Baan Jompra
ชื่อกระทู้: ~ หลวงปู่หลิว ปณฺณโก วัดไร่แตงทอง ~ [สั่งพิมพ์]
โดย: kit007 เวลา: 2013-12-2 07:30
ชื่อกระทู้: ~ หลวงปู่หลิว ปณฺณโก วัดไร่แตงทอง ~
[attach]5836[/attach]
หลวงปู่หลิวปณฺณโก วัดไร่แตงทอง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
ประวัติโดยย่อ
หลวงปู่หลิวปณฺณโก มีนามเดิมว่า“หลิว” นามสกุล “แซ่ตั้ง”(นามถาวร) บิดามีนามว่า คุณพ่อเต่ง แซ่ตั้ง มารดามีนามว่า คุณแม่น้อยแซ่ตั้ง ท่านเกิดเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2448ขึ้น 11 ค่ำ เดือนอ้าย (ปีมะเส็ง) ที่หมู่บ้านหนองอ้อตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี มีพี่น้องร่วมบิดา มารดาเดียวกันทังหมด9 คน เป็นชาย 5 คน เป็นหญิง 4 คน (มีพี่ชาย 1 คน พี่สาว 1 คนมีน้องชาย 3 คน และน้องสาว 3 คน)ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 ของครอบครัว
ครอบครัวของหลวงปู่หลิวอยู่ในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ บิดามารดามีอาชีพหลักคือ ทำนาต่างคนต่างต้องช่วยกันทำมาหากินกันไปตามสภาวะ หลวงปู่หลิวในวัยเด็กมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากเด็กในวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิงทนที่จะไปวิ่งเล่นตามประสาเด็กในวัยเดียวกันแต่หลวงปู่หลิวกลับมองเห็น ความยากลำบากของบิดามารดา และพี่ ๆ จึงได้ช่วยงานบิดา มารดา และพี่ ๆ อย่างขยันขันแข็งทำให้หลวงปู่หลิวเป็นที่รักใคร่ของบิดา มารดา ตลอดจนพี่ ๆ และน้อง ๆ เป็นอย่างยิ่งด้วยมีความขยันขันแข็ง ทำให้หลวงปู่หลิวได้เรียนรู้วิชาช่าง ควบคู่ไปกับการทำไร่ทำนา เพราะบิดานั้นเป็นช่างไม้ฝีมือดีคนหนึ่ง
เมื่อเติบใหญ่หลวงปู่หลิว จึงมีฝีมือทางช่างเป็นเลิศจนเป็นที่ยอมรับของชาวบ้านทั่วไป ในบางครั้ง
หลวง ปู่หลิว ท่านต้องไปรับจ้างคนอื่นเพื่อให้ได้เงินมา ท่านต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำงานบางครั้งไปกลับใช้ระยะทางประมาณ20 กิโลเมตร ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานาบางครั้งทำให้ท่านถึงกับล้มป่วยไปเลยก็มี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลวงปู่หลิวมีความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรมากมาย(เพราะหลวงปู่หลิวท่านมีลักษณะเด่นอยู่ในตัวคือ ท่านมี “ความจำ” เป็นเลิศ) นอกจากท่านจะเป็นช่างไม้ฝีมือดีแล้วท่านยังเป็นหมอยาประจำหมู่บ้านหนองอ้อ,ทุ่งเจริญ, บ้านเก่าและละแวกใกล้เคียงไปโดยปริยายใครมาขอตัวยากับท่าน ท่านก็ให้ไปทุกคน
โดย: kit007 เวลา: 2013-12-2 07:31
ครอบครัวโดนรังแก
ในอดีตนั้นเขตภาคกลาง โดยเฉพาะ เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี นครปฐมกล่าวกันว่าเป็นแดนเสือ ดงนักเลง มีโจรผู้ร้ายโด่งดังมากมาย คนหนุ่มทั้งหลายกลุ่ม หลายถิ่นต่างตั้งกล่มเป็นโจรผู้ร้ายปล้นจี้สร้างอำนาจอิทธิพลในพื้นที่ของตนคนบางกลุ่มก็ตั้งกลุ่มเพื่อปกป้องคุ้มครองถิ่นของตน ครอบครัวหลวงปู่หลิวเองก็ได้รับความเดือดร้อนจากกลุ่มโจรท่านได้พูดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า “โยมพ่อโยมแม่และพี่ชายเป็นคนซื่อใจรมาขโมยวัว ขโมยควายก็มิได้ต่อสู้ขัดขืน ทำให้พวกโจรได้ใจทำให้วัดควายและข้าวของที่พยายามหามาด้วยความยากลำบากต้องสูญเสียไป อาตมาจึงเจ็บใจและแค้นใจ เป็นที่สุด แต่ทำอะไรมันไม่ได้” ในบางครั้งโจรที่มาปล้นวัวควายคุณพ่อเต่งและพี่ชายคนโดไม่เคยกล้า ที่จะเข้าขัดขวางขอเพียงแต่อย่าทำร้ายบุตรหลานก็เป็นพอ “ข้าวของเป็นของนอกายไม่ตายก็หาใหม่ได้” หลวงปู่หลิวในช่วงนั้นก็เป็น วัยรุ่นเลือดร้อนก็ทวีความโกรธแค้นมากขึ้น จึงคิดหาวิธีปราบโจรผู้ร้าย อย่างเด็ดขาดให้ได้อันเป็นการช่วยตนเอง และชาวบ้านให้ปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายต่อไป
เข้าป่าเรียนอาคม
หลวง ปู่หลิว ได้ชวนหลานชายผู้เป็นลูกของพี่ชายและหลานชายผู้เป็นลูกของพี่สาว หนีออกจากบ้านไปแสวงหาอาจารย์ผู้มีวิชาอาคมในดงกระเหรี่ยง เพื่อขอเรียนวิชาไสยศาสตร์ เพื่อนำมาปราบโจรผู้ร้าย ที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านแทบทุกวันซึ่งหลานชายทั้งสองก็เห็นด้วย บนเส้นทางอันเป็นป่าเขาดงดิบด้านชายแดนไทย-พม่ามีป่าไม้รกทึบ อากาศหนาวเย็นด้วยจิตใจอันแน่วแน่ เด็กหนุ่มทั้ง 3 จึงรีบเร่งเดินทางให้ถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด
ป่าดงดิบสมัยก่อนนอกจากจะรกทึบแล้วยังเต็มไปด้วยไข่ป่าอันน่าสะพรึงกลัว ในระหว่างการเดินทางหลานชายผู้ซึ่งเป็นลูกของพี่ชายเกิดป่วยหนักด้วยโรคไข้ป่า ยารักษาก็ไม่มีเพราะไม่ได้เตรียมมา หลวงปู่หลิวจึงหยุดพักการเดินทางเพื่อรักษาไข้ป่าไปตามมีตามเกิดหลานชายทนความหนาวเหน็บและพิษของไข้ป่าไม่ไหว จึงได้สิ้นใจตายไปต่อหน้าต่อตาของหลวงปู่หลิวผู้เป็นอาและหลานอีกคน ความรู้สึกในเวลานั้นทำให้พาลโกรธโจรผู้ร้ายมากยิ่งขึ้น ทางหลานชายเมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องของตนต้องมาตายจากไปจึงเกิดขวัญเสียไม่อยากเดินทางต่อไปตามที่ตั้งปณิธานเอาไว้ เพราะเกรงว่าหนทางข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกจึงเอ่ยปากชวนน้าชายกลับบ้าน แต่หลวงปู่หลิวได้ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะไม่กลับแน่นอนถ้าไม่สำเร็จวิชา
หลังจากนั้นหลวงปู่หลิว ได้แยกทางกันกับหลานชายมุ่งหน้าสู่ดินแดนกระเหรี่ยงด้วยจิตใจที่แน่วแน่ เมื่อไปถึงมีชาวกระเหรี่ยงที่พอพูดไทยได้บ้างก็เข้ามาสอบถาม หลวงปู่หลิวจึงได้บอกความต้องการให้เขาฟัง หลวงปู่หลิวโชคดีได้พบ อาจารย์หม่งจอมขมังเวทย์ชาวกระเหรี่ยงจึงได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อเรียนวิชาอาคมด้วย ท่านใช้เวลาอยู่ในหมู่บ้านั้นนานร่วม4 เดือน ถึงจะได้เริ่มเรียนวิชากับอาจารย์หม่งอาจารย์ชาวกระเหรี่ยงให้ความเมตตาประสิทธิ์ประสาทวิชาให้อย่างเต็มใจ ระหว่างอยู่กับอาจารย์หลวงปู่หลิวมีความมานะบากบั่นช่วยงานทุกอย่าง จนเป็นที่รักใคร่ของทุกคน สำหรับวิชาที่ได้ร่ำเรียนในขณะนั้นคือวิชาฆ่าคนโดยเฉพาะเพื่อไปแก้แค้นโจรที่ลักวัวควาย หลวงปู่หลิวอยู่กับอาจารย์ชาวกระเหรี่ยงได้3 ปี กว่าจนถึงวัย 21 ปีก็ศึกษาวิชาอาคมได้อย่างลึกซึ้ง ก่อนจะเดินทางกลับผู้เป็นอาจารย์ได้กำชับอย่างเด็ดขาดว่าวิชาอาคมต่างๆ ที่ประสิทธิ์ประสาทให้ ห้ามใช้จนกว่าจะถูกผู้อื่นทำรังแกทำร้ายอย่างถึงที่สุด เพราะมันเป็นวิชาฆ่าคนท่านก็รับคำและเดินทางกลับบ้านเกิดด้วยความมุ่งมั่นจะแก้ไขปัญหาให้หมู่บ้าน ของตนจึงเดินทางกลับบ้านเมื่อได้พบบิดา มารดาแล้ว หลวงปู่หลิวได้ลาท่านไปท่องเที่ยวอีกครั้ง
โดย: kit007 เวลา: 2013-12-2 07:31
ใช้ควายธนูปราบโจรขโมยวัว
ในฤดูฝนปีถัดมา หลวงปู่หลิวได้กลับจากท่องเที่ยว มาช่วยบิดามารดาทำไร่นาที่บ้านเกิดอีกครั้งวัวควายที่เคยเลี้ยงอย่างระมัดระวัง ก็ปล่อยให้มันกินหญ้าตามสบาย เขาทำมาหากินได้ไม่กี่เดือนมีเพื่อนฝูงที่สนิทคนหนึ่งแจ้งข่าวให้ทราบว่าโจรก๊กหนึ่งจะเข้าปล้นวัวควายเขาในเร็ว ๆ นี้ หนุ่มหลิวก็เตรียมรับมือทันที แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาเตรียมตัวเช่นไร่ทุกวันเขาทำตัวปกติมิได้อาทรร้อนใจกับเรื่องที่โจรจะเข้าปล้นกลางวันทำไร่ เลี้ยงควายไปตามเรื่องตกเย็นค่ำมืดกินข้าวกินปลาหากไม่มีเพื่อนแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเขาก็เข้านอน แต่หัววันอีกหลายสิบวันต่อมา คืนหนึ่งดึกสงัดเป็นวันข้างแรม ท้องทุ่งอันเวิ้งว้างมืดสนิทไร้แสงเดือนท้องฟ้ามีแต่หมู่ดาวกลาดเกลื่นระยิบระยับไปทั่ว แต่ที่บ้านของหนุ่มหลิว มันเงียบแต่ไม่สงัดร่างตะคุ่มหลายสายพากันเคลื่อนไหวเข้าใกล้เรือนที่มืดมืดของเขา ร่างเหล่านั้นมุ่งไปที่คอกวัวควายส่วนหนึ่งอีกส่วนหนึ่งคุมเชิงระวังภัยให้กับเพื่อน
ทันใดนั้น กลุ่มโจรที่เข้าไปเปิดคอกถึงกับตะโกนร้องอย่างตกใจ ระคนด้วยความหวาดกลัวแล้วแตกกระเจิงออกคนละทิศละทางเสียงโวยวายร้องบอกให้เพื่อนหลบหนีดังขึ้นสลับร้องโหยหวนเจ็บปวด
เช้าตรู่ของวันใหม่ท่านเอาวัวควายออกเลี้ยงตามปกติที่ไร่ แม้ว่ารอบบ้านจะมีร่องรอยเท้าคนย่ำอย่าสับสนและมีรอยเลือดกองเป็นหย่อมๆ และกระเซ็นไปทั่ว เขาไม่ยี่หระวางเฉย เพียงแต่ก้มลงหยิบสิ่งหนึ่งที่หน้าคอกสัตว์มันคือ รูปปั้นควายดินเหนียว ซึ่งเลอะไปด้วยเลือดเต็มเขาและหัวของมัน หรือว่าสิ่งนี้คือ ”ควายธนู” ทำการขับไล่เหล่าโจรร้ายไม่มีใครรู้นอกจากหนุ่มหลิวเพียงคนเดียว
ข่าว การใช้ควายธนุขับไล่โจรก๊กนั้นแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านและลือกันต่างๆ นานาว่าท่านเป็นผู้มีของดี ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายมีมิจฉาชีพคิดอยากลองของ ด้วยการซุ้มรุมทำร้ายด้วยอาวุธนานาชนิดแต่มีด ปืนผาหน้าไม้ที่รุมกระหน่ำไม่สามารถทำอันตรายท่านได้แม้แต่น้อย แถมการที่ท่านสู้แบบไม่ถอยทำให้คนร้ายวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุนจากชัยชนะหลายครั้ง หลายหนต่อการรุกรานในรูปแบบต่างๆ สร้างความพอใจให้กับคนในหมู่บ้านบางรายถึงกับยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแต่ก็มีชาวบ้านบางพวกกับมองว่าท่านเป็นนักเลงหัวไม้
ในที่สุดหลวงปู่หลิวก็ปราบโจรลงอย่างราบคาบ จนโจรหลายคนต้องมากราบขออโหสิ และบางคนก็มาขอเป็นศิษย์ นับแต่นั้นมาชาวบ้านก็มีแต่ความสงบสุขไม่ต้องหวาดผวาโจรผู้ร้าย บรรดาโจรผู้ร้ายหลายคนก็ได้กลับตัวกลับใจ ทำมาหากินด้วยความสุจริตอย่างชาวบ้านทั่วไป หลวงปู่หลิวได้กล่าวถึงพวกโจรขโมยวัวควายที่พ่ายแพ้ตนว่า “คนเราถ้าอยากจะชนะไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกล ก็ต้องเอาด้วยคาถาแต่เมื่อเขายอมรับผิด ยอมกลับตัวกลับใจ เราก็ควรให้อภัยแก่ผู้สำนึกผิดเป็นการให้ที่ประเสริฐและได้กุศลด้วย”
โดย: kit007 เวลา: 2013-12-2 07:33
ชีวิตที่ยังไม่เปิดเผย
ภาย หลังที่หลวงปู่หลิวได้ปราบโจรเป็นที่เรียบร้อย และชาวบ้านอยู่อย่างสงบสุขแล้วหลวงปู่หลิวก็ได้กลับมาทำไร่ ทำนาตามปกติ ตอนนี้ท่านได้แยกตัวออกมาทำงานของตัวเองท่านทำหลายอย่าง เผาถ่านท่านก็เคยทำ เก็บเห็นเผาะขายก็เคย รับจ้างทำไร่ก็เคย ตอนที่ท่านทำไร่นี่แหละท่านไปเจอแม่ม่ายคนหนึ่งชื่อ ”นางหยด” เกิดชอบพอกันขึ้นมาก็เลยอยู่กินด้วยกัน และมีลูกชายด้วยกันคนหนึ่งคือ นายกาย นามถาวร ซึ่งเป็นวิถีชีวิตชาวบ้านธรรมดาๆ ที่มีความรักเอื้ออาทรต่อกันสู่โลกธรรม
เมื่อหลวงปู่หลิวได้ใช้ชีวิตอยู่กับนางหยด ระยะหนึ่งแล้ว ได้สัมผัสกับกระแสแห่งความวุ่นวายในสังคมมนุษย์ความโลภ โกรธ หลง อวิชชา ตัณหา ราคะต่าง ๆ หลวงปู่หลิวเริ่มจับตามองความเป็นไปต่างๆ ด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายในสังคมทีละน้อย ๆ และความรู้สึกนั้นได้เพิ่มพูนมากขึ้น
จนกระทั่งหลวงปู่หลิวมีอายุได้ 27 ปีได้เกิดความเบื่อหน่ายสุดขีด ในการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกันตามสภาวะแห่งกิเลสตัณหาราคะของชีวิตฆราวาส ซึ่งไม่ถูกกับนิสัยที่แท้จริงของตนคือรักความสงบชอบความสันโดษเรียบง่าย จิตใจของหลวงปู่เริ่มเองเอียงไปทางธรรมะธัมโมอยากจะเข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในบวรพุทธศาสนา หลวงปู่หลิวจึงได้ขออนุญาตบิดา มารดาเพื่ออกบวชแสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง ท่านทั้งสองก็เห็นดีเห็นงามด้วยความปลาบปลื้มเป็นล้นด้น ที่ลูกชายจะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
หลวงปู่หลิวได้เข้าบรรพชาอุปสมบท ณ พัทธสีมาพระอุโบสถ วัดโบสถ์ ตำบลบ้านเลือก อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี(ประมาณเดือน 7 ก่อนเข้าพรรษา พ.ศ. 2475ปีวอก) โดยมีหลวงพ่อโพธาภิรมย์ แห่งวัดบำรุงเมือง เป็นพระอุปัชฌาย์หลวงพ่ออินทร์ วัดโบสถ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีพระอาจารย์ห่อวัดโบสถ์เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาจากพระอุปัชฌาย์ว่า “ปณฺณโก” อ่านว่า ปัน-นะ-โก เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงปู่หลิว ปณฺณโก ได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดหนองอ้อ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้าน เพื่อเล่าเรียนทางพระปริยัติธรรมและปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานควบคู่กันไปทั้งยังความสะดวกสบายกว่าที่อื่น ๆ เพราะมีญาติพี่น้องให้ความอุปัฏฐากอย่างใกล้ชิด ในพรรษาแรกนั้นหลวงปู่หลิวได้มีโอกาสใช้วิชาช่างช่วยท่านเจ้าอาวาสสร้างศาลาการเปรียญหลังหนึ่งซึ่งใหญ่มากจนสำเร็จ
ต่อมาอีก4 เดือนท่านได้ช่วยปรับพื้นศาลาเสร็จอีก และยังได้สร้างกี่กระตุก (ที่ทอผ้า) อีก 50 ชุด เพื่อถวายให้กับวัดหนองอ้อ จึงนับได้ว่าหลวงปู่หลิวไม่เคยหยุดนิ่งท่านมีพรสวรรค์ทางเชิงช่างเป็นเลิศ จนเป็นที่ยอมรับของครูบาอาจารย์ และญาติโยมชาวบ้าน เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งภายหลังจะเห็นได้ว่า การก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ภายในวัดล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของหลวงปู่หลิวทั้งสิ้นหลวงปู่หลิวท่านเป็นพระที่ไม่หยุดนิ่ง ท่านได้ไปจำพรรษา และบูรณะปฏิสังขรณ์ ยังวัดต่าง ๆดังนี้ คือ
วัดโศก จังหวัดสุพรรณบุรี
วัดท่าเสา, วัดสนามแย้, วัดไทรทองพัฒนาจังหวัดกาญจนบุรี
วัดไร่แตงทอง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
วัดหนองอ้อ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
สำนักสงฆ์ประชาสามัคคี ตำบลบ้านฆ้องน้อย อำเภอบ้านโป่งจังหวัดราชบุรี
หลวงปู่หลิวได้กลับมาจำพรรษา ณ วัดหนองอ้อ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่15 ธันวาคม พ.ศ.2540 จนท่านละสังขารด้วยโรคชราเมื่อวันจันทร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ.2543 เวลา20.35 น. รวมอายุ 95 ปี 74 พรรษา
หลวงปู่หลิวปณฺณโก นับเป็นผู้ทรงอภิญญา และมีพุทธาคมสูงส่ง ท่านเป็นผู้มีเมตตา พร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากท่านพร้อมจะสร้าง พร้อมจะเสียสละ ให้กับบวรพุทธศาสนา ท่านไปอยู่ยังที่แห่งใด ก็เปรียบเหมือนดวงประทีปของที่นั้นจนท่านได้ชื่อว่า“พุทธบุตร” ทุกคนยกย่อง
ในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ใช้ความสามารถต่าง ๆ ที่ท่านมีบูรณะปฏิสังขรณ์สร้างเสนาสนะต่างๆ ภายในวัด เช่น โบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ โดยมิได้หยุด
หลวงปู่หลิวเคยตั้งปฏิธานด้วยสัจจะ 2ประการ คือ
1. เลิกอบายมุข ทุกชนิด
2. เมื่อมีโอกาสจะสั่งสมบารมี ด้วยการสร้างเสนาสนะภายในวัด เช่นโบสถ์ วิหาร กุฏิ ศาลาการเปรียญ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ความปรารถนาอันแรงกล้าของหลวงปู่หลิวปณฺณโก เป็นผลให้อำนาจบารมีของคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่สถิตทั่วจักรวาลดลบันดาลให้ท่านมี “วาจาสิทธิ์” กับ “ญาณทิพย์” มาขจัดปัดเป่าความทุกข์โศก ของเหล่าบรรดาศิษยานุศิษย์ได้อย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะยากดีมีจนท่านก็ช่วยเหลือจนหมดสิ้นปฐมวัย
เรียนอาคมเพิ่มบารมี
หลังจากเสร็จภารกิจในการก่อสร้างเสนาสนะที่เป็นของวัดแล้ว หลวงปู่หลิวได้หาโอกาสเดินทางไปศึกษาวิชาอาคมเพิ่มเติมกับอาจารย์หม่งชาวกระเหรี่ยงอีกครั้งหนึ่ง “คราวนี้อาตมาเรียนทางเมตตา มหานิยม กับคงกระพันชาตรีวิชาฆ่าคนไม่เอาแล้ว เพราะเป็นนักบวช ไม่รู้จะเอาไปฆ่าใครประเดี๋ยวจะอาบัติและขาดจากความเป็นภิกษุเสีย
เมื่อเรียนวิชาอาคมจากอาจารย์จอมขมังเวทย์ชาวกระเหรี่ยงแล้ว ท่านได้เดินทางไปเรียนวิชาลงอาคมอักขระยันต์กับหลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรีจากนั้นท่านได้ไปเรียนอาคมต่อที่สำนักของหลวงพ่อคล้าย วัดสวนขันจังหวัดนครศรีธรรมราช และหลวงพ่ออุ้ม จังหวัดนครสวรรค์ ในระหว่างปี พ.ศ. 2481-2482 หลวงปู่หลิวท่านได้อยู่เรียนพระปริยัติธรรม คือเรียนนักธรรมตรีอยู่ในสำนักวัดหนองอ้อแต่ท่านเรียนนักธรรมได้เพียง 5 เดือนเท่านั้นท่านก็ต้องหยุดเรียน เพราะได้ใช้เวลาเหล่านี้ไปสร้างศาลาการเปรียญให้กับวัดโศก ในเขตจังหวัดสุพรรณบุรีประมาณกลางปี พ.ศ. 2482 หลวงปู่หลิว ท่านได้ย้ายไปจำพรรษา ณวัดร้างในหมู่บ้านท่าเสา ท่านได้ใช้เวลาระหว่างจำพรรษาอยู่นั้นสร้างกุฏิสงฆ์ขึ้น 3หลัง และพระอุโบสถอีกหนึ่งหลัง เมื่อทำการสร้างเสร็จ วัดบ้านท่าเสาก็มีพระภิกษุมาจำพรรษาพอสมควรแล้วไม่มีอะไรเป็นห่วงอีกท่านจึงเดินทางกลับไปจำพรรษายังวัดหนองอ้อตามเดิม
ต่อมาในปีพ.ศ.2484 ญาติโยมศาสนิกชน ชาวหมู่บ้านสนามแย้ ได้นิมนต์ให้หลวงปู่หลิวไปจำพรรษาอยู่ณ วัดสนามแย้ จังหวัดกาญจนบุรี เพราะเป็นวัดเก่าแก่ที่กำลังทรุดโทรมลงมาก ขาดผู้ที่จะทำนุบำรุงให้อยู่ในสภาพที่เจริญรุ่งเรืองเมื่อหลวงปู่หลิวอยู่วัดสนามแย้แล้วท่านได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์เสนาสนะภาย ในวัดหลายอย่างเช่น กุฏิ วิหาร ศาลาการเปรียญ และโบสถ์ จนมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นวัดที่ใหญ่โตอีกแห่งในท้องถิ่น
หลวงปู่หลิวเป็นพระนักพัฒนาตัวอย่าง ผลงานและการสร้างวัดของท่านเป็นที่ประจักษ์ของชาวบ้านเป็นอย่างดีจนเป็นที่รู้จักชื่อของคนทั่วไป ท่านได้ทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจให้ท้องถิ่นที่ท่านจำพรรษาได้มีความทัดเทียม กันกับท้องถิ่นอื่น ๆ แม้จะต้องเจอกับอุปสรรค หรือความยากลำบากของสิ่งแวดล้อมต่างๆ นานาอุดมการณ์แห่งการสร้างสรรค์พัฒนาของหลวงปู่หลิว สืบสานดำเนินการต่อเนื่องในวัดสนามแย้เป็นเวลายาวนานถึง 36ปี ท่านเห็นว่าการทำงานของท่านเป็นการสมควรแก่เวลาแล้ว ควรกระจายความเจริญไปสู่ถิ่นอื่นบ้านท่านจึงอำลาญาติโยมเพื่อจาริกไปในถิ่นอื่นต่อไป
ในที่สุดหลวงปู่หลิวท่านก็ได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ที่ตำบลจระเข้เผือก อำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรีซึ่งการเดินทางไปสร้างวัดใหม่ในครั้งนี้ มีคณะลูกศิษย์ ญาติโยมติดตามไปส่งเป็นจำนวนมากชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสมทบทุน ในการสร้างเสนาสนะให้กับวัดแห่งใหม่ของหลวงปู่ด้วยความศรัทธา
ความเพียร พยายามที่ใช้เวลาในการสร้างยาวนานถึง 5 ปี วัดแห่งใหม่จึงได้แลดูเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาสิ่งก่อสร้างเสนาสนะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของหลวงปู่หลิว ที่ท่านนำญาติโยมสาธุชนสร้างขึ้นมาในนาม“วัดไทรทองพัฒนา”
ในราวปีพ.ศ. 2523ขณะที่หลวงปู่หลิว ปณฺณโก จำพรรษาอยู่ ณ วัดไทรทองพัฒนา ตำบลจระเข้เผือกอำเภอด่านมะขามเตี้ย จังหวัดกาญจนบุรี ท่านได้เก็บสะสมเงินจากการบริจาคของญาติโยมจำนวนหนึ่งมาซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง ในเขตตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แล้วมาทำการสร้างวัดขึ้นใหม่อีกแห่งให้ชื่อว่า “วัดไร่แตงทอง” เมื่อเสนาสนะอันจำเป็นแก่การจำพรรษาเรียบร้อยแล้วท่านจึงได้ย้ายมาจำพรรษา ณ วัดไร่แตงทองแห่งนี้ และด้วยความเคารพศรัทธาของศิษยานุศิษย์ในตัวหลวงปู่หลิวปณฺณโก ทำให้สามารถสร้างและพัฒนาวัดไร่แตงทองให้เจริญรุ่งเรืองตามลำดับ ถึงแม้ ว่าวัดไร่แตงทองจะเป็นวัดที่กำลังเร่งพัฒนาหลวงปู่หลิวก็ไม่ละทิ้งที่จะช่วยเหลือวัดอื่น ๆ อย่างเต็มกำลังเรื่อยมา อาทิการสร้างพระอุโบสถให้กับวัดหนองอ้อซึ่งเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน ซึ่งได้ทำการวางศิลาฤกษ์ไปเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2535 นอกจากนี้ท่านยังได้สร้างสำนักสงฆ์ประชาสามัคคีอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ตลอดจนสถานีอนามัยบ้านไร่แตงทอง (หลวงปู่หลิว ปณฺณโกอุปถัมภ์) เฉลิมพระเกียรติที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานเปิดเมื่อวันที่29 มกราคม พ.ศ. 2542
โดย: kit007 เวลา: 2013-12-2 07:34
กลับสู่มาตุภูมิอีกครั้ง
ในที่สุดวัดไร่แตงทองก็พัฒนาจนเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองอีกวัดหนึ่ง หลวงปู่หลิวท่านจึงได้ลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดไร่แตงทองแล้วก็ได้ย้ายกลับมาจำพรรษา ณ วัดหนองอ้อ อันเป็นวัดบ้านเกิดของท่าน เมื่อวันที่ 15ธันวาคม 2540 ณ ที่แห่งนี้ท่านกลับมาจำพรรษาในฐานะเพียงพระลูกวัดรูปหนึ่งเมื่อท่านมาอยู่ท่านก็ได้สร้างกุฏิขึ้นใหม่ด้วยเลาเพียง 5 เดือนนอกจากนี้ยังได้สร้างศาลาอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งหลัก ในขณะเดียวกันหลวงปู่หลิวยังได้ช่วยก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดไทรทองพัฒนา เพื่อทดแทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรมลง
หลวงปู่หลิว ปณฺณโก ท่านได้กล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีของท่านว่า“ชีวิต การดำรงอยู่ในเพศแห่งบรรพชิตนอกจากจะต้องบำเพ็ญเพียรศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมวินัย เพื่อนำไปประกาศเผยแพร่ให้แก่สาธุชนคนผู้ปรารถนาความสงบสุขทางจิตแล้วเราในฐานะเป็นพระสงฆ์เป็นพระ เป็นผู้นำทางจิตใจ ต้องมีส่วนในการพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญหูเจริญตาทั้งทางจิตใจและสาธารณะวัตถุ อันเป็นประโยชน์แก่คนหมู่ใหญ่โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง”“การสร้าง เสนาสนะวัดวาอารามเป็นการชักนำให้ประชาชนได้บำเพ็ญทานบารมี รู้จักทำบุญเข้าวัดมีศาสนสถานไว้ประกอบศาสนกิจเพื่อให้อนุรักษ์วัฒนธรรม ศีลธรรมอันดีงามของไทยสืบไป”
“คนอื่นเป็นสุข จิตเราเป็นสุขนี่แหละบารมีของเรา”
ถ้อย คำอุดมการณ์มองการไกลของหลวงปู่หลิว ปณฺณโก ช่างเป็นความคิดที่เหมาะสมกับความเป็นพระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ไม่ยึดติดในลาภยศ นินทา สรรเสริญ เห็นประโยชน์ แก่สังคมเป็นส่วนใหญ่
กิจวัตรประจำวันของหลวงปู่หลิว
หลวง ปู่หลิว ปณฺณโก เป็นพระที่ถือสันโดษไม่ลุ่มหลงทั้งทางโลกและทางธรรม ท่านไม่รับและไม่ยินดียินร้ายต่อสมณศักดิ์ทางสงฆ์ แม้จะมีลูกศิษย์ลูกหามากมายอ้อนวอนให้หลวงปู่รับสมณศักดิ์ทางสงฆ์ หลวงปู่หลิวก็หายอมรับไม่ หลวงปู่หลิวขออยู่อย่างพระธรรมดาทั่วไปกุฏิหลวงปู่หลิว ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ไม่มีทีวี ไม่มีตู้เย็น ไม่มีที่นอนอย่างดีไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างดีราคาแพง ท่านอยู่แบบสมถะ เป็นที่นับถือของบุคคลทั่วไปเป็นอย่างยิ่งท่านมีบุคคลต่าง ๆ จากทั่วทุกสารทิศมาพึ่งบารมีขอพร ขอให้ท่านช่วยคลายทุกข์มากมาย หลวงปู่หลิวมีลูกศิษย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย บรูไน และฮ่องกง
หลวงปู่หลิวนั้นเป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าท่านสมถะไม่หวังในยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านพัฒนาทั้งทางธรรมและทางโลกโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหลวงปู่หลิวนั้นท่านฉันอาหารอย่างง่าย อาหารที่หลวงปู่หลิวฉันทุกมื้อ คือ ผักต้มนิ่มๆ และมีมะระขี้นกทุกมื้อ น้ำพริก รสไม่เผ็ด แกงเลียง ข้ามต้ม ผัดหมี่ซั่วผลไม้ที่ท่านชอบมากคือ ทุเรียน นอกจากนั้น ท่านชอบฉันหมากเป็นประจำ
นอกจากหลวงปู่หลิวจะมีวัตรปฏิบัติที่เพียบพร้อมแล้ว หลวงปู่ยังมีอารมณ์ขัน จนเป็นที่ทราบของบุคคลใกล้ชิดทั่วไป และลูกศิษย์ลูกหาที่มาหาจนมีการรวบรวมอารมณ์ขันของหลวงปู่มาเป็นหนังสือได้ 1 เล่มทีเดียว
โดย: kit007 เวลา: 2013-12-2 07:34
สิ้นแล้ว “หลวงปู่หลิว”
เริ่มเข้ากลางปี พ.ศ. 2543 หลังจากพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลรุ่นเสาร์ 5 เป็นต้นมา หลวงปู่ก็เริ่มอาพาธด้วยโรคชรา
ปรัชญาอันลึกซึ้งของหลวงปู่หลิว ขณะที่ท่านอาพาธ ก็คือไม่ยินดียินร้ายกับการจะอยู่หรือจะไปร่างกายของคนเราเป็นของผสม เมื่อถึงคราวแตกดับก็ต้องแตกดับ คือต้องตายทั้งนั้นที่สำคัญคือ เมื่อมีชีวิตอยู่ต้องไตร่ตรองให้รู้ว่าเราเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร และจะใช้ชีวิตอย่างไรหลวงปู่หลิวเคยปรารภกับลูกหลานว่า ท่านเกิดที่หนองอ้อ ท่านก็อยากตายที่หนองอ้อ และหากว่าเมื่อถึงเวลาที่ท่านต้องจากไปก็อย่าได้หน่วงเหนี่ยวท่านไว้ เพราะวัฏสงสารเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์จะยื้อยุดฉุดกระชากอย่างไร ก็ต้องพบกับความจริงข้อนี้วันยังค่ำ
ในค่ำคืนวันจันทร์ที่4 กันยายน พ.ศ. 2543 เวลา 20.35 น.หลวงปู่หลิวได้ละสังขารอย่าสงบท่ามกลางลูกหลานที่คอยมาดูใจเป็นครั้งสุดท้าย ที่กุฏิของท่านณ วัดหนองอ้อ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี รวมอายุ 95 ปี พรรษา74 พรรษา แม้การจากไปของหลวงปู่หลิวจะไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแต่ลูกหลานและญาติโยมก็รู้แก่ใจดีหากท่านสั่งเสียได้ ท่านคงอยากบอกทุกคนให้เป็นคนดีเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี ดังที่ท่านเคยปฏิบัติมาตลอดชีวิต
การพัฒนาพระศาสนา และสาธารณประโยชน์ของหลวงปู่หลิว ปณณโก
ด้วยปณิธานอันแรงกล้าของหลวงปู่หลิว ปณฺณโก ที่จะทำนุบำรุงพระศาสนา และพัฒนาสาธารณประโยชน์จากความปรารถนาของหลวงปู่หลิว ปณฺณโก ที่ว่า
“เกิดมาชาติหนึ่งขอตั้งปฏิธานด้วยสัจจะวาจา 2 ประการคือ
ประการที่ 1. งด ละ เลิกอบายมุข ทุกชนิด
ประการที่ 2. เมื่อมีโอกาสขอสั่งสมบารมีด้วยการสร้างเสนาสนะ เช่น โบสถ์ วิหาร กุฏิ ศาลาการเปรียญ จนกว่าชีวิตจะหาไม่
หลวงปู่หลิวได้สร้างและบูรณะศาสนสถานต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอาราม โรงพยาบาลโรงเรียน สถานีอนามัยต่าง ๆ พอจะรวบรวมได้ดังนี้
1. สร้างศาลาการเปรียญให้กับวัดทองสามเหลี่ยม จังหวัดสุพรรณบุรี
2. สร้างวัดท่าเสา อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
3. บูรณะวัดสนามแย้ จังหวัดกาญจนบุรี
4. สร้างวัดไทรทองพัฒนา ตำบลจรเข้เผือก อำเภอด่านมะขามเตี้ยจังหวัดกาญจนบุรี
5. สร้างวัดไร่แตงทอง ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
6. บูรณะวัดหนองอ้อ ตำบลบ้างสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
7. สร้างสำนักสงฆ์ประชาสามัคคี อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีเป็นจำนวนเงิน 7,000,000 บาท
8. บูรณะพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม เป็นจำนวนเงิน 13,000,000บาท
9. สร้างสถานีอนามัยบ้านไร่แตงทอง (หลวงปู่หลิว ปณฺณโก อุปถัมภ์)เฉลิมพระเกียรติ ตำบลทุ่งลูกนก อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
10. บูรณะค่ายลูกเสือกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
11. สร้างสำนักงานการประถมศึกษา อำเภอด่านมะขามเตี้ยจังหวัดกาญจนบุรี
12. สมทบทุนสร้างพระอุโบสถ วัดเขาชะอางค์ อำเภอด่านมะขามเตี้ยจังหวัดกาญจนบุรี เป็นจำนวนเงิน 2,000,000 บาท
13. สร้างวิหารหลวงพ่อเพชร วัดนางแก้ว อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
14. สร้างตึกผู้ป่วยในโรงพยาบาลกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมเป็นจำนวนเงิน 9,739,345 บาท
15. สร้างสถานีอนามัยวัดไทรทอง อำเภอด่านมะขามเตี้ยจังหวัดกาญจนบุรี
16. สมทบทุนสร้างโรงเรียนสมถะ อำเภอโพธาราม จังหวัดนครปฐมเป็นจำนวนเงิน 700,000 บาท
17. สร้างหอประชุมสำนักงานสาธารณสุข จังหวัดกาญจนบุรี
18. สร้างอาคารเรียน โรงเรียนวัดไทรทอง อำเภอด่านมะขามเตี้ยจังหวัดกาญจนบุรี
19. สมทบทุนสร้างหอสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี”อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท
20. สร้างศาลาฌาปนสถาน วัดหนองกระทุ่ม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐมเป็นจำนวนเงิน 1,300,000 บาท
21. สมทบทุนสร้างพระอุโบสถวัดหนองอ้อ ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี
22. สร้างศาลาเอนกประสงค์หลังใหญ่ ให้กับวัดหนองอ้อ ตำบลบ้านสิงห์อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นจำนวนเงิน 7,000,000 บาท
23. สร้างกุฏีหลวงปู่หลิว ปณฺณโก วัดหนองอ้อ เป็นจำนวนเงิน 4,298,860บาท
24. บริจาคให้โรงพยาบาลท่าม่วง อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรีเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท
นับว่าสาธารณประโยชน์ที่หลวงปู่หลิว ท่านได้สร้างและพัฒนาเฉพาะที่ระบุตัวเลขจำนวนเงินรวมได้47,038,205 บาท ทั้งนี้ยังไม่รวมรายการต่าง ๆที่ไม่ได้ระบุจำนวนเงิน และรายการที่มิได้บันทึกไว้อีกมากมาย แสดงออกถึงปณิธาณอันแน่วแน่และความเมตตาอย่างไพศาลที่ท่านได้สร้างสาธารณประโยชน์มอบไว้ให้แก่แผ่นดิน
เนื้อความประวัติหลวงปู่หลิวนี้คัดลอกมาจากหนังสือ เทพเจ้าพญาเต่าเรือน หลวงปู่หลิว ปณฺณโก และหนังสืออนุสรณ์ หลวงปู่หลิว ที่จัดทำขึ้นแจกในคราวพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ เมื่อ วันที่ 15เมษายน 2544
โดย: kit007 เวลา: 2013-12-2 07:35
เมื่อครั้งอดีตตอนที่พระโพธิสัตว์เจ้า เสวยพระชาติเป็นพญาเต่าเรือนคือมีตัวใหญ่อย่างเรือนหรือบ้านเล็กๆมีนามว่า“มหาจิตรจุล” อาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่มาไม่นานเกิดเหตุการณ์พายุเข้าบริเวณเกาะจึงเป็นเหตุให้เรือสำเภาที่ผ่านบริเวณนั้นอับปางเกาะดังกล่าวมีผู้คนว่ายน้ำ หนีตายมาอาศัยที่เกาะเป็นจำนวนมากต่างขาดอาหารและน้ำ ชาวบ้านต่างจึงคิดที่ทำร้ายกันพญาเต่าโพธิสัตว์ ในครั้งนั้นพญาเต่าโพธิสัตว์จึงคิดว่าในเมื่อชาวบ้านต่างเดือดร้อน ถึงขนาด ต้องคิดฆ่าตัวเราเพื่ออยู่รอดพญาเต่าโพธิสัตว์มีจิตอนุเคราะห์ จึงกลิ้งตัวจากภูเขาหมายที่จะบริจาคทานด้วยเลือดและเนื้อของตน ในที่สุดเมื่อ ตกลงมาถึงตีนเขาก็ถึงกาลกิริยาแตกดับผู้คนเหล่านั้นก็ได้อาศัยเนื้อพระโพธิสัตว์พญาเต่าเรือนบริโภคเป็นอาหาร แล้วเอากระดองทำเป็นพาหนะ กลับสู่บ้านเมืองอย่างปลอดภัย ภายหลังผู้คนเหล่านั้นได้ระลึกนึกถึงบุญคุณของพญาเต่าเรือนจึงได้วาดภาพไว้สักการบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล และต่อมาจึงได้มีการสร้างเป็นวัตถุมงคลรูปเต่าลงอักขระเลขยันต์ปลุกเสกไว้บูชาสืบทอดมาถึงปัจจุบันด้วยอานุภาพแห่งมหาทานอันยิ่งใหญ่ในครั้งนั้น
ดังนั้นครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณจึงได้สร้างวัตถุมงคลเป็นรูปพญาเต่าเรือน ด้วยเชื่อว่าจะทำให้ทำมาค้าขายดี เพราะถือว่าพญาเต่าเรือนอยู่ในชาติหนึ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น พระองค์เคยเสวยชาติเป็นพญาเต่าเรือน ได้สละเลือดเนื้อชีวิตเพื่อเป็นทานแก่สัตว์ผู้ยากไร้เกจิอาจารย์ต่างๆ ในอดีตจึงมีการสักยันต์ตามตัวและทำเครื่องรางเพื่อไว้ใช้ ด้วยเหตุที่ว่าสารพัดใช้ตามอธิษฐาน วิเศษนักเป็นได้ทุกอย่าง เช่นทำให้มีโชคลาภ เงินทองหลั่งไหลมาไม่ขาดสายค้าขายจะเจริญก้าวหน้า และเป็นมงคลแก่ผู้บูชายิ่งนัก การทำเครื่องรางพญาเต่าเรือนในสมัยโบราณนั้น มักนิยมใช้ กระดองเต่าตายซากหรือตายเองซึ่งถือเป็นหลักโดยห้ามฆ่าจากนั้นก็จะนำกระดองเต่ามาลงอักขระหัวใจพญาเต่าเรือน(นาสังสิโม)และอักขระ พระเจ้าห้าพระองค์ (นะโมพุทธายะ)จากนั้นนำไปปลุกเสกซึ่งถือเป็นของดีที่หายากและมีความสำคัญประจำบ้าน เรือน และป้องกันภัยพิบัติอันตรายทุกประการจากโจรภัยวาตภัย อัคคีภัย ฯเรียกว่าหากใครมีไว้บูชาถือว่าเป็นแก้วสารพัดนึกเลยก็ว่าได้ แต่ปัจจุบันกระดองเต่าที่ตายซากหรือตายเองหาได้ยากเกจิอาจารย์จึงใช้วิธีเขียนอักขระ บนแผ่นโลหะหรือผ้ายันต์เป็นรูป “พญาเต่าเรือน” แล้วนำมาปลุกเสก
ถ้าพูดถึงพญาเต่าเรือนแล้วเกจิอาจารย์ที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดย่อมไม่พ้นหลวงปู่หลิว แห่งวัดไร่แตงทองตำบลลูกนก อ.กำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ท่านได้เดินทางฝ่าป่าดงดิบซึ่งถือว่าอันตรายมากในสมัยนั้นไปเรียนวิชากับอาจารย์ชาวกะเหรี่ยงเป็นเวลา 3 ปี เมื่อได้วิชาติดตัวกลับมาแล้วได้กลับมาช่วยที่บ้านปราบโจรขโมยวัวจนราบคาบ วิชาเต่าเรือนนั้นท่านได้เรียนมาจาก หลวงพ่อย่นวัดฆ้องใหญ่ จ.ราชบุรี นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาจากอาจารย์อีกหลายท่าน อาทิเช่หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ จ.เพชรบุรี หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช และหลวงพ่ออุ้ม จ.นครสวรรค์ วิชาที่ท่านศึกษาจาก หลวงพ่ออุ้มคือ ท่านให้ลป.หลิวนำกระดาษฟูลสแก็ปไปไว้อีกฟากของภูเขาที่อยู่ห่างออกไป10 กิโลเมตร จากนั้นหลวงพ่ออุ้มได้นำ เหรียญบาทขึ้นมา ลงอักขระอาคมแล้วโยนขึ้นไปในอากาศปรากฎว่าเหรียญสามารถลอยข้ามภูเขาไปตกยังกระดาษได้ ท่านสนใจวิชานี้มากได้ศึกษาจนสำเร็จ
พญาเต่าเรือนรุ่นแรก
หลวงปู่หลิวเป็นนักพัฒนาท่านได้บูรณะวัดสนามแย้ ซึ่งได้ออกวัตถุมงคลคือพญาเต่าเรือนรุ่นแรกเมื่อปี 2516เต่ามีตัวผู้ตัวเมียด้วยนะครับ จะดูได้ยังไง ก็ต้องดูแถวๆก้นเต่า ตัวผู้จะมีอะไรยื่นๆนิดนึงไม่ได้ทะลึ่งนะ ผมหมายถึงตัวผู้จะมีเนื้อเกินออกมานิดนึง ตามลูกศรชี้ รุ่นนี้เน้นเรื่องคงกระพันหนังเหนียวมีประสบการณ์รถคว่ำไม่ตาย
โดย: kit007 เวลา: 2013-12-2 07:37
พญาเต่าเรือนรุ่นปลดหนี้ปี 2536 อันลือลั่น
หลวงปู่หลิวใช้เวลา 5ปีในการสร้างและพัฒนาวัดไทรทองพัฒนา ต.จรเข้เผือก อ.ด่านมะขามเตี้ยจ.กาญจนบุรี ในปีพศ. 2523 ขณะที่หลวงปู่จำพรรษาอยู่ ณ วัดไทรทองพัฒนาท่านได้เก็บสะสมเงินจากการรับบริจาค มาซื้อที่ดินเพื่อก่อตั้งวัดไร่แตงทองขึ้น ณตำบล ลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และได้พัฒนาจนมีความเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ หลังจากรุ่นแรกที่ดังแล้วก็ห่างมาหลายรุ่นจนถึงรุ่นปลดหนี้ปี 2536 สร้างเนื้อเงินเท่าจำนวนพศ.พอดีคือ 2536 องค์ รุ่นนี้เน้นทางโชคลาภ ค้าขายดี มีประสบการณ์เช่นกันครับว่าแล้วผมก็นิมนต์มาขึ้นคอ 1 องค์ ดังรูป ราคาตอนนี้ขยับตามรุ่นแรกไปสบายๆ
จริงๆแล้วห้อยรุ่นไหนก็ได้แหละครับขอให้ทันท่านปลุกเสกก็ใช้ได้ (ก่อนกลางปี 2543) ของแปลกๆก็มีนะครับเช่นจิ้งจกสองหาง หรือผ้ายันต์ประกันชีวิต ฟังชื่อแล้วสงสัยพวกโทรมาขายประกันขายไม่ออกกันเป็นแถวที่วัดยังมีของที่ทันท่านปลุกเสกราคาไม่แพงจำหน่ายอยู่ ว่าแล้วก็พาไปเที่ยววัดกันดีกว่า
วิธีบูชาพญาเต่าเรือน
ให้ตั้งไว้สูงกว่าเทพทั่วๆไป เพราะพญาเต่าเรือนเป็นพระโพธิสัตว์และเป็นชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า แต่ต้องต่ำกว่าพระพุทธรูปการบูชานั้นหลายๆ ที่มักนำน้ำมาหล่อเอาไว้ พร้อมทั้งมีผักบุ้งลอยเอาไว้หรือดอกมะลิ กลีบกุหลาบลอยไว้ด้วย คอยเติมน้ำให้เต็มเสมอๆ เพราะเชื่อกันว่าหากน้ำลดจะทำให้โชคลาภหดเหือดหายตามไปด้วย และต้องทำน้ำให้สะอาดเสมอๆ จะได้มีความสดใสและชุ่มเย็นในชีวิตถ้าเป็นพญาเต่าเรือนขนาดเล็ก บางคนถือเคล็ดเอาไว้ในที่เก็บเงิน ก็มีรุ่นนี้คือรุ่น 90ปีครับ ขนาดหน้าตักหลวงปู่ 7 นิ้ว กว้างประมาณ 11นิ้ว ยาว 19 นิ้ว น้ำหนักก็ร่วม 10กิโลกรัมได้ วิธีบูชาก็ตามตำรานั่นแหละครับ หาถ้วยน้ำชามารองขาเต่านะครับ จะได้ไม่ชำรุดเวลาแช่น้ำ
คาถาขอลาภหลวงปู่หลิว
ตั้งนะโม 3 จบ
จะขอลาภหลวงปู่หลิวจะมะหาเถรา
สุวรรณณะมามาระชะมามา เพชรชะมามา
อาหาระมามาขาทะนียะมามา โภชะนียะมามา
สัพเพชะนาพะหูชะนา สัพพะบูชา ภะวันตุเม
นะชาลีติอาคัจฉัยยะ อาคัจฉาหิ
แล้วต่อด้วยคาถาพญาเต่าเรือน
คาถาบูชาพญาเต่าเรือน
ตั้งนะโม 3 จบนะมะภะทะ นาสังสิโม สังสิโมนา สิโมนาสัง โมนาสังสิ นะอุทะกะ เมมะอะอุอะ
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านประวัติหลวงปู่หลิว ปณฺณโก และขอฝากคำสั่งสอนที่หลวงปู่มักสอนแก่ศิษย์เสมอ ๆ ว่า “ขยัน ซื่อสัตย์ประหยัด อดทน ชีวิตทุกคนก็เป็นสุข”
.......................................................................
ที่มา http://www.amuletpalung.com/arti ... AD%E0%B8%99%29.html
โดย: Metha เวลา: 2013-12-11 00:18
ขอบคุณครับ
โดย: Sornpraram เวลา: 2015-2-1 07:42
โดย: ธี เวลา: 2015-2-1 20:22
โดย: astro เวลา: 2015-2-2 00:42
โดย: morntanti เวลา: 2015-2-2 00:56
ก่อนท่านละสังขาลจำได้ว่าเคยไปกราบและบูชาวัตถุมงคลของท่านที่วัดไร่แตงทองหลายครั้งอยู่หลายเหมือนกันครับ....
โดย: SHA เวลา: 2015-3-21 11:32
โดย: Sornpraram เวลา: 2016-2-22 07:36
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) |
Powered by Discuz! X3.2 |