Baan Jompra
ชื่อกระทู้: >> หลวงปู่หล้า อุตฺตโม วัดวังโพรงเข้ << [สั่งพิมพ์]
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 13:36
ชื่อกระทู้: >> หลวงปู่หล้า อุตฺตโม วัดวังโพรงเข้ <<
ประวัติหลวงปู่หล้า อุตฺตโม
อดีตเจ้าอาวาสวัดวังโพรงเข้
(คัดลอกมาจากบันทึกของพระจำปี เผยแผ่โดยพระอาจารย์โทน เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน)
[attach]1384[/attach]
นามเดิม ชื่อนายหล้า วารนุช เกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๕ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่ออายุ ๒๑ ปี ได้นำฝูงควายเดินทางออกจากจังหวัดร้อยเอ็ด มากับนายบุญเพ็ง ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ หรือที่เรียกกันภาษาท้องถิ่นว่า นายฮ้อย มุ่งหน้าสู่ภาคกลาง เป้าหมายที่จังหวัดลพบุรี เพื่อนำฝูงควายมาขายยังจังหวัดที่เป็นอู่ข้าวของประเทศ คือจังหวัดลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี อยุทธยา เป็นต้น
เมื่อนำฝูงควายมาถึงดงพยาเย็น อันลือชื่อเรื่องโจรปล้นซึ่งทรัพย์ และก็ถูกโจรดงพยาเย็นปล้นตามธรรมเนียมที่เคยได้ยินได้ฟังมา จากนักเดินทางค้าควายรุ่นก่อน ๆ แม้จะเตรียมพร้อมกันมา อย่างเต็มที่ก็ไม่วายเสียทีให้พวกโจรแย่งเอาควายบางส่วนไปได้ และก็บังเอิญที่ควายส่วนใหญ่ ที่โจรแย่งเอาไปได้ เป็นควายของนายหล้า วารนุช เมื่อนำฝูงควายมาถึงอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ควายของนายหล้าส่วนที่เหลือ ก็ขายหมดพอดี นายหล้าจึงขอแยกทางกับกองคาราวานค้าควายเพื่อหางานทำอยู่ที่อำเภอโคกสำโรง และต่อมานายหล้าก็ได้ภรรยาชื่อ ระพี เป็นคนในหมู่บ้าน ถลุงเหล็ก ตำบลถลุงเหล็ก อำเภอโคกสำโรง จนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน ชื่อสำเภา วารนุช หลังจากบุตรได้ไม่นาน นางระพี ภรรยาของท่านก็เสียชีวิต และท่านก็ได้บวชเป็นภิกษุอุทิศกุศล ให้ภรรยาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พอฌาปณกิจศพภรรยาและทำบุญ ๗ วัน ให้ภรรยาเรียบร้อยแล้ว
ท่านก็เปลี่ยนใจไม่ลาสิกขา อยู่เป็นภิกษุตั้งแต่นั้นมาจนตลอดชีวิต ในปีนั้นหลวงปู่เหล้า อยู่จำพรรษาที่วัดถลุงเหล็ก ปี พ.ศ.๒๔๕๙ ท่านไปจำพรรษาที่วัดวังไต้ อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ปี พ.ศ.๒๔๖๐ ท่านจำพรรษาที่วัดเกาะแก้ว อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี
ปี พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๓ ท่านกลับไปจังหวัดร้อยเอ็ดบ้านเกิด เมื่อไปถึงบ้านปรากฏว่าบิดามารดาญาติพี่น้องของท่านได้ย้ายไปอยู่จังหวัดสุรินทร์ท่านจึงตามไปและจำพรรษาที่จังหวัดสุรินทร์ ๒ ปี และเรียนวิชชาอาคมที่นั้น ปี พ.ศ.๒๔๖๓ จำพรรษาที่จังหวัดศรีสะเกษ เรียนวิชชาอาคมต่อ
ปีพ.ศ.๒๔๖๔ ท่านกลับมาที่วัดเกาะแก้วและย้ายมาจำพรรษาที่วัดโพรงเข้ ตำบลเกาะแก้ว และย้ายมาจำพรรษาที่วัดวังโพรงเข้ ตำบลเกาะแก้ว อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ท่านประจำอยู่เป็นเจ้าอาวาสวัดวังโพรงเข้ ตั้งแต่ปีนั้น จนตลอดอายุไข ท่านมรณภาพเมื่อปีพ.ศ.๒๔๙๙
คุณวิเศษของหลวงปู่หล้า อุตฺตโม ความอัศจรรย์ของหลวงปู่หล้า ตามคำเล่าขาน จนเป็นตำนานคู่บ้านวังโพรงเข้ และหมู่บ้านใกล้เคียง เพราะไม่ใช้เป็นการบอกเล่าเพียงคน ๆ เดียว เป็นที่รู้กันทั้งหมู่บ้าน ในคุณวิเศษของหลวงปู่หล้า เรื่องราวของหลวงปู่ถูกกล่าวถึงอยู่เสมอ จึงเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของท่าน สู่คนรุ่นหลังโดยปริยายผู้เขียนจะนำมากล่าวเฉพาะที่คิดว่าสำคัญ และน่าอัศจรรย์จริง ๆ เท่านั้น ที่พอจะเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจในทางไสยศาตร์วิชาอาคมเรื่องราวของหลวงปู่หล้าที่กล่าวถึง ในระยะแรกไม่อาจจะอ้างอิงปี พ.ศ. ได้ เพราะไม่มีใครจดบันทึก เพียงแต่เล่าขานสืบต่อกันมาและเรียงลำดับเรื่องไม่ได้เรื่องไหนเกิดก่อนเกิดหลัง
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 13:37
หลวงปู่หยุดรถสิบล้อ
[attach]1394[/attach]
วันหนึ่งขณะที่หลวงปู่นั่งคุมสามเณรให้ท่องหนังสือสวดมนต์อยู่ที่ใต้ถุนกุฏิก็มีรถบรรทุกสิบล้อหัวตั๊กแตน มาบรรทุกข้าวชาวบ้าน วิ่งผ่านลานหน้าวัด ซึ่งเป็นรถเพียงคันเดียวที่เคยเข้ามาในหมู่บ้านและจะมาเฉพาะฤดูเก็บเกี่ยวเท่านั้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะใช้เกวียนเป็นยานพาหนะ พอรถวิ่งเข้ามาในลานวัดสามเณรต่างลุกขึ้นวิ่งไปดูรถ หลวงปู่คงกลัวสามเณรไม่ทันได้ดูรถ หลวงปู่จึงพูดว่า “เฮ้ยหยุดก่อนพวกเณรมันอยากเบิ่ง (รถหยุดก่อนพวกเณรอยากดู) ทันใดนั้นรถสิบล้อคันดังกล่าวก็ล้อฟรีอยู่กับที่ แม้คนขับจะเร่งเครื่องจนฝุ่นฟุ้งรถก็ไม่ไปจนคนขับต้องลงมาดูและงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดินแห้งจนเป็นฝุ่นติดได้อย่างไร
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 13:43
เผชิญหน้าเสือขาวขุนโจรชื่อดัง
วันหนึ่งเสือสนิทลูกน้องเสือขาวจะเข้าปล้นบ้านนายโสภา ผาสี ซึ่งมีฐานะดีกว่าใครในหมู่บ้านวังโพรงเข้ และเป็นธรรมเนียมของโจรสมัยเก่าจะเข้าปล้นบ้านใครจะต้องปักป้ายบอกก่อน เมื่อเห็นป้ายประกาศปล้นชาวบ้านต่างพากันตกใจอกสั่นขวัญหาย โดยเฉพาะรายโสภาผู้ที่จะถูกปล้น จะหนีก็ตาย สู้ก็ตายต้องยอมอย่างเดียวจึงพอจะมีทางรอด นายโสภาจึงเตรียมเงินส่วนหนึ่งไว้ให้โจร ส่วนหนึ่งก็ขุดฝังดินไว้ ขณะที่รอเวลาโจรจะเข้าปล้น ด้วยความหวาดกลัวนายโสภาจึงมานิมนต์หลวงปู่ให้ไปอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อน หลวงปู่ก็ไปตามคำนิมนต์ พอพลบค่ำหลวงปู่ก็ให้นายโสภาก่อไฟและพูดว่าเดี๋ยวโจรมันมองไม่เห็นพระ กลัวมันยิงผิดตัว หลวงปู่พูดอย่างอารมณ์ดี
ประมาณหนึ่งทุ่มเศษ ๆ เสือสนิทพร้อมสมุนโจรอีก ๗ คน ก็เข้าปล้นบ้านนายโสภา เมื่อมาเห็นพระ เสือสนิทไม่พอใจ จึงตะคอกใส่นายโสภา “มึงเอาพระมาทำไม” พร้อมกับยกปืนขึ้นเหนี่ยวไกใส่นายโสภาทันที แต่ปรากฏว่าปืนไม่ดัง ด้วยความตกใจ นายโสภาจึงกระโดดหลบอยู่ข้างหลังหลวงปู่ ปืนสามสี่กระบอกจากมือโจร จึงถูกยกขึ้นเล็งเป้าหมายไปยังหลวงปู่กับนายโสภาพร้อม ๆ กัน นายโสภาเล่าว่าพวกโจรยกปืนค้างอยู่ประมาณหนึ่งอึดใจ
หลวงปู่ก็พูดว่า “ไป ๆ ให้ไกล ๆ”
พอหลวงปู่พูดอย่างนั้นพวกโจรทั้งแปดคนก็เดินถือปืนกลับ ออกจากหมู่บ้านไปโดยไม่พูดจาอะไรเลย
นายโสภาจึงรอดจากการถูกปล้นเพราะบารมีหลวงปู่ อีกสี่วันต่อมา เวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น
ขณะที่ชาวบ้านออกมาช่วยกันเลื่อยไม้ ที่วัดเพื่อสร้างกุฏิ หลวงปู่นั่งอยู่บนขอนไม้ใต้ร่มมะขาม ดูชาวบ้านเลื่อยไม้ ก็มีชายวัยฉกรรจ์สองคนขี่ม้าเข้ามาในวัดและหยุดผูกม้าไว้ที่ต้นก้ามปูห่างจากต้นมะขามที่หลวงปู่นั่งอยู่ประมาณสิบกว่าวา เมื่อผูกม้าแล้วชายสองคนนั้นก็เดินเข้ามาหาหลวงปู่คนที่เดินตามหลังชาวบ้านจำได้ดีคือเสือสนิท ส่วนคนที่เดินนำหน้าไม่มีใครรู้จัก พอมาถึงหน้าหลวงปู่ คนที่เดินนำหน้าก็ดึงปืนออกจากเอว ยิงใส่หลวงปู่ทันที “แชะ” เมื่อปืนเขาไม่ดังแทนที่เขาจะไม่พอใจ
เขากลับยิ้มอย่างมีความสุข
เอาปืนเก็บที่เอวด้านหลังนั่งลงกราบสามครั้งแล้วเดินเข่าเข้ามากอดขาสนทนากับหลวงปู่
“ผมเสือขาวเดินทางมาจากหนองโดน” (หนองโดนสระบุรี) ตั้งใจมากราบท่านอาจารย์โดยเฉพาะ
แล้วเสือขาวก็ขอของขลัง หลวงปู่ให้เสือขาวเอาลูกปืนที่ลั่นไกไม่ดังเมื่อสักครู่นี้ ออกมาแล้วหลวงปู่เสกลูกปืนด้าน ลูกดังกล่าวให้เสือขาว และพูดกับเสือขาวว่า
“โยมขาวขอของขลังอาตมาก็ให้แล้วอาตมาจะขออะไรโยมขาวบ้างได้ไหม”
"ถ้าไม่เกินวิสัยยืนดีครับอาจารย์” เสือขาวตอบ หลวงปู่จึงขอว่า
“อย่าเบียดเบียนชีวิตคน เรื่องสินทรัพย์อาตมาไม่ขอ เพราะมันเป็นอาชีพของโยม”
“ได้ครับอาจารย์”
เสือขาวตอบ เพราะเป็นสิ่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ไม่สุด วิสัยจริงๆ ผมจะทำตามที่ท่านอาจารย์ขอ” เสือขาวสนทนากับหลวงปู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนไปเสือขาวให้หลวงปู่เสกลูกปืนให้อีกหลายลูก และให้เงินทายกไว้สร้างวัดหนึ่งถุง
(ดูเหมือนเสือขาวจะรู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ เพราะแทนที่เสือขาวจะถวายเงินกับหลวงปู่ ก็กลับเอาเงินนั้นให้ทายกแทน เพราะเป็นเงินที่ไม่ควรแก่การถวายพระ)
ชาวบ้านบอกว่าเสือขาวเป็นคนมือไม้อ่อนยิ้มแย้มแจ่มใสก่อนไปเดินทักทายชาวบ้านยังกับพวกนักการเมืองออกหาเสียง ที่นำมาเล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในคุณวิเศษของหลวงปู่หล้าเท่านั้น โอกาสหน้าหากมีจะนำมาเสนอใหม่
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 15:28
คาถาสามพันตึง
อาจานสวงผีบ่อเอา
อะ ปา ยะ คะ มา นิ มา ใช้ในทางเรียกข้าวของเงินทอง เสน่หาเมตตาใช้ทำสีผึ้งดีนักแล
อะ ปา ยะ คะ มา นิ ยา ใช้ในทางขับไล่ภูตผีปีศาจ นกหนูปูปีกคุณไสยมนต์ดำเขียนใส่กระดาษหรือผ้าดีนักแล
อะ ปา ยะ คะ มา นิ ยัน ใช้ในทางป้องกันปืนผาหน้าไม้คุฯไสยผีร้ายทุกอย่างใช้ทำตะกรุดอุดปืนอยู่แล เสกด้ายสวมคอกันคุณไสยภูตผีดีนัก
ยกครูใช้ขัน ๕ ผ้าขาว ๑ วา หนังสือธรรมะ ๑ เล่ม
สุดแท้แต่จะอธิษฐานใช้เป็นคาถา สาระพัดนึกแล
อาจานสวง จะเป็นหลวงปู่สรวงหรือเปล่า ไม่มีใครรู้
แต่ฉายาที่ว่าผีบ่อเอา ซึ่งหมายถึง คนตายยาก อายุยืน ชวนให้คิด และปี พ.ศ.๒๔๖๓
หลวงปู่หล้าจำพรรษาที่จังหวัดศรีสะเกษ พื่อศึกษาวิชชาอาคม ก็อยู่ในสถานที่ดำรงชีพส่วนใหญ่หลวงปู่สรวง
และเครื่องบูชาครู ขัน ๕ หมายถึงกองแห่ง ขันธ์ต้องรู้ ต้องละอันได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ผ้าขาวหนังสือธรรมะ คือการทำจิตให้บริสุทธิ์ด้วยหลักธรรทคำสอนของพระพุทธองค์ ดูเป็นพุทธาคมแฝงด้วยธรรมะ
เหตุนี้เป็นต้นตำราสามพันตึงต้องเป็นผู้มีธรรมสูงส่งทีเดียว ผู้รู้จงพิจารณาดูเอา
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 15:37
วัตถุมงคล
หลวงปู่หล้า อุตฺตโม (วาจาสิทธิ์)
หลวงปู่หล้า วาจาสิทธิ์ เทพเจ้าแห่งตำบลเกาะแก้ว แดนแห่งไกปืนเทียงในสมัยนั้น เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าดงดิบมีทั้งเสือสิงห์กระทิงช้างและสัตว์นานาชนิด อาศัยอยู่มากมาย ในน้ำก็มีจระเข้ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่แห่งสายน้ำ ดังคำที่ว่าจระเข้เจ้าแห่งนที อินทรีเจ้าแห่งเวหา พยัคฆาเจ้าแห่งพงษ์ไพร ในเขตตำบลเกาะแก้วมีลำน้ำอันเกิดจากธรรมชาติอยู่สายหนึ่ง เรียกชื่อว่าลำน้ำห้วยใหญ่ ลำห้วยสายนี้มีวังลึกอยู่ที่หนึ่ง ชุมชนในย่านนี้ เรียกวังน้ำแห่งนี้ว่า วังโพรงตะเข้ เพราะมีจระเข้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ประมาณปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งอพยพมาจากตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ มาตั้งรกรากประกอบสัมมาอาชีพ อยู่ข้างวังน้ำแห่งนี้ และตั้งชื่อชุมชนของตนเองว่า บ้านวังโพรงตะเข้ ต่อมาคำว่า ตะ หายไป ปัจจุบันจึงเรียกว่าวังโพรงเข้เท่านั้น เมื่อชุมชนใหญ่ขึ้นเป็นธรรมดาของชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา สิ่งที่เป็นฉัตรแก้วของชุมชน ก็คือวัดราวปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ผู้นำชุมชน คือนายชื่น ได้เป็นผู้นำในการสร้างวัด และเรียกวัดตามชื่อของหมู่บ้าน เมื่อสร้างเสนาสนะบางส่วนสำเร็จแล้ว ก็ได้ไปนิมนต์พระจากวัดแห่งหนึ่ง ในตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่สองรูป ชื่อพระโฮม กับพระหนอมมาจำพรรษา วัดของชุมชนบ้านวังโพรงเข้ก็เจริญตามสภาพมาโดยลำดับ
จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๖๔ หลวงปู่หล้า อุตฺตโม ก็มาจำพรรษาเป็นเจ้าอาวาส จนมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙
ดังกล่าวมาแล้วในฉบับก่อน
หลวงปู่หล้าตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเปรียบเสมือนเทพเจ้าของประชาชนชาวตำบลเกาะแก้ว เพราะในสมัยนั้นทางการแพทย์ยังเข้าไปไม่ถึง เมื่อยามเจ็บป่วยไข้ชาวบ้านในย่านนั้น ก็ได้อาศัยยาสมุนไพร น้ำมนต์ เวทมนต์หลวงปู่เป็นที่พึ่งแทนหมอ ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อไม่ถึงที่ตายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บที่มาเบียดเบียนหลวงปู่จึงเป็นที่เคารพนับถือของชุมชนสำหรับเป็นที่พึ่งทางใจ
ในยุคแรกหลวงปู่หล้าทำ ตะกรุดสามพันตึง แจกประชาชนเมื่อมีผู้ต้องการเป็นจำนวนมากจนหาโลหะทำตะกรุดไม่ทัน หลวงปู่จึงทำผ้ายันต์สามพันตึง ซึ้งวัตถุดิบหาง่ายกว่าแจกจ่าย จนพอเพียงแก่ความต้องการ ในปีต่อ ๆ มาเมื่อประชาชนต่างถิ่นได้ยินกิติศัพท์ของหลวงปู่หล้า และอภินิหารของตะกรุดสามพันตึง ประชาชนจึงพากันมาขอ หลวงปู่บอกว่าสร้างได้หนเดียว สร้างอีกไม่ได้ อาจารย์ห้าม แต่ผู้ที่ต้องการก็อ้อนวอนขอ หลวงปู่ทนอ้อนวอนไม่ได้ จึงสร้าง ตะกรุดหกพันตึง และ เก้าพันตึง แจกจ่ายตามลำดับ
[attach]1398[/attach]
และต่อมาไม่ทราบปี พ.ศ. นายสำราญ เครือนิล ไม่ทราบยศตำแหน่งและปลัดแสวงไม่ทราบนามสกุล ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ให้มาปราบเสือขาวและสมุน นายร้อยสำราญ เครือนิล และปลัดแสวงได้นำไก่ฟ้าสีขาว มาถวายหลวงปู่คู่หนึ่ง และขอตะกรุดหลวงปุ่ พร้อมเล่าเรื่องที่เบื้องบนสั่งให้มาปราบเสือขาว ให้หลวงปู่ฟัง จึงมาขอของขลังไปคุ้มครองตัว หลวงปู่จึงทำ ตะกรุดโทนพญาไก่แก้ว ให้ท่านทั้งสอง และคนอื่น ๆอีกไม่ทราบจำนวน หลังจากได้ตะกรุด จากหลวงปู่ไปแล้วนาน นายร้อยสำราญ เครือนิล และ ปลัดแสวงพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ ก็ปะทะกับเสือขาวและสมุน ที่ป่าข้างคลองแห่งหนึ่งห่างจากตัวอำเภอโคกสำโรงไปทางทิศเหนือ ประมาณสามกิโลเมตร เสียงปืนการปะทะกันระหว่างขุนโจรกับเจ้าหน้าที่ดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินไกลหลายกิโล ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กันประมาณ ๒๐ นาที ฝ่ายโจรก็ล่าถอย เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่เข้าเคลียพื้นที่ ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเสียชีวิตและบาดเจ็บ เลือดสักหยดก็ไม่มีให้เห็นเมื่อข่าวการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและขุนโจรชื่อดัง แพร่สพัดไปว่าไม่มีใครเป็นอะไรและมา รู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างเคยมาเอาวัตถุมงคลจากหลวงปู่หล้า ผู้คนที่ทราบข่าวนี้ต่างแห่กันมาขอวัตถุมงคลจากหลวงปู่เป็นจำนวนมาก หลวงปู่จึงสร้าง ตะกรุดมหารูดพญาไก่แก้ว แจกจ่ายแต่ผู้ที่ต้องการตะกรุดมีมากแต่ตะกรุดทำได้ช้าจึงไม่ทันแก่ความต้องการ หลวงปู่จึงให้พระจำปีแกะพิมพ์พระขุนแผนด้วยหินลับมีดโกน และสร้าง พระขุนแผนประจัญบาน แจกจ่ายให้กับประชาชนที่ต้องการอย่างทั่วถึง
[attach]1399[/attach]
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 15:44
บันทึกของพระจำปี
เรื่องราวประวัติของหลวงปู่หล้าจากนี้ไป เป็นการบันทึกลงสมุดของพระจำปี ซึ่งนายสมหมายเชื้อชัยภูมิที่เคยบวชเป็นสามเณร ในสมัยหลวงปู่หล้ายังมีชีวิตอยู่ และบวชเป็นพระในสมัยพระจำปี เป็นเจ้าอาวาสวังโพรงเข้ ต่อจากหลวงปู่หล้า
ปัจจุบันนายสมหมายอายุ ๖๖ ปี อยู่ที่จังหวัดสระแก้ว ได้นำสมุดที่บันทึกประวัติหลวงปู่หล้าในช่วงท้ายอายุของหลวงปู่มาให้พระครูวินัยธรยืมคัดลอก ซึ่งนายสมหมายกลับมาบ้านเกิด เพื่อร่วมงานผูกพัทธสีมาปิดทองฝังลูกนิมิต วัดวังโพรงเข้ระหว่างวันที่ ๓๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๘ – วันที่ ๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙
เมื่อมีโอกาสได้มานมัสการสนทนา กับพระครูวินัยธร นายสมหมายจึงได้พูดถึงสมุดบันทึกเล่มนี้ ให้พระครูวินัยธรฟัง พระครูวินัยธรจึงได้เอ่ยปากขอสมุดเล่นดังกล่าว นายสมหมายไม่ขอถวายแต่จะให้ยืมคัดลอก และได้เล่าถึงปาฏิหาริย์ของสมุดบันทึกเล่นนี้มากมาย โดยเฉพาะปี พ.ศ.๒๕๒๘ กระสุนปืนใหญ่ของเขมร ซึ่งสู้รบกันเองพลาดมาตกข้างบ้านนายสมหมาย ถึงสี่ครั้งแต่กระสุนปืนไม่ระเบิดทั้งสี่ครั้ง
สมุดเล่มนี้มีทั้งคาถาอาคม และวิธีการทำวัตถุมงคลต่าง ๆ ของหลวงปู่หล้า และพิธีกรรมประเพณีพื้นเมืองอิสานมากมาย
“ข้าพเจ้าชื่อว่าพระจำปี ปัญญาทีโป ได้สมุดมา ๑ หัว (หนึ่งเล่ม) และดินสอ ๑ แท่ง เมื่อวันที่ ๑๓ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๕ เมษายน พอศอ ๒๔๙๐ นบพระศก (นพศก) ปีกุน ปลัดแสวงถวายให้มา ตอนนี้เวลาใกล้จะ ยามต้น นั่งมองนอนมองสมุดและดินสอ อยู่อย่างภูมิใจ ไม่รู้จะเขียนอะไร เขียนเรื่องหลวงพ่อไว้ดีกว่า”
(ผู้เขียนขออนุญาตเปลี่ยนคำบันทึกที่เป็นภาษาท้องถิ่น เป็นภาษากลางและเพิ่มบางคำให้เต็มประโยค เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น จะได้ไม่เสียเวลาวงเล็บ ส่วนที่เป็นบันทึกสั้น ๆ ของแต่ละวันผู้เขียนจะขอเล่าเรื่องเองตามบันทึกนั้น ๆ)
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 15:54
อภินิหาร สีผึ้งสัมพันธ์ตึง พระขุนแผนไก่แก่ฯ
[attach]1392[/attach]
หลังจากหลวงพ่อสร้างพระขุนแผนประจัญบานแล้วก็ไม่สร้างอะไรอีกหลายปีและก็ไม่รับแขกด้วย หลวงพ่อเข้าไปอยู่ในป่าห่างวัดหลายร้อยวา พระกับชาวบ้านต้องตามไปสร้างกุฏิให้ท่านที่ในป่าและผัดกันเอาข้าวปลาอาหารไปถวาย
ปี พ.ศ.๒๔๙๐ หลวงพ่อก็ออกจากป่ามาอยู่วัดตามปกติหลังจากหลวงพ่อออกจากป่ามาแล้วท่านก็เปลี่ยนแนวการสร้างวัตถุมงคลทางคงกระพันชาตรี มาเป็นทางเมตตา ในปีดังกล่าวหลวงพ่อได้ทำ สีผึ้งสัมพันธ์ตึง และสร้าง พระขุนแผนไก่แม่ปลาช่อน แจกจ่าย
เวลามีคนมาขอหรือบูชา สีผึ้งสัมพันธ์ตึงกับหลวงพ่อ ผู้หญิง หลวงพ่อจะให้รับสีผึ้งมือซ้าย ผู้ชายจะให้รับมือขวา เมื่อรับแล้วจะให้ยื่นมือข้างที่รับออกไปจนสุดแขน และให้ดมที่มืออีกข้างหนึ่งถ้าใครไม่ได้กลิ่นสีผึ้งหอมผ่านมาที่มืออีกข้างหนึ่งไม่ต้องเอาไป แต่ก็ปรากฏว่าทุกคน ที่ได้รับสีผึ้งก็จะได้กลิ่นหอม ผ่านมือผ่านแขน มาอีกข้างหนึ่ง
หลังจากหลวงพ่อแจกสีผึ้งสัมพันตึง และพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนได้ไปประมาณสองเดือน ก็เริ่มมีญาติโยมมาต่อว่าหลวงพ่อ ถึงอภินิหารสีผึ้งสัมพันตึง และพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน ซึ่งก้มีการต่อว่าซึ่งไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก โดยเฉพาะโยมผู้หญิงซึ่งไม่ชอบใจเลยกับสีผึ้งสัมพันตึง และขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน มีโยมผู้หญิงหลายคนที่แอบขโมยสีผึ้ง และขุนแผนดังกล่าวของโยมผู้ชายมาคืนหลวงพ่อ และยิ่งนานวันก้อมีโยมผู้หญิงมาต่อว่ามากขึ้น จนวันหนึ่งคุณนายของท่านสำราญ เครือนิล และคุณนายปลัดแสวง นำภัตตาหารเพลมาถวายหลวงพ่อ และก้อต่อว่าหลวงพ่อถึงเรื่องความขลังของสีผึ้งสัมพันตึง กับพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน เมื่อคุณนายทั้งสองกลับไปแล้ว หลวงพ่อก้อพูดกับผมว่า
"คือสิบ่เข้าท่าแล้วละ เจ้าจำปีเอ๊ย บ่คึดว่ามันสิขลังปานนี่หน่ะ"
<คงไม่ได้การแล้วนะเจ้าจำปี ไม่คิดว่ามันจะขลังขนาดนี้>
และคืนวันนั้นหลังจากพระลูกวัดเข้าห้องจำวัดกันหมดแล้ว หลวงพ่อท่านก้อนั่งสมาธิหน้าพระประธานที่ใช้ทำวัดสวดมนต์ประจำ ผมรู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่เหนหลวงพ่อนั่งสมาธิตรงนั้น เพราะปกติหลวงพ่อจะนั่งสมาธิในห้องของท่าน
[attach]1400[/attach]
พอตีสี่ผมก้อตื่นขึ้นมาตีระฆังทำวัตรเช้าตามกิจวัตรที่เคยปฏิบัติมา เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก้อมาจุดเทียนหน้าพระประธานที่ทำวัตรสวดมนต์ พอแสงไฟจาเเปลวเทียนสว่างขึ้น ผมต้องแปลกใจเมื่อเหนตลับสีผึ้งหลากหลายรูปแบบ และพระขุนแผนกองอยู่บนเสื่อ หน้าพระประธ่นที่หลวงพ่อนั่งสมาธิเมื่อคืนนี้เปนจำนวนมาก ผมจึงพูดกับพระลูกวัดด้วยกันว่า "หลวงพ่อเอาสีผึ้งกับพระขุนแผนมาจากไหนอีก ก้อแจกจ่ายไปหมดแล้วนี่นาทำไมเหลือมากขนาดนี้" แต่พอพิจารณาดูก้อรู้ว่าเปนสีผึ้งและพระขุนแผนที่แจกญาติโยมไปแล้วนั่นเอง ผมขนลุกไปทั้งตัวจนต้องยกมือขึ้นกุมหัว
เหมือนคนหวาดเสียวสุดขีด<ขนลุกขนชัน>แม้ตอนเสือขาวยกปืนยิงใส่หลวงพ่อก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนหลวงพ่อเรียกงัวโยมโสมขึ้นจากหล่มก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนเอาไม้เท้าหวายทิ่มพุงโยมลาให้ฟื้นจากงูจงอางกัดก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนช้างพวกอโยธยาจับควนฟาดกับพื้นและกระทืบซ้ำก้อไม่รู้สึกอย่างนี้ ตอนเรียกจระเข้ขึ้นจากสระก้อไม่รู้สึกอย่างนี้
เมื่อหลวงพ่อออกจากห้องทำวัตรเช้าผมก็ถามหลวงพ่อว่า ทำไมหลวงพ่อเรียกของกลับคืนมาหมด ทำไมไม่ถอนอาคมเฉย ๆ หลวงพ่อตอบว่า วิชาอาคมที่ทำลงไปแล้วเขาไม่ถอนกันดอก ถ้าถอนของที่ทำไปแล้วทำครั้งต่อไปก็จะไม่ขลัง หรือของที่ทำแล้วและให้เขาไปหมดแล้ว
ก็ไม่ต้องกลับไปทำซ้ำอีก ต้องทำอย่างอื่นไปเรื่อย ๆ ดัดแปลงเอาอันเก่านั่นแหละแต่ไม่ทำแบบเก่า ทำของพวกนี้มีพลังเท่าไหร่ต้องอักใส่ให้หมด หมดแล้วหมดเลย กลับไปทำอีกมันก็ไม่ขลัง เพราะมันหมดแล้วในจุดนั้น ๆ อย่าคิดกลับไปทำอีก นี้คือเคล็ดลับในการทำของขลัง
(เคล็ดลับของแต่ละรูปอาจไม่เหมือนกัน * วินัยธร)
เมื่อทำวัตรสวดมนต์เช้าเสร็จแล้วหลวงพ่อก็ให้ผมกับพระเอาสีผึ้งสัมพันธ์ตึงและพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนไปฝัง พอได้อ่านบันทึกเรื่องนี้แล้ว พระครูวินัยธรจึงสืบหาพระจำปีและได้ทราบจากนายบุญมี บุญเกตุ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังโพรงเข้ปี พ.ศ.๒๕๐๙ – พ.ศ.๒๕๑๓ ว่าพระจำปีได้ลาสิกขาไปเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๙ ปัจจุบันไปอยู่ที่บ้านหินตุ้ม อำเภอบ้านไร่จังหวัดอุทัยธานี พระครูวินัยธรจึงไปสืบหาและได้พบอดีตพระจำปีซึ่งมีอายุถึง ๘๒ ปี พระครูวินัยธร จึงถามถึงเรื่องสมุดบันทึกประวัติหลวงปู่หล้า ซึ้งปู่จำปียังจำได้ดีว่าท่านเคยบันทึกไว้จริง เมื่อถามถึงเรื่องหลวงปู่หล้าให้ฝังสีผึ้งกับพระขุนแผนปู่จำปีตอบว่าจริงและบอกสถานที่ฝังคือโคนต้นมะขามที่เสือขาวทดลองยิงหลวงปู่หล้า พอกลับมาวัดพระครูวินัยธรจึงให้พระลูกวัดช่วยกันขุดดู ขุดลึกลงไปประมาณ ๖๐ เซนติเมตรก็พบพระขุนแผนและตลับสีผึ้งเป็นจำนวนมาก พระขุนแผนเกือบจะทั้งหมดแตกหักและเปื่อยยุ่ย ที่ยังสมบูรณ์อยู่มีเพียง ๓๔ องค์เท่านั้น ส่วนพระที่แตกหักรวมได้ประมาณสี่บาตร พระครูวินัยธรเอาฝังไว้ที่ฐานพระประธานโบสถ์รวมทั้งตลับสีผึ้งซึ้งเนื้อในมีสภาพเป็นดินหมดฝังรวมไว้ด้วยกัน ในโอกาสต่อไปอาจจะได้นำเอาพระขุนแผนที่สมบูรณ์ทั้ง ๓๔ องค์ขึ้นมาให้เช่าบูชา และพระขุนแผนที่แตกหักขึ้นมาบดทำใหม่ รวมทั้งจะกลั่นกรองเอาเศษสีผึ้งมาเป็นมวลสารในการทำสีผึ้งสัมพันธ์ตึงขึ้นใหม่อีกด้วย
ท่านที่สนใจชื่นชอบของเก่าคอยติดตามชมพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนใน วัตถุอาถรรพ์ ซึ่งจะนำเสนอเร็ว ๆ นี้
[attach]1393[/attach]
หลังจากหลวงปู่หล้าได้เรียกของคือพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน และสีผึ้งสัมพันธ์ตึงกลับคืนมาเพราะเหตุแห่งปาฏิหาริย์ของวัตถุมงคลดังกล่าวสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้เป็นพ่อเป็นแม่ที่มีลูกหญิงลูกชายที่ยังไม่ควรแก่การมีครอบครัว โดยเฉพาะคุณแม่บ้านที่มีอุดมการณ์อย่างหนึ่งที่เหมือน ๆ กันทั้งโลกคือ เสียทองท่วมหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร ต่างก็โล่งใจที่ได้ทราบข่าวนี้ ผู้คนก็ต่างพากันก็อัศจรรย์ใจในคุณวิเศษของหลวงปู่ ที่เรียกของคือพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนและสีผึ้งสัมพันธ์ตึงนับพันชิ้นซึ่งตกอยู่ทั่วสารทิศกลับคืนมาได้หมด การสร้างปาฏิหาริย์ของหลวงปู่หล้าในครั้งนี้ ทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่แผ่กระจายไปทั่วเขตอำเภอโคกสำโรง แม้วัดหลวงปู่หล้าจะอยู่กลางป่าไม่มีถนนสำหรับวิ่งแต่ผู้คนในตัวอำเภอโคกโรง และอำเภอใกล้เคียงต่างก็ดั้นด้นเดินเท้า เพื่อมานมัสการขอของดีกับหลวงปู่เสมอตลอดมา
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 15:58
ปาฏิหาริย์แห่งอริยสงฆ์
[attach]1401[/attach]
เมื่อหลวงปู่เรียกพระขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อนและสีผึ้งสัมพันธ์ตึงที่ตกไปอยู่ทั่วสาระทิศกลับคืนมา ผู้คนต่างพากันอัศจรรย์ใจในคุณวิเศษของหลวงปู่ ความอัศจรรย์ใจในครั้งนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าการที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องพระอาจารย์รูปนั้นรูปนี้เหาะเหินเดินอากาศหรือย่นย่อระยะทางได้ หรือแม้กระทั่งบางรูปไปงานนิมนต์สองแห่งได้ในเวลาเดียวกัน (แยกร่าง)
เรื่องปาฏิหาริย์ของพระอริสงฆ์เหล่านี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อของคนนอกหรืออยู่เปลือกนอกศาสนา แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้ที่นั่งใกล้พระศาสนา นอกจากปาฏิหาริย์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นกับตัวของพระผู้ทรงคุณวิเศษที่เราเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วหลายต่อหลายรูป วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกอธิษฐานจิตไว้ก็สร้างปาฏิหาริย์ให้ได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ
ในอดีตเช่นเรื่องทหารฝรั่งเศส ว่าทหารไทยเป็นทหารผียิงเท่าไหร่ก็ไม่ตาย ครั้งสงครามอินโดจีน ปีพ.ศ.๒๔๘๕ ก็เพราะทหารไทยมีพระชินราชของวัดสุทัศน์เป็นเครื่องป้องกันตัว หรือเมื่อ วันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๙ ที่ผ่านมานี่เอง นายสมศักดิ์ ทุนนา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านวังโพรงเข้ ขับรถกระบะประสานงากับรถบรรทุกที่หน้ากรมที่ดินอำเภอโคกสำโรง รถนายสมศักดิ์ กระเด็นไปไกลหลายสิบเมตรสภาพรถพังยับจนซ่อมไม่ได้ ใครเห็นก็ว่าคนขับไม่รอด ผู้คนที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์พากันไปดูที่รถเพื่อจะช่วยเหลือ ปรากฏว่าไม่เห็นคนขับอยู่ในรถ จึงพากันเดินหาและเห็นนายสมศักดิ์นอนสลบเหมือบอยู่ร่องริมถนนห่างจากจุดที่ถูกชนประมาณ ๕ เมตร ต่างพากันงงว่าคนขับหลุดออกจากรถได้อย่างไร แม้แต่ตัวนายสมศักดิ์เองพอรู้สึกตัวก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ว่าตัวเองหลุดออกจากรถตอนไหน จำได้แต่ว่าพอเร่งแซงรถคันหน้าก็เห็นรถบรรทุกวิ่งสวนมาอยู่ห่างกันไม่ถึง ๓๐ เมตร สุดวิสัยที่หลบเลี่ยงได้ รู้สึกตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกสุดท้ายได้ยินเสียงดังโครมจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย เมื่อเห็นนายสมศักดิ์ ไม่เป็นอะไร บาดแผลก็ไม่มี แต่มีรอยบวมช้ำที่ศรีษะซักขวากับข้อศอกและหัวเข่าขวาเท่านั้น ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันถามว่ามีของดีอะไร
นายสมศักดิ์จึงดึงสร้อยคอออกจากเสื้อโชว์พระปิดตาหยกคำหลวงปู่หอม และเหรียญหลวงปู่หล้าปี๒๕๓๗ ให้ดู ส่วนที่เอวก็มีตะกรุดชุดสามพันตึง หกพันตึง เก้าพันตึงของพระอาจารย์โทน (พระครูวินัยธรอุดร) ที่สร้างตามตำหรับหลวงปู่หล้าทุกอย่าง และในอดีตเมื่อเจ็ดสิบแปดสิบปีที่ผ่านมา วัตถุมงคลของหลวงปู่หล้าเป็นที่เลื่องลือไปทั่วเขตอำเภอโคกสำโรง ในช่วงที่ชื่อเสียงของหลวงปู่หล้ากำลังจะขยายออกไปสู่ระดับจังหวัดหลวงปู่หล้าท่านก็ได้มรณภาพเสียก่อน ชื่อเสียงของท่านจึงอยู่แค่ระดับอำเภอ บวกกับสมัยนั้นการสื่อสารไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ชื่อเสียงเกียรติคุณของหลวงปู่หล้าจึงหยุดอยู่แค่นั้น แม้ท่านจะมรณภาพไปถึง ๕๐ ปีแล้ว ก็ตามแต่คุณวิเศษของหลวงปู่หล้าและวัตถุมงคลของทานยังคงมีคนพูดถึงอยู่เสมอ
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 16:03
พญาไก่แก้วคู่บารมี หลวงปู่หล้า
นายสำรายกับปลัดแสวงเอาไก่ฟ้ามาถวายหลวงพ่อ ท่านบอกว่าพญาไก่แก้วคู่บารมีเราเอง แล้วหลวงพ่อบอกให้สองคนนั้นแก้เชือกที่ผูกขาไก่ออก เขาบอกว่าเดี๋ยวมันก็บินหนีซิครับหลวงพ่อบอกว่าปล่อยดูก่อนซิจะได้รู้ว่ามันจะหนีหรือไม่หนี ทั้งสองคนจำต้องปล่อยแล้วปรากฏว่าไก่สองตัวนั้นเดินมาหมอบอยู่ข้างเข่าหลวงพ่อข้างละตัว (ตัวหนึ่งหมอบอยู่ข้างเข่าซ้ายอีกตัวหนึ่งหมอบอยู่ข้างเข่าขวา)
และในเวลาขณะที่หลวงปู่หล้าสิ้นลมหายใจ ไก่แก้วทั้งสองตัว ที่นายร้อยสำราญและปลัดแสวงเอามาถวาย ก็บินขั้นมาตรงที่หลวงพ่อมรณะ มันขันตัวละสามที่ แล้วมันก็บินออกทางหน้าต่าง หายไปในป่าทางเหนือวัด ตั้งแต่วันนั้นมันก็ไม่กลับมาอีกเลย
วัตถุมงคลที่หลวงปู่หล้าสร้างไว้มีทั้งทางคงกระพันชาตรี ทางเมตตามหานิยม ในช่วงสุดท้ายใกล้มรณภาพหลวงปู่ได้สร้างวัตถุมงคลทางเมตตามหาลาภ และทางป้องกันภูตผีปีศาจคุณไสยมนต์ดำ ดังที่พระจำปีบันทึกไว้ว่า ปี พ.ศ. ๒๔๙๔
วันหนึ่งคุณนายท่านปลัดแสวงพาเพื่อนที่เป็นแม่ค้าขายข้าวสารและของอยู่ของกิน (อาหารแห้ง) มาหาหลวงพ่อเพื่อให้ช่วยเหลือเนื่องจากการค้าขายไม่ค่อยจะดี หลวงพ่อจึงเขียนยันต์ค้าขายใส่กระดานหินชวนให้ไป
เมื่อได้ของจากหลวงพ่อไปไม่นานนัก กิจการการค้าของเพื่อนคุณนายท่านปลัดแสวงก็เจริญรุ่งเรือง ผู้ที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าทราบข่าวนี้ต่างก็พากันมาขอของค้าขายจากหลวงพ่อ หลวงพ่อจึงสร้างแผ่นยันต์ค้าขายด้วยแผ่นทองเหลืองและทองแดงขึ้นสองชนิด คือ แผ่นยันต์พญาไก่แก้วกุกเหยื่อ สำหรับติดไว้หน้าร้าน และ แผ่นยันต์พญาไก่แก้วออกหากิน สำหรับพกติดตัวไปค้าขาย
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 16:10
หลวงปู่หล้า ผู้รู้วาระจิตแห่งตน
[attach]1391[/attach][attach]1390[/attach]
พอตกมาปี พ.ศ.๒๔๙๖ หลวงพ่อก็สร้าง มีดหมอพระกุมารด้วยตะปูเจ็ดป่าช้า ขนาดห้านิ้วทรงใบข้าวสร้างจำนวน ๙๙ เล่ม พอสร้างมีหมอพระกุมาร แล้วหลวงพ่อก็บอกผมว่า
“หยุดสร้างแค่นี้ไม่สร้างอะไรอีกแล้ว”
ส่วนใครจะสร้างอะไรมาให้เสกก็จะเสกให้
" ผมจะอยู่ไม่ถึงกึ่งพุทธกาลขอหยุดทำกิจที่ควรทำ(กิจเพื่อหลุดพ้น) ในช่วงสองสามปีสุดท้ายของชีวิต”
เมื่อพระสงฆ์และฆราวาสทั้งใกล้และไกลได้ทราบเรื่องว่าหลวงพ่อจะอยู่ไม่ถึงกึ่งพุทธกาลต่างพากันเศร้าโศกเสียใจบางคนก็ถึงกับร้องไห้โฮเลยทีเดียว และต่อมาเมื่อปลัดแสวงทราบเรื่องนี้ท่านจึงมาเป็นประธารประชุมชาวบ้านเพื่อสร้าง เหรียญรูปเหมือนหลวงปู่หล้า ไว้เป็นอนุสรณ์
วันที่ ๔ กรกด จันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะแม สับตะสก ๒๔๙๘ ปลัดแสวงไปเรียนปกครองกว่าปีที่เมืองกรุง (วันจันทร์ที่ ๔ กรกฎาคม ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะแม สัปตศก พ.ศ.๒๔๙๘ ปลัดแสวงไปศึกษาหรืออบรมด้านการปกครองต่อที่เมืองหลวง) ได้กลับมาเยี่ยมหลวงพ่อและทำบุญวัยเข้าพรรษา เมื่อได้ทราบว่าหลวงพ่อจะอยู่ไม่ถึงกึ่งพุทธกาล ปลัดแสวงนั่งนิ่งน้ำตาซึมไม่พูดจาอยู่พักหนึ่ง เมื่อทำบุญเสร็จแล้วปลัดแสวงจึงชวนชาวบ้านสร้างเหรียญหลวงพ่อ ชาวบ้านทุกคนเห็นด้วยจึงตกลงกัน ดังนี้
ปลัดแสวงออกเงิน ๓ ชั่ง นายโสภา ผาสี ๓ ชั่ง นายร้อยสำราญ ๓ ชั่ง (น่าจะเป็นคนเดียวกันกับนายสำราย เครือนิล ที่นำเจ้าหน้าที่ยิ่งต่อสู้กับเสือขาวที่กล่าวมาแล้วในฉบับก่อน) โยมกิมไล้ ๕ ชั่ง (น่าจะเพื่อนคุณนายปลัดแสวงที่มาขอของค้าขายกับหลวงปู่) และชาวบ้านคนละเล็กละน้อยอีกส่วนหนึ่ง เมื่อตกลงกันแล้วหลวงพ่อจึงบอกว่าให้เอาฆ้องแตกนี้ไปทำเดี๋ยวจะลงยันต์ให้
พอตกกลางคืนหลวงพ่อก็ลงยันต์ที่ฆ้อง พอแจ้ปลัดแสวงก็เอาฆ้องลงยันต์และเอาคนมาถ่ายรูปหลวงพ่อไปแกะพิมพ์ทำเหรียญที่เมืองกรุง ในพรรษานั้นพระจำปีบันทึกว่า หลวงปู่แสดงธรรมเองทุกวันพระให้โยมฟังและแสดงนานกว่าทุกพรรษาที่ผ่านมา ตอนเย็นหลังจากทำวัตรเสร็จก็จะอบรมพระเณรและพานั่งสมาธินานกว่าทุก ๆ พรรษาเช่นกัน
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 16:22
สิ้นแล้วร่มเงาไม้ใหญ่ แห่งโคกสำโรง
[attach]1385[/attach]
วันที่ ๗ เมถุน พระฤาหัดสะบอดี แรม ๑๕ ค่ำ ปีวอก อัดถะศก อะธิกามาด ๒๔๙๙ (วันพฤหัสบดีที่ ๗ มิถุนายน แรม ๑๔ ค่ำ ปีวอก อัฐศก มีอธิกามาส พ.ศ. ๒๔๙๙) เวลาบ่ายสามโมงเย็นเศษๆ หลวงพ่อก็สิ้นใจมรณะ ในเวลานั้นมีทั้งญาติโยมบ้านใกล้และไกลร้อยเกิน (กว่าร้อยคน) พระสงฆ์วัดต่างๆ อีกสามสิบสี่สิบรูปพากันมาดูใจหลวงพ่อ แทบจะทุกคนพากันร้องไห้ และในเวลานั้นเองไก่แก้วสองตัวที่นายร้อยสำราญและปลัดแสวงเอามาถวาย ก็บินขั้นมาตรงที่หลวงพ่อมรณะ มันขันตัวละสามที่ แล้วมันก็บินออกทางหน้าต่าง หายไปในป่าทางเหนือวัด ตั้งแต่วันนั้นมันก็ไม่กลับมาอีกเลย
เวลาเกือบห้าโมงเย็น ผู้คนหลายร้อยก็ร่วมกัน อาบน้ำศพหลวงพ่อ มีหลวงพี่หอมกับนายร้อยสำราญ เป็นหัวหน้า (เป็นประธาน) และในเวลานั้นเองฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีเค้ามาก่อน (ไม่มีเมฆหรือที่ท่าว่าจะตกมาก่อนหน้านี้) หลวงพี่หอมบอกว่าเทวดาร่วมสรงน้ำศพหลวงพ่อ ผู้คนได้ฟังอย่างนั้นก็พากันขนลุกขนชัน (ขนลุกด้วยอัศจรรย์ในปาฏิหาริย์) ฝนตกลงมาสองสามอึดใจก็หาย (ก็หยุด) พออาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนผ้าครองให้ท่านใหม่ ผ้าชุดที่หลวงพ่อใส่มรณา ทั้งพระทั้งโยมต่างแย่งกันจนวุ่นวาย หลวงพ่อหอมจึงต้องให้พระช่วยกันตัดเป็นชื้นเล็กๆ แจกให้ทั่วกันทุกๆ แล้วก็นำร่างไร้วิญญาณของหลวงพ่อใส่ในโรงไม้สักอย่างงามที่นายร้อยสำราญกับโยมกิมไล้ เตรียมไว้เป็นเดือนแล้ว แล้วก็เอาโลงศพไปตั้งสวดที่ศาลา
หลังจากหลวงพ่อมรณาได้ ๕ วันปลัดแสวงจึงมาจากเมืองกรุง มาถึงก็ร้องไห้โฮแบบไม่อายใครทำให้คนอื่นที่เคยร้องไห้ไปก่อนแล้ว พากันร้องไห้ตามปลัดแสวงอีก ตลอดหกวันหกคืนมีผู้คนมางานศพหลวงพ่อวันคืนละหลายร้อยคน พระมาเกินกึ่งร้อยทุกวัน วันที่ ๑๓ เมถุน พุด ขึ้น ๖ ค่ำ ปีวอก อัดถะศก อะธิกามาด ๒๔๙๙ (...) เวลาบ่ายสองโมงเศษ ก็ทำการเผาศพหลวงพ่อ ที่ลานวัดหน้ากุฏิ มีเจ้าคุณรามมาจากนพบุรี (ลพบุรี-พระเถระระดับจังหวัดในสมัยนั้น) เป็นหัวหน้าสงฆ์ หลวงบอวอนสัก นะอะโยธะยา (คนเดียวกันกับเจ้านายใหญ่ชื่อบวรศักดิ์ สุริยงค์ ณ อยุธยา) เป็นหัวหน้าฝ่ายโยม (ประธานฝ่ายฆราวาส) วันนั้นมีผู้คนมากมายจนแน่นลานวัดไปหมด คงใกล้จะกึ่งหมื่น (เกือบจะครึ่งหมื่น) พระสงฆ์อีกเกินร้อย กว่าผู้คนจะหมด ตะวันเกือบจะตกดิน จึงได้จุดไฟกองฟอน (เชิงตะกอน) เผาศพหลวงพ่อในตอนนั้นก็เหลืออยู่แต่หลวงพี่หอม ปลัดแสวง นายร้อยสำราญ โยมกิมไล้ พร้อมชาวบ้านอีกเกือบร้อยคน พอไฟไหม้โลงวอดไป ก็ต้องแปลกใจที่เห็นจีวร ห่มครองร่างหลวงพ่อไม่ยอมไหม้แล้วร่างหลวงพ่อจะไหม้หรือ... และในตอนนั้นเวลาใกล้จะสองทุ่มแล้ว ก็มีผู้หญิงขี่ม้าเข้ามาหานายร้อยสำราญกับปลัดแสวง
ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเสือขาวขออนุญาตเข้ามาคารวะศพหลวงพ่อ ปลัดแสวงกับนายร้อยสำราญมองหน้ากันแล้วก็บอกผู้หญิงคนนั้นให้เสือขาวเข้ามาได้ ผู้หญิงคนนั้นหายไปพักหนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมเสือขาวและสมุนอีกเกือบสิบคน พอมาถึงพากันคุกเข่ากราบศพหลวงพ่อที่ไปกำลังลุกไหม้อยู่พอกราบศพหลวงพ่อแล้วเสือขาวก็มาไหว้หลวงพี่หอม ไหว้ผม แล้วก็ไปไหว้ปลัดแสวงกับนายร้อยสำราญ แล้วขุนโจรกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็จับมือกัน เสือขาวพูดว่า
“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ให้ผมได้มาคารวะพระอาจารย์ วันนี้เราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน วันต่อไปท่านเจอผมขอท่านทั้งสองจงปฏิบัติตามหน้าที่ของท่านเถิด อย่าได้คิดว่าเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เลย”
แล้วเสือขาวพร้อมสมุนก็ขึ้นม้าลาจากไปกับความมืดผมรู้สึกชอบน้ำใจเสือขาว ที่มีสัมมาคารวะให้ความเคารพยำเกรงต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่เข้ามาโดยภาระการ ทั้งที่มีกำลังเหนือกว่าในเวลานั้น
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมามีข่าวว่าเสือขาวถูกเจ้าหน้าที่ยิงตายที่อะโยธะยา จึงไม่เป็นความจริง ตอนนั้นหลวงพ่อยังอยู่มีคนมาบอกว่าเสือขายตายแล้ว หลวงพ่อได้แต่หัวเราะ หึ ๆ แสดงว่าหลวงพ่อรู้แล้ว ว่าเสือขาวยังไม่ตายตามข่าวที่เขามาบอก แต่ตอนนั้นผมไม่เข้าใจที่หลวงพ่อหัวเราะ
เมื่อเสือขาวพร้อมสมุนกลับไปแล้ว ก็หันมาดูร่างหลวงพ่อที่อยู่ในกองไฟ และไม่มีทีท่าว่าไฟจะไหม้ร่างหลวงพ่อเลย หลวงพี่หอมจึงขวนผมและโยมสำเภา (ลูกชายหลวงปู่หล้า) ไปจุดธูปบอกวิญญาณหลวงพ่ออย่าให้เป็นอย่างนี้เลย ปล่อยให้ไฟไหม้ร่างไปเถอะจะได้ไม่อุจาด เมื่อเราสามคนจุดธูปบอกวิญญาณหลวงพ่อแล้วก็มานั่งดูตามเดิม ดูอยู่พักใหญ่จนไฟสิ้นเปลว เหลือแต่ถ่านแดง ๆ ที่ยังลุกโพลงร้อนระอุอยู่ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าร่างหลวงพ่อจะไหม้เลย ตอนนี้มีชาวบ้านออกมาดูกันเต็มไปหมด หลวงพี่หอมจึงชวนผม นายร้อยสำราญ ปลัดแสวง โยมสำเภา โยมกิมไล้ นายภา ทายกจำปา มานั่งปรึกษาหารือกันที่บนกุฏิว่าจะทำอย่างไรกันดีกับศพหลวงพ่อ ปลัดแสวงพูดว่าจะเก็บศพหลวงพ่อไว้ และจะไปซื้อโลงแก้วไร้อากาศ (สูญกาศ) มาใส่ศพหลวงพ่อเก็บไว้ หลวงพี่หอมไม่เห็นด้วย บอกว่าบ้านป่าเมืองดงเก็บไว้ก็ลำบาก จึงตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะเอาบันไดแม่หม้ายมาทำฟืนเผาดูอีกที (วิธีล้างอาถรรพ์ ตามความเชื่อโบราณ)
[attach]1386[/attach]
วันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็ช่วยกันหาฟืนมาทำกองฟอน (เชิงตะกอน) เพื่อเผาร่างหลวงพ่ออีกเที่ยวหนึ่ง พอใกล้จะเพลก็พร้อมที่จะทำกองฟอนใหม่ ชาวบ้านและพระก็ช่วยกันยกร่างหลวงพ่อออกจากกกองขี้เถ้า เพื่อจะเอาฟืนเข้าไปวางทำกองฟอนในที่เดิม พอเข้าไปจับร่างหลวงพ่อผ้าจีวรที่ห่อร่างหลวงพ่ออยู่ ก็กรอบเป็นขี้เถ้าไปหมด จึงต้องเอาจีวรผืนใหม่มาห่อร่างหลวงพ่อไว้อีก ไม่วายที่ผู้คนจะแย่งเอาขี้เถ้าจีวรหลวงพ่อ รวมทั้งตัวผมด้วย พอทำกองฟอนเสร็จ ก็เอาบันไดโยมเป้ที่เป็นแม่หม้ายวางบนกองฟอน แล้วก็เอาร่างหลวงพ่อวางบนบันไดนั้น แล้วก็ทำพิธีจุดไปเผาโดยหลวงพี่หอมเป็นคนจุด เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงไฟลุกไหม้จนบันไดเป็นถ่านแดงจวนจะหมดแล้ว ร่างหลวงพ่อก็ยังอยู่เหมือนเดิม ถึงตอนนี้มีผู้คนบ้านอื่นมาดูกันเป็นจำนวนมาก เมื่อบันไดไม่สามารถล้างอาถรรพ์ได้ พ่อเฒ่าเหลี่ยมจึงให้พวกโยมผู้หญิง ที่เป็นแม่หม้ายไปเอาผ้าถุงมาคนละผืน เอามาแล้วก็เอาใส่ไฟลอบ ๆ กองฟอน โดยไม่ให้ถูกร่างหลวงพ่อ อึดใจเดียวไฟก็ไหม้ผ้าถุงหมด แต่ร่างหลวงพ่อยังอยู่เหมือนเดิม แม้แต่เส้นผมกับผ้าจีวรที่ห่มให้ใหม่ ก็ยังไม่ไหม้เหมือนเดิม จนใกล้จะห้าโมงเย็นกองฟอนก็เหลือแต่ขี้เถ้า ร่างหลวงพ่อยังอยู่เหมือนเดิม หลวงพี่หอมจึงตัดสินใจให้ฝังร่างหลวงพ่อไว้ที่ตรงเผานั้นเอง และก็ไม่มีใครขัด ชาวบ้านจึงช่วยกันขุดหลุม ใกล้จะสองทุ่มก็ขุดหลุมเสร็จ แล้วก็ทำพิธีฝังร่างหลวงพ่อไว้ตรงนั้น และตกลงกันว่าอีกสามปีจึงจะขุดเอากระดูก หลวงพ่อขึ้นมาทำบุญใส่ธาตุ (ใส่เจดีย์) ไว้บูชา พอวันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็ออกมาร่วงกันทำบุญ ๗ วัน อุทิศส่วนกุศลไปให้หลวงพ่อตามประเพณี พอทำบุญเสร็จก็ช่วยกันทำรั้วล้อมตรงที่ฝังร่างหลวงพ่อไว้ แล้วก็เอาหญ้าแฝกและหญ้าแพรกมาปลูกที่หลุมศพหลวงพ่อตามประเพณีเช่นกัน
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 16:28
พระคาถามหาเย็น
หลวงปู่หล้า วัดวังโพรงเข้ จ.ลพบุรี
พุทธังเย็นจิต ธัมมังเย็นใจ สังฆังเย็นทั้งภายนอกภายใน นะมะพะทะ
พุทธังคุม ธัมมังคุม สังฆังคุม สาระพัดคุ้มครอง มะพะทะนะ
สัพพะอักขระคาถา อยู่ในเสมานาแห่ง พุทธะคุณณัง ธัมมัคุณัง สังฆะคุณัง พะทะนะมะ
นะเย็น โมเย็น พุทเย็น ธาเย็น ยะเย็น ทะนะมะพะ สวาหะ
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 16:32
ขุนแผนไก่แก่แม่ปลาช่อน
[attach]1388[/attach]
ขุน ไก่แก่ชาญเชี่ยวด้วย เชิงชัย
แผน ปลาช่อนหลายขวบขัย แก่กล้า
ไก่ กุ๊กเหยื่อยซ่อนความนัย ราคะ
แม่ สาวใหญ่ดูทีช้า เล่ห์นั้นมากหลาย
ปลา กาลกัดกินสบจิต ปรารถนา
ช่อน ร้อยมายาพันเล่ห์ แสนกลลวง
[attach]1389[/attach][attach]1387[/attach]
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 16:43
หลวงปู่หล้า พระเกจิผู้มีพลังจิตล้ำลึก
หลวงพ่อเดิมท่านยังยอมรับในพลังจิตของหลวงปู่หล้า
ทั้งๆที่ไม่เคยเห็นหน้ากัน !!
[attach]1396[/attach]
ครั้งหนึ่งคราวกาลก่อนนั้น หลวงพ่อเดิมท่านได้รับนิมนต์มาปลุกเสกวัตถุมงคล
ณ.วัดแห่งหนึ่ง ใน จ.ลพบุรี
เป็นที่ทราบดีว่าชื่อเสียงหลวงพ่อเดิมในยุคนั้นท่านโด่งดังมาก
หลวงปู่หล้า..ท่านได้ให้คนในวังโพรงเข้
นำเทียน(เล่มเล็กที่จุดบูชาพระ)ไปถวายให้หลวงพ่อเดิม
เมื่อเดินทางไปถึงจึงรอเวลา เพราะช่วงหลวงพ่อเดิม ท่านพุทธาภิเษก
แล้วเสร็จ จะมีผู้คนห้อมล้อมกราบนมัสการและขอของดีจากท่านมากมาย
จนผู้คาเริ่มจะบางตา จึงเร่งนำเทียนไปถวายท่าน
และเมื่อหลวงพ่อเดิม ท่านรับเทียน จากชายดังกล่าว
ท่านก็มอบให้ผ้าไตรจีวร ให้กลับมา และไม่ได้กล่าวอะไรอีก
การสื่อสารของพระอริยะ มันเป็นเรื่อง อจินไตย
อย่างเมื่อครั้งหลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวกฯ ท่านเดินทางไปเยี่ยม
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ตอนที่ท่านอาพาธ เมื่อเดินทางไปถึงท่านนั่ง
สงบนิ่งอยู่หน้าห้องชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วท่านก็กราบหลวงปู่ดุลย์อยู่ที่หน้าห้อง
แล้วท่านก็เดินทางกลับ และเมื่อมีคนถามท่านว่า หลวงปู่ทำไมไม่เข้าไปสนธนา
กับหลวงปู่ดุลย์ ท่านตอบว่าเราพูดคุยกับท่านเสร็จแล้ว !!!!
อย่างกรณี หลวงพ่อเดิม กับ หลวงปู่หล้า ท่านคงจะมีการสื่อสารกันแล้ว
คนเก่าแก่แถววัดวังโพรงเข้ ต่างยืนยันตรงกันว่าหลวงปู่หล้าท่านไม่เคยพบกับ
หลวงพ่อเดิม และไม่มีการติดต่อสื่อสารกันมาก่อนแต่อย่างไร
นั้นเป็นเรื่องของทางโลก แต่ทางจิตวิญญาน ทางอาจจะสนิทสนมกันมาก
เกินกว่ามนุษย์ปุถุชนคนเดินดินอย่างเราจะหยั้งลึก ที่จะเข้าใจ
หลวงพ่อเดิมท่านคงยอมรับในคุณวิเศษ แห่งองค์หลวงปู่หล้า
ท่านจึงได้มอบถวายผ้าไตรจีวรมาให้ท่าน
[attach]1395[/attach]
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 16:46
หลวงปู่หล้า วาจาสิทธิ์
เกินครึ่งศตวรรษมาแล้ว
วาจาสิทธิ์ของท่าน
ก็ยังคงแสดงปฎิหารย์ให้เห็นอยู่เสมอ
[attach]1397[/attach]
เชื่อหรือไม่!! ที่โบสถ์วัดวังโพรงเข้
ไม่มีนกมาเกาะที่หลังคาโบสถ์
เกินครึ่งศตวรรษมาแล้ว !!
ทั้งๆที่วัดข้างๆห่างไปไม่ถึงกิโลดี
กลับมีนกเกาะอยู่เต็มหลังคาโบสถ์
เหมือนเช่นทุกวัดทั่วไป
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 16:53
ตะกรุดมหาทมื่น
หลวงปู่หล้า อุตฺตโม วัดวังโพรงเข้
ท่านสร้างบูชาครูเพียง 9 ดอก
[attach]1402[/attach]
คาถาโองการมหาทมื่น
โอม นะ โม พุท ธา ยะ
กูจะกล่าวกำเนิดเกิดพระมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกงไม้ไร่ ก็หักแหลกลงเป็นผุยผงทั่วทั้งเมืองสกลชมพู
กูจะลำลึกถุงครูกูใครจะสู้กูก็บ่มิได้ ครูกูจึงให้กูเล่า พระคาถาพุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ
สังฆังสะระณังคัจฉามิ ภะคะวาไชยมังคะลัง อะระหัง สุคะโต นะโมพุทธายะวันทานัง ปาสุอุชา อิสะปะมิ
พุทธสังมิ อิสวาสุ นะมะอะอุ อิกะวิติ วิสุทธิเสฐโฐ อะสังวิสุโลปุสะพุภะ อะระหังสุคะโตภะคะวา
สังวิธาปุกะยะปะ อาปามะจุปะ ทีมะสังอังขุ ทุสะมะนิ สะธะวิปิปะสะอุ ทุสะนะโส จิเจรุนิ ตันนิพพุทติง
นะมะนะอะ นอกอนะกะ กออนออะ นะอะกะอัง ตัถถะนะถะ อุมะอะยัง จิปิเสคิ คิเสปิจิ กันหะเนหะ นิระมหาสะตัง
จะภะกะสะ นะมะพะทะ กะระมะถะ จะอะภะคะ นะมะกะยะ สุสิโมพุทโธภะคะวา สุสิโมธัมโมภะคะวา สุสิโมสังโฆภะคะวา
โลกะนาโถมหิทธิโก นาสังสิโม ยะถาพะลังจังงังเหยหาย เดชะครูปัทธิยายจึงให้เป็นกำแพงเพชรทั้ง 7
ชั้นกันตนกู คือ พระวิภังค์พระสังฆณีพระปรมัตถะอัตถาจาริย์เจ้าจึงให้คงแก่หอกดาบแหลนหลาว
ธนูง้าวทั้งหน้าไม้ปืนไฟอย่าได้ต้องตนกู
เพชชะคงแก่ หอกเหล็ก หอกหล่อ หอกข้อเงิน หอกข้อทอง หอกสำริดกริชทองแดงคงแก่แสงฟ้าผ่า คงทั้งข้างซ้าย
คงทั้งข้างขวา คงทั้งข้างหน้า คงทั้งข้างหลัง คงทั้งนั้ งคงทั้งยืน คงทั้งหลับ คงทั้งตื่น คงทั้งกลางคืน คงทั้งกลางวันตรีเพชชะคงๆสวาหะ
โอมเอิกเกริกไตรภพตลบบาดาลเหาะทยานบนอากาศหมู่อสูรขยาดมืดมัวกลัวกูอยู่ระย่อฤาษีเล้นซุกซ้อนนอนหลับอยู่ก
ลางป่า ทั้งขโมดมารยาเหาะทยานมา ช่วยกูหนุมานหลานพระไวยบุตรสัปปะยุทธ ด้วยอินทรชิตประสิทธิสรรพางค์ล้างมารมัดตนได
้เอาไปถวายแก่ราพย์เจ้ากรุงลงกาหมู่อสูรยักษาจะฆ่ากูก็บ่มิตาย ด้วยเดชะพระนารายณ์ จุติลงมาบังเกิด
นะโมพุทธายะ ตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา เกศาผม อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา
โลมาขนอยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา นะขาเล็บ อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ
อิติปิโสภะคะวา ทันตาฟัน อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา ตะโจหนัง
อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา มังสังเนื้อ อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ
อิติปิโสภะคะวานหารูเอ็น อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ อิติปิโสภะคะวา อัตถิกระดูก
อยู่ทั้วในกายตนกูคงตรีเพชชะคงๆ คงด้วยนะโมพุทธายะ พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา บิดารักษา
มารดารักษา พระอินทรักษา พระพรหมรักษา ครูบาอาจารย์รักษา อิมังกายะพันธะนังอะธิฏฐามิ
คาถาโองการมหาทมื่น : คาถาโองการมหาทมื่น เป็นพระคาถาโบราณ ภาวนาด้วยจิตที่เป็นสมาธิ
จะเป็นคงกระพันชาตรียิ่งนัก จะใช้ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เสกข้าวกิน เสกได้สารพัดแล
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-12 16:55
ตะกรุดพญาไก่แก้วมหารูดสยบกระสุนคต
[attach]1403[/attach]
ธนูสั่ง ธนูกระสุนคดก็ว่า เป็นธนูที่ใช้กระสนดินเหนียว ปั้นเป็นเม็ดกลมๆแล้วตากแห้ง
ธนูนี้ลักษณะเป็นอย่างธนูทั่วไป ผิดกันแต่ได้รับการปลุกเสกด้วยเวทมนตร์คาถา
เชื่อว่าสามารถบังคับให้ลูกธนูไปถูกฝ่ายตรงกันข้ามส่วนไหนก็ได้ และที่พิสดาร
คือลูกธนูลูกเดียว สามารถบังคับให้ไปถูกคนหลายๆคนได้โดยไม่จำกัดทิศทาง
จึงเรียกกันว่าธนูสั่ง หรือธนูกระสุนคด
ลูกกระสุนคดบ้างตำราต้องใช้ดิน 7 โป่ง 7ป่าช้า ฯลฯ มาปั้นลูกกระสุน
ถ้ายิงออกไปสั่งเป็นสั่งตายได้ ตามปราถนา
วิชาคันธนูหรือคันกระสุนนี้ ถูกถ่ายทอดกันมาแต่โบราณคณาจารย์รุ่นเก่าๆ
ที่ท่านขมังเวท มักจะสำเร็จวิชาขมังธนูนี้ด้วย แต่เดิมนั้น
เชื่อว่าวิชานี้คงใช้ประโยชน์ในการศึกษาสงครามมากกว่าเพราะขุนพลนักรบ
โบราณต้องเชี่ยวชาญตำรับพิชัยสงคราม และชำนาญพระเวททั้งนั้น
คงต้องเรียนรู้วิชาขมังธนูนี้เพื่อการศึกเป็นแม่นมั่น ต่อมาภายหลัง
ความจำเป็นที่จะต้องใช้วิชานี้ลดน้อยลง และคณาจารย์รุ่นเก่าๆ
ก็ล้มหายตายจากไป วิชานี้จึงสูญเสียการถ่ายทอดไป
เป็นวิชาที่มีอานุภาพร้ายกล้ากว่าอาวุธใดๆในโลกนี้
กาลก่อน พ.ศ.2496
ประจันแดง (ประจัน=ทิด) จอมขมังเวทย์แห่งหนองชนะชัย นักเลงสมัยนั้น
ถ้าได้ยินชื่อประจันแดงต้องหัวหดกันเป็นทิวแถว
ด้วยแกล้งกลัวบารมีและอาคมอันแก่กล้า ของประจันแดง
ประจันแดงเป็นคนร่างใหญ่ ท่านเป็นคนอีสาน ได้บวชเรียนและ
ศึกษาเวทวิทยาคมมาก่อนและได้ธุดงค์มาอยู่วัดแถวหนองชนะชัย ลพบุรี
ต่อมาท่านได้สึกมีครอบครัวและตั้งรกราก
อยู่แถวหนองชนะชัย ท่านเป็นคนหนึ่งที่สำเร็จวิชากระสุรคด อย่างเอกอุ
มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งสมควรบันทึกไว้ในวีรกรรมของ วิชากระสุนคด แห่ง..ประจันแดง
ครั้งหนึ่ง..
ตำรวจอำเภอโคกสำโรงจะยกกำลังมาจับกุม ประจันแดง
(ด้วยเหตุอันใดเกล้ากระหม่อนก็มิทราบ) ขณะที่กำลังจะยกกองกำลังเดินลงจากโรงพัก
ทันใดนั้น...ลูกกระสุนคดก็กระทบเข้าหน้าของ..
ตำรวจ ทุกท่านท่านพร้อมกัน เป็นเหตุให้ตำรวจโคกสำโรงสมัยนั้นไม่มีใครกล้า
ที่จะยกกำลังไปปราบปรามจับกุมประจันแดงแม้นแต่งสักคนเดียว
"ด้วยแกล้งกลัวอิทธิฤทธิ์ของประจันแดง"
เป็นความมหัศจรรย์ของวิชากระสุนคดทั้งๆที่บ้านของประจันแดงห่างจาก
โรงพักกว่า 5 กิโลเมตร แต่งกระสุนอาคมสามารถยิงไปถึงอย่างน่าทึ่ง
ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงศาสตร์ธนูอาคมของ "พระราม"
น่าจะมีอยู่จริงๆ นิทาน หรือละครที่ยิ่งใหญ่ ส่วนมากแล้วจะจำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
ของวีรบุรุษบรรพชนมาจากเรื่องจริง แต่มีการแต่งเติมของ
นักเขียนจากเรื่องจริง จนกลายเป็นนิทานสมบูรณ์แบบ 100%
โดย: sriyan3 เวลา: 2013-4-13 16:39
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: chakpetch เวลา: 2013-4-15 00:18
เสือยังส่ายหน้า
เมื่อเจอกับ
ขุนแผนประจันบาน
[attach]1640[/attach]
เรื่องราวมันเกิดขึ้นในยุคอันธพาลครองเมือง
สมัยนั้นป่ายังคงเป็นป่าที่ยังมีความอุดมสมบูรณ์
สรรพสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าทั้งหมี เสือ จระเข้ ก็ยังมีอยู่มากมาย
เรื่องราวมันมีอยู่ว่า ......
นายสมบูรณ์ มีอาชีพเป็นนายพราน มักจะเข้าป่า หาของป่ามาขายอยู่เสมอ
เย็นค่ำของวันหนึ่ง นายสมบูรณ์เข้าป่าไปทางทิศเหนือจากวัดวังโพรงเข้อยู่ราว 3 กิโลเมตร
พร้อมกับสุนัขแสนรู้ คู่ใจ จุดประสงค์ในวันนั้นนายสมบูรณ์จะไปจับปลาจับเต่าตามคูคลอง มากิน มาขาย
ขณะที่นายสมบูรณ์กำลังซุ่มหาปลาหาเต่าอยู่นั้น ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คลาดฝันเกิดขึ้น
.............................
เสือโคร่งตัวหนึ่ง ที่กำลังซุ่มโจมตีนายสมบูรณ์เช่นกันก็โจนทะยาน พุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว
และ ตบมีดพร้าในกำมือนายสมบูรณ์ กระเด็นไปไกล
นายสมบูรณ์ไร้อาวุธต่อสู้ เหลือเพียงแค่มือเท้าเปล่า ที่จะใช้ยื้อชีวิต
..............................
มือเปล่า กับ เสือโคร่งตัวใหญ่
จะรอดได้ไงเนี่ย ?? พรานสมบูรณ์
...............................................
โดย: Metha เวลา: 2013-4-15 03:42
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: AUD เวลา: 2013-4-15 06:46
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-4-18 10:44
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
อยากไปหาหลวงปู่ครับ แต่เดือนนี้ไม่ค่อยมีเงินเติมน้ำมันแล้ว
ใช้เงินไปเยอะเกินกว่าที่หาได้ เลยได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้อง
ไม่ค่อยไปไหน
โดย: Nujeab เวลา: 2013-4-18 12:51
กราบสักการะหลวงปู่หล้าครับ
โดย: Nujeab เวลา: 2013-4-18 12:52
chakpetch ตอบกลับเมื่อ 2013-4-15 00:18
เสือยังส่ายหน้า
เมื่อเจอกับ
ขุนแผนประจันบาน
มีต่อไหมครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-4-18 20:03
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-4-18 12:52
มีต่อไหมครับ
จะต่ออะไร
โดย: Metha เวลา: 2013-4-20 09:43
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-4-26 10:03
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-4-28 15:49
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-4-18 12:52
มีต่อไหมครับ
เมื่อวานไม่ไป...ได้ของดีติดตัวกลับมาด้วย
โดย: sritoy เวลา: 2013-4-29 14:59
ยังไงก็ยังได้ไปอยู่ดีนะเมธ
อนุโมทนาด้วยครับ
โดย: Nujeab เวลา: 2013-4-29 15:01
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-4-18 20:03
จะต่ออะไร
ก็รอฟังต่อไงถ้ามีอ่ะนะ โธ่พี่เมธ
โดย: Metha เวลา: 2013-4-29 15:17
sritoy ตอบกลับเมื่อ 2013-4-29 14:59
ยังไงก็ยังได้ไปอยู่ดีนะเมธ
อนุโมทนาด้วยครับ ...
พี่หมอต้อย มาแล้วคร้าบ
โดย: Metha เวลา: 2013-5-4 10:04
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-5-11 12:06
หลวงปู่ครับ....กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Nujeab เวลา: 2013-5-11 12:18
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-5-13 08:55
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: kit007 เวลา: 2013-5-13 09:22
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-5-13 08:55
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
มีขุนแผนหลวงปู่กลับมาฝากมั้ยครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-5-13 09:26
kit007 ตอบกลับเมื่อ 2013-5-13 09:22
มีขุนแผนหลวงปู่กลับมาฝากมั้ยครับ
หมดแล้ว
โดย: Metha เวลา: 2013-5-20 10:09
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-6-7 11:49
กราบนมัสการครับ หลวงปู่
โดย: Metha เวลา: 2013-6-13 11:50
จะหาโอกาสพาอาจารย์ไปเยี่ยม หลวงปู่ อีกครับ
โดย: TATIE เวลา: 2013-6-13 12:01
อ้ายเมธเข้ามากราบหลวงปู่บ่อยๆ สนใจไม้โพธิ์หลวงปู่มั๊ย เหลาได้เม็ดกลมๆซักครึ่งเซ็นต์ได้
เดี๋ยวให้อาจารย์ฝังให้
โดย: Metha เวลา: 2013-6-14 10:56
TATIE ตอบกลับเมื่อ 2013-6-13 12:01
อ้ายเมธเข้ามากราบหลวงปู่บ่อยๆ สนใจไม้โพธิ์หลวงปู่ม ...
จริงหรือเปล่าครับ
โดย: TATIE เวลา: 2013-6-14 11:33
จริงสิอ้ายเมธ ให้อาจารย์ฝังใต้ลิ้นให้เลย รับรองไม่ต้องกลัวหาย
โดย: Metha เวลา: 2013-7-7 11:06
TATIE ตอบกลับเมื่อ 2013-6-14 11:33
จริงสิอ้ายเมธ ให้อาจารย์ฝังใต้ลิ้นให้เลย รับรองไม่ต ...
กลัวเจ็บน่ะซี๊
โดย: Metha เวลา: 2013-7-7 11:06
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
คิดถึงหลวงปู่น่ะครับ
โดย: TATIE เวลา: 2013-7-8 10:37
อ้ายเมธได้ขอจากอาจารย์ละยัง มีสามเม็ด
โดย: sritoy เวลา: 2013-7-8 18:42
กราบหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-7-9 15:19
TATIE ตอบกลับเมื่อ 2013-7-8 10:37
อ้ายเมธได้ขอจากอาจารย์ละยัง มีสามเม็ด ...
ยังเลยครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-7-17 14:49
กราบนมัสการหลวงปู่ครับผม
โดย: Metha เวลา: 2013-7-18 15:43
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-7-25 08:14
โดย: Metha เวลา: 2013-7-27 19:23
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-8-17 08:08
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-4-18 10:44
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
อยากไปหาหลวงปู่ครับ แต่เดือ ...
เติมแก๊สแล้วมิใช่หรือ?
โดย: Metha เวลา: 2013-8-17 08:11
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-8-17 08:08
เติมแก๊สแล้วมิใช่หรือ?
เติมแล้วครับ
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-8-17 08:15
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-8-17 08:11
เติมแล้วครับ
จะไปวันไหนเหลา
โดย: Metha เวลา: 2013-8-17 08:42
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-8-17 08:15
จะไปวันไหนเหลา
จริงหรอครับ
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-8-17 08:47
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-8-17 08:42
จริงหรอครับ
ไม่ใช่จิงโจ้นะ
โดย: Metha เวลา: 2013-8-17 09:04
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-8-17 08:47
ไม่ใช่จิงโจ้นะ
ไปได้เร็วสุดเสาร์หรืออาทิตย์ หน้าครับ
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-8-17 09:11
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-8-17 09:04
ไปได้เร็วสุดเสาร์หรืออาทิตย์ หน้าครับ ...
อาทิตย์ดีป่ะ
โดย: Metha เวลา: 2013-8-17 09:47
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-8-17 09:11
อาทิตย์ดีป่ะ
ยังไม่กล้าตอบเลยครับ
หาคนทำงานแทนยังไม่ได้
โดย: Metha เวลา: 2013-8-25 11:17
กราบนมัสการหลวงปู่ครับผม
โดย: Metha เวลา: 2013-9-2 08:57
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-9-9 08:26
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-9-9 08:28
วัตถุมงคล
หลวงปู่หล้า อุตฺตโม (วาจาสิทธิ์)
หลวงปู่หล้า วาจาสิทธิ์ เทพเจ้าแห่งตำบลเกาะแก้ว แดนแห่งไกปืนเทียงในสมัยนั้น เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ยังเป็นป่าดงดิบมีทั้งเสือสิงห์กระทิงช้างและสัตว์นานาชนิด อาศัยอยู่มากมาย ในน้ำก็มีจระเข้ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่แห่งสายน้ำ ดังคำที่ว่าจระเข้เจ้าแห่งนที อินทรีเจ้าแห่งเวหา พยัคฆาเจ้าแห่งพงษ์ไพร ในเขตตำบลเกาะแก้วมีลำน้ำอันเกิดจากธรรมชาติอยู่สายหนึ่ง เรียกชื่อว่าลำน้ำห้วยใหญ่ ลำห้วยสายนี้มีวังลึกอยู่ที่หนึ่ง ชุมชนในย่านนี้ เรียกวังน้ำแห่งนี้ว่า วังโพรงตะเข้ เพราะมีจระเข้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ประมาณปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีผู้คนกลุ่มหนึ่งซึ่งอพยพมาจากตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ มาตั้งรกรากประกอบสัมมาอาชีพ อยู่ข้างวังน้ำแห่งนี้ และตั้งชื่อชุมชนของตนเองว่า บ้านวังโพรงตะเข้ ต่อมาคำว่า ตะ หายไป ปัจจุบันจึงเรียกว่าวังโพรงเข้เท่านั้น เมื่อชุมชนใหญ่ขึ้นเป็นธรรมดาของชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา สิ่งที่เป็นฉัตรแก้วของชุมชน ก็คือวัดราวปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ผู้นำชุมชน คือนายชื่น ได้เป็นผู้นำในการสร้างวัด และเรียกวัดตามชื่อของหมู่บ้าน เมื่อสร้างเสนาสนะบางส่วนสำเร็จแล้ว ก็ได้ไปนิมนต์พระจากวัดแห่งหนึ่ง ในตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่สองรูป ชื่อพระโฮม กับพระหนอมมาจำพรรษา วัดของชุมชนบ้านวังโพรงเข้ก็เจริญตามสภาพมาโดยลำดับ
จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๖๔ หลวงปู่หล้า อุตฺตโม ก็มาจำพรรษาเป็นเจ้าอาวาส จนมรณภาพเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๙
ดังกล่าวมาแล้วในฉบับก่อน
หลวงปู่หล้าตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเปรียบเสมือนเทพเจ้าของประชาชนชาวตำบลเกาะแก้ว เพราะในสมัยนั้นทางการแพทย์ยังเข้าไปไม่ถึง เมื่อยามเจ็บป่วยไข้ชาวบ้านในย่านนั้น ก็ได้อาศัยยาสมุนไพร น้ำมนต์ เวทมนต์หลวงปู่เป็นที่พึ่งแทนหมอ ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อไม่ถึงที่ตายก็หายจากโรคภัยไข้เจ็บที่มาเบียดเบียนหลวงปู่จึงเป็นที่เคารพนับถือของชุมชนสำหรับเป็นที่พึ่งทางใจ
ในยุคแรกหลวงปู่หล้าทำ ตะกรุดสามพันตึง แจกประชาชนเมื่อมีผู้ต้องการเป็นจำนวนมากจนหาโลหะทำตะกรุดไม่ทัน หลวงปู่จึงทำผ้ายันต์สามพันตึง ซึ้งวัตถุดิบหาง่ายกว่าแจกจ่าย จนพอเพียงแก่ความต้องการ ในปีต่อ ๆ มาเมื่อประชาชนต่างถิ่นได้ยินกิติศัพท์ของหลวงปู่หล้า และอภินิหารของตะกรุดสามพันตึง ประชาชนจึงพากันมาขอ หลวงปู่บอกว่าสร้างได้หนเดียว สร้างอีกไม่ได้ อาจารย์ห้าม แต่ผู้ที่ต้องการก็อ้อนวอนขอ หลวงปู่ทนอ้อนวอนไม่ได้ จึงสร้าง ตะกรุดหกพันตึง และ เก้าพันตึง แจกจ่ายตามลำดับ
และต่อมาไม่ทราบปี พ.ศ. นายสำราญ เครือนิล ไม่ทราบยศตำแหน่งและปลัดแสวงไม่ทราบนามสกุล ได้รับคำสั่งจากเบื้องบน ให้มาปราบเสือขาวและสมุน นายร้อยสำราญ เครือนิล และปลัดแสวงได้นำไก่ฟ้าสีขาว มาถวายหลวงปู่คู่หนึ่ง และขอตะกรุดหลวงปุ่ พร้อมเล่าเรื่องที่เบื้องบนสั่งให้มาปราบเสือขาว ให้หลวงปู่ฟัง จึงมาขอของขลังไปคุ้มครองตัว หลวงปู่จึงทำ ตะกรุดโทนพญาไก่แก้ว ให้ท่านทั้งสอง และคนอื่น ๆอีกไม่ทราบจำนวน หลังจากได้ตะกรุด จากหลวงปู่ไปแล้วนาน นายร้อยสำราญ เครือนิล และ ปลัดแสวงพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ ก็ปะทะกับเสือขาวและสมุน ที่ป่าข้างคลองแห่งหนึ่งห่างจากตัวอำเภอโคกสำโรงไปทางทิศเหนือ ประมาณสามกิโลเมตร เสียงปืนการปะทะกันระหว่างขุนโจรกับเจ้าหน้าที่ดังสนั่นหวั่นไหวได้ยินไกลหลายกิโล ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กันประมาณ ๒๐ นาที ฝ่ายโจรก็ล่าถอย เมื่อเสียงปืนสงบลงเจ้าหน้าที่เข้าเคลียพื้นที่ ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเสียชีวิตและบาดเจ็บ เลือดสักหยดก็ไม่มีให้เห็นเมื่อข่าวการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและขุนโจรชื่อดัง แพร่สพัดไปว่าไม่มีใครเป็นอะไรและมา รู้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างเคยมาเอาวัตถุมงคลจากหลวงปู่หล้า ผู้คนที่ทราบข่าวนี้ต่างแห่กันมาขอวัตถุมงคลจากหลวงปู่เป็นจำนวนมาก หลวงปู่จึงสร้าง ตะกรุดมหารูดพญาไก่แก้ว แจกจ่ายแต่ผู้ที่ต้องการตะกรุดมีมากแต่ตะกรุดทำได้ช้าจึงไม่ทันแก่ความต้องการ หลวงปู่จึงให้พระจำปีแกะพิมพ์พระขุนแผนด้วยหินลับมีดโกน และสร้าง พระขุนแผนประจัญบาน แจกจ่ายให้กับประชาชนที่ต้องการอย่างทั่วถึง
|
โดย: Metha เวลา: 2013-9-12 17:00
กราบนมัสการหลวงปู่ ครับผม
โดย: Metha เวลา: 2013-9-26 09:06
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-9-26 09:10
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-9-26 09:06
แว่วข่าวมาว่า..วัดหลวงปู่โดนน้ำท่วม
ระดับน้ำสูงประมาณ 60 ซ.ม.ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-9-27 16:15
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-9-26 09:10
แว่วข่าวมาว่า..วัดหลวงปู่โดนน้ำท่วม
ระดับน้ำสูงปร ...
เมื่อไหร่ครับ
หรือว่ากำลังท่วม
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-9-27 16:39
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-9-27 16:15
เมื่อไหร่ครับ
หรือว่ากำลังท่วม
ท่วมจนแห้งไปแล้วครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-9-27 17:02
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-9-27 16:39
ท่วมจนแห้งไปแล้วครับ
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-10-6 08:53
หลวงพี่หอมในบันทึกพระจำปี คือใคร ???
วันที่ ๗ เมถุน พระฤาหัดสะบอดี แรม ๑๕ ค่ำ ปีวอก อัดถะศก อะธิกามาด ๒๔๙๙ (วันพฤหัสบดีที่ ๗ มิถุนายน แรม ๑๔ ค่ำ ปีวอก อัฐศก มีอธิกามาส พ.ศ. ๒๔๙๙) เวลาบ่ายสามโมงเย็นเศษๆ หลวงพ่อก็สิ้นใจมรณะ ในเวลานั้นมีทั้งญาติโยมบ้านใกล้และไกลร้อยเกิน (กว่าร้อยคน) พระสงฆ์วัดต่างๆ อีกสามสิบสี่สิบรูปพากันมาดูใจหลวงพ่อ แทบจะทุกคนพากันร้องไห้ และในเวลานั้นเองไก่แก้วสองตัวที่นายร้อยสำราญและปลัดแสวงเอามาถวาย ก็บินขั้นมาตรงที่หลวงพ่อมรณะ มันขันตัวละสามที่ แล้วมันก็บินออกทางหน้าต่าง หายไปในป่าทางเหนือวัด ตั้งแต่วันนั้นมันก็ไม่กลับมาอีกเลย
เวลาเกือบห้าโมงเย็น ผู้คนหลายร้อยก็ร่วมกัน อาบน้ำศพหลวงพ่อ มีหลวงพี่หอมกับนายร้อยสำราญ เป็นหัวหน้า (เป็นประธาน) และในเวลานั้นเองฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีเค้ามาก่อน (ไม่มีเมฆหรือที่ท่าว่าจะตกมาก่อนหน้านี้) หลวงพี่หอมบอกว่าเทวดาร่วมสรงน้ำศพหลวงพ่อ ผู้คนได้ฟังอย่างนั้นก็พากันขนลุกขนชัน (ขนลุกด้วยอัศจรรย์ในปาฏิหาริย์) ฝนตกลงมาสองสามอึดใจก็หาย (ก็หยุด) พออาบน้ำเสร็จก็เปลี่ยนผ้าครองให้ท่านใหม่ ผ้าชุดที่หลวงพ่อใส่มรณา ทั้งพระทั้งโยมต่างแย่งกันจนวุ่นวาย หลวงพี่หอมจึงต้องให้พระช่วยกันตัดเป็นชื้นเล็กๆ แจกให้ทั่วกันทุกๆ แล้วก็นำร่างไร้วิญญาณของหลวงพ่อใส่ในโรงไม้สักอย่างงามที่นายร้อยสำราญกับโยมกิมไล้ เตรียมไว้เป็นเดือนแล้ว แล้วก็เอาโลงศพไปตั้งสวดที่ศาลา
หลังจากหลวงพ่อมรณาได้ ๕ วันปลัดแสวงจึงมาจากเมืองกรุง มาถึงก็ร้องไห้โฮแบบไม่อายใครทำให้คนอื่นที่เคยร้องไห้ไปก่อนแล้ว พากันร้องไห้ตามปลัดแสวงอีก ตลอดหกวันหกคืนมีผู้คนมางานศพหลวงพ่อวันคืนละหลายร้อยคน พระมาเกินกึ่งร้อยทุกวัน วันที่ ๑๓ เมถุน พุด ขึ้น ๖ ค่ำ ปีวอก อัดถะศก อะธิกามาด ๒๔๙๙ (...) เวลาบ่ายสองโมงเศษ ก็ทำการเผาศพหลวงพ่อ ที่ลานวัดหน้ากุฏิ มีเจ้าคุณรามมาจากนพบุรี (ลพบุรี-พระเถระระดับจังหวัดในสมัยนั้น) เป็นหัวหน้าสงฆ์ หลวงบอวอนสัก นะอะโยธะยา (คนเดียวกันกับเจ้านายใหญ่ชื่อบวรศักดิ์ สุริยงค์ ณ อยุธยา) เป็นหัวหน้าฝ่ายโยม (ประธานฝ่ายฆราวาส) วันนั้นมีผู้คนมากมายจนแน่นลานวัดไปหมด คงใกล้จะกึ่งหมื่น (เกือบจะครึ่งหมื่น) พระสงฆ์อีกเกินร้อย กว่าผู้คนจะหมด ตะวันเกือบจะตกดิน จึงได้จุดไฟกองฟอน (เชิงตะกอน) เผาศพหลวงพ่อในตอนนั้นก็เหลืออยู่แต่หลวงพี่หอม ปลัดแสวง นายร้อยสำราญ โยมกิมไล้ พร้อมชาวบ้านอีกเกือบร้อยคน พอไฟไหม้โลงวอดไป ก็ต้องแปลกใจที่เห็นจีวร ห่มครองร่างหลวงพ่อไม่ยอมไหม้แล้วร่างหลวงพ่อจะไหม้หรือ... และในตอนนั้นเวลาใกล้จะสองทุ่มแล้ว ก็มีผู้หญิงขี่ม้าเข้ามาหานายร้อยสำราญกับปลัดแสวง
ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเสือขาวขออนุญาตเข้ามาคารวะศพหลวงพ่อ ปลัดแสวงกับนายร้อยสำราญมองหน้ากันแล้วก็บอกผู้หญิงคนนั้นให้เสือขาวเข้ามาได้ ผู้หญิงคนนั้นหายไปพักหนึ่งก็กลับเข้ามาพร้อมเสือขาวและสมุนอีกเกือบสิบคน พอมาถึงพากันคุกเข่ากราบศพหลวงพ่อที่ไปกำลังลุกไหม้อยู่พอกราบศพหลวงพ่อแล้วเสือขาวก็มาไหว้หลวงพี่หอม ไหว้ผม แล้วก็ไปไหว้ปลัดแสวงกับนายร้อยสำราญ แล้วขุนโจรกับเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็จับมือกัน เสือขาวพูดว่า
“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ให้ผมได้มาคารวะพระอาจารย์ วันนี้เราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน วันต่อไปท่านเจอผมขอท่านทั้งสองจงปฏิบัติตามหน้าที่ของท่านเถิด อย่าได้คิดว่าเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เลย”
แล้วเสือขาวพร้อมสมุนก็ขึ้นม้าลาจากไปกับความมืดผมรู้สึกชอบน้ำใจเสือขาว ที่มีสัมมาคารวะให้ความเคารพยำเกรงต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่เข้ามาโดยภาระการ ทั้งที่มีกำลังเหนือกว่าในเวลานั้น
เมื่อสองสามปีที่ผ่านมามีข่าวว่าเสือขาวถูกเจ้าหน้าที่ยิงตายที่อะโยธะยา จึงไม่เป็นความจริง ตอนนั้นหลวงพ่อยังอยู่มีคนมาบอกว่าเสือขายตายแล้ว หลวงพ่อได้แต่หัวเราะ หึ ๆ แสดงว่าหลวงพ่อรู้แล้ว ว่าเสือขาวยังไม่ตายตามข่าวที่เขามาบอก แต่ตอนนั้นผมไม่เข้าใจที่หลวงพ่อหัวเราะ
เมื่อเสือขาวพร้อมสมุนกลับไปแล้ว ก็หันมาดูร่างหลวงพ่อที่อยู่ในกองไฟ และไม่มีทีท่าว่าไฟจะไหม้ร่างหลวงพ่อเลย หลวงพี่หอมจึงขวนผมและโยมสำเภา (ลูกชายหลวงปู่หล้า) ไปจุดธูปบอกวิญญาณหลวงพ่ออย่าให้เป็นอย่างนี้เลย ปล่อยให้ไฟไหม้ร่างไปเถอะจะได้ไม่อุจาด เมื่อเราสามคนจุดธูปบอกวิญญาณหลวงพ่อแล้วก็มานั่งดูตามเดิม ดูอยู่พักใหญ่จนไฟสิ้นเปลว เหลือแต่ถ่านแดง ๆ ที่ยังลุกโพลงร้อนระอุอยู่ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าร่างหลวงพ่อจะไหม้เลย ตอนนี้มีชาวบ้านออกมาดูกันเต็มไปหมด หลวงพี่หอมจึงชวนผม นายร้อยสำราญ ปลัดแสวง โยมสำเภา โยมกิมไล้ นายภา ทายกจำปา มานั่งปรึกษาหารือกันที่บนกุฏิว่าจะทำอย่างไรกันดีกับศพหลวงพ่อ ปลัดแสวงพูดว่าจะเก็บศพหลวงพ่อไว้ และจะไปซื้อโลงแก้วไร้อากาศ (สูญกาศ) มาใส่ศพหลวงพ่อเก็บไว้ หลวงพี่หอมไม่เห็นด้วย บอกว่าบ้านป่าเมืองดงเก็บไว้ก็ลำบาก จึงตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะเอาบันไดแม่หม้ายมาทำฟืนเผาดูอีกที (วิธีล้างอาถรรพ์ ตามความเชื่อโบราณ)
วันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็ช่วยกันหาฟืนมาทำกองฟอน (เชิงตะกอน) เพื่อเผาร่างหลวงพ่ออีกเที่ยวหนึ่ง พอใกล้จะเพลก็พร้อมที่จะทำกองฟอนใหม่ ชาวบ้านและพระก็ช่วยกันยกร่างหลวงพ่อออกจากกกองขี้เถ้า เพื่อจะเอาฟืนเข้าไปวางทำกองฟอนในที่เดิม พอเข้าไปจับร่างหลวงพ่อผ้าจีวรที่ห่อร่างหลวงพ่ออยู่ ก็กรอบเป็นขี้เถ้าไปหมด จึงต้องเอาจีวรผืนใหม่มาห่อร่างหลวงพ่อไว้อีก ไม่วายที่ผู้คนจะแย่งเอาขี้เถ้าจีวรหลวงพ่อ รวมทั้งตัวผมด้วย พอทำกองฟอนเสร็จ ก็เอาบันไดโยมเป้ที่เป็นแม่หม้ายวางบนกองฟอน แล้วก็เอาร่างหลวงพ่อวางบนบันไดนั้น แล้วก็ทำพิธีจุดไปเผาโดยหลวงพี่หอมเป็นคนจุด เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมงไฟลุกไหม้จนบันไดเป็นถ่านแดงจวนจะหมดแล้ว ร่างหลวงพ่อก็ยังอยู่เหมือนเดิม ถึงตอนนี้มีผู้คนบ้านอื่นมาดูกันเป็นจำนวนมาก เมื่อบันไดไม่สามารถล้างอาถรรพ์ได้ พ่อเฒ่าเหลี่ยมจึงให้พวกโยมผู้หญิง ที่เป็นแม่หม้ายไปเอาผ้าถุงมาคนละผืน เอามาแล้วก็เอาใส่ไฟลอบ ๆ กองฟอน โดยไม่ให้ถูกร่างหลวงพ่อ อึดใจเดียวไฟก็ไหม้ผ้าถุงหมด แต่ร่างหลวงพ่อยังอยู่เหมือนเดิม แม้แต่เส้นผมกับผ้าจีวรที่ห่มให้ใหม่ ก็ยังไม่ไหม้เหมือนเดิม จนใกล้จะห้าโมงเย็นกองฟอนก็เหลือแต่ขี้เถ้า ร่างหลวงพ่อยังอยู่เหมือนเดิม หลวงพี่หอมจึงตัดสินใจให้ฝังร่างหลวงพ่อไว้ที่ตรงเผานั้นเอง และก็ไม่มีใครขัด ชาวบ้านจึงช่วยกันขุดหลุม ใกล้จะสองทุ่มก็ขุดหลุมเสร็จ แล้วก็ทำพิธีฝังร่างหลวงพ่อไว้ตรงนั้น และตกลงกันว่าอีกสามปีจึงจะขุดเอากระดูก หลวงพ่อขึ้นมาทำบุญใส่ธาตุ (ใส่เจดีย์) ไว้บูชา พอวันรุ่งขึ้นชาวบ้านก็ออกมาร่วงกันทำบุญ ๗ วัน อุทิศส่วนกุศลไปให้หลวงพ่อตามประเพณี พอทำบุญเสร็จก็ช่วยกันทำรั้วล้อมตรงที่ฝังร่างหลวงพ่อไว้ แล้วก็เอาหญ้าแฝกและหญ้าแพรกมาปลูกที่หลุมศพหลวงพ่อตามประเพณีเช่นกัน
จากคำบอกเล่าจากผู้เฒ๋าคนแก่ ชาวบ้านวังโพรงเข้ ยืนยันว่า..
หลวงพี่หอมในบันทึกของพระจำปี ก็คือ..
หลวงพ่อหอม เขมิโย วัดหนองชนะชัย ลพบุรี
เมื่อกาลก่อนหอมพ่อหอมท่านเดินธุดงค์ ผ่านมาละแวกวัดวังโพรงเข้ สันเท้าของท่านแตก
เดินด้วยความทุกขเวทนาเป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่หล้าท่านคงรู้ด้วย สมาบัติ ฌาน
ท่านเลยสั่งญาติโยมในวัดเอาเกวียนออกไป รับหลวงพ่อหอม
โดย: oustayutt เวลา: 2013-10-6 19:33
ไม่ได้ของหลวงปู่หล้าแต่ได้ของในสายหลวงปู่ก็จะดีมิใช่น้อย
โดย: รามเทพ เวลา: 2013-10-7 07:44
oustayutt ตอบกลับเมื่อ 2013-10-6 19:33
ไม่ได้ของหลวงปู่หล้าแต่ได้ของในสายหลวงปู่ก็จะดีมิใ ...
โดยเฉพาะพระปิดตามหาลาภเนื้อหยกดำ
โดย: troop1411 เวลา: 2013-10-8 00:10
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2013-10-7 07:44
โดยเฉพาะพระปิดตามหาลาภเนื้อหยกดำ
ป้อมพี่เค้าชี้เป้าอีกแล้ว
โดย: Metha เวลา: 2013-10-19 14:22
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: LightGuardian เวลา: 2013-10-21 14:50
ขอบคุณครับ นมัสการหลวงปู่หล้าครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-10-21 16:26
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: oustayutt เวลา: 2013-10-21 23:42
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2013-10-7 07:44
โดยเฉพาะพระปิดตามหาลาภเนื้อหยกดำ
เจอเเล้วครับแต่พี่รามช่วยขยายความนิดนึงครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-10-22 16:16
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-10-29 19:02
โดย: Metha เวลา: 2013-11-8 18:46
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-11-11 13:09
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Nujeab เวลา: 2013-11-11 13:48
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-11-14 11:55
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-11-22 17:44
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: majoy เวลา: 2013-11-22 21:08
ขอกราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: moshido เวลา: 2013-11-23 15:22
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-11-23 17:18
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: Metha เวลา: 2013-12-2 21:22
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
โดย: TATIE เวลา: 2013-12-5 11:17
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-2 21:22
กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
เสาร์นี้ไปไหว้หลวงปู่หล้ากันมั๊ยครับอ้ายเมธ
โดย: Metha เวลา: 2013-12-5 11:21
TATIE ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 11:17
เสาร์นี้ไปไหว้หลวงปู่หล้ากันมั๊ยครับอ้ายเมธ ...
ไปไม่ได้ครับ..เข้างาน
โดย: Metha เวลา: 2013-12-5 11:22
TATIE ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 11:17
เสาร์นี้ไปไหว้หลวงปู่หล้ากันมั๊ยครับอ้ายเมธ ...
ไปไม่ได้ครับ..เข้างาน
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-12-5 11:42
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 11:22
ไปไม่ได้ครับ..เข้างาน
โถ คิดว่างานเข้า
โดย: Metha เวลา: 2013-12-5 11:44
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 11:42
โถ คิดว่างานเข้า
เข้างานกะเช้าครับ
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-12-5 11:49
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 11:44
เข้างานกะเช้าครับ
ขยันจริงๆ เข้าเช้า เข้าค่ำ ทั้งคว่ำ ทั้งหงาย
โดย: Metha เวลา: 2013-12-5 11:53
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 11:49
ขยันจริงๆ เข้าเช้า เข้าค่ำ ทั้งคว่ำ ทั้งหงาย ...
มีคว่ำมีหงายด้วย
ไม่ได้เล่นไหโลน่ะคร้าบ
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-12-5 11:58
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 11:53
มีคว่ำมีหงายด้วย
ไม่ได้เล่นไหโลน่ะคร้าบ ...
เสี่ยเมธยังไม่เข้าใจหรอกภูมิ ทำยังไม่ถึง
มันเป็นปริศนาทำ
โดย: Metha เวลา: 2013-12-5 12:05
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 11:58
เสี่ยเมธยังไม่เข้าใจหรอกภูมิ ทำยังไม่ถึง
มันเป็นปร ...
สงสัยต้องหาความรู้เพิ่ม...หรือจะสอบถามพี่กิจดีหน่อ
โดย: Sornpraram เวลา: 2013-12-5 12:19
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 12:05
สงสัยต้องหาความรู้เพิ่ม...หรือจะสอบถามพี่กิจดีหน่อ ...
เสี่ยกิต เค้าเก่งแต่ ทฤษฎี.
โดย: TATIE เวลา: 2013-12-5 12:33
แนะนำปรึกษา สว.มัดหมี่ครับอ้ายเมธ
โดย: kit007 เวลา: 2013-12-6 12:01
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-12-5 12:19
เสี่ยกิต เค้าเก่งแต่ ทฤษฎี.
ผมหลบภัยไปฝึกปฎิบัติมานะครับ
http://www.baanjompra.com/webboa ... &extra=page%3D1
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) |
Powered by Discuz! X3.2 |