Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ศิลาพระจันทร์ลอย [สั่งพิมพ์]

โดย: รามเทพ    เวลา: 2013-11-1 18:52
ชื่อกระทู้: ศิลาพระจันทร์ลอย
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2013-11-1 18:55

                                        พระจันทร์ลอย



    เป็นชื่อของแผ่นศิลาโบราณขนาดมหึมา ประดิษฐานอยู่ในมณทปอันงดงามใจกลาง
อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งชาวอยุธยาเชื่อกันว่า ศักดิ์สิทธื บนบานขอสิ่งใด
มักจะสัมฤทธิ์ผลทุกประการ มีประวัติความเป็นมาเหนือธรรมชาติอันสุดพิศดาร
ด้วยลักษณะของศิลาโบราณแผ่นนี้เป็น แผ่นหินกลมมนราวกับใช้วงเวียนวาด
แล้วตัดออกมาโดยช่างฝีมือชั้นยอดเยี่ยม ผสมผสานกับแผ่นทองคำที่ชาวบ้านนำมาปิด
ด้วยความเลื่อมใสจนเหลืองอร่าม เปล่งประกายรัศมีเจิดจ้ายามที่กระทบกับแสง
ได้อย่างน่าอศัจรรย์ ประดุจดั่งพระจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ สาเหตุที่เรียกขานกันว่า



" พระจันทร์ลอย  " จะว่าไปก็ดูเหลือเชื่อเกินความจริงตามธรรมชาติอยู่มากที่เดียว
ที่ว่าหินกลมๆ ที่มีน้ำหนักเกือบ 1000 กิโลกรัม สามารถลอยน้ำมาด้วยพลังอำนาจ
ที่แฝงเร้นอยู่ภายใน ลอยผลุบ ๆโผล่ ๆ เรื่อยมาตามลำน้ำลพบุรี จนมาหยุดอยู่ที่หน้า
วัดปราสาท อ.นครหลวง จ. พระนครศรีอยุธยา เกจิอาจารย์ผู้ขมังเวทบริกรรมพระคาถา
ใช้ด้ายสายสิญจน์เพียง 3 เส้นเท่านั้น ก็สามารถอัญเชิญขึ้นมาจากน้ำได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์
ที่เกิดขึ้นในแผ่นดินสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยความศักดิ์สิทธิ์
จึงถูกโยกย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพ คราวหนึ่งตามวัตถุประสงค์ของพระมหากษัตริย์
แต่สิ่งที่แฝงเร้นนั้นไม่พอใจ จึงถูกนำกลับมาในสถานที่เดิมอีกครั้ง ดังที่มีปรากฎ
ให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้  เรื่องราวดังกล่าวถูกจารึกไว้ในแผ่นหินมีใจความว่า....



        ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
แผ่นศิลาศักดิ์สิทธิ์ลอยน้ำมาติดหน้าวัดประสาท ชาวบ้านต่างตะลึงกับสิ่งที่พบเห็น
จึงนำเรื่องไปบอกกับอดีตเจ้าอาวาส ซึ่งชาวบ้านยกย่องให้ท่านเป็นเกจิอาจารย์สมัยนั้น
พระคุณท่านได้บริกรรมพระคาถา ใช้ด้ายสายสิญจน์เพียง 3 เส้น คล้องอัญเชิญ
ศิลาแผ่นมหึมาขึ้นมาจากแม่น้ำ มาประดิษฐานไว้กลางชุมชน เพื่อเป็นสิ่งเคารพ
สักการะบูชา ข่าวความศรัทธาของชาวบ้านได้ล่วงรู้ถึงพระกรรณของ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์จึงเสด็จมาทอดพระเนตร
และทรงดำริว่า ควรอัญเชิญศิลาศักดิ์สิทธิ์นี้เข้าเมืองหลวง ศิลาพระจันทร์ลอย
จึงได้รับการอัญเชิญไว้ที่ท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะเป็นชุมชนใหญ่
จะได้เป็นที่กราบไหว้บูชาของประชาชน ต่อมา พระจันทร์ลอย จึงกลายเป็น..
สัญลักษร์ของท่าเรือแห่งนี้ ผู้คนต่างขนานนามท่าเรือแห่งนี้ว่า.....

                     

"  ท่าพระจันทร์  "



     แต่พระจันทร์ลอยก็อยู่ที่นี่ได้ไม่นานนัก เพราะพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสุบิน (ฝัน) ว่า ให้นำพระจันทร์ลอยกลับไปยังที่เดิม
ด้วยเหตุนี้ พระจันทร์ลอยจึงถูกอัญเชิญกลับไปประดิษฐานไว้ในมณฑป
กลางอำเภอนครหลวง ตามเดิม  ตราบเท่าทุกวันนี้" ดังประวัติที่จารึกไว้ดังกล่าวนี้
ดูจะมีเค้าโครงความจริงอยูอย่างเปี่ยมล้นเพราะท่าเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาติดกับพื้นที่
ท้องสนามหลวง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  อยู่ตรงข้าม ร.พ.ศิริราช กทม.
ที่เรียกขานกันว่า "ท่าพระจันทร์"  ซึ่งเกี่ยวโยงกับตำนานของแผ่นศิลาประหลาดนี้ยังคงมีอยู่







โดย: Nujeab    เวลา: 2013-11-5 13:34
ยังไม่เคยไปเลย
โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-11-6 04:36
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-11-5 13:34
ยังไม่เคยไปเลย

อยู่อำเภอนครหลวง แค่นี้เอง
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-11-6 10:30
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-11-6 04:36
อยู่อำเภอนครหลวง แค่นี้เอง

ต้องหาโอกาสแว๊บไปซะแล้ว
โดย: lnw    เวลา: 2013-11-10 05:36
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-11-6 10:30
ต้องหาโอกาสแว๊บไปซะแล้ว

ไปวันไหนขอติดรถไปด้วยคน คับ
โดย: sritoy    เวลา: 2013-11-10 20:24
ไปช่วยงานกฐินที่วัดใกล้บ้าน
แวะอ่านหนังสือที่ห้องสมุดของวัด
เจอหนังสือพระเก่าๆมีเรื่องพระจันทร์ลอย
พอดี ทำให้รู้เรื่องที่เราอยากรู้โดยบัญเอิญ

โดย: Nujeab    เวลา: 2013-11-11 09:48
lnw ตอบกลับเมื่อ 2013-11-10 05:36
ไปวันไหนขอติดรถไปด้วยคน คับ

ผมก็ว่าจะขอติดรถไปด้วยซะหน่อย ช่วงนี้รถโดนเจี๊ยบยึด
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-11-11 09:49
sritoy ตอบกลับเมื่อ 2013-11-10 20:24
ไปช่วยงานกฐินที่วัดใกล้บ้าน
แวะอ่านหนังสือที่ห้องส ...

เอามาลงให้อ่านหน่อยครับพี่หมอ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-11-30 07:18
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-11-30 08:02
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-11-11 09:48
ผมก็ว่าจะขอติดรถไปด้วยซะหน่อย ช่วงนี้รถโดนเจี๊ยบย ...


ครูเจี๊ยบ เค้าทำงาน ไฟแนนซ์ หรอ?
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-11-30 22:01
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-11-30 07:18
ครูเจี๊ยบ เค้าทำงาน ไฟแนนซ์ หรอ? ...

โดนยึดไปใช้ครับ ผมแทบไม่ได้ใช้เลย
โดย: bigbird    เวลา: 2013-12-1 14:54
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-11-30 22:01
โดนยึดไปใช้ครับ ผมแทบไม่ได้ใช้เลย  ...

จะฟ้องครูเจี๊ยบว่าเจีหนูกล้าบ่น
โดย: Metha    เวลา: 2013-12-1 16:50
bigbird ตอบกลับเมื่อ 2013-12-1 14:54
จะฟ้องครูเจี๊ยบว่าเจีหนูกล้าบ่น ...

ีฟ้องเลย....จัดให้หนัก
555ซ่ะใจ
โดย: Nujeab    เวลา: 2013-12-2 10:46
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-1 16:50
ีฟ้องเลย....จัดให้หนัก
555ซ่ะใจ

โอ้...
โดย: Metha    เวลา: 2013-12-3 21:48

สถานที่ ที่อาจารย์พาไปเยี่ยมชม
ล้วนแต่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น
โดย: รามเทพ    เวลา: 2013-12-3 22:21
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-3 21:48
สถานที่ ที่อาจารย์พาไปเยี่ยมชม
ล้วนแต่ศักดิ์สิ ...

เช่นเวียงจันทน์ เป็นต้น
โดย: Metha    เวลา: 2013-12-3 22:24
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2013-12-3 22:21
เช่นเวียงจันทน์ เป็นต้น

รู้ใจจริงๆๆเลย
โดย: รามเทพ    เวลา: 2013-12-3 22:28
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-3 22:24
รู้ใจจริงๆๆเลย

ไม่ได้รู้ใจ
แต่รู้จริง
ว่าแม่หญิงลาวคนนั้นเป็นช่างเสริมสวย
โดย: Metha    เวลา: 2013-12-3 23:53
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2013-12-3 22:28
ไม่ได้รู้ใจ
แต่รู้จริง
ว่าแม่หญิงลาวคนนั้นเป็นช่า ...

อู้ยยยย

โดย: Sornpraram    เวลา: 2013-12-16 07:45
metha ตอบกลับเมื่อ 2013-12-3 23:53
อู้ยยยย

ไร้สาระ  
โดย: Metha    เวลา: 2013-12-16 08:44
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2013-12-16 07:45
ไร้สาระ


โดย: รามเทพ    เวลา: 2014-1-9 21:17
อยากไปนมัสการ ศิลาพระจันทร์ลอย
โดย: Nujeab    เวลา: 2014-1-10 15:24
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2014-1-9 21:17
อยากไปนมัสการ ศิลาพระจันทร์ลอย

อยากไปเหมือนกันครับ
โดย: รามเทพ    เวลา: 2014-1-10 22:07
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2014-1-10 15:24
อยากไปเหมือนกันครับ

จะไปวันไหนจะขอติดรถไปด้วย
โดย: Nujeab    เวลา: 2014-1-13 10:35
รามเทพ ตอบกลับเมื่อ 2014-1-10 22:07
จะไปวันไหนจะขอติดรถไปด้วย

พร้อมเมื่อไหร่จะไปรับครับ
โดย: Marine    เวลา: 2016-1-24 21:45
[attach]12754[/attach]

ตำนานเรื่องเล่าที่สืบต่อๆ กันมาในสมัยปู่ย่าตายายเกี่ยวกับชื่อสถานที่หรือวัดต่างๆ ในบริเวณอำเภอท่าเรือและอำเภอนครหลวงนั้น เริ่มมาตั้งแต่ช่วงที่สมัยโบราณได้เกิดโรคห่าหรือโรคอหิวาตกโรคระบาด ซึ่งเป็นเหตุให้คนล้มหายตายจากกันมาก เนื่องจากผู้คนสมัยก่อนมีการสัญจรทางแม่น้ำ ใช้ในการอุปโภค บริโภคจึงเกิดโรคระบาดแพร่ากระจายได้ง่าย ตั้งแต่แม่น้ำเพชรบูรณ์ลงมาถึงแม่น้ำป่าสัก และได้มีเหล่าฤๅษี ๕ ตนได้รู้ถึงเหตุการณ์การเกิดโรคห่าระบาดขึ้น และเชื้อโรคต่างๆได้แพร่ระบาดมาทางแม่น้ำลำคลองจำนวนมาก ฤๅษีผู้มีวิชาความรู้ทั้ง ๕ ตน จึงมารวมกันเพื่อปรุงยาขึ้นมา ๑ ก้อนแล้วโยนลงน้ำเพื่อให้เมื่อคนที่ใช้น้ำอุปโภคบริโภคหรือใช้ดื่มจะได้หาย เมื่อยานั้นลอยมาเป็นก้อนใหญ่ คนที่สัญจรและใช้น้ำอุปโภคบริโภคก็หายจากโรคห่า จึงได้สร้างความประหลาดใจให้กับชาวบ้านถึงก้อนที่เภสัชฤๅษีให้ทำขึ้นมา หรือบางครั้งคนเห็นเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่ลอยน้ำไปอย่างอัศจรรย์ ก้อนหินนี้ก็ได้ลอยน้ำมาเรื่อยๆและได้ไปตั้งต้นที่วัดศาลาลอย ที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชาวบ้านเห็นว่าก้อนหินนั้นแปลกประหลาดเป็นก้อนหินที่ไม่จมแต่ลอยน้ำได้ ชาวบ้านก็ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์จึงได้นำเชือกไปผูกก้อนหินไว้กลางน้ำและเมื่อนำเรือออกไปผูกเพื่อดึงก้อนหินเข้ามาในฝั่งแต่ดึงไม่อยู่ จึงเอาเชือกไปผูกไว้ที่ศาลา แต่ศาลานั้นกลับลอยตามก้อนหินและตามน้ำไป ชาวบ้านจึงได้ตั้งชื่อวัดนี้ว่า “วัดศาลาลอย” เมื่อก้อนหินนั้นลอยตามน้ำไปเรื่อยๆจนมาถึงบริเวณวัดวังแดง เหนือวัดวังแดงใต้ ได้มีจระเข้เหนือจระเข้ใต้ ซึ่งจระเข้สองวังนี้ไม่ถูกกัน ในวันนั้นเอง จระเข้สองวังได้กัดกันเลือดแดงหมดทั่วบริเวณ จึงกลายเป็น “วัดวังแดงเหนือ วัดวังแดงให้” ที่อยู่ในอำเภอท่าเรือ

โดย: Marine    เวลา: 2016-1-24 21:45
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Marine เมื่อ 2016-1-24 21:46

ต่อมาเมื่อมาถึงที่วัดโพธิ์เอน ชาวบ้านได้เห็นก้อนหินนี้ลอยน้ำมาก็มีความคิดเดียวกับชาวบ้านวัดศาลาลอย ชาวบ้านจึงได้นำเชือกไปผูกและโตก ปรากฏว่าในขณะที่ผูกและโตก ชาวบ้านไม่สามารถดึงก้อนหินไว้ได้ จึงน้ำเชือกไปผูกไว้กับต้นโพธิ์ แต่ก็ดึงไว้ไม่อยู่ ต้นโพธิ์ก็ได้เอนลงๆ ไปเรื่อยๆ เมื่อชาวบ้านเห็นว่าต้นโพธิ์รับแรงไม่ไหวและเป็นต้นโพธิ์ที่คู่บ้าน จึงกลัวว่าต้นโพธิ์จะหักโค่น จึงตัดสินใจตัดเชือกเพื่อที่จะปล่อยให้ก้อนหินนั้นลอยไป แต่ต้นโพธิ์ก็ยังคงเอนอยู่อย่างนั้น จึงเรียกชื่อบริเวณนั้นว่า “วัดโพธิ์เอน” และเมื่อก้อนหินนี้ลอยมาเรื่อยจนถึงวัดท่าราบ ในเขตอำเภอท่าเรือ ชาวบ้านก็อยากเก็บก้อนหินแปลกประหลาดนี้เอาไว้ก็ช่วยกันโยงหินนี้เหมือนกันก็เอาไปผูกไว้ที่ตามท่า เมื่อผูกเสร็จหินนี้ก็ดึงท่าจนราบไปหมด จึงเรียกว่า “วัดท่าราบ” เมื่อหินก้อนนี้ลอยมาถึงอำเภอนครหลวง ก้อนหินนี้ลอยมาถึงที่วัดจันทร์ลอย แต่ชาวบ้านไม่ได้เห็นว่าเป็นก้อนยาหรือก้อนหินแต่เห็นเป็นรูปพระจันทร์ เพราะเหมือนพระจันทร์ขนาดใหญ่ ก็มีความต้องการเช่นเดียวกับทุกบ้านทุกวัดที่ผ่านมา จึงหาเชือกไปผูกเหมือนกันแต่ไม่สามารถดึงเอาไว้ได้ และที่แปลกคือก้อนหินนี้ก็วนอยู่หน้าวัดแต่ไม่มีใครเอาขึ้นมาได้ จนกระทั่งมีพราหมณ์ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด ได้ใช้สายสิญจน์ไปคล้องไว้แล้วดึงแล้วดึงก้อนหินหรือก้อนพระจันทร์นี้ขึ้นมาประดิษฐานที่นครหลวงจึงเรียกว่า “วัดพระจันทร์ลอย” ปัจจุบันนี้ยังคงมีก้อนหินนี้อยู่ที่นครหลวง ชาวบ้านบริเวณนี้จึงมีความเชื่อว่าเมื่อเอาน้ำไปราดที่พระจันทร์ลอยนี้ แล้วน้ำมาดื่มจะทำให้หายจากโรคภัยได้จริง ปัจจุบันพระจันทร์หินนี้ได้ย้ายไปประดิษฐานอยู่หน้าปราสาทนครหลวงมีซุ้มศาลาพระจันทร์ลอยอยู่ และยังมีชาวบ้านนับถือและศรัทธาอยู่แต่อาจมีผู้คนนำน้ำไปราดพระจันทร์นี้ลดน้อยลงและนี้คือเรื่องเล่าที่เกิดจากก้อนหินที่ลอยตามสถานที่ต่างๆ จึงได้เกิดเรื่องเล่าชื่อวัดตามแม่น้ำขึ้นมา

โดย: Marine    เวลา: 2016-1-24 21:52
ความเชื่อว่าเมื่อเอาน้ำไปราดที่พระจันทร์ลอยนี้ แล้วน้ำมาดื่มจะทำให้หายจากโรคภัยได้จริง   
ผมได้นำเอาน้ำไปราดมาแล้ว ส่วนจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหนไม่ทราบครับ แต่จะนำไปมอบให้อาจารย์ครับ


โดย: รามเทพ    เวลา: 2016-1-24 23:26

โดย: Sornpraram    เวลา: 2016-1-25 06:28

โดย: lnw    เวลา: 2016-2-2 11:54
Nujeab ตอบกลับเมื่อ 2013-11-6 10:30
ต้องหาโอกาสแว๊บไปซะแล้ว


โดย: majoy    เวลา: 2016-2-2 20:45
ได้ข่าวว่าเหรียญเจ้าอาถรรพ์มีการไปเสกถึงที่ด้วยนะครับ โอววว
โดย: Nujeab    เวลา: 2016-2-3 11:10
lnw ตอบกลับเมื่อ 2016-2-2 11:54






ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2