Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
ไสยเวทย์กับอาจารย์ฆราวาส
[สั่งพิมพ์]
โดย:
oustayutt
เวลา:
2013-11-25 15:34
ชื่อกระทู้:
ไสยเวทย์กับอาจารย์ฆราวาส
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย oustayutt เมื่อ 2013-11-25 15:36
ประดับความรู้นะครับ^^
นายแพทย์สำนวน บัวพิมพ์
เป็นหมอใหญ่ที่จบจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากจะมีความชำนาญในวิชาชีพของท่านคือ การแพทย์รักษาผู้ป่วยแล้ว คุณหมอสำนวนยังเป็น
"นักไวโอลิน"
มือหนึ่งของประเทศไทยจึงได้รับการขอให้เป็นอาจารย์พิเศษสอนการสีไวโอลินด้วยเทคนิคระดับสูงให้กับกองดุริยางค์ทหารบก และความสามารถของท่านก็ลือลั่นขจรไปทั่วโลก จนที่สุดก็ได้รับเชิญไปแสดงการเดี่ยวไวโอลินถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสวีเดน ประเทศเดนมาร์ก เป็นต้น
และอาจเพราะความสามารถรอบตัวจนน่าริษยาเช่นนี้เอง จึงเป็นเหตุให้
คุณหมอสำนวน
ได้พบกับ
"ศาสตร์"
ที่ท่านไม่เคยได้สนใจ ไม่เคยร่ำเรียนมา และที่สำคัญคือ ไม่เคยคิดว่าในชีวิตของท่านต้องมาโดนเข้ากับตัวเองอย่างน่าสยองใจที่สุด
ในปี พ.ศ. 2520
คุณหมอสำนวน
เกิดมีอาการมือซ้ายชาและเกร็งแข็งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำให้ท่านต้องหยุดเล่นไวโอลิน เพราะมือซ้ายต้องเป็นมือที่ใช้กดตัวโน้ต ท่านเพียรพยายามรักษาโดยการให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางตรวจรักษา แต่ทุก ๆ แพทย์ก็ไม่สามารถค้นหาสมุฏฐานของโรคได้ว่าเกิดจากอะไร ? เหตุใดมือซ้ายของคุณหมอสำนวนจึงเกร็งอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่อาจรักษาได้ก็เท่ากับว่าท่านกลายเป็น
“ผู้พิการ”
ไปโดยปริยาย
เหตุนี้ทำให้ท่านเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง แม้จะดิ้นรนหาทางรักษาด้วยวิทยาการสมัยใหม่เพียงใดก็ไม่ทำให้เกิดผลดีขึ้นมาให้เป็นที่พอใจเลยแม้สักนิดเดียว
จนวันหนึ่ง มีผู้รู้จักนับถือคนหนึ่งแนะนำ
คุณหมอสำนวน
ทำในสิ่งที่ท่านไม่เคยเชื่อถือมาตลอด นั่นคือขอให้ลองไปรักษาในทาง
“ไสยศาสตร์”
ดูบ้าง โดยให้เหตุผลว่าเมื่อรักษาแบบแผนปัจจุบันวิทยาการสมัยใหม่มามากแล้วยังไม่ดี ก็น่าจะทดลองในทางไสยศาสตร์ดูบ้าง เพราะท่านผู้นี้รู้จักกับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในทางไสยขาวรับรักษาคนป่วยที่ถูกของต้องมนต์หายขาดมามากต่อมากรายแล้ว อาจารย์ท่านนี้มีชื่อว่า...
“อาจารย์โสมทัต เขมจารี”
แม้
คุณหมอสำนวน
จะไม่มีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำเลยแม้นักน้อยหนึ่งในหัวใจ แต่ด้วยความที่จนตรอกหาทางออกไม่ได้แล้ว กอปรกับผู้แนะนำก็เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำใจนับหน้าถือตากันอยู่แล้ว สิ่งที่พูดมาจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
คุณหมอสำนวน
จึงตกลงเดินทางไปพบ
อาจารย์โสมทัต เขมจารี
ที่สำนักของท่านย่านสวนพลู
วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2523
คุณหมอสำนวน
และ
คุณอุบล บัวพิมพ์
ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากรวมทั้งท่านผู้แนะนำให้ไปหา
อาจารย์โสมทัต
ได้พร้อมใจกันเดินทางไปที่สำนักของอาจารย์ เมื่อพบกันและแนะนำทักทายเรียบร้อยแล้ว
อาจารย์โสมทัต
ก็ได้ทำการตรวจดูมือซ้ายของคุณหมอสำนวนด้วยพิธีกรรมเฉพาะของท่าน เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วท่านก็บอกกับคุณหมอสำนวนว่า สิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้มือของท่านมีอาการเช่นนี้ก็คือ
“คุณไสย”
ส่วนจะเป็นการกระทำใส่
คุณหมอสำนวน
โดยตรงหรือคุณหมอถูกของแบบ
“ลมเพลมพัด”
นั้นไม่อาจบอกได้
อาจารย์โสมทัต
บอกว่าจะรักษาให้ด้วยการเรียก
“ของ”
ที่แฝงเร้นอยู่ในร่างกายออกมา จากนั้นท่านก็ขอตัวไปทำน้ำมนต์ เมื่อเรียบร้อยก็เรียกให้
คุณหมอสำนวน
มาอาบน้ำมนต์ ขณะที่อาบน้ำมนต์นั้น
อาจารย์โสมทัต
ได้ร่ายพระเวทย์อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
ไม่นานนักสิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อผิวเนื้อตรงหัวไหล่ด้านซ้ายของ
คุณหมอสำนวน
ค่อย ๆ ปูดนูนขึ้น...นูนขึ้น... แล้วตะปูตัวหนึ่งก็ผุดทะลุขึ้นมาจากผิวหนังอย่างไม่น่าเชื่อ
อาจารย์โสมทัต
หันมาบอกกับ
คุณอุบล
ผู้เป็นภรรยาว่า ให้ใช้คีมคีบที่ตะปูแล้วดึงออกมาตรง ๆ ครั้น
คุณอุบล
ออกแรงฉุดดึงตะปูตัวนั้นออกมาได้หมดดอก ก็แลเห็นชัดว่าเป็นตะปูเก่ายาวประมาณ 2 นิ้ว สนิมจับเกรอะกรังไปทั้งดอก ซึ่งความยาวของตะปูตัวดังกล่าวเป็นที่รู้กันว่ามันคือขนาดที่ใช้ตอกฝาโลงศพ !
คุณหมอสำนวน
กับภรรยาถึงกับตื่นตะลึง ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าในร่างกายตนสามารถมีตะปูยาวขนาดนั้นเข้าไปฝังอยู่ได้โดยที่ตัวเองไม่ได้ทำ ไม่รู้ไม่เห็นว่าเข้าไปตอนไหนอย่างไร และไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย ขณะที่กำลังตื่นเต้นตื่นตาอยู่นั้น
อาจารย์โสมทัต
ก็กล่าวขึ้นว่าในตัวของ
คุณหมอสำนวน
ยังคงมี
“ของ”
ตกค้างอยู่อีก วันพรุ่งนี้ให้มาใหม่จะทำการเรียก
“ของ”
ที่เหลือออกมาให้หมดจะได้หายขาด คุณหมอและคณะก็รู้สึกปีติยินดียิ่ง นัดแนะกันแล้วก็กราบลาอาจารย์กลับบ้าน
วันรุ่งขึ้น เมื่อ
คุณหมอสำนวน
จะเดินทางไปตามนัดนั้น บังเอิญ
คุณประวัติ โชติกำจร
เพื่อนผู้คุ้นเคยกับ
คุณหมอสำนวน
ได้ทราบว่าคุณหมอจะเดินทางไปพบ
อาจารย์โสมทัต
เพื่อถอนของ ก็เลยขอติดตามไปชมด้วยคนจากนั้นก็ไปชวน
คุณท.เลียงพิบูลย์
ให้ไปดูเหตุการณ์ด้วยกัน ซึ่ง
คุณท.เลียงพิบูลย์
ก็ยินดีไปด้วย
เมื่อไปถึงสำนักของ
อาจารย์โสมทัต
ท่านก็ได้ทำน้ำมนต์อาบให้
คุณหมอสำนวน
เหมือนเช่นเคย ไม่นานนักก็มีตะปูผุดขึ้นมาที่ไหล่ขวาของคุณหมอ
อาจารย์โสมทัต
ได้บอกให้
คุณท.เลียงพิบูลย์
ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ให้ช่วยถอนตะปูตัวนั้นออกมา
คุณท.เลียงพิบูลย์
ก็รับคำทันทีแล้วตรงเข้าไปใช้มือจับตะปูอย่างแน่นหนามั่นคงแล้วออกแรงดึงเต็มที่ด้วยคิดว่าตะปูคงหลุดออกมาได้โดยง่ายเพราะอยู่กับเนื้อกับหนัง แต่ที่ไหนได้ ตะปูตัวนั้นกลับติดแน่นราวกับตอกยึดไว้กับไม้กระดาน แม้
คุณท.เลียงพิบูลย์
จะออกแรงดึงสักเท่าไรก็ไม่ขยับเขยื้อนจนที่สุดตัวผู้ดึงเองก็ซวนเซจนแทบหกล้ม
ระหว่างที่ดึงอยู่นั้น
คุณหมอสำนวน
ก็เจ็บปวดจนถึงกับร้องโอดโอย แต่
อาจารย์โสมทัต
ก็บอกกับ
คุณท.เลียงพิบูลย์
ว่าไม่ต้องยั้งมือ พยายามดึงตะปูออกมาให้ได้ ซึ่ง
คุณท.เลียงพิบูลย์
ก็ออกแรงเต็มเหนี่ยวจนกระทั่งหัวตะปูเก่าสนิมกรังนั้นหักคามือ
เมื่อหัวตะปูขาดเหลือแต่ตัวลุ่น ๆ เจ้าตะปูตัวร้ายก็ทำอาการดุจมีชีวิต ด้วยการทำท่าจะมุดกลับเข้าไปในร่างของ
คุณหมอสำนวน อาจารย์โสมทัต
จึงเร่งร่ายพระเวทย์ยับยั้งมิให้ตะปูหลบหายเข้าไปได้ ถึงตอนนี้คุณท.เลียงพิบูลย์ได้ร้องเรียกให้ท่านอธิบดีซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดให้ช่วยดึงตะปูตัวนั้นแทนท่านที ท่านอธิบดีก็ตรงเข้าไปดึงตะปูหัวขาดสุดแรงเกิด และในที่สุดมันก็หมดฤทธิ์ยอมหลุดออกมาพ้นหนังของ
คุณหมอสำนวน
พอหันไปดูตำแหน่งที่มันหลุดออกมา ก็พบว่ามีแผลเล็ก ๆ และมีเลือดไหลออกมานิดหน่อย
โดยเฉพาะตะปูตัวสุดท้ายนั้น ได้ผุดขึ้นมาที่กลางศีรษะของคุณหมอและได้ถูกดึงออกโดยมือของ
คุณอุบล
ภรรยาของ
คุณหมอสำนวน
เอง ทุกคนถึงกับตะลึงจังงังว่าตะปูยาว 2 นิ้วแถมยังมีสนิมจับเขรอะ เข้าไปฝังอยู่ในกะโหลกศีรษะ และแทรกอยู่ในเนื้อสมองได้อย่างไรโดยที่เจ้าของร่างกายไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้สึกตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย และที่สำคัญคือไม่เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตไปในทันที
นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากที่สุด
ในวันนั้น
อาจารย์โสมทัต
ได้ทำการเรียก
“ของ”
ออกจากร่างกายของ
คุณหมอสำนวน บัวพิมพ์
จนหมด และในทันทีที่ของชิ้นสุดท้ายหลุดออกมา มือซ้ายของ
คุณหมอสำนวน
ที่ใช้การไม่ได้มาตลอด 3 ปี ก็พลันเกิดอาการเบาสบายหายขาดเป็นปลิดทิ้ง สามารถยกแขนเหยียดแขนและหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ ได้เป็นปกติ ทำให้คุณหมอดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า เพราะตลอด 3 ปีที่ผ่านมาต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนคนเป็นอัมพฤกษ์ จะทำกิจอันใดก็ไม่ได้ รวมถึงงานอดิเรกที่โปรดปรานคือการเล่นดนตรีสีไวโอลิน
แม้
คุณหมอสำนวน
และคณะจะพยายามซักถามถึงพิธีการทำของที่คนปล่อยมาใส่ตน ถามถึงคนที่มุ่งร้ายปล่อยของมา
อาจารย์โสมทัต
ก็ไม่ยอมปริปากบอกอะไร นอกจากพูดว่า
“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
แต่นั้นมา
คุณหมอสำนวน
และ
คุณอุบล บัวพิมพ์
ก็ให้ความเชื่อถือในเรื่องของ
“ศาสตร์”
ที่ท่านไม่ได้เรียนและเคยดูแคลนมาตลอด กับทั้งให้ความเคารพในตัว
อาจารย์โสมทัต เขมจารี
ผู้ให้ชีวิตใหม่เป็นอย่างยิ่งนับแต่นั้นมา
http://www.navaraht.com/forum/forum15/topic79.html
.
โดย:
wind
เวลา:
2013-11-25 19:27
เมื่อก่อนเคยคิดว่าศาสตร์พวกนี้จะค่อยๆจางหายไปจากสังคม หาคนเรียนคนต่อได้ยาก เพราะสังคมยุคใหม่คนไม่เชื่อ และเน้นวัตถุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับตรงข้าม เพราะคนในยุคปัจจุบันดิ้นรนปากกัดตีนถีบมากขึ้น สภาวะทางจิตย่ำแย่ คำกล่าวที่ว่า ไม่ได้ด้วยเลห์ ก้เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยกลก็เอาด้วยมนต์คาถา ยังคงใช่ได้กับโลกในยุคปัจจุบัน ตราบใดที่จิตยังไม่พ้นจากโลกียวิสัย ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ต่อไป เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ ตราบใดมีคนเรียนกะทำ ก็ต้องมีคนแก้เสมอ
โดย:
Nujeab
เวลา:
2013-11-26 18:13
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับ
โดย:
sriyan3
เวลา:
2013-11-27 08:24
ขอบคุณคร้าบ
โดย:
matmee2550
เวลา:
2013-12-19 17:52
เยี่ยมๆๆๆๆๆ
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2