี่พันธุ์ดีเต็มสวน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร"จอร์จจดจำเรื่องราวเหล่านี้และใช้ความกล้าหาญและซื่อสัตย์ตลอดมาจนแม้กระทั่งในการดำรงฐานะเป็นประธานาธิบดี "จอร์จ วอชิงตัน"เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของท่านประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันฟังแล้วประทับใจในวิธีการสอนของคุณพ่อ แทนที่คุณพ่อจะทำโทษลูกด้วยวิธีอันรุนแรง เกรี้ยวกราดกับลูก หรือให้ความสำคัญกับสิ่งของ แต่คุณพ่อกลับพูดกับลูกอย่างอ่อนโยนด้วยถ้อยคำที่ทำ ให้ลูกต้องจดจำไปตลอดชีวิต ถ้าคุณพ่อทำโทษแรงๆ ก็อาจจะไม่มีประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตันแบบนี้ก็ได้…..ในชีวิตมีสักครั้งไหมที่เราจะใส่ใจกับสิ่งที่ยังอยู่แทนที่จะมัวแต่เสียดายสิ่งที่ไม่มีวันได้คืน....



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:28
แด่ลูกรัก

เดินชนคนแปลกหน้า ฉันเอ่ยขอโทษ ไม่ตั้งใจ เขากลับตอบ "ขออภัย ผมเองไม่ทันเห็นคุณ"เราต่างสุภาพ ถ้อยทีถ้อยอาศัย แสดงน้ำใจ แม้ไม่รู้จักกันแต่ที่บ้านเย็นวันนั้น ฉันทำอาหารอยู่ในครัว ลูกสาวตัวน้อยแอบมายืนข้างหลัง ไม่ทันระวัง ฉันหันกลับมาชน เธอล้มลง"อย่ามายืนเกะกะ" ฉันดุใส่ลูกสาวเดินจากไป หัวใจเธอปวดร้าว และคืนนั้นฉันได้ยินเสียงกระซิบจากเบื้องลึกของหัวใจ"กับคนแปลกหน้าเจ้าสุภาพได้ กับลูกรักชิดใกล้ ทำไมทำได้ลงคอล่ะ"เรานึกกลับไป เรามองดูที่พื้นครัว ดอกไม้หลากสีที่ลูกเราอุตส่าห์เก็บมาหวังให้เราแปลกใจตกเกลือนอยู่ทั่วไป น้ำตาเธอไหล "เหตุใดฉันไม่แลเห็น" ฉันเพิ่งรู้ตัว เลยค่อย ๆ ย่องเข้าไปนั่นคุกเข่าข้างเตียงลูก"ตื่นเถิดคนดี ดอกไม้นี่ลูกเก็บมาให้แม่หรือ"ลูกตอบ "ใช่ค่ะ หนูเห็นดอกไม้บาน สวยงามเหมือนคุณแม่ รู้ว่าคุณแม่ต้องชอบ โดยเฉพาะดอกสีน้ำเงิน"ฉันตื้นตันใจนัก "ลูกรัก แม่ขอโทษจริง ๆ ที่เอ็ดหนู""แม่จ๋า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูรักแม่""แม่ก็รักลูก แม่ชอบดอกไม้ของหนูมาก โดยเฉพาะสีน้ำเงินจ๊ะ"
หากเราตายจากไปในวันพรุ่งนี้ อีกไม่กี่วันนายจ้างก็หาคนใหม่มาทำแทนได้แต่ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังอาจโศกเศร้าไปชั่วชีวิต ลองคิดดูว่าคุ้มไหมหากเราจะทุ่มเทตัวเองให้กับงานมากกว่าครอบครัว
รู้ไหมคำว่า FAMILY ย่อมาจากFAMILY = Father And Mother I Love You
ให้เวลากับพ่อ-แม่ของคุณมากขึ้นยามท่านแก่ตัวลง รู้จักแบ่งเวลาให้กับงานและคนที่บ้านให้สมดุลกันหากมีใครมาบอกให้จัดความสำคัญเสียใหม่ จงย้อนถามกลับไปว่าครอบครัวสำคัญน้อยกว่าหรือไร?




ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:29
คริสต์มาส

อย่างน้อยก็สองเดือนก่อนวันคริสต์มาส ตอนที่ อัลมี โรส วัย 9 ขวบ บอกคุณพ่อของแกและฉันว่าแกอยากได้จักรยานใหม่ ขณะที่วันคริสต์มาสใกล้เข้ามา ความอยากได้รถจักรยานของแกดูเหมือนจะจางลง หรือไม่เราก็คิดไปเอง เราจึงซื้อตุ๊กตาเบบี้ ซิตเตอร์สคลับ ที่กำลังเป็นที่นิยมล่าสุด กับบ้านตุ๊กตาเตรียมไว้ให้แก แล้วเราก็ต้องแปลกใจมากที่ วันที่ 23 ธันวาคม แกพูดว่าแก "อยากได้รถจักรยานมากกว่าอะไรทั้งหมด"
มันสายเกินไป ไหนจะเรื่องจุกจิกทั้งหลาย ในการเตรียมอาหารวันคริสต์มาส ไหนจะต้องซื้อของขวัญนาทีสุดท้าย มันสายเกินกว่าจะหาเวลาไปเลือก "จักรยานที่เหมาะสม" สำหรับลูกสาวน้อย ๆ ของเรา ดังนั้นเวลาสามทุ่มของคืนก่อนวันคริสต์มาส เราจึงต้องมาปรึกษากัน ตอนนั้นอัลมี โรส และ ดีแลน น้องชายวัย 6 ขวบของแกนอนสบายอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว
ขณะนี้เราคิดเพียงเรื่องจักรยาน ความรู้สึกผิด และการเป็นพ่อแม่ที่ทำให้ลูกผิดหวัง "ถ้าผมปั้นจักรยานเล็ก ๆ ด้วยดินน้ำมัน และเขียนโน้ตติดไว้ว่า แกสามารถเอาดินน้ำมันจำลองมาแลกเป็นจักรยานจริง ๆ ได้ล่ะ" พ่อของแกถาม เหตุผลก็คือของชิ้นนี้ราคาแพง และแกก็โตมากแล้ว มันคงจะดีกว่าถ้าให้แกเป็นคนเลือกเอง ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาสี่ชั่วโมงต่อมา ปั้นดินน้ำมันเป็นจักรยานจำลองด้วยความยากลำบาก
เช้าวันคริสต์มาส เราตื่นเต้นมากที่จะให้อัลมี โรส เปิดห่อรูปหัวใจเล็ก ๆ ที่มีจักรยานดินน้ำมันสีขาวแดงและกระดาษโน้ตอยู่ข้างใน ในที่สุดแกก็เปิดห่อออกและอ่านโน้ตดัง ๆ "นี่แปลว่าหนูต้องแลกจักรยานคันนี้ที่คุณพ่อทำให้หนูกับจักรยานจริงหรือคะ" ด้วยความยินดี ฉันตอบว่า "ใช่จ๊ะ" อัลมี โรส น้ำตาคลอเมื่อแกตอบว่า "หนูคงแลกจักรยานแสนสวยที่พ่อทำให้หนูคันนี้ไม่ได้หรอกค่ะ หนูอยากเก็บมันไว้มากกว่าจะอยากได้คันจริง" ในตอนนั้นเราแทบจะพลิกแผ่นดินเพื่อซื้อจักรยานทุกคันบนดาวดวงนี้ให้แก
เสียสละ

ในห้องนอนคืนวันนึง พ่อสอนลูกสาววัยห้าขอบของเขาถึงการให้ เมื่อลูกสาวเขาถามความหมายของคำว่าเสียสละ เขาอธิบายแก่เธอว่า เราจะให้ของขวัญที่ดีที่สุดที่คนหนึ่งจะมอบให้กับอีกคนหนึ่งได้คือ สมบัติที่รักมากบางชิ้น ชิ้นที่คนคนนั้นเห็นค่ามากมาก
เวลาผ่านไปสองวัน เมื่อถึงวันเกิดของพ่อ เขาหยิบเสื้อโค้ทมาสวมเพื่อจะไปทำงาน ที่กระเป๋าเสื้อมีเข็มกลัด กลัดกระดาษชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งอยู่ เมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาอ่าน มีลายมือเขียนบรรจงด้วยดินสอสีเทียนสีแดง เขายิ้มเล็กเล็ก "พ่อคือคนที่หนูร้ากที่สุด ของที่หนูให้พ่อเปนของที่หนูชอบมากที่สุด หนูใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อค่ะ" เขาพบอมยิ้มสตอเบอรี่สีแดงสด ที่เขาซื้อให้กับลูกสาวเมื่อสัปดาห์ก่อนอยู่ในกระเป๋า ไม่มีรอยดูดแม้แต่ครั้งเดียว



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:29
คนพิเศษ

ความพิเศษ ชีวิตคนเรามีอะไรมากมายที่ผ่านเข้ามาให้ซึมซับรับรู้ในชีวิตคนเรามีผู้คนมากมายที่ผ่านเข้ามาให้รู้จักมักคุ้นแต่ในผู้คนมากมายเหล่านั้น อย่างน้อยคงต้องมีใครบางคนที่ทำให้เรารู้สึก "ไม่ธรรมดา"ที่จะนึกถึง เรียกว่าเป็น "ความพิเศษ"ที่เราจะยกเว้นเอาไว้จากความปกติทั่วไปของจิตใจก็ในเมื่อคำว่า "พิเศษ" หมายถึงความจำเพาะ ความแปลกแยก ความดีงาม ความอบอุ่นในหัวใจ
กระนั้นทำไมเราไม่ปฏิบัติต่อเขาให้ตรงกับที่ใจคิดให้ "ความรู้สึกดีดี" จากจิตใจที่ดีดี ให้ "ความอาทรถึง"จากจิตใจที่นึกถึง ให้ "ความห่วง" จากจิตใจที่เป็นห่วงให้ไปเถอะ ให้ไปอย่างดีดี แต่มี "สติ" ให้ไปเถอะให้ไปอย่างอบอุ่น แต่ไม่ "คุกกรุ่น" ให้ไปเลย ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้แต่เมื่อให้ไปแล้วต้อง "ไม่ร้อนรุ่มกลัดกลุ้ม"
และหากเมื่อใดจิตใจอาจระส่ำระสาย สะดุดกับอะไรขึ้นมาบ้าง ก็จงหยุดพักตรึกตรองอย่าปล่อยให้พายุอารมณ์โถมพัด "สิ่งดีดี" จนกระจัดกระจายเพราะ "การให้ความหมาย" ไม่ใช่ "การตั้งความหวัง"คนสองคนให้ความหมายซึ่งกันและกันแต่คนสองคน "จะไม่ตั้งความหวังในกันและกัน"เพราะการตั้งความหวังมักนำพาซึ่ง "การเรียกร้อง"
"ความอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ" โดยที่ไม่รู้ตัว มันร้อนนัก หนาวนัก และไม่เป็นสุขเราต้องไม่ลืมปรับอุณหภูมิจิตใจเอาไว้ที่องศาอุ่นๆหากเริ่มรู้สึกตัวว่า ความร้อนเริ่มทวีขึ้น เราต้องค่อยๆ เดินออกมาสูดอากาศเย็นหากตรงกันข้ามเราก็ต้องหลบเร้นจากความหนาวมาหาไอแดดเช่นกันและอย่าลืมว่า "ความพิเศษ" ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นพิเศษมากหรือพิเศษสุด หรือพิเศษอย่างยิ่งในคนคนเดียวทั้งเราและเขาอาจจะมีคนพิเศษในวิถีชีวิตได้หลายลักษณะ พิเศษในเรื่องนั้น พิเศษในเรื่องนี้
ในเมื่อหัวใจเป็นของเรา เราก็ย่อมเลือกให้ความพิเศษกับใครก็ได้ที่เราจะไม่ต้องแลกกับความทุกข์อย่างพิเศษกลับมาจงให้ "ความพิเศษ" เป็นชีวิตชีวา เป็นแววตาที่แจ่มใสเป็นความห่วงใยที่เมื่อนึกถึงทีไรก็ยิ้มได้ไม่วิ่งหนี แต่ไม่วิ่งตาม ไม่หักห้าม แต่ไม่กระโจนใส่ ไม่เป็นน้ำตาลที่หวานอ่อนไหวแต่เป็นความอบอุ่นในหัวใจและเอื้ออาทรจงเป็นความแจ่มใสในอารมณ์ของตัวเอง เป็นความชุ่มชื่น สดใส เช่นสายน้ำเป็นสีสันงดงามเช่นมวลผกา เป็นสีเขียวของใบไม้ ที่เย็นที่ตาและที่ใจและที่ตรงนี้ จะอีกนานเท่าใด ไม่ว่า "คนพิเศษ"คนนั้นจะอยู่ใกล้หรือต้องจากกันไกล ความพิเศษ" นั้นก็จะคงอยู่อย่างมีคุณค่า ณ ที่เดิม ที่ซึ่งหัวใจข้างซ้ายอยู่ตรงกัน


ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:30
บอล 5 ลูก

หากชีวิตเราเปรียบเสมือนเกมโยนบอล 5 ลูกสลับกันไปในอากาศคล้ายนักเล่นกลบอลทั้ง 5 เปรียบได้กับ งาน, ครอบครัว, สุขภาพ, เพื่อนและจิตใจเราคงต้องบอกว่า งาน นั้นคงต้องเป็นลูกบอลยาง
ซึ่งแม้ว่าเราจะพลาดพลั้งทำตกกี่ครั้งมันก็สามารถที่จะกระเด้งกระดอนกลับมาให้เรานำกลับมาเล่นต่อได้แต่บอลอีก 4 ลูกที่เหลือ คือ ครอบครัว สุขภาพ เพื่อนและจิตใจนั้นเป็นเช่นลูกแก้ว การพลาดพลั้งทำลูกใดลูกหนึ่งตกไปนั้นแม้เป็นเพียงแค่รอยถลอก รอยตำหนิเล็กๆ รอยหัก แหว่งหรือแตกละเอียดก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถแก้ไขให้มันกลับมาเป็นลูกแก้วที่แววใสดังเดิม ไ ด้
ดังนั้นเราจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า.....ชีวิตเราคือ.....การต่อสู้ประคับประคองบอลทั้ง 5 ลูกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงให้สมดุลย์มากที่สุด.....ทำอย่างไรน่ะหรือ ??อย่างแรก.....** จงอย่าประเมินค่าของตัวเองให้ต่ำต้อย โดยการเปรียบเทียบกับคนอื่นพึงระลึกเสมอว่าเราทุกคนล้วนแตกต่าง กันและทุกคนก็มีความพิเศษเป็นของตนเอง โดยเฉพาะอย่าปล่อยให้ชีวิตผ่านไปอย่างไร้ค่า โดยการปล่อยเวลาให้ผ่านไป** จงคิดว่าทุกๆ วันที่ผ่านพ้นไปคือส่วนหนึ่งของชีวิตเราอย่าเพิ่งละความพยายามเมื่อเจอปัญหา** จงจำไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้นเมื่อคุณทิ้งความพยายามของคุณเองอย่ากลัวที่จะยอมรับว่าเราไม่ใช่คนที่สมบูรณ์ พร้อมในทุกอย่างเพราะการหลงตัวเองจะเปรียบเสมือนผมเส้นบางๆที่บังตาไม่ให้คุณมองเห็นผู้คนรอบข้าง** จงอย่ากลัวการเสี่ยงเพราะมันคือโอกาสที่คุณจะได้เรียนรู้ถึงความกล้าหาญอย่าทิ้งความรักไปจากชีวิต โดยการบอกว่ามันไม่มีทางที่จะหาพบหนทางที่ง่ายที่สุดที่จะได้รับความรักคือการรู้จักให้และการรักษาความรักที่ดีที่สุดคือการให้อิสระกับมัน จำไว้ว่ายิ่งคุณพยายามไขว่คว้ามันไว้กับตัวคุณมากเท่าไรมันก็ยิ่งจะจากไปจากคุณได้เร็วเท่านั้นอย่าพิจารณาชีวิตของคุณเร็วเกินไปจนคุณลืมที่จะนึกว่าคุณมาจากที่ไหนและคุณกำลังจะไปที่ใด
พึงตระหนักว่าความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เราต้องการคือความประทับใจจงอย่ากลัวการรับรู้ หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆความรู้นั้นไร้น้ำหนักแต่เป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่มันจะติดตัวคุณไปและจะไม่มีใครที่สามารถขโมยมันไปจากคุณได้จงใช้เวลาและคารมอย่างระมัดระวัง
เพราะทุกสิ่งที่ผ่านไปจะไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้เหมือนสายน้ำที่ไม่มีวันจะไหลย้อนกลับ** จงรู้ว่า ชีวิตไม่ใช่การแข่งขันแต่ชีวิตคือการเดินทางคือการสัมผัสรับรู้ในแต่ละก้าวที่เดินไป** และสุดท้าย จงจำไว้ว่า ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง ...



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm

โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:31
การสูญเสีย

"ผมขอโทษครับ คุณเซ็นเตอร์ แต่เราไม่สามารถออกใบขับขี่ใหม่ให้คุณได้ถ้าไม่ได้ตรวจดูเลขประกันสังคมของคุณก่อน" เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ฉันต้องอดทนเพื่อพยายามอธิบายว่า ฉันไม่มีบัตรประกันสังคมแล้ว มันถูกขโมยไปที่สถานีรถไฟพร้อมใบขับขี่ กระเป๋าเงิน บัตรเครดิต บัตรธนาคาร เงินสดกับรูปถ่ายลูกของฉัน ยังไม่เลวร้ายพออีกหรือที่ฉันต้องมาที่นี่วันนี้ ฝ่าการจราจรมาต่อแถวยาวน่าเบื่อที่ทุกคนนึกอยากไปอยู่ที่อื่นแทนที่นี่กันทั้งนั้น ฉันดึงเบอร์บัตรคิว และรอเรียกตัวอยู่เพียงเพื่อจะได้รับฟังว่า "วันนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ดาวน์ครับ แต่คุณจะไปรับใบขับขี่ที่สำนักงานอีกแห่งของรัฐได้ ไปทางตะวันออกสักยี่สิบกิโลเมตร ออกจากทางหลวง 290 ก็ถึงครับ" ทั้งหมดเพื่อความผิดที่ฉันไม่ได้ก่อสักนิด ฉันยังคงประสาทเสียเมื่อนึกถึงว่ามีคนแปลกหน้าคนหนึ่งเดินฝ่าฝูงชนที่รีบร้อนในช่วงหลังคริสต์มาสที่สถานียูเนียน แล้วกล้าหาญชาญชัยพอที่จะเปิดกระเป๋าถือของฉันและขโมยกระเป๋าเงินไป ความไม่สะดวกทั้งหลายทั้งปวงไม่ได้คลี่คลายลงเอยวันนี้เมื่อฉันมาที่นี่ เพียงเพื่อจะพบว่าฉันยังต้องขับรถต่อไปอีก ทีแรกขับเข้าเมืองไปสามสิบนาทีเพื่อขอรับบัตรประกันสังคม แล้วขับอีกครึ่งชั่วโมงไปยังสำนักงานแห่งที่สองด้วยความหวังว่าที่นั่นคอมพิวเตอร์จะทำงาน ยังกับว่าฉันไม่มีอะไรดีกว่านี้จะทำแล้วอย่างนั้นแหละ
ฉันพึมพำกับตัวเองขณะที่ฉันดึงเบอร์บัตรคิวและต่อแถวที่สาม ครั้งนี้ที่สำนักงานประกันสังคม ฉันรู้สึกทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คนมาสำหรับเรื่องดี ๆ เด็กเล็กร้องให้โหยหวน ผู้ใหญ่บ่นพึมพำ การถูกบังคับให้เหลือแค่ตัวเลขบนบัตรคิวดูจะดูดอะไรก็ตามที่เหมือนความตั้งใจดีกับความเข้าใจออกจากตัวพวกเราที่กำลังรออยู่ "ผมไม่เคยเห็นที่ไหนหยาบกระด้างเท่าที่นี่มาก่อนเลยในชีวิต" ชายชราใบหน้าคร้ามพร่ำรำพันขณะที่กระแทกไม้เท้าลงบนพื้น "ต้องดึงเบอร์มาก่อนถึงจะยอมตอบคำถามนี่" เขาบ่นว่าอย่างไม่เจาะจงให้ใครฟังเป็นพิเศษ แต่พวกเราพยักหน้าเห็นด้วยในความเงียบ ประสิทธิภาพอันเย็นชาการขาดการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนไม่ค่อยสนใจฉันเท่าไหร่เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อฉันรู้ว่าฉันยังจะต้องเจออีกมากหลังจากที่ฉันออกจากที่นี่ และทั้งหมดนี้เพราะมีคนกล้าหาญชาญชัยมาขโมยกระเป๋าเงินฉันไป ฉันหวนกลับไปนึกถึงที่มาของความระทมของฉัน และรู้สึกกรามขบเข้าหากันแน่นอีกครั้ง ฉันเคยผ่านฉากนี้มาแล้ว เป็นนาทีที่ไม่ทันตั้งตัว สนใจหลายเรื่องพร้อมกัน มีคนวิ่งสับสนไปมารอบตัว และบ่อยครั้งแค่ไหนที่ฉันเตือนลูกสาววัยรุ่นว่าให้ถือกระเป๋าสะพายคล้องไว้ด้านหน้าเวลาที่อยู่ในฝูงชน ฉันไม่ให้อภัยตัวเองหรือขโมยคนนี้ง่าย ๆ แน่ ๆ ฉันยังคงหงุดหงิดและงุ่นง่าน ไม่ใช่เพราะแค่เจ้าขโมยคนนี้ แต่เพราะความไม่สะดวกอันยืดเยื้อของวัน
เมื่อเสียงเรียกเบอร์ของฉันดังขึ้น ฉันเดินไปที่เคาน์เตอร์และฉันรู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งในเสื้อคลุมสีชมพูก้าวขึ้นมายืนข้างฉัน ฉันยังรู้สึกด้วยว่าไม่ใช่คิวของเธอ ฉันนั่งรอมาแล้ว เธอก็ต้องทำเหมือนกันด้วยสิ ฉันคิดในใจ "ขอโทษนะคะคุณ คุณต้องไปดึงเบอร์และรอคิวค่ะ" เสมียนพูดแทน ความขุ่นใจของฉัน " แต่ฉันต้องการแค่……." เด็กเล็ก ๆ สองคนดึงเสื้อคลุมของเธอและทารกในอ้อมแขนของเธอแผดเสียงร้อง เสมียนทวนขั้นตอนซ้ำ ด้วยท่าทีดุเดือดและรำคาญมากขึ้น "ได้โปรดเถอะค่ะ คุณ" ผู้เป็นมารดายังสาวพูดใหม่ ครั้งนี้เธอพูดพร้อมเสียงสะอื้น "ดิฉันต้องการถามแค่…. ที่นี่ใช่ที่ที่ดิฉันจะขอรับใบมรณบัตรของสามีดิฉันไหมคะ" เราหยุดนิ่งกลางคัน ทั้งเสมียนทั้งฉัน เราต่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ฉันอยากจะโอบกอดผู้เป็นแม่คนนี้ไว้ เช็ดน้ำตาให้เธอ ช่วยอุ้มทารกที่กำลังร้องให้ปลอบลูกเล็ก ๆ ที่กระสับกระส่ายของเธอ ฉันถอยห่างจากเคาน์เตอร์และพึมพำพูดอะไรออกมาว่าเสียใจและ "เชิญค่ะ" เสมียนพูดกับหญิงสาวผู้โศกเศร้าด้วยน้ำเสียงกระด้าง ก่อนจะส่งแบบฟอร์มที่จำเป็นให้ฉัน ฉันกลับมานั่งลงเขียน แต่ฉันปิดปากเงียบและเจียมเนื้อเจียมตัว ฉันเสียกระเป๋าเงินไปหนึ่งใบ แต่เธอเสียสามี ฉันครุ่นคิดขณะที่กรอกฟอร์มก่อนหน้านาทีนี้การสูญเสียของฉันเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ ฉันขับรถไปยังจุดหมายต่อไปด้วยหัวใจที่นึกขอบคุณ ในความคิดของฉัน ฉันยังเห็นภาพผู้หญิงในเสื้อคลุมสีชมพูอีก และได้ยินเสียงสะอื้นของเธอและแม้แต่ขณะที่ขับรถ ฉันก็สวดให้การสูญเสียของเธอและเริ่มต้นตั้งใจที่จะลืมเรื่องการสูญเสียของตัวเอง
บางครั้งเราเองก็คิดว่าการสูญเสียของเรานี่ช่างยิ่งใหญ่เราแทบจะทนไม่ได้ แต่ถ้าเรามองไปรอบๆข้างเราเราอาจจะเห็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่กว่าของเราน่ะครับ



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:31
ข้อคิดในการใช้ชีวิต

1. อย่าทำลายความหวังของใครเพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตามเราไม่ต้องไปคุยทับปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่ว ๆเท่านั้น4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง5. จะคิดการใดจงคิดการให้ใหญ่ๆเข้าไว้แต่เติมความสุขสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย6. หัดทำสิ่งดี ๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น8. เวลาเล่นเกมกับเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ "สอง"แต่อย่าให้ถึง"สาม"11. อย่าวิจารณ์นายจ้างถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุขก็ลาออกซะ12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไร ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก13. ใช้เวลาน้อย ๆ ในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูกแต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน18. เป็นคนถ่อมตนคนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่ายถ้ามีใครมาถามเราว่า "เป็นยังไงบ้างตอนนี้" ก็บอกเขาไปเลยว่า "สบายมาก"22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่า ๆ กับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ , ไมเคิลแอนเจลโล , แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดาวินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั่นเอง23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยวเมื่อเหลียวกลับไปดูอดีตเราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำมากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว24. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดี ๆ ใหม่ ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้ "ยืนยาว"30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ คุณทำอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า?



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:34
มีดโกนหนวด

กาลครั้งหนึ่ง มีมีดโกนหนวดสวยอันหนึ่งทำงานอยู่ในร้านตัดผมวันหนึ่งไม่มีลูกค้าเลย มันจึงออกจากด้ามไปผึ่งแดดเมื่อมันเห็นพระอาทิตย์ส่องแสงสะท้อนใบมีดราวกับกระจกมันมีความรู้สึกภูมิใจในประกายของมันมากดังนั้น เมื่อมันหวนคิดถึงอดีตที่เป็นเพียงมีดโกนหนวด จึงรำพันว่า"วันหนึ่ง ข้าจะกลับไปในร้านที่ข้าเพิ่งจะออกมาหยก ๆ ไหมนะ" ไม่แน่ ๆ!พระผู้เป็นเจ้าคงไม่โปรดแน่เลยที่ความงามเจิดจ้าจะกลับไปโกนหนวดที่ฟอกสบู่แล้วของผู้คนหยาบคายน่าเกลียดเหล่านั้น !ข้าไม่อยากทำงานเป็นเครื่องจักรกลเช่นนั้นอีกต่อไปรูปร่างที่งดงามของข้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานเหล่านี้หรือ ไม่ใช่แน่!ด้วยเหตุนี้ "ข้าจะไปซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับเพื่อลิ้มรสชาติชีวิตพักผ่อนแสนสงบ"พูดจบ มีดโกนหนวดก็แอบซ่อนตัวอย่างดีเพื่อหลบสายตาคนอื่น ๆ
หลายเดือนผ่านไป วันหนึ่ง มันอยากออกไปสูดอากาศจึงออกจากที่ซ่อนแต่กว่าจะออกได้ก็ลำบากลำบนเต็มทีเมื่อมันมองดูตัวเอง มันก็งุนงงเป็นที่สุด ช่างน่าแปลกใจอะไรอย่างนี้มันผิดหูผิดตาเสียจนเหมือนกันเลื่อยขึ้นสนิมและใบมีดของมันก็ไม่สะท้อนความงดงามของพระอาทิตย์อีกต่อไปมันสำนึกผิดอย่างขมขื่น แต่ไร้ประโยชน์ที่จะเสียใจกับความงามที่หายไปมันร้องไห้กับความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้แล้วนี้ พร้อมกับพูดว่า"อนิจจา! คมมีดที่เสียไปน่าจะได้ใช้งานที่ร้านตัดผมมากกว่า!ความบางเฉียบของคมมีดข้ากลายเป็นอะไรไปใบมีดที่เจิดจ้าของข้าอยู่ที่ไหนตอนี้ข้าถูกสนิมกินจนกร่อน ดูน่าเกลียดน่าชังความทุกข์ของข้าไม่มีทางแก้ได้"
คนขี้เกียจก็เหมือนกับมีดโกนนี้ ไม่ทำงานเอาแต่เพ้อฝันจึงสูญเสียรูปร่างและความคมไปสนิมนั้นคือความเขลาและความเกียจคร้าน



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:34
เพื่อนกับนาฬิกา

ถามอะไรคุณอย่างนึงได้ไหมคะเพื่อนตามความคิดคุณคืออะไร?เค้ามีความสำคัญกับคุณมากแค่ไหน“เทียบกับคนรักของคุณได้บ้าง ฤ เปล่า”ฉันมีบ้างอย่างอยากจะเล่าให้ฟังแค่นั้นเอง
มีนาฬิกาปลุกอยู่เรือน 1มันทำหน้าที่ของมันทุกวันทั้งเข็มยาวเข็มสั้น….ยังคงเดินทางรอบหน้าปัดอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตอนเช้าๆๆๆๆๆๆๆๆมันจะส่งเสียงกวนประสาทเสียงที่ทำให้เราต้องตื่นจากความฝันแสนหวานเราตอบแทนมันโดยการเอื้อมมือไป ควานหา”ตบหรือกดมันอย่างแรง”ด้วยความรำคาญ เพื่อให้มันเงียบทั้งๆที่มันก็ช่วยให้เราไม่ไปผิดนัดสำคัญๆอยู่เสมอและถ้ามันเผลอปลุกเราในวันพักผ่อนบางทีเราอาจจะขวางมันทิ้งเสียด้วยซ้ำทั้งๆที่เราก็เป็นคนตั้งเวลาเอาไว้เองบ้างครั้งเราก็มั่วทำอย่างอื่นที่เราเห็นว่าสำคัญมากเสียยิ่งกว่า“นาฬิกา” ที่มันตั้งอยู่ที่เดิมของมันทุกวันเราไม่ใส่ใจมันเท่าไรหรอก จะสนใจมันแค่ตอนเรา“อยาก รู้ เวลา ก็ เท่านั้น เอง”จนกระทั่งวันนึงนาฬิกาเดิมๆเรือนนั่นมันเงียบหายไปคุณไม่รู้หรอกว่ามันเงียบไปเมื่อไรคุณจำไม่ได้หรอกว่าตอนมันเดินครั้งสุดท้าย คือ ตอนไหนคุณได้แต่โทษมันในเช้าวันนั้นว่า“ไอ้นาฬิกา เฮงซวย..ทำไมถึงไม่ปลุก”ทั้งที่มันเงียบไปเพราะคุณ………คุณว่าไหม ว่า“เพื่อนมันเหมือน “นาฬิกาปลุกเนอะ…”ทำไมนะเหรอ……….คุณคิดดูสิ---ความรักระหว่างเพื่อนก็เหมือนการเดินของเข็มนาฬิกานะเดินอยู่ที่เดิมๆๆๆๆๆ แต่ก็เดินไปได้เรื่อยๆๆ ไม่เหนื่อยไม่เบื่อบางครั้งเพื่อนก็เตือนเราบอกเรา แนะนำเราไนบางเรื่องที่เราควรจะฟังแต่เรากลับรำคาญมันพูดทำร้ายน้ำใจเค้า หรือทำให้เค้าเสียใจเพราะคิดว่าคำพูดเตือนของเค้าทำให้คุณรำคาญถึงแม้บางทีคุณก็ทำไปเพราะไม่ได้ตั้งใจแต่ลองสังเกตสิสิ่งที่เพื่อนๆคุณเตือน(ด้วยความหวังดีนั้น)บางทีกลับช่วยคุณได้หลายๆเรื่องหลายครั้งหลายคราวที่คุณมัวแต่ทำเรื่องอื่นให้ความสำคัญกับคนอื่นๆๆและมองข้ามความสำคัญเพื่อนเพราะคุณคิดอยู่เสมอว่า……..ความรักของเพื่อน มันเป็นเรื่องปกติ ธรรมดาเช่นเดียวกับ นาฬิกา…ที่มันจะเดินไปอย่างนั้น…เหมือนทุกๆวันแต่คุณคงลืมไปว่าสักวันถ่านที่คุณใส่ไว้มันก็ต้องหมดนาฬิกาไม่ได้ละเลยหน้าที่ของมันหากเพียงแต่เมื่อเวลาผ่านไปมันจะเอาแรงที่ไหนเดินหากไม่มี แบตเตอร์รี่เช่นเดียวกันกับเพื่อนของคุณแม้เค้าจะรักและปรารถนาดีกับคุณมากแค่ไหนก็ตามหากคุณเองไม่เคยใส่ใจหลงลืมไปว่ายังมีเค้าอยู่ก็เปรียบเหมือนดังนาฬิกาที่มันไม่ได้ละทิ้งหน้าที่ของมันหรอกหากแต่เพียงคุณเองที่ไม่เคยจะเอาใจใส่นาฬิกาเก่าๆเดิมๆเรือนนั้นเลยถึงเวลาหรือยังที่คุณจะหันกลับมามองมองดูนาฬิกาเรือนเดิมไม่สายไปใช่ไหมที่คุณจะใส่ถ่านให้มันอีกครั้งและไขลานให้มันเดินดังเดิมเพื่อให้นาฬิกาเรือนเดิมกลับมาทำหน้าที่หน้าเบื่อเดิมๆอักสักครั้งรักเพื่อนๆทุกคนนนนนนนนนนน



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:35
รักที่สมองหรือหัวใจ

....ถ้าใครตอบคำถามได้ว่า รักคนคนหนึ่งเพราะอะไร นั่นเป็นรักจากสมอง สมองมักมีเหตุผล มีคำตอบ ในการที่ต้องรัก และอาจไม่ใช่รักแท้ เพราะรักแท้ เป็นรักที่ไม่มีคำตอบ รักจากความรู้สึก รักเพราะรู้สึกรัก สังเกตง่าย ถ้ารักจากสมอง ชีวิตรักเหมือนอยู่ในโลกความจริง มักไม่อ่อนหวาน ทำอะไรก็มีแผนการ มีเหตุผล มีคำอธิบายร้อยแปด.......ต่างจากรักที่มาจากความรู้สึก ชีวิตเหมือนอยู่ในความฝัน อ่อนหวาน อบอุ่น ใช้หัวใจในการตัดสิน กลายเป็นคนไม่มีสมอง...ถ้าใครบอกว่ารักคุณเพราะอะไร พึงจำไว้ว่า รักแท้จะไม่มีเหตุผล จะไม่มีคำว่าอะไร มาทำให้รัก เพราะถ้าบอกว่ารัก เพราะคุณสวย เมื่อความสวยหมด อาจเลิกรักได้ หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคนดี วันหนึ่งก็อ้างได้ว่า ตอนนั้นเห็นคุณเป็นคนดีได้อย่างไร... หรือถ้ารักเพราะคุณเป็นคุณ ก็คงเบื่อที่จะหาคำอื่นมาพูด คำนี้ใช้ง่ายที่สุด........จงฟังคนที่บอกว่า รักคุณ และไม่เข้าใจว่าทำไมถึงรัก นั่นเเสดงว่าใช้หัวใจรัก ไม่ว่าวันข้างหน้า คุณจะเป็นอย่างไร หัวใจก็จะยังไม่มีเหตุผลในการรักอยู่ดี...จะเลือกคนที่ใช้หัวใจรัก หรือคนที่ใช้สมองรัก.....ขึ้นอยู่กับคุณ



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:35
เสน่ห์ของความต่าง

เรื่องของคน 2 คน …..ที่แตกต่างกันเกือบทุกด้านยกเว้น.....ความรู้สึกที่มีให้กันเขาชอบดำ.......เธอชอบขาวเขาชอบเพลงใต้ดิน........เธอฟังเพลงสบายๆเขาตัวสูง........เธอไม่สูงเขาเรียนไม่เก่ง........เธอท็อปเกือบทุกวิชาเขาเก่งกีฬา.........เธอไม่เคยวิ่งทันใครเค้าเขาชอบเสียงเครื่องยนต์........เธอเกลียดความเร็วเขาชอบฝน......เธอกลัวเสียงฟ้าร้องเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่เรื่องมาก..........เธอร่าเริงและจำเป็นต้องมีคนอยู่รอบด้านเขาเก็บความรู้สึกและระบายลงสมุดบันทึก........เธออ่อนไหว ขี้เหงา และช่างรู้สึกเขาน้ำตาซึมเพราะมองไม่เห็นค่าของตัวเอง........เธอร้องไห้ให้ความเดียวดายที่เกาะกุมหัวใจเขาชอบเก็บตัวอยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ.....เธอชอบมิตรภาพที่ใครต่อใครมอบให้แต่กระนั้น ……..ผู้คนมากมายที่รายล้อมก็ไม่ได้ทำให้เธอหายว้าเหว่ทุกครั้งที่เขาเหงา……..เธอจะนั่งอยู่ข้างๆโดยไม่เรียกร้องความสนใจทุกครั้งที่เธอร้องไห้ ……….เขาไม่มีคำปลอบโยน เพียงแค่กุมมือเธอไว้ทุกครั้งที่เขามองเห็นเงาตัวเองในกระจก…..เขาจะเห็นเพียงผู้ชาย...ที่ไร้ความสามารถและไม่มีความสำคัญกับใครแต่เธอกลับมองเห็นผู้ชายคนนึง.....ที่สามารถปกป้องเธอได้และมีค่ามากมายสำหรับเธอทุกครั้งที่ฝนตก …….เธอจะนั่งหลบอยู่ในมุมหนึ่งของห้องฝนพัดพาความเหงามาให้ เสียงฟ้าร้องเรียกความกลัวมาใกล้แต่ทุกครั้งที่ฝนตก เขาจะโทรศัพท์หาเธอและจะอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งฝนหยุดตก......แม้จะไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำเขาและเธอ.....อยู่ด้วยกันในความเงียบ.....แต่ไม่เคยรู้สึกอึดอัดเขาและเธอ.....อยู่ด้วยกันในความเงียบ.....แต่เหมือนกับได้พูดคุยกันตลอดเ วลาเขาและเธอ.....เหงาด้วยกัน.....แต่กลับรู้สึกอุ่นในใจเขาและเธอ.....เหงาด้วยกัน.....แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองมีค่าขึ้นนี่คือเสน่ห์....ของความแตกต่าง



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:35
หน้าที่ของนาฬิกา

ณ ห้องนั่งเล่นของบ้านหรูสไตล์ตะวันตกหลังหนึ่งมีนาฬิกาเรือนงามเรือนหนึ่งประดับเด่นอยู่บนผนังของห้องนั่งเล่นนั้นเข็มนาฬิกาทั้งสามบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามนี้ต่างภูมิใจในหน้าที่ของพวกตนที่ได้บอกเวลาอย่างเที่ยงตรงแก่เจ้าของบ้านและผู้มาเยือนมาโดยตลอด
วันหนึ่งเจ้าเข็มวินาทีสีแดงสดรูปร่างเพรียวบางรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับภาระหน้าที่ของตัวเองที่ต้องตรากตรำเดินอยู่บนหน้าปัดตลอดเวลาอย่างเหน็ดเหนื่อยในขณะที่ในวันหนึ่งๆเจ้าเข็มสั้นและเจ้าเข็มยาวไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเลยเจ้าเข็มวินาทีจึงรู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก จึงโวยวายออกไปว่า“ ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ พอทีเถอะข้าเหนื่อยเหลือเกินกับการทำหน้าที่ของข้าพวกเจ้าเอาเปรียบข้า ข้าไม่เคยได้พักอย่างพวกเจ้าบ้างเลยข้าไม่อยากเดินอีกต่อไปแล้ว พอกันที “เมื่อได้ฟังดังนั้น .......เจ้าเข็มสั้นจึงบอกกับเจ้าเข็มวินาทีไปด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า“ โอ๊ะ.........โอ!! โถๆๆๆเจ้าเข็มวินาทีเอ๋ยเจ้าหาว่าพวกข้าเอาเปรียบงั้นรึ?เจ้าจงมองดูรูปร่างของข้าสิ อ้วนอุ้ย อ้ า ยและยังตัวสั้นเตี้ยแถมข้ายังมีหัวที่โตมากอีกต่างหากข้าต้องแบกหัวหนักๆนี้ไว้ตลอดเวลาเลยกว่าข้าจะเดินได้แต่ก้าวนี่ช่างยากลำบากกว่าเจ้าเป็นไหนๆแล้วอย่างนี้เจ้าจะมาหาว่าข้าเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไรกัน”เจ้าเข็มยาวก็กล่าวเสริมว่า“ เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ยเจ้าคงไม่รู้หรอกนะว่าข้าแอบอิจฉาเจ้าที่เจ้ามีรูปร่างเพรียวบางสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วและมีสีแดงสดใสสะดุดตาเช่นเจ้านี้ ผิดกับข้านักที่ตัวดำและหนาเทอะทะ ““ ไม่จริง พวกเจ้าโกหก ไม่ต้องมาหลอกข้าซะให้ยากบอกว่าข้าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่มาเป็นข้าดูบ้างล่ะข้าจะได้พักผ่อนเสียที “เจ้าเข็มวินาทีกระแทกเสียงเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามจึงสลับหน้าที่กันโดยที่เจ้าเข็มสั้นทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มยาวขณะที่เจ้าเข็มยาวทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มวินาทีส่วนเจ้าเข็มวินาทีได้แต่นอนดูเพื่อนๆเดินตามหน้าที่ใหม่มันดีใจมากที่ไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเพราะมันทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มสั้นทันใดนั้นเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็เกิดความประหลาดใจมากที่เห็นนาฬิกาเรือนงามบนผนังเดินผิดปกติกึก...กึก..........กึก........เจ้าเข็มวินาทีสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของนาฬิกา“ โอ๊ย......... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ? “ เจ้าเข็มวินาทีถามขึ้น“ แย่แล้ว..... พวกเราไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วหรือนี่ทำไมเขาถึงยกนาฬิกาที่เราอยู่ลงจากผนังเสีย ? เราจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ “เจ้าเข็มสั้นพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ“ เมื่อพวกเราต่างไม่ได้ทำตามหน้าที่ของตนนาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่สามารถบอกเวลาได้อย่างแม่นยำเหมือนเดิมได้อีกแล้วเจ้าของบ้านเขาคงเห็นว่าเราคงหมดประโยชน์แล้วล่ะแต่ข้าว่ามันคงไม่สายเกินไปนะ ที่พวกเราจะทำให้นาฬิกาเรือนที่เราอยู่นี้มีคุณค่าขึ้นอีกครั้งโดยที่เราต้องทำตามหน้าที่ของแต่คนตามเดิม “เจ้าเข็มยาวบอก“ ข้าผิดไปแล้ว เพราะข้าคนเดียวทำให้พวกเราหมดคุณค่าไป “เจ้าเข็มวินาทีพูดด้วยความสำนึกผิดแล้วเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็กลับมาทำหน้าที่ของพวกตนตามเดิมเมื่อเจ้าของบ้านเห็นว่านาฬิกาเรือนงามของเขาสามารถบอกเวลาได้ตามปกติแล้วเขาจึงนำนาฬิกาเรือนนั้นไปแขวนที่ผนังห้องนั่งเล่นตามเดิมเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็เดินบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามตามหน้าที่ของพวกตนอย่างมีความสุข
จากเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์เป็นการสรรค์สร้างคุณค่าให้แก่ชีวิต.



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:37
หน้าที่ของนาฬิกา

ถ้าสามารถย่อประชากรโลกลงเหลือเพียง 100 คนโดยยังคงสัดส่วนต่าง ๆ ของประชากรไว้อย่างถูกต้องจะมีสภาพดังนี้
57 คน เป็นชาวเอเชีย21 คน เป็นชาวยุโรป14 คน อยู่ทางฝั่งตะวันตก ทั้งทางเหนือและใต้8 คน เป็นพวกอัฟริกัน
52 คน เป็นผู้หญิง48 คน เป็นผู้ชาย
70 คน เป็นพวกที่ไม่ใช่ผิวขาว30 คน เป็นพวกผิวขาว
70 คน ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์30 คน นับถือศาสนาคริสต์
89 คน เป็นพวกที่มีเพศชัดเจนและชอบเพศตรงข้าม11 คน เป็นพวกที่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพศอะไรและชอบเพศเดียวกัน
6 คน เป็นพวกที่ร่ำรวยมาก และมีทรัพย์สมบัติเท่ากับ 59% ของความมั่งคั่งทั้งโลกรวมกัน โดยทั้ง 6 คนนี้เป็นชาวอเมริกัน80 คน อาศัยอยู่ในบ้านที่มีสภาพต่ำกว่ามาตรฐาน70 คน อ่านหนังสือไม่ออก50 คน เป็นโรคขาดอาหาร1 คน กำลังจะตาย และ 1 คนกำลังจะเกิด1 คน มีโอกาสเรียนจนจบปริญญาตรี1 คน มีคอมพิวเตอร์ใช้
เมื่อมองโลกจากมุมข้างต้นนี้ เห็นได้ชัดว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญมากรวมไปถึงจะต้องมีการยอมรับ และการทำความเข้าใจในสภาพปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญอย่างเห็นได้ชัด
เรื่องต่าง ๆ อีกหลายเรื่องที่น่าคิดด้านล่าง .....ถ้าท่านตื่นขึ้นในตอนเช้าและมีสุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยถือว่าท่านโชคดีกว่าคนอีกเป็นล้านที่ไม่มีชีวิตรอดผ่านสัปดาห์นี้ไปได้
ถ้าท่านไม่เคยอยู่ในสภาพสงคราม ไม่เคยติดคุกไม่เคยถูกทรมาณ ไม่เคยอดอยาก ท่านดีกว่าอีก 500 ล้านคนในโลกนี้
ถ้าท่านอยู่ในสภาพที่ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับ ถูกทรมาณหรือถูกฆ่า ท่านโชคดีกว่าคนอีกสามพันล้านคนในโลกนี้
ถ้าท่านมีอาหารเก็บในตู้เย็น มีเสื้อให้ใส่อาศัยอยู่ในบ้านที่มีหลังคาและมีที่ให้หลับนอนท่านร่ำรวยกว่าคนอีก 75% ของโลกนี้
ถ้าท่านมีเงินในธนาคาร, มีเงินในกระเป๋า,และมีเศษสตางค์ทิ้งไว้ในถ้วยที่ไหนซักแห่งท่านเป็นหนึ่งใน 8% ของประชากรที่รวยที่สุดของโลก
ถ้าพ่อแม่ของท่านยังมีชีวิตอยู่ และยังอยู่ด้วยกันถือเป็นเรื่องประเสริฐที่เกิดขึ้นยากมากแม้แต่ในอเมริกาและแคนนาดา
ถ้าท่านได้อ่านข้อความนี้ ถือว่าท่านโชคดี 2 ชั้นที่มีบางคนคิดถึงท่าน และเหนือกว่านั้นท่านโชคดีกว่าคนอีกสองพันล้านคนในโลกนี้ที่อ่านไม่ออกเลย
บางคนเคยพูดไว้ว่า : เรื่องที่ผ่านพ้นไปอย่างไร ก็จะกลับมาอย่างนั้น
ทำงานเหมือนกับท่านไม่ต้องการเงิน (ทำเพราะรักงาน)รักให้เหมือนกับท่านไม่เคยเจ็บปวดเต้นให้เหมือนกับไม่มีใครดูร้องเพลงให้เหมือนกับไม่มีใครฟังใช้ชีวิตบนโลกนี้อย่างมีความสุขเสมือนอยู่บนสวรรค์
สุขสันต์ในทุกๆวัน เพราะตราบใดที่เรามีลมหายใจอยู่นั่นเท่ากับว่า เรามีโอกาสได้ทำดี ได้พบกับประสบการณ์ชีวิต. . .สีสันของชีวิต!!!



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:39
พระจักรพรรดิพระองค์หนึ่ง บริหารบ้านเมืองอย่างเต็มพระปรีชาสามารถแต่พระองค์ก็รู้สึกว่าตัวเองงานผิดพลาดอยู่บ่อยๆ ....พระองค์ตระหนักว่า หากทรงรู้คำตอบปัญหา 3 ประการดังต่อไปนี้แล้ว จะทำให้พระองค์ทรงทำอะไร ไม่ผิดพลาดเลย คำถาม 3 ประการนี้คือ1. เวลาไหนที่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง2.ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย3. อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลาพระจักรพรรดิสั่งให้ประกาศว่าใครก็ตามที่สามารถจะตอบคำถาม 3 ข้อนี้ได้จะได้รับรางวัลมหาศาล ปัญหาข้อที่ 1 มีผู้ตอบแตกต่างกัน .....คนที่ 1 แนะนำให้พระจักรพรรดิทำตารางเวลาที่แน่นอน สำหรับภารกิจแต่ละอย่างทุก ๆ ชั่วโมง ทุก ๆ วัน ทุก ๆ ปีด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทำกิจได้ถูกต้องตามกาลที่เหมาะสม .....คนที่ 2 บอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะวางแผนล่วงหน้าเช่นนั้นแล้วแนะนำว่าพระจักรพรรดิควรจะเลิกความสนุกสนานไร้สาระทั้งหมดแล้วเอาใจใส่ต่อกิจกรรมต่างๆ โดยพระองค์เองทุกอย่างจึงจะทราบได้ว่าเวลาไหนเหมาะสมที่จะทำอะไร .....คนที่ 3 ยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระจักรพรรดิหวังจะเลือกเวลาทำกิจกรรมต่างๆที่อยู่ในอำนาจความรับผิดชอบได้เหมาะสมทุกอย่าง.....สิ่งที่จำเป็น ก็คือต้องมี “สภาแห่งคนฉลาด” และทำตามคำแนะนำของสภานั้นแต่ก็มีคนแย้งว่าสิ่งต่างๆ จำเป็นต้องตัดสินใจทันที ไม่อาจรอการปรึกษาได้ฉะนั้นหากต้องการจะรู้ล่วงหน้าว่าอะไรเกิดขึ้น ......พระจักรพรรดิ์ควรจะปรึกษาผู้วิเศษและหมอเวทมนต์ปัญหาข้อที่สองคำตอบก็แตกต่างกันออกไปคนที่1 เสนอว่าพระจักรพรรดิจะต้องไว้วางในคณะขุนนางข้าราชการ อย่างเต็มที่คนที่ 2 บอกว่า ต้องไว้วางใจพระและนักบวชคนที่ 3 เสนอนักวิทยาศาสตร์ แถมยังมีบางคนเสนอให้ไว้วางใจต่อนักรบคำตอบต่อคำถามที่สามก็ต่างกันไปเช่นกันคนที่ 1 บอกว่าวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่จะต้องติดตามอยู่ตลอดเวลาคนที่ 2 ว่าต้องเรื่องศาสนาต่างหากคนที่ 3 ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะการทำสงครามพระจักรพรรดิ์ไม่พอพระทัย คำตอบไหนเลย จึงตัดสินพระทัยไปหาฤาษีตนหนึ่งผู้อาศัยอยู่บนเขา ซึ่งตรัสรู้เห็นแจ้ง ....ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าฤาษีนั้นจะต้อนรับเฉพาะคนยากจน เท่านั้น ไม่ยอมต้อนรับคนร่ำรวยหรือผู้มีอำนาจราชศักดิ์ จึงต้องปลอมตัว เป็นชาวนาและสั่งองครักษ์ให้คอยอยู่ที่เชิงเขา โดยที่ทรงไต่เนินเขา ขึ้นไปพบฤาษีตามลำพังพอมาถึงที่อยู่ของ “ผู้รู้” ที่ว่านั้น ....ทรงพบว่าฤาษีกำลังขุดดินอยู่ในสวนหน้ากระท่อมเมื่อฤาษีเห็นผู้แปลกหน้าก็ผงกหัวเป็นการต้อนรับแล้วก็ขุดดินต่อไป ....เห็นได้ชัดว่าการใช้แรงนั้นเป็นงานหนักเพราะฤาษีนั้นชรามากแล้วแต่ละครั้งที่จอบฟันลงไปพลิกดินขึ้นมาท่านจะต้องหอบแรงๆ.. ทุกครั้งไปพระจักรพรรดิเข้าไปหาแล้วตรัสว่า “ผมมานี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากท่านขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหา 3 ข้อของผม คือ1. เวลาไหนเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการทำกิจแต่ละอย่าง2. ใครคือคนสำคัญที่สุดที่ควรทำงานด้วย3. อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่ควรทำตลอดเวลา ฤาษีฟังคำถามด้วยความเอาใจใส่่แต่มิได้ตอบ เพียงแต่เอามือตบไหล่จักรพรรดิเบาๆ และก็ขุดดินต่อไปจักรพรรดิตรัสว่า "ท่านคงเหนื่อยมาก มาให้ผมได้ช่วยท่านเถอะ” ..ฤาษีขอบใจ แล้วก็ส่งจอบให้จักรพรรดิ จากนั้นก็นั่งพักบนพื้นดินนั้นหลังจากขุดไปได้ 2 ร่อง จักรพรรดิก็หยุด และหันมาถามหัญหาทั้ง 3 อีกครั้งหนึ่ง ...ฤาษีก็มิได้ตอบอีก แต่ยืนขึ้นและชี้มือไปที่จอบและบอกว่า ”หยุดพักได้แล้วละ... ฉันทำต่อไปได้แล้ว” .....แต่จักรพรรดิไม่ส่งจอบให้และขุดดินต่อไปชั่วโมงหนึ่งผ่านไปแล้วก็สองชั่วโมง จนอาทิตย์ลับไปหลังภูเขาจักรพรรดิทรงวางจอบลง และหันมาตรัสกับฤาษีว่า“ผมมาที่นี่เพื่อขอร้องให้ท่านช่วยตอบคำถามของผมหากท่านไม่สามารถตอบได้โปรดบอกให้ผมรู้ด้วย ผมจะได้กลับบ้านของผม”ฤาษีเงยหน้าขึ้นและถามจักรพรรดิว่า”เธอได้ยินเสียงใครกำลังวิ่งมาทางนี้หรือเปล่า” จักรพรรดิหันไปทอดพระเนตรทันใดนั้นทั้งสองก็เห็น ชาย มีเคราขาวคนหนึ่งเตลิดออกมามือทั้งสองกุมบาดแผล โชกเลือดที่ท้องเขาวิ่งตรงมายังจักรพรรดิก่อนที่จะล้มลงสิ้นสติไป ......ตรงหน้า พอเปิดเสื้อผ้าออกทั้งจัรกรพรรดิและฤาษีก็แลเห็นบาดแผลลึกที่หน้าท้องของชายผู้นั้น ...จักรพรรดิได้ทรงทำความสะอาดบาดแผล แล้วเอาฉลองพระองค์พันแผลให้เพียงประเดี๋ยวเดียว...เสื้อนั้นก็โชกไปด้วยเลือดเพราะเลือดไหลไม่หยุดจักรพรรดิก็เลยเอาเสื้อนั้นออกมาซักบิดให้แห้งแล้วพันแผล อีกเป็นครั้งที่สองและทำอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งเลือดหยุดไหล ....เมื่อคนเจ็บฟื้น ได้สติ ก็ร้องขอน้ำ จักรพรรดิรีบไปที่ลำธารตักน้ำใสสะอาดมาให้เหยือกหนึ่งขณะนั้น ดวงตะวันลับฟ้าไปแล้ว และอากาศหนาวยามค่ำคืนเริ่มแผ่คลุมไปทั่ว....ฤาษีช่วยจักรพรรดินำคนเจ็บเข้ามาในกระท่อมและให้นอนบนเตียงของตนชายนั้นปิดตาลงและนอนหลับไปจักรพรรดิเองก็ประทับพิงประตูกระท่อมหลับไปเช่นกัน....ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปีน เขาและการขุดดินทั้งวันและมาตื่นบรรทมขึ้นเมื่อตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า.....แล้วจักรพรรดิทรงลืมไปชั่วขณะว่าพระองค์เสด็จมาอยู่ที่ไหนและมาทำอะไร ทรงทอดพระเนตรไปที่เตียงคนเจ็บทันที...และก็พบว่าชายผู้นั้นกำลังจ้องมาองมายังตนอย่างฉงนฉงาย พอเห็นจัรกรพรรดิ์ชายผู้นั้นก็ครวญครางออกมาอย่างแผ่วเบาว่า“ได้โปรดประทานอภัยโทษให้ข้าพระองค์ด้วย”“แต่เธอทำผิดอะไรเล่าที่ฉันจะต้องให้อภัย” จักรพรรดิตรัสถามกลับ“ท่านไม่รู้จักข้าพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักท่านดี พี่ชายของข้าพระองค์ถูกฆ่าเมื่อสงครามครั้งที่ผ่านมานี้และทรัพย์สมบัติถูกริบหมด ข้าพระองค์จึงถือว่าท่านคือศัตรูคู่อาฆาตข้าปฏิญาณไว้ว่าจะต้องล้างแค้นให้ได้ เมื่อทราบข่าวว่าท่านขึ้นมาหาฤาษีตามลำพังข้าพระองค์จึงตั้งไจที่จะดักฆ่าท่าน เสียตอนท่านเสด็จกลับ....แต่รออยู่นานไม่เห็นท่าน ข้าพระองค์จึงออกจากที่ซุ่มกำบังเพื่อตามหาแต่แทนที่จะพบท่านข้าพระองค์กลับไปเจอะเอาทหารองครักษ์ของท่านเข้าพวกนั้นจำข้าพระองค์ได้และเข้าจับกุมข้าพระองค์จนถูกมีดบาดเจ็บแต่ข้าพระองค์ยังโชคดีที่หนีรอดการจับกุมได้และวิ่งมาที่นี่ถ้าไม่ได้พบท่านป่านนี้ข้าพระองค์คงตายไปแล้วข้าพระองค์ละอายใจและสำนึกในพระคุณอย่างบอกไม่ถูก ....หากข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปขออุทิศชีวิตช่วงที่เหลือนี้รับใช้ท่านตลอดไปและจะสั่งสอนลูกหลานให้ทำเช่นเดียวกันด้วย ...ขอโปรดประทานอภัยให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด” จักรพรรดิดีพระทัยยิ่งนักที่ศัตรูได้กลับมาเป็นมิตรอย่างง่ายดาย ....นอกจากจะประทานอภัยแล้วยังทรงสัญญาที่จะคืนทรัพย์สมบัติ ที่ริบมาจากชายผู้นั้นตลอดจนจัดส่งแพทย์และคนใช้ไปคอยรักษาพยาบาล....จนกว่าเขาจะหายเป็นปกติอีกด้วย พอสั่งทหารให้นำชายผู้นั้นไปส่งบ้านแล้วจักรพรรดิก็เสด็จกลับมาหาฤาษีอีกครั้งเพื่อทวนคำถามเป็นครั้งสุดท้ายและพบว่าฤาษีกำลังหว่านเมล็ดพืชลงบนดินที่ขุดไวฤาษีเงยหน้าขึ้นและหันมาทางจักรพรรดิ “คำถามของท่านได้รับคำตอบหมดแล้วนี่”“อย่างไรกัน” พระจักรพรรดิทรงถามด้วยความงุนงง ...“เมื่อวานนี้ ถ้าท่านไม่เกิดความสงสารสังขารของฉันและลงมือช่วยฉันขุดดินท่านก็คงถูกทำร้าย โดยชายผู้นั้นตอนขากลับและคงต้องโทมนัสใจอย่างมากที่ไม่ได้พักอยู่กับฉัน ดันนั้นเวลาสำคัญที่สุดตอนนั้นก็คือเวลาที่ท่านขุดดิน บุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือตัวฉัน .....และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือ การช่วยฉันขุดดิน""จากนั้นเมื่อชายบาดเจ็บผู้นั้นวิ่งมา เวลาที่สำคัญที่สุด ...ก็คือตอนที่ท่านช่วยพยาบาลเขา เพราะมิฉะนั้นเขาก็จะต้องตายไปและท่านก็จะหมดโอกาสที่จะได้กลับเป็นมิตรกับเขาและบุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือชายผู้นั้น ภารกิจสำคัญที่สุด ก็คือการรักษาพยาบาลเขา" .....จงจำไว้ว้า เวลาที่สำคัญที่สุดเวลาเดียวคือ “ปัจจุบัน”ช่วงขณะปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นเวลาที่เราเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงบุคคลที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่เรากำลังติดต่ออยู่ คนที่อยู่ต่อหน้าเราเพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้ติดต่อกับใครอีกหรือไม่และภารกิจที่สำคัญที่สุดก็คือการทำให้คนที่อยู่กับเราขณะนั้นๆ มีความสุขเพราะนั่นเป็นภารกิจอย่างเดียวของชีวิต” .....




ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:40
ความในใจ

ตอนที่ฉันยังเป็นลูกหมาตัวน้อย ฉันให้ความบันเทิงแก่นายและทำให้นายหัวเราะนายเรียกฉันเป็นลูกของนาย และถึงแม้ฉันจะเคี้ยวรองเท้านายเล่นไปหลายคู่ทำลายหมอนอิงไปอีกหลายใบ เราก็กลายเป็นเพื่อนซี้กันไม่ไหร่ที่ฉันทำตัว "ไม่ดี" นายก็จะสั่นนิ้วใส่ฉัน แล้วพูดว่า"ทำลงไปแบบนี้ได้ยังไงกัน" แต่ไม่นานนายก็จะยกโทษให้แล้วจับฉันหงายท้องเกาพุงให้ฉันตอนที่นายฝึกให้ฉันถ่ายเป็นที่ เราใช้เวลานานหน่อย เพราะนายงานยุ่งมากแต่เราก็ช่วยกันร่วมมือทำจนสำเร็จฉันจำได้ถึงคืนที่ฉันนอนซุกอยู่บนที่นอนของนาย ฟังนายพูดถึงความลับและความฝันของนาย ตอนนั้นฉันเชื่อว่าชีวิตคงไม่สมบูรณ์เพอร์เฟ็คไปได้มากไปกว่านี้อีกแล้วเราไปเดินเล่นกันนานๆ ไปนั่งรถเที่ยวกัน แล้วก็ไปหยุดกินไอติมกัน(แต่ฉันได้กินแต่โคน เพราะนายบอกว่า "ไอติมนี่ไม่ดีสำหรับหมา")และฉันก็นอนงีบอาบแดดซะนานรอให้นายกลับบ้านมาเมื่อหมดวันนึงแล้วนายก็ค่อยๆใช้เวลาทำงานการของนายมากขึ้นเรื่อยๆและใช้เวลาค้นหาคู่ที่เป็นคนเหมือนนายมากขึ้นฉันรอนายอย่างอดทน ปลอบใจนายเมื่อนายอกหัก และ ผิดหวังไม่เคยตำหนินายเมื่อนายตัดสินใจผิดพลาดและกระโดดโลดเต้นดีใจทุกครั้งที่นายกลับบ้านหรือกำลังมีความรักหญิงคนนั้น ซึ่งตอนนี้คือภรรยาของนาย ไม่ใช่คนที่รักหมานักแต่ฉันก็ยินดีต้อนรับเธอคนนั้นเข้ามาในบ้านของเรา พยายามแสดงความรักต่อเธอและเชื่อฟังเธอ ฉันมีความสุขเพราะนายมีความสุขแล้วก็มีทารกมนุษย์ขึ้นมา ฉันแบ่งปันความตื่นเต้นกับเธอฉันทึ่งในเนื้อตัวสีชมพูและกลิ่นของทารก ฉันอยากดูแลเจ้าตัวน้อยด้วยแต่เธอคนนั้นและนายกังวลว่าฉันจะทำร้ายหนูน้อยฉันจึงต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องอื่น หรือในกรงหมา โอฉันอยากรักลูกของนายเหลือเกิน แต่ตอนนี้ ฉันได้กลายมาเป็น "นักโทษแห่งรัก" เสียแล้ว
เมื่อลูกๆของนายเริ่มโตขึ้น ฉันก็กลายเป็นเพื่อนของพวกเขาพวกเขาเกาะเกี่ยวขนของฉันและดึงตัวเองขึ้นยืนบนขาที่ยังไม่แข็งดีเอานิ้วจิ้มตาฉัน และสำรวจในรูหูของฉัน จูบฉันที่จมูกฉันรักทุกสิ่งเกี่ยวกับลูก ๆ นาย และสัมผัสจากพวกเขาเพราะฉันแทบไม่ได้รับสัมผัสจากนายเลยตอนนี้ฉันจะปกป้องลูกๆนายด้วยชีวิตฉันเลยทีเดียวถ้าจำเป็นฉันแอบไปนอนเตียงกับลูกๆนาย ฟังเขาพูดถึงความกังวล และความฝันของเขาและเราก็นอนรอฟังเสียงรถของนายกลับบ้านด้วยกัน
เมื่อก่อนนั้น เวลามีใครถามว่านายมีหมาหรือเปล่านายจะอวดรูปฉันในกระเป๋าสตางค์นายและเล่าเรื่องของฉันให้คนอื่นๆฟังแต่ไม่กี่ปีให้หลังนี่ นายแค่ตอบว่า "มี" เท่านั้น แล้วก็เปลี่ยนเรื่องพูดฉันกลายสภาพจาก "หมาของนาย" เป็นแค่ "หมาตัวหนึ่ง"และนายก็เหนื่อยหน่ายที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเพื่อตัวฉัน
ตอนนี้ นายได้งานใหม่ในตัว เมืองและนายกับครอบครัวของนายจะย้ายไปอยู่อพาทเม้นต์ใหม่ที่ห้ามเลี้ยงสัตว์นายตัดสินใจถูกสำหรับ "ครอบครัว" ของนาย แต่ก็เคยมีช่วงเวลาที่ฉันเป็นครอบครัวเดียวเท่านั้นของนาย
ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ไปนั่งรถเล่น จนกระทั่งเรามาถึงที่สถานสงเคราะห์สัตว์กลิ่นที่โชยมาเป็นกลิ่นของหมาและแมว กลิ่นของความกลัว ความสิ้นหวังนายกรอกแบบฟอร์มและพูดว่า "ผมรู้ว่าคุณจะหาบ้านดีๆให้เจ้านี่ได้"พวกเจ้าหน้าที่ยักไหล่แล้วจ้องหน้าเธอด้วยสายตาเจ็บปวดพวกเขาเข้าใจดีถึงความเป็นจริงที่หมาวัยขนาดนี้ต้องเผชิญแม้แต่ตัวที่มี "แบบฟอร์ม"นายต้องแกะนิ้วลูกชายของนายออกจากปลอกคอของฉัน ในขณะที่หนูน้อยร้องลั่น"ไม่นะพ่อ ได้โปรดอย่าให้เขาเอาหมาของฉันไปเลย!"
ฉันห่วงลูกของนาย และห่วงว่านี่นายกำลังสอนบทเรียนอะไรให้ลูกนายกันแน่บทเรียนเกี่ยวกับ มิตรภาพ และความซื่อสัตย์เกี่ยวกับความรักและความรับผิดชอบและเกี่ยวกับความเคารพที่ควรมีต่อทุกชีวิต นายตบหัวลาฉัน หลบตาฉันและปฏิเสธไม่รับปลอกคอและสายจูงของฉันคืนอย่างสุภาพนายมีกำหนดเวลาเส้นตายของงานที่ต้องทำและฉันก็มีกำหนดเวลาเส้นตายของฉันเหมือนกัน
เมื่อนายจากไป ผู้หญิงน่ารักสองคนก็พูดว่านายคงจะรู้มาตั้งนานหลายเดือนแล้วเรื่องการโยกย้ายแต่ก็ไม่ได้พยายามที่จะหาบ้านดี ๆ ให้ฉันอยู่ พวกเขาส่ายหัว แล้วพูดว่า"ทำลงไปแบบนี้ได้ยังไงกัน"พวกเจ้าหน้าที่เอาใจใส่พวกเรามากเท่าที่ตารางทำงานวุ่น ๆ ของเขาจะอนุญาตแน่นอนเขาให้อาหารพวกเรา แต่ฉันกินอะไรไม่ลงมาหลายวันแล้ว ในตอนแรกเวลาใครเดินผ่านคอกของฉัน ฉันจะรีบวิ่งไปด้านหน้า หวังว่าอาจจะเป็นนายว่านายเปลี่ยนใจ และที่ผ่านมานั้นเป็นแค่ฝันร้ายหรือฉันหวังเพียงว่าอย่างน้อยคนที่เดินมาจะเป็นคนที่สนใจใส่ใจใครก็ได้ที่จะมาช่วยฉันออกไป
เมื่อฉันเข้าใจว่าฉันไม่สามารถจะไปแข่งขันกับพวกลูกหมาเล็ก ๆ ที่แข่งกันแย่งความสนใจอย่างมีความสุขอย่างไม่รับรู้แม้แต่อนาคตของตัวเอง ฉันก็แอบหลบไปอยู่ในมุมไกล ๆ และเฝ้ารอฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าหน้าที่หญิงเมื่อเธอเข้ามาหาฉันตอนเย็นและฉันก็เดินเตาะแตะไปกับเธอตามระเบียงเข้าไปในห้องแยกอีกห้องหนึ่งห้องที่เงียบสงบเธออุ้มฉันไปวางบนโต๊ะ แล้วเกาหูให้ฉัน บอกให้ฉันไม่ต้องกังวลอะไรหัวใจฉันเต้นแรงจากการเฝ้ารอในสิ่งที่กำลังจะมาถึงแต่ในขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกโล่งใจหมดเวลาสำหรับนักโทษแห่งรักแล้ว เพราะธรรมชาติของฉันฉันเป็นห่วงเธอมากกว่า ภาระที่เธอต้องรับมันหนักหนาเหลือเกินฉันรู้เหมือนอย่างที่ฉันรู้จักความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของเธอเธอค่อย ๆ รัดสายยางรอบ ๆ ขาหน้าของฉันและน้ำตาของเธอก็ไหลลงอาบแก้มฉันเลียมือเธอเหมือนกันที่ฉันเคยปลอบใจนายเมื่อหลายต่อหลายปีมาแล้วเธอใส่เข็มฉีดยาเข้ามาในเส้นเลือดของฉันอย่างชำนาญเมื่อฉันรู้สึกถึงเส้นสายเหล่านั้นและของเหลวเย็นๆไหลเข้ามาในตัวของฉันนอนลงอย่างง่วง ๆ มองไปในตาที่มีแววใจดีของเธอ และพึมพำเบา"ทำลงไปแบบนี้ได้ยังไงกัน" เธอคงเข้าใจที่หมาอย่างฉันพูด เธอจึงพูดว่า"ฉันเสียใจจริงๆ" แล้วเข้ามากอดฉัน พร้อมกับอธิบายอย่างรวดเร็วว่ามันคืองานของเธอที่จะทำให้แน่ใจว่า ฉันจะได้ไปอยู่ในที่ ๆ ดีกว่านี้ที่ ๆ ฉันจะไม่ถูกเมินเฉย ทอดทิ้ง หรือทำร้ายหรือที่ ๆ ฉันต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดให้ไปอยู่ในที่ ๆ เต็มไปด้วยความรักและแสงสว่างที่ ๆ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลกใบนี้และด้วยพลังเฮือกสุดท้ายของ ฉันพยายามสื่อสารให้เธอได้รู้โดยการกระดิกหางให้เธอได้รู้ว่า ที่ฉันบอกว่า "ทำลงไปแบบนี้ได้ยังไง" นั้น ไม่ได้หมายถึงเธอแต่หมายถึง นาย เจ้านายที่รักของฉันที่ฉันกำลังนึกถึง
ฉันจะคิดถึงนายและรอนายอยู่ตลอดไป ฉันก็ได้แต่ขอให้ทุกคนในชีวิตของนายจงมีแต่ความซื่อสัตย์ต่อนายต่อไปให้มากๆตลอดไป



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm
โดย: Metha    เวลา: 2014-2-8 22:40
จดหมายของพ่อ

..... พ่อของผมเป็นคนดุ เสียงดังและมักจะอารมณ์เสียกับเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ เมื่อผมยังเป็นเด็กวัยรุ่น ผมไม่เคยเข้าใจกับคำสั่งของพ่อเลย บางอย่างมันก็เป็นเรื่อง ที่ฝืนความรู้สึกของผมโดยสิ้นเชิง การไปเตะฟุตบอลแล้วกลับบ้านค่ำ เหมือนเพื่อนคนอื่นไม่ถูกต้องนัก ในสายตาของพ่อ ผมต้องกลับมาช่วยงานที่บ้านทุกวัน บางครั้งผมก็คิดว่าพ่อไม่เคยเข้าใจผมเลย ไม่ได้รักผมเลยแม้แต่นิดเดียว เดือนธันวาคมของทุกปี โรงเรียนของผมมีการจัดงานวันพ่อ โดยมากจะมีการจัดบอร์ดเกี่ยวกับในหลวง แต่ปีนี้มีอะไรที่พิเศษกว่า อาจารย์ให้พวกเราเขียนการ์ดวันพ่อ การ์ดจะต้องถูกทำขึ้นเองและให้อาจารย์ตรวจก่อนส่งทาง ไปรษณีย์ไปที่บ้านของแต่ละคน สำหรับผมแล้วเรื่องการ์ดนี้ไม่ได้มีความสำคัญไปมากกว่า การได้เตะฟุตบอล หรือว่าเตะตะกร้อ กับเพื่อนเลย มันออกจะเป็นความกระดากอายด้วยซ้ำ ที่จะต้องเขียนการ์ดอวยพรให้กับพ่อ หลายวันนั้นผมทำอะไรหลายอย่างกว่าจะได้ทำการ์ด ก็เป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะส่งการ์ดสีฟ้า ทำมาจากกระดาษแข็งที่เหลือมาจากจัดบอร์ดที่โรงเรียน ลายขลิบสีทองข้างๆผมก็ได้มาจากหมวกวันปีใหม่เก่าๆของน้อง ผมเขียนข้อความลงไปว่า ขอให้พ่อมีความสุขและหายป่วยจากโรคที่เป็นอยู่ ผมคิดว่าถ้าผมเป็นอาจารย์ไอ้การ์ดใบนี้คงได้คะแนนไม่เกินห้าจากเต็มสิบแน่ๆ สองวันต่อมาผมกะว่าการ์ดจะต้องถูกส่งมาถึงที่บ้าน ทุกเย็นเมื่อกลับถึงบ้านผมจะรีบไปที่ตู้ไปรษณีย์เพื่อที่จะเก็บการ์ดของผมก่อนพ่อจะได้รับมัน หลายวันต่อมาผมก็ไม่เห็นมีการ์ดส่งมาที่บ้าน แล้วผมก็ลืมเรื่องนี้ไป วันหนึ่งพ่อใช้ให้ผมไปหยิบของที่โต๊ะบัญชี เมื่อไขล็อคกุญแจและดึงลิ้นชักออกมา ผมพบการ์ดใบนั้นวางอยู่ ผมไม่รู้ว่าพ่ออ่านมันรึยัง ความรู้สึกของผมตอนนั้นคือเจ้าการ์ดใบนี้คือสิ่งที่ไม่น่าเก็บไว้ มันไม่ได้ทำมาจากความตั้งใจของผมเลยมันน่าจะหายไป แต่ว่าผมก็ยังไม่อยากจะทิ้งมันไปเลยนำมันซ่อนไว้ในลิ้นชักข้างๆกัน ต่อมาเมื่อผมเปิดลิ้นชักอีกครั้งก็พบการ์ดใบนี้วางอยู่เสมอ คราวนี้ทุกครั้งที่ผมเจอมันผมจะนำมัน ไปเก็บไว้ที่อื่นเสมอ และไม่ว่ากี่ครั้งที่ผมเปิดลิ้นชักเดิมก็จะพบว่ามันอยู่ที่เดิมเสมอ ครั้งสุดท้ายที่ผมพบมันผมเก็บมันไว้ในที่ที่คิดว่าจะไม่เจอมันอีกเลย และ เรื่องนี้พ่อกับผมไม่เคยพูดถึงมันเลย จากนั้นไม่นานพ่อก็จากไปด้วยโรคประจำตัว ห้องของพ่อเหมือนกับถูกปิดตาย ไม่มีธุระจำเป็นจริงๆหรือว่าทำความสะอาด ก็จะไม่มีคนเข้าไปในห้องนั้นเลย ผมเข้ามาเรียนต่อในที่ใหม่มีเรื่องใหม่ ให้พบให้เจอทุกวัน ความทรงจำหลายอย่างเกี่ยวกับพ่อก็จางหายไป.... จนวันหนึ่งผมเจอปัญหา ในหัวของผมมีแต่เรื่องสับสน อยากหนีปัญหาไปไกลๆไม่อยากเจอแม้แต่ผู้คน ผมกลับมาที่ บ้านไขกุญแจห้องพ่อแล้วเข้าไปในนั้น ที่ห้องของพ่อทุกอย่างยังเหมือนเดิม ข้าวของทุกชิ้นยังอยู่ครบเหมือนครั้งที่พ่อยังอยู่ ในห้องเงียบมากผมได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจของตัวเอง ผมเดินไปที่โต๊ะบัญชีที่พ่อมักจะนั่งอยู่ที่นั่นเสมอ ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าพ่อยังอยู่พ่อจะทำอย่างไร จะแนะนำผมอย่างไร แล้วจะช่วยผมแก้ปัญหาอย่างไร ทันใดนั้นผมคิดถึงเรื่องเก่าๆเรื่องนึงขึ้นมา ผมรีบเอากุญแจไขลิ้นชักโต๊ะบัญชี ด้วยความหวังว่ามันจะยังอยู่ เมื่อเปิดลิ้นชักผมก็พบมัน การ์ดสีฟ้าขลิบทองยังดูโดดเด่นอยู่ลิ้นชักของพ่อ มันยังอยู่ ที่เดิมเหมือนทุกครั้ง@ ถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพ่อรักผมมากขนาดไหน@ ทุกครั้งที่การ์ดใบนี้หายไปพ่อจะหามันแล้วนำมันมาเก็บไว้ที่เดิม@ ไม่ว่ามันการ์ดที่ไม่มีราคาค่างวดใดๆและแทบจะหาความสวยงามใดๆไม่ได้เลยพ่อก็เก็บมันไว้เสมอ และ@ สิ่งที่พ่อสอนผมด้วยการกระทำมันมากกว่าคำพูดทั้งหมด@ พ่อสอนให้ผมมีความรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง@ ให้มีความอดทนและไม่ท้อแท้กับปัญหาใดใด@ เหมือนพ่อเคยเจอเสมอและผ่านมาได้ทุกครั้ง
ผมรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าปัญหาที่ผมเจอตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย กำลังใจจากการ์ดใบนั้นเหมือน จะค่อยๆแผ่ซ่านจากมือเข้ามาสู่หัวใจผม ในใจของผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดเหมือนกับพ่ออยู่ในนั้น ผมวางการ์ดเก็บไว้ที่ลิ้นชักตามเดิมและออกมาจากห้องของพ่อด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง กับเมื่อตอนที่เข้ามา ก่อนประตูจะปิดลงผมบอกออกไปด้วยความรู้สึกที่พ่อก็มีให้ผมมาตลอดว่า "พ่อครับ ผมรักพ่อ "
อ้นลูกรัก
จดหมายฉบับนี้เขียนขึ้นก่อนที่พ่อจะจากโลกนี้ไป หวังว่าเมื่อลูกได้อ่านแล้ว จะได้ข้อคิดเพื่อนำไปปฏิบัติในอนาคต เพื่อที่ลูกจะได้ไม่ทำผิดซ้ำกับที่พ่อเคยทำมาแล้ว การ์ดที่ลูกเขียนให้พ่อนั้น เป็นการ์ดอวยพรที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของพ่อ พ่อจึงเก็บมันไว้ในลิ้นชักใกล้ตัว และล็อกกุญแจไว้ เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีใครเอาการ์ดใบนี้ไปจากพ่อ และเพื่อจะได้หยิบขึ้นมาเชยชมทุกครั้งที่พ่อคิดถึงลูก ครั้งแรกที่ลูกนำการ์ดไปซ่อนนั้น พ่อตกใจแทบแย่ นึกว่าตัวเองแก่จนหลงลืมเอาการ์ดไปวางไว้ที่อื่น จนพ่อเจอมันที่ลิ้นชักข้าง ๆ ก็เลยโล่งใจและพ่อก็เข้าใจไปเองว่าลูกคงต้องการจะบอกอะไรกับพ่อโดยไม่ใช้คำพูด ในครั้งต่อ ๆ มาลูกได้นำการ์ดนั้นไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าบ้าง ในตู้โชว์บ้าง พ่อก็อุตสาห์ตามหามันจนเจอ พ่อรู้สึกว่า เป็นเกมส์แรกในรอบยี่สิบปีที่พ่อได้เล่นกับลูกอย่างสนุกสนาน มันทำให้พ่อนึกถึงวันวานเก่า ๆ ของเราที่เคยเล่นฟุตบอลด้วยกันที่สนามหญ้าข้างบ้าน ไม่น่าเชื่อว่าคืนวันจะผันผ่านไปอย่างรวดเร็วอย่างนี้ พ่อโกรธตัวเองที่ไม่มีเวลาเล่นกับอ้นอย่างที่ใจต้องการ ตอนที่ลูกเล่นฟุตบอลกับเพื่อนจนกลับบ้านดึกนั้น พ่อรู้สึก เจ็บใจตัวเองที่ไม่สามารถเป็นเพื่อนเล่นของลูกได้ แม่เคยบอกให้พ่อชวนลูกเล่นฟุตบอลด้วยกันเหมือนแต่ก่อน แต่พ่อคิดว่ามันเป็นเกมส์ของเด็กผู้ชาย จะเอาคนแก่ ๆ อย่างพ่อไปเล่นด้วยก็คงไม่สนุก สุดท้ายพ่อก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเป็นห่วงลูกที่ต้องกลับบ้านดึก พ่อเคยผ่านชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อในวัยนั้นมาแล้ว จึงต้องเป็นห่วงลูกเป็นธรรมดา แต่ลูกพ่อก็นำชีวิตโลดแล่นผ่านจุดนั้นมาได้อย่างสวยงาม พ่ออยากบอกว่าพ่อภูมิใจในตัวลูกมากนะอ้น ในอดีตนั้นพ่อเคยมีโอกาสจะพูดหลายครั้งว่าพ่อรักอ้น และพ่อภูมิใจที่ได้มีลูกชายที่เป็นคนดีมีความสามารถอย่างลูกอ้น แต่พ่อก็พูดไม่ออก คงเป็นเพราะพ่อเป็นผู้ชายมั้ง เวลาจะพูดอะไรซึ้ง ๆ สักหน่อยก็ดูเคอะเขินเสียเหลือเกิน การได้สื่อสารกันอย่างไร้เสียง เช่นการเล่นซ่อนหาการ์ดอวยพรนั้น มันก็ดูเป็นผู้ชายดี แม้มันจะไม่ช่วยให้เราเข้าใจตรงกันก็ตาม พ่อไม่โกรธลูกที่ลูกไม่เคยบอกพ่อด้วยคำพูดว่ารักพ่อ เพราะพ่อก็เข้าใจว่าลูกก็เป็นผู้ชาย จะพูดซึ้ง ๆ ก็ไม่เป็น ดังนั้นทุกครั้งที่พ่ออยากรู้ว่าอ้นยังรักพ่ออยู่หรือเปล่า พ่อก็จะตามหาการ์ดใบนั้นมาดู และมันก็ทำให้พ่อสดชื่นขึ้นเสมอ อ้นลูกรัก พ่ออยากจะสอนลูกเป็นครั้งสุดท้ายว่า ถึงแม้ลูกจะเป็นผู้ชายอกสามศอกก็อย่าอายที่ จะบอกกับลูกของอ้นว่าอ้นรักเขามากเพียงใด อย่าทำผิดเหมือนอย่างพ่อ มีอะไรก็มีแต่เก็บเอาไว้ไม่ยอมพูด จดหมายฉบับนี้พ่อเขียนที่โรงพยาบาลหลังจากที่ได้รับทราบจากคุณหมอว่า ชีวิตของพ่อเหลืออีกไม่นานแล้ว พ่อสั่ง ให้แม่แนบจดหมายนี้ไว้กับการ์ดอวยพรของลูกและเก็บไว้ในลิ้นชักเดิม ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าลูกมาเปิดดูลิ้นชักนี้ก็จะได้อ่านจดหมายด้วย ถึงแม้จะสายเกินไปแล้วแต่พ่อก็อยากจะบอกกับอ้นว่า พ่อรักอ้นนะลูก และพ่อภูมิใจในตัวอ้นมากด้วย
จากพ่อ...ชายผู้ไม่พูด



ที่มา http://www.watpon.com/life/life1.htm




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2