Baan Jompra

ชื่อกระทู้: เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า (หวนรำลึก พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ) [สั่งพิมพ์]

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-12-21 07:55
ชื่อกระทู้: เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นสนามการค้า (หวนรำลึก พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ)
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-12-21 08:00

จากทฤษฎี  เมืองล้อมป่า ป่าล้อมบ้าน บ้านล้อมนคร
------------------------------------------------------
ณ.บัดนี้ สนามการค้า ได้กลายเป็นสนามรบเรียบร้อยแล้ว
-------------------------------------------------------------






ผลงานที่โดดเด่นมากของรัฐบาล พลเอกชาติชาย ได้แก่ การดำเนินนโยบายต่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะใน กลุ่มอินโดจีน เช่น การประสานงานให้มีการเจรจาร่วม ระหว่างเขมร 4 ฝ่าย เพื่อยุติการสู้รบ และสนับสนุน ให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประเทศกัมพูชาภายใต้การนำของ สมเด็จสีหนุขึ้น นโยบายต่างประเทศของ รัฐบาลพลเอกชาติชาย มีชื่อเรียกที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า"
พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ บริหารประเทศจนถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 ก็ถูกยึดอำนาจการปกครองโดย คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ภายใต้การนำของ พล.อ. สุนทร คงสมพงษ์ พล.อ. สุจินดา คราประยูร พล.อ.อ. เกษตร โรจนนิล และพล.อ. อิสระพงศ์ หนุนภักดี ที่ต่อมานำไปสู่เหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ ในปี พ.ศ. 2535
ภายหลังถูกรัฐประหารโดยคณะ รสช. พลเอกชาติชายได้เดินทางไปพำนักอยู่ในอังกฤษระยะหนึ่ง ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย และก่อตั้ง พรรคชาติพัฒนา ขึ้นเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2535 โดยดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนแรก ต่อมาได้นำพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2535 โดย พลเอกชาติชายชนะเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครราชสีมา ถือเป็นการเริ่มต้นบทบาททางการเมืองใหม่อีกครั้ง

ปลายปี พ.ศ. 2540 เมื่อ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ในตอนแรกพรรคร่วมรัฐบาลเดิมในขณะนั้นมีมติร่วมกันที่จะสนับสนุน พลเอกชาติชาย ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น นายกรัฐมนตรี อีกครั้ง แต่ในที่สุด พรรคกิจสังคม ที่มีนายมนตรี พงษ์พานิช เป็นหัวหน้าพรรค ได้เปลี่ยนไปสนับสนุน นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทน ตามมาด้วย พรรคประชากรไทย ที่มี นายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค เกิดกรณี ส.ส. "กลุ่มงูเห่า" ที่แสดงตัวสนับสนุน นายชวน หลีกภัยเช่นเดียวกัน ทำให้ในที่สุดผู้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี คนใหม่กลายเป็น นายชวน หลีกภัย ที่ได้เป็น นายกรัฐมนตรี สมัยที่ 2 แทนที่จะเป็น พลเอกชาติชาย ชุณหะวัน

อย่างไรก็ตามอีกเพียงครึ่งปีต่อมา พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 ณ โรงพยาบาลคอมเวลล์ สหราชอาณาจักร รวมอายุได้ 78 ปี
                                                   

อ่านประวัติเพิ่มเติม http://th.wikipedia.org/wiki/ชาติชาย ชุณหะวัณ



โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-12-21 07:56
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-12-21 07:58







ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ไม่ใช่แค่เป็นนักการเมืองอาวุโสที่สุดคนหนึ่งในวงการเมืองไทยเท่านั้น

แต่ถือว่ามีบทบาททางการเมืองที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของประเทศ เพราะตลอดชีวิตทางการเมืองของอดีตผู้นำเจ้าของวลีเด็ด

"โนพร็อบเบล็ม" ท่านนี้ต้องถือว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบทุกรูปแบบ มากเกินกว่าที่ใครสักคนหนึ่งจะประสบ

ชีวิตของพลเอกชาติชายนับตั้งแต่ถอดเครื่องแบบทหารในยศพลจัตวา เพื่อไปรับหน้าที่เป็นเอกอัครราชทูตในหลายๆ ประเทศนั้น ไม่ใช่เพราะท่านต้องการเลือกเดินทางสายนี้ แต่เป็นเพราะเงื่อนไขทางการเมืองที่กดดันให้ต้องไปอยู่นอกประเทศ อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

จนกระทั่งเส้นทางการเมืองเปิดให้กลับมาประเทศไทย พลเอกชาติชายหรือที่คนไทยรู้จักและเรียกขานกันว่า "น้าชาติ" ก็ฉายแสงนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่ทันที นับตั้งแต่การร่วมก่อตั้งพรรคชาติไทยจนยิ่งใหญ่ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายครั้ง จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของประเทศเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2531

พลเอกชาติชายเป็นผู้เต็มไปด้วยประสบการณ์และความรู้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อบ้านเมือง โดยเฉพาะผลงานเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น พลเอกชาติชายทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เพราะเป็นบุคคลที่ทำให้ประเทศไทยถูกจับตามองในฐานะผู้พลิกโฉมพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาคอินโดจีน ด้วยสโลแกนสุดฮิตที่ว่า "ผมจะทำสนามรบในอินโดจีนให้เป็นตลาดการค้า"

ในขณะเดียวกัน นโยบายและโครงการมากมายได้เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล "น้าชาติ" และยังดำรงก่อผลก่อประโยชน์จนถึงปัจจุบันนี้แม้เวลาจะผ่านล่วงเลยมากว่า 2 ทศวรรษแล้ว ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น พลเอกชาติชายถูกกล่าวหาโจมตีว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยอยู่ในอาการเมาหมัด เพราะพิษ "ฟองสบู่" ชั่วในระยะเวลาหนึ่งต่อมาก็ตาม

ถึงกระนั้น พลเอกชาติชายก็นับเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของประเทศ เรียกว่ายากจะหาใครทดแทนหรือเทียบเคียงได้อีกแล้ว ในขณะที่นายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ส่วนใหญ่มองแต่ปัญหาเชิงยุทธวิธี แต่พลเอกชาติชายได้มองทะลุไปถึงปัญหาทางยุทธศาสตร์อย่างเจนจบ ไม่ว่าจะเป็นโครงการอีสต์เทิร์นซีบอร์ด หรือเซาธ์เทิร์นซีบอร์ด ที่ล้วนจุดประกายจากพลเอกชาติชาย ยิ่งโครงการใหญ่ๆ ที่บรรดา "นักกอดหลักการ" ปริวิตกและหวั่นวิตกในเรื่องค่าคอมมิสชั่น แต่พลเอกชาติชายก็ไม่หวาดหวั่น และกล้าดำเนินการต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน

อย่างโครงการรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดิน ล้วนอุบัติขึ้นในรัฐบาลพลเอกชาติชาย แม้จะถูกข้อครหาในเรื่อง "บุฟเฟต์คาบิเนต"

แต่ก็เป็นเรื่องปลีกย่อยของรัฐมนตรีที่คุม "บิ๊กโปรเจ็กต์" เหล่านั้นเป็นด้านหลัก

หากมองจากความเฉียบขาดในการตัดสินใจ ต้องยอมรับว่า "น้าชาติ" มีความเด็ดเดี่ยวอย่างน่าศึกษา เป็นความเด็ดเดี่ยวในฐานะนักยุทธศาสตร์ และมองการณ์ไกลไปยังโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม มากกว่าที่จะคิดในเรื่องเล็กๆ อันเป็นปัญหาทางยุทธวิธี

พลเอกชาติชายได้รับการยกย่องและชื่นชมจากนักการเมืองหลายต่อหลายคนในความเป็นสุภาพบุรุษ ความเป็นคนใจกว้าง และไม่มีความอาฆาตพยาบาท และด้วยความเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรมนี่เอง จึงทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงาน และผู้อยู่รอบข้าง รวมทั้งผู้เขียนซึ่งได้เคยทำหน้าที่เป็นทหารคนสนิทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ชื่อ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ มีความระลึกมั่นในคุณงามความดีอย่างจงรักและภักดีตราบชั่วนิจนิรันดร

(เขียนขึ้นเพื่อระลึกถึงพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เนื่องในโอกาสครบรอบวันเกิด 5 เมษายน)



ที่มา..http://www.matichon.co.th/news_d ... id=02&subcatid=0207




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2