Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ~ หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ~ [สั่งพิมพ์]

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:52
ชื่อกระทู้: ~ หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ~
[attach]5066[/attach]
หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี

กำเนิด

หลวงปู่ท่านเกิดวันพุธ  เดือน 4 ปีกุน  อายุ 90 ปี 46 พรรษา  ถิ่นกำเนิดบ้านหนองบัว  แขวงคำม่วง  ประเทศลาว  บิดาชื่อคุณพ่อคินทะโนราช  มารดาชื่อคุณแม่นุ่น  มีพี่น้อง 5 คน  หลวงปู่เป็นคนที่ 3 ปัจจุบันได้เสียชีวิตหมดแล้ว

ชีวิตการครองเรือน

เมื่ออายุได้ 18 ปี  มีครอบครัว มีบุตรด้วยกัน 2 คน  เริ่มแรกทำงานเป็นหัวหน้ากรมโยธา  ทำอยู่ได้ 8 ปี  ก็เกิดเบื่อหน่ายหันมายึดอาชีพค้าขายประมาณ 6 ปี  ท่านเกิดเบื่อหน่ายในชีวิตของท่านตั้งแต่เล็กเคยอยู่กับพ่อแม่พี่น้องได้รับทั้งความอบอุ่น  ความรัก  จนกระทั่งเข้าสู่วัยหนุ่มต้องออกมาต่อสู้กับโลกภายนอก  และความรับผิดชอบหน้าที่การงาน  ให้ความสุขเลี้ยงดูบุตรและภรรยา  เห็นชีวิตนี้ไม่มีความแน่นอน  เกิดเบื่อชีวิตคิดจะบวชเพื่อตอบแทนคุณบิดามารดา  ท่านจึงได้ไปปรึกษาภรรยาจะขอบวชเป็นเณรสัก 7 วัน  ภรรยาก็เห็นดีเห็นงามตกลงให้ท่านบวชทดแทนคุณพ่อแม่ที่เคยเลี้ยงดูมา  ในระหว่างที่ท่านบวชเณรอยู่คืนหนึ่งท่านฝันไปว่าเห็นมารดามาบอกว่าอย่าได้สึกเลย  เพราะว่ามารดาที่ตายไปนั้นไปถูกจ่านิรยบาลคุมขังเอาไว้ได้รับความทุกขเวทนามาเป็นเวลานาน  เพิ่งจะได้รับการพ้นทุกข์เพราะอานิสงส์ของการบวชเณรของลูกในคราวนี้เอง  ท่านตกใจตื่นนอนคิดทบทวนความฝันนั้นแล้วก็สังเวชสงสารมารดา  คิดในใจว่าจะบวชต่อไปอีก  แต่ภรรยากลับหาว่าท่านคิดเอาตัวรอดผู้เดียว  ไม่ยอมรับผิดชอบต่อครอบครัว  ซึ่งลูก ๆ ก็ยังเล็กอยู่  ท่านพยายามหาทางออกทุกอย่างโดยพูดกับภรรยาว่าจะหาสามีให้ใหม่  ทั้งสองตกลงกันไม่ได้ผลสุดท้ายท่านหมดหนทาง  เพราะทนการอ้อนวอนขอร้องจากภรรยาที่คอยติดตามไม่ไหวท่านจึงตัดสินใจสึกจากเณรมาทำมาหากิน  ส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวอีกวาระหนึ่ง  แต่ถึงกระนั้นความตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรธรรมของท่านหาได้มีลดละความพยายามไม่

หลังจากท่านไปทำงานหาเงินทองเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว  ท่านจะมานอนที่วัดปฏิบัติธรรมสมาธิเป็นประจำ  บ้านเรือนของท่านที่เคยอาศัยอยู่ก็ปล่อยให้ภรรยาและลูก ๆ อยู่กัน  เงินทองที่หาได้มาก็ส่งเสียเลี้ยงดูไม่ได้ให้ขาดแคลนเดือดร้อนอะไร  จนกระทั่งลูก ๆ ได้เติบโตพอที่จะช่วยแม่ทำงานทำการได้  เหตุนี้เองทำให้ภรรยาท่านเกิดควมเบื่อหน่ายหมดอาลัยตายอยากในตัวท่าน  จึงได้เอ่ยปากบอกกับท่าน  เมื่ออยากจะบวชก็ไป  ไม่ต้องมาห่วงทางครอบครัว  ลูก ๆ ก็โตแล้ว  พอจะช่วยทำงานทำการได้  ท่านจึงตัดสินใจไปบวชด้วยความหมดห่วงหมดใย


โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:52
ชีวิตเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรธรรม

            หลังจากได้ตกลงใจจะบวชในครั้งที่สองนี้  ท่านก็ได้เป็นโยมอยู่ที่วัดอาจารย์สีทัดที่เมืองท่าอุเทน
กับเพื่อนอีก 2 คน  แต่แล้วก็ผิดหวัง  เพราะอาจารย์สีทัดกลับปฏิเสธ  ไม่ยอมรับเป็นศิษย์แต่กลับแนะนำให้เดินทางไปหาอาจารย์เหม่ย  ท่านและเพื่อนร่วมเดินทางจึงกราบลาอาจารย์สีทัดเดินทางไปหาอาจารย์เหม่ย ตามคำแนะนำ

                    พบอาจารย์เหม่ย  ผู้ทรงคุณวิชาอันแก่กล้า
                    

       เมื่อถึงที่อยู่ท่านอาจารย์เหม่ย  ท่านและเพื่อนทั้งสองก็เข้าไปกราบนมัสการกราบเรียนขอถวายตัวเป็นศิษย์  เล่าความเป็นมาให้ท่านอาจารย์เหม่ยทราบโดยตลอด  เมื่อท่านอาจารย์เหม่ยฟังความก็กล่าวว่า

                          “  ได้  ถ้าจะมาเป็นศิษย์  แต่ว่าพวกเจ้าที่มาหาอาจารย์ทั้งสามคนนี้จะต้องตายหนึ่งคน  มีใครกลัวตายไหม”

                  อาจารย์เหม่ยกล่าว  แล้วถามไปทีละคน  ปรากฏว่าเพื่อนทั้งสองที่มา  บอกว่ากลัวตายกัน  แต่หลวงปู่คำคนิงนิ่งเงียบไม่ตอบ  ท่านอาจารย์จึงเอ่ยปากถามว่า

       “ แล้วเจ้าเล่าไม่กลัวตายหรือ  ”
                           “ ไม่กลัวตาย ”  ท่านตอบ
                    

       ผลสุดท้ายเพื่อนที่มาด้วยกันสองคนถูกอาจารย์เหม่ยไล่กลับไม่รับเป็นศิษย์  ต่อมา  ก็มีโยมมาอยู่ร่วมอีกคนหนึ่ง  โยมคนนี้ไม่กลัวตายเหมือนกันกับหลวงปู่คำคนิง  ก็ได้อยู่ร่วมเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมด้วยกัน  พระอาจารย์เหม่ยให้ศิษย์ทั้งสองฝึกฝนธรรมสมาธิกันอย่างหนัก  แม้เวลาจะนอนก็ไม่ให้หลับ  โดยให้ลูกมะพร้าวเป็นหมอนหนุนหัวแทน  ทั้งสองก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์สั่งทุกอย่าง  การเพียรธรรมของศิษย์อาจารย์เหม่ยนี้ต้องลำบาก  แม้เวลาจะกินข้าวก็มีแต่ข้าวตากแห้งประทังชีวิตไปเท่านั้นการหลับนอนพักผ่อนก็น้อยร่างกายสังขารทนไม่ไหวในที่สุดเพื่อนร่วมศิษย์อาจารย์สำนักเดียวกันต้องเอาชีวิตมาทิ้งในขณะนั่งทำสมาธิ

อาจารย์เหม่ยสอนอสุภกรรมฐาน
                    

         เมื่ออาจารย์เหม่ยทราบข่าวว่า  ลูกศิษย์อีกคนได้เสียชีวิตแล้ว  ขณะนั่งสมาธิ  จึงได้สั่งให้หลวงปู่คำคนิงนำศพไปในป่า  เดินข้ามเขาอีกลูกหนึ่งแล้วเอาศพนั้นไปผูกมัดไว้ในลักษณะท่ายืนติดกับต้นไม้  แล้วสั่งให้หลวงปู่เดินรอบต้นไม้ที่ศพมัดติดอยู่  โดยให้เพ่งศพไปด้วยตลอดวันตลอดคืนแต่ผู้เดียว
                            รุ่งเช้าหลวงปู่ท่านกลับมาหาอาจารย์  อาจารย์ก็ถามว่าเป็นยังไงท่านตอบว่าศพที่ตายไปนั้นเหมือนกับตัวท่านเอง  ไม่มีอะไรแตกต่างกันตรงไหน  อาจารย์เหม่ยถามอีกว่า

  “กลัวไหม”
                    ท่านก็ตอบว่า “ไม่กลัว เพราะเขาก็เหมือนเรา  เราก็เหมือนเขา”

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:52
คราวนี้อาจารย์เหม่ยสั่งให้หลวงปู่ท่านเอามีดไปที่ศพมัดอยู่พร้อมกับสั่งให้ท่านแก้ศพที่มัดติดยืน 1 คืนออกจากต้นไม้  เอานอนลงกับพื้นดินให้หลวงปู่เอามีดผ่าท้องแล้วสั่งให้หลวงปู่  หยิบอวัยวะทุกชิ้นส่วนในร่างกายออกมาดู  แต่ละชิ้นขณะที่หลวงปู่หยิบหัวใจก็ดี  ตับก็ดี  ปอดก็ดี  ให้พูดเสียงดัง ๆ ด้วยว่าเป็นอะไร  แล้วนำไปกองรวมกันอีกมุมหนึ่ง  จนกระทั่งครบทุกอย่าง  แล้วทำการลอกเนื้อหนังทุกส่วนออกเช่นเดียวกัน  ให้นำไปเผาไฟ  คงเหลือไว้แต่กระดูก  จึงสั่งให้ท่านนำกระดูกไปต้มล้างให้สะอาด  แล้วนำกระดูกทั้งหมดมาร้อยด้ายเป็นโครงกระดูก  สั่งให้หลวงปู่นับด้วยว่ามีกี่ท่อน  ปรากฎว่าเมื่อหลวงปู่นำเอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มาร้อยด้ายจนครบหมดก็นับได้ 180 ท่อน
                     
                  ท่านอาจารย์เหม่ยจึงกล่าวว่าคนที่จะมาเพียรธรรมให้บรรลุนั้น  จะต้องมีกระดูกครบ 300 ท่อน  อาจารย์ก็สอนธรรมไปในขณะหลวงปู่ร้อยกระดูก  กระดูกคือพระวินัย  เนื้อหนังคือ  พระวินอกระเบียบ  คือ หู  ตา  จมูก  ปาก  มือ  เท้า

       หูไม่ให้ฟังในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม  ตาไม่ให้เห็นทั้งรูปและนามในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม  ปากห้ามพูดในสิ่งที่ไม่ดี  ใจให้ระลึกชอบ  ต้องคิดชอบ  ปฏิบัติชอบ  อยู่ชอบ  กินชอบ  วาจาชอบ  นอนชอบ  ให้ถูกต้องตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้  หลวงปู่ได้รับการสั่งสอนอบรมฝึกฝนเคร่งครัด  และเว้นความชั่วทุกประการ

         การทำความเพียรของหลวงปู่มีจิตใจกล้าหาญ  กล้าเสี่ยงความตายสร้างพลังจิต  กระทำสมาธิภาวนาด้วยการเจริญอานาปานสติเป็นมาตรฐานคือการเดินลมเข้าออกภาวนาพุทโธนั้นเอง  การฝึกจิตต้องฝึกอานาปานสติก่อน  เพราะเป็นกรรมฐานกองใหญ่และยากที่สุดในกรรมฐาน 40 กอง  หลวงปู่กล่าวว่าจะเพ่งกสิน 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 และอาหาเรปฏิกูลสัญญา  จตุธาตุวัฎฐานหรืออะไรก็ตาม  ถ้าไม่ใช้อานาปานสติควบคู่ไปด้วยไม่มีทางจะได้ผล  หลวงปู่คำคนิงมักจะบำเพ็ญเพียรภาวนาอดอาหาร 7 วันบ้าง 15 วันบ้าง  จนร่างกายชินเป็นธรรมดาไป  ร่างกายไม่อ่อนเพลียหิวโหยแต่อย่างใด
  
        หลวงปู่คำคนิงให้คำอรรถาธิบายว่า  ก่อนเข้าสมาธิภาวนาจะต้องกำหนดอธิษฐานไว้ก่อนว่า  จะเข้าสมาธิระดับฌานที่ 1 ถึงฌาน 4 เป็นเวลากี่วันกี่คืน  เมื่อกำหนดได้แล้วก็เข้าสมาธิภาวนาจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ  จากนั้นก็ถอยจิตออกมาอยู่ระดับอุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับที่ใช้ความพิจารณาได้  แล้วก็น้อมจิตอธิษฐานว่าจะเข้าฌาน 7 วัน  หรือ 15 วัน  ก็อธิษฐานลงไปเลย  พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ไม่ให้เข้านานวันจนเกินไปเป็นการทรมานตัว  หลวงปู่คำคนิงบอกว่า  เมื่อเข้าสมาธิลึกถึงขั้นอัปปนาฌานที่ 4 จะเลยขึ้นอรูปฌานก็ได้  แต่ต้องชำนาญฌาน 4 ก่อนเพียงแต่ว่าเพิกกสิณให้หายไปเสียแล้วยกเอาอรูปกรรมฐานทั้ง 4 มาพิจารณาคือ

                    1. อากาสานัญจายตนะ
                    2. วิญญาณัญจายตนะ
                    3. อากิญจัญญายตนะ
                    4. เนวสัญญานาวัญญายตนะ
                              
        ทั้งหมดนี้เรียกว่าอรูปสมาบัติ  หรือสมาบัติ 8 ผู้ได้ถึงสมาบัติ 8 ย่อมมีอำนาจพลังจิตมหาศาลและมักจะได้  อภิญญา 5 ด้วย  ผู้ที่ได้สมาบัติ  8 แล้ว  ถ้าเจริญวิปัสสนาสืบต่อ  ใช้เวลาเพียงชั่วแค่เคี้ยวหมากแหลกเดียวก็เป็น พระอรหันต์  แต่หลวงปู่คำคนิงท่านปฏิเสธว่าท่านไม่ใช่พระอรหันต์ท่านเป็นเพียงพระภิกษุผู้เพียรปฏิบัติอยู่ในร่องรอยพระพุทธศาสนา
                  
     หลวงปู่ท่านเพียรธรรมกับอาจารย์เหม่ยจนแก่กล้า  และชำนาญในการเข้ากรรมฐานจนครบทุกอย่าง  ท่านอาจารย์เหม่ยก็อนุญาตให้หลวงปู่เข้าป่า  เดินธุดงค์ตามลำพังแต่ผู้เดียวนับแต่นั้นเป็นต้นมา  ถึงแม้กระนั้นหลวงปู่ท่านก็ยังไม่รู้ตัวว่าท่านได้ธรรมท่านก็ยังอุตส่าห์เที่ยวเดินธุดงค์ค้นหาครูบาอาจารย์  เพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม  เพื่อจะได้พบโมกขธรรมแห่งการหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:53
เดินทางธุดงค์พบนาคกระเสน

เมื่อหลวงปู่คำคนิงออกเดินธุดงค์ผ่านป่าเขาไปทางด้านเหนือของประเทศลาวเป็นเวลาแรมปี  จนกระทั่งพบดาบสผู้หนึ่งให้คำแนะนำไปหาพระนาคกระเสน  ซึ่งอยู่ในอุโมงค์บนเทือกเขา (พระนาคกระเสนนี้เห็นหลวงปู่บอกว่าไม่ใช่คนธรรมดา  เป็นพระอรหันต์ลงมาโปรด)  ครั้งหลวงปู่คำคนิงไปถึง  ก็เข้าไปตามอุโมงค์นั้น  พอไปได้แค่ครึ่งทางก็พบพระนาคกระเสนพระนาคกระเสนจึงได้ถามการมาของหลวงปู่คำคนิง  ท่านก็ตอบพระนาคกระเสนว่าต้องการมาหาโมกขธรรม  พระนาคกระเสนจึงบได้ให้พระคำภีร์แผ่นทองคำแก่หลวงปู่  โดยได้สั่งให้หลวงปู่นำแผ่นทองคำพระคัมภีร์ของพระนาคกระเสนนี้ไปคัดลอกใส่ใบลานตามกำหนดเวลาที่ตกลงไว้แล้วให้หลวงปู่นำเอาแผ่นทองคำพระคัมภีร์นั้นกลับมาคืน

                           เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้กลับเอาแผ่นทองคำพระคัมภีร์ไปคืนพระนาคกระเสนแล้ว  ก็ได้ถามหลวงปู่คำคนิงว่า

        “ ท่านจะไปไหนต่อ ”
        “ จะไปหาโมกขธรรม ”    หลวงปู่ท่านก็ตอบ

                            พระนาคกระเสนจึงตอบว่า “โมกขธรรมมันอยู่ในตัวเจ้าแล้ว  เจ้ารู้ตัวไหม” แต่หลวงปู่คำคนิงกลับไม่เชื่อในคำบอกเล่า  หาว่าพระนาคกระเสนพูดโกหก
                                       
            ดังนั้น  หลวงปู่จึงถูกพระนาคกระเสนด่าว่าต่าง ๆ ที่ไม่เชื่อพระนาคกระเสน  เลยบอกว่าถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าโมกขธรรมมันอยู่ในตัวเจ้าละก็  จงเดินไปตายเสีย  แล้วพระนาคกระเสนก็ขับไล่ไม่ให้อยู่ออกจากที่นั้นทันทีทันใด   หลวงปู่เกิดความเสียใจ  คิดจะไปตายไม่ว่าจะเดินเข้าป่าขึ้นเขาลงห้วย  ก็จะไม่ยอมให้ผู้คนเห็นหน้า  หลวงปู่เดินธุดงค์อย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง  หวังเบื้องหน้าเป็นที่ตาย  จนถึงเชียงค้อ  เชียงคาน  เชียงราย  เชียงแสน  จนกระทั่งเชียงแมน  ถึงเขตเชียงตุงในป่าทึบใหญ่

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:53
หลวงปู่คำคนิง แสดงฤทธิ์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค

[attach]5067[/attach]

      เมื่อหลวงปู่คำคนิงเดินธุดงค์ผ่านเข้าเขตเชียงตุงในเขตป่าใหญ่เทือกเขาแห่งหนึ่งเป็นภูเขาคิน  มีอุโมงค์พอที่จะเป็นที่พักพิง  หลวงปู่ท่านจึงคิดในใจว่าจะเอาที่ตรงนี้เป็นที่ตายโดยจะไม่ให้ใครเห็นแม้แต่ซากศพของท่านเอง  หลวงปู่ท่านได้อยู่มาถึงหนึ่งพรรษา  หลังจากผ่านไปประมาณเดือนห้าหรือเดือนหก  หลวงพ่อปานวัดบางนมโค  อำเภอเสนา  จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้พาคณะธุดงค์ผ่านมาในเขตเชียงตุง  มาพบหลวงปู่คำคนิงในป่าลึก

         ครั้นเมื่อพบกัน  หลวงพ่อปานก็พูดขึ้นว่า
         “ เออ...นี้พระหรือคน ”
หลวงปู่คำคนิงได้ยิน  ก็เกิดโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที  แล้วพูดขึ้นว่า
         “ ได้พระนะมันอยู่ที่ไหน  เฮ้ย...พระมันอยู่ที่ไหนวะ ”
หลวงพ่อปานท่านก็ย้อนตอบว่า
         “ อ้าว...ก็เห็นผมยาว  ผ้าก็อีหรุปุปะสีเหลืองก็ไม่มี  แล้วใครเขาจะรู้ว่าพระหรือคน ”
หลวงปู่คำคนิงท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า
         “ พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ ”  หลวงพ่อปานตอบว่า  ไม่ใช่
หลวงปู่คำคนิงท่านก็ถามหลวงพ่อว่า
        “ พระมันอยู่ที่ผ้าเหลืองหรือวะ ”  หลวงพ่อปานตอบว่า  ไม่ใช่
หลวงปู่คำคนิงก็ถามอีกว่า
       “ แล้วพระมันอยู่ที่ไหนเล่า ”
หลวงพ่อปานก็ตอบว่า
        “ พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาดนะซี ”
หลวงปู่คำคนิงท่านก็เลยหันมาตะคอกเข้าใส่เอาว่า
        “ ถ้าอย่างนั้นก็เสือกถามทำไมล่ะวะพระหรือคน ”
หลวงพ่อปานท่านก็เลยตอกกลับให้ว่า
        “ เห็นผมเผ้ายาวรุงรังอย่างนั้นนี่ใครจะไปรู้เล่า ”
หลวงปู่คำคนิงก็ยังไม่หายโมโห  เลยกระแทกให้ว่า
        “ ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม  ไม่ได้อยู่ที่ผ้าแล้ว  เสือกมาถามทำไม  ทำไมไม่ดูใจคน  ไอ้พระบ้านพระเมือง  พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดีมันจะต้องเห็นดีกัน ”

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:53
หลวงปู่คำคนิงพูดจบ  ท่านเดือดโมโหจัดก็เลยหันไปคว้าเอาหวายอันยาวร่วมวา  ขว้างผลุงไปตรงหน้าหลวงพ่อปาน      อัศจรรย์เป็นที่สุด  ไม้หายไปกลายเป็นงูตัวยาวใหญ่พุ่งฉกเข้าหากลุ่มพระธุดงค์หลวงพ่อปานแตกฮือหลบฉากไปแอบอยู่ข้างหลังพ่อปานกันหมด  ต่างก็แปลกใจไปตาม ๆ กันไม้ไหงกลายเป็นงู

      อัศจรรย์มาก  ใบไม้ของหลวงพ่อปานก็กลายเป็นนกตัวใหญ่โฉบเอางูของหลวงปู่คำคนิงหายไปทั้งงูแลนกใหญ่  พองูตกลงมาถึงพื้นดินงูนั้นก็กลายเป็นช้างใหญ่  ส่วนของหลวงพ่อปานก็กลายเป็นเสือต่อสู้กันต่างฝ่ายต่างก็บันดาลให้เป็นสัตว์ร้าย  ต่อสู้กันเต็มไปหมด  ยังไม่มีใครแพ้  ชนะ  ต่างคนต่างบันดาลลมพายุฝนเข้ากระหน่ำกันจนทำให้ฝุ่นตลบไปหมดในบริเวณนั้น  เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน  ก็หามีใครแพ้ชนะไม่  จนต่างฝ่ายต่างเหนื่อยอ่อน  ทำอะไรกันไม่ได้

      ในที่สุดหลวงปู่คำคนิงและหลวงพ่อปานต่างก็นั่งลงหัวเราะกันด้วยความขบขัน  หลังจากนั้นหลวงปู่คำคนิงก็บอกคณะธุดงค์ของพ่อปานว่าข้าสองคนนี้เป็นเพื่อนกัน  พระธุดงค์ลูกศิษย์หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบหลวงพ่อคำคนิง  ท่านก็เอามือลูบศรีษะพระทุกองค์ด้วยความเมตตา  หลวงพ่อปานก็บอกกับหลวงปู่คำคนิง  ว่าพระพวกนี้เขาอยากเห็นของจริงก็เลยพาเขามาให้เห็นเสีย  พระพวกนี้เขาก็เป็นคนจริงเสียด้วย

      หลวงปู่คำคนิงก็เลยบอกว่า  ข้าน่ะไม่ได้เก่งอะไรหรอก  อาจารย์แกเขาเก่งอยู่แล้ว  เมื่อพูดจบหลวงพ่อปานก็บอกว่าตัวท่านเองไม่เก่งหรอกสู้หลวงปู่คำคนิงไม่ได้  ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม  ให้ใครเป็นอาจารย์กันผลสุดท้ายตกลงเป็นเพื่อนกันในระหว่างพักแรมด้วยกัน  ต่างฝ่ายต่างโต้ตอบถามธรรมะแก่กันทั้งฝ่ายถามฝ่ายแก้ก็หาได้แพ้ชนะกันไม่  สลับถามตอบกันไปกันมา  จนต่างฝ่ายเลิกถามกันไปเอง  หลวงพ่อปานและคณะธุดงค์ได้พักอยู่กับหลวงปู่คำคนิงหลายวันพอสมควร  จึงได้แยกย้ายจากกัน

         พบพระนาคกระเสนครั้งที่สอง

       หลวงปู่คำคนิงหลังจากได้แยกย้ายกับหลวงพ่อปานที่เชียงตุงแล้วท่านก็ออกเดินธุดงค์ลงมาทางใต้  ผ่านป่าเขาลำเนาไพรเป็นเวลาแรมเดือนจนกระทั่งมาถึงอุโมงค์ของพระนาคกระเสน  หลวงปู่ท่านก็ได้เข้าไปหาพระนาคกระเสน  เล่าเรื่องที่ได้พบ  หลวงพ่อปานให้พระนาคกระเสนฟังจนหมดในที่สุดพระนาคกระเสนจึงได้สรุปให้หลวงปู่คำคนิงฟังว่า  ทั้งหมดที่ท่านเล่ามานั้นแหละตัวธรรมที่เจ้าต้องการ

      เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้ฟังพระนาคกระเสนกล่าวเช่นนั้นก็ดีใจความไม่กลัวตายกลับทวีคูณขึ้น  หลังจากลาพระนาคกระเสนก็ได้ออกเดินธุดงค์จะเข้าถ้ำไหนป่าไหน  ความกลัวตายไม่มีในใจท่านเลย  ท่านเดินธุดงค์ผ่านหมู่บ้านใดก็แสดงธรรมโปรดญาติโยมด้วยธรรมะอันลึกซึ้ง  หลวงปู่ท่านบอกว่าท่านไม่เคยเรียนหนังสือหนังหาทางด้านธรรมะมาเลย  แต่แปลกใจที่ว่าความรู้ที่ได้แสดงธรรมโปรดญาติโยมไม่รู้ว่ามาจากไหน  สามารถแสดงธรรมได้ จนเป็นที่เคารพนับถือ  จะไปทางไหนก็มีแต่ญาติโยมติดตามหลวงปู่  ท่านเกิดความเบื่อหน่าย  ก็ได้หนีความวุ่นวายเข้าถ้ำไปอีกวาระหนึ่ง

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:54
พบเณรคำผู้วิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดา

          เมื่อหลวงปู่คำคนิงเดินธุดงค์ผ่านถึงภูเขาลูกหนึ่ง  เป็นภูเขาที่แปลกและอัศจรรย์ที่สุด  ไม่ว่าตัวหลวงปู่เองหรือต้นไม้ต้นไร่ดูเหลืองอร่ามไปหมดบนภูเขาลูกนี้  หลวงปู่ท่านแปลกใจมากเลยตกลงใจจะค้างแรมสักสองสามวัน  ในระหว่างที่พักแรมบนภูเขาลูกนี้หลวงปู่ท่านได้พบเณรองค์หนึ่งอายุราว ๆ 20 กว่าปี  ยังหนุ่มแน่นอยู่  แต่พอได้สนทนากันก็รู้ว่าเณรคำองค์นี้อายุได้ 220 ปีและพูดภาษามคธได้  สามารถพูดภาษากับสัตว์ร้ายต่าง ๆ ได้  เช่น  เสือ  ช้าง  สิงโต  และผีสางได้ด้วย  หลวงปู่คำคนิงก็ได้อยู่ร่วมกับเณรคำ

      วันหนึ่งเณรคำเรียกพวกสัตว์ดุร้ายต่าง ๆ ในป่านั้นมา  พร้อมทั้งผีร้ายต่าง ๆ เช่น  ผีกองกอย  คือ  มีลักษณะพิเศษตรงที่ว่าเท้าของผีกองกอยด้านหน้าจะกลับไปอยู่ข้างหลัง  ข้างหลังจะกลับมาอยู่ข้างหน้า  เณรคำจะเรียกสัตว์ร้ายทั้งหมด  พร้อมผีดุร้ายต่าง ๆ มาหมอบก้มกราบ  แสดงธรรมเป็นภาษาสัตว์แล้วให้ศีลไม่ให้สัตว์ร้ายต่าง ๆ หรือผีก่อกรรมทำเวร  ให้อยู่ในศีลธรรม (เรียกว่าจับเอาสัตว์ทั้งหมดในป่าพร้อมทั้งผีมาบวชใจ)
           
        ส่วนหลวงปู่คำคนิงเอง  ตอนนั้นก็เพียงแค่ได้แต่ฟังภาษาสัตว์รู้เท่านั้นแต่พูดไม่เป็น  เวลาจะกินอะไรทำอะไรเณรคำก็มักจะเนรมิต  เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่หลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง  หลวงปู่คำคนิงและเณรคำได้อยู่ที่ภูเขาอัศจรรย์ลูกนี้เป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปด้วยกัน  จนกระทั่งมาถึงภูเขาแอ๋ว  มีลักษณะจะต้องเดินไต่ข้ามเหวไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งจะมีลูกหินลูกหนึ่งเป็นทางข้าม  หลวงปู่ได้รับคำบอกเล่าจากเณรคำว่า  มีพระกรรมฐานเอาชีวิตมาตายที่นี่เป็นจำนวนร้อยแล้ว  เณรคำยืนยันชี้ลงไปก้นเหวให้หลวงปู่ดู  หลวงปู่ก็ก้มลงไปดู  เห็นมีแต่กระดูกเต็มไปหมด

      หลวงปู่ได้รับคำบอกเล่าจากเณรคำว่า  ผู้ที่จะข้ามได้  จะต้องเป็นผู้ที่แก่กล้าในญาณสมาบัติ 4 เท่านั้น จึงจะข้ามได้  ต่อจากนั้นเณรคำก็เดินข้ามให้หลวงปู่ดู  แต่หลวงปู่กลับข้ามไม่ได้จึงได้นอนรอเณรคำอยู่อีกฝั่งหนึ่งเป็นเวลา 7 วัน  เณรคำจึงได้กลับมาหาแล้วบอกหลวงปู่ว่า  ญาณสมาบัติ 4 ของหลวงปู่ยังไม่แก่กล้าพอ
         
      หลังจากนั้นเณรคำกับหลวงปู่จึงได้ร่วมเดินทางธุดงค์ต่อไปถึงอ่างคำบนภูเขาหลวงนี้  ก็มีลักษณะแปลกคือจะเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่  น้ำนี้จะใสมาก  สามารถมองเห็นกรวด  หิน  ดิน  ทรายถึงก้นหนองน้ำ  แต่กลับไม่มีกรวดไม่มีทรายเลย  มีแต่ทองคำจำนวนเป็นตัน ๆ จมอยู่ก้นหนองน้ำ  พร้อมทั้งกระดูกคนเต็มไปหมด  มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะเอาทองคำ  แต่ต้องมีอันเป็นไปแม้แต่ฝรั่งก็เช่นเดียวกัน  ที่มีเครื่องมืออันทันสมัยลงไปเอากัน  เอาชีวิตไปทิ้งก็มี  ส่วนคนที่โชคดีกลับขึ้นมาพร้อมกับทองคำ  แต่แล้วทองคำก็กลายเป็นดินเป็นหินไป  นับว่าอ่างคำนี้แปลกและอัศจรรย์มาก  จากนั้นเณรคำก็พาหลวงปู่ออกธุดงค์ต่อไป

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:54
พบเมืองมหัศจรรย์
                    
         เณรคำกับหลวงปู่ได้เดินธุดงค์มาถึงภูเขาช้างแฮ  เขตเมืองพระลานที่บริเวณตรงนี้แปลกอยู่ที่ว่า  มีบ้านเมืองรกร้างตั้งอยู่ประมาณ 50 หลังคาเรือน  และบ้านเรือนเหล่านี้เป็นหินไปหมดอยู่เชิงเขาหิน  และมีทางเดินขึ้นไปบนหินมีประตูหินปิดอยู่  เณรคำจึงเอามือตบประตูหินนั้น 3 ครั้ง  ทันใด  ประตูหินที่ปิดก็เปิดออก  เณรคำกับหลวงปู่ก็เดินเข้าไปในห้องอีก  ภายในห้องมีหีบเป็นหินขนาดใหญ่ 4-5 หีบ  เณรคำจึงเรียกหลวงปู่เข้ามาดู  แล้วต่อไปเณรคำจึงเอามือตบฝาหีบหินใบใหญ่ใบหนึ่ง 3 ที  ฝาหีบหินใบใหญ่นั้นก็เปิดออก  ภายในหีบนั้นมีแต่แก้วแหวนเงินทอง  ภาชนะของใช้เป็นทองคำหมด  หลังจากนั้นเณรคำจึงได้บอกหลวงปู่ค้างแรมอยู่ในห้องนั้น 3 วัน 3 คืน

                  พอรุ่งเช้าวันที่ 4 เณรคำและหลวงปู่ก็เห็นหญิงสาวแต่งตัวเหมือนนางฟ้าบนสวรรค์ออกมาปรากฏตัวให้เห็น  แล้วบอกให้เณรคำกับหลวงปู่รีบหนีออกไปจากที่นี่  อยากจะได้แก้วแหวนเงินทองอะไรก็เอาไป  พูดจบนางฟ้าองค์นั้นก็หายเข้าไปในประตูหินอีกด้านหนึ่ง
                    
      เณรคำกับหลวงปู่เดินตามไป  เณรคำได้เอามือตบประตูหินนั้น 3 ที  ประตูหินนั้นจึงเปิดออก  เณรคำกับหลวงปู่เดินผ่านประตูหินและใช้มือตบทำอย่างนี้จนกระทั่งผ่านเข้าไปถึง 7 ชั้น  พบนางฟ้ากำลังทอผ้าอยู่ (ผ้าทองคำ) เณรคำจึงเดินเข้าไปถามพร้อมหลวงปู่ว่า  ทอผ้าให้ใคร  และนางฟ้าชื่ออะไร  นางฟ้าองค์นั้นตอบว่าชื่อนางสีดาที่กำลังทอผ้าอยู่นี้จะเอาไว้  ให้พระศรีอาริยเมตไตรย  จะลงมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์  อีกไม่นานนี้  นางสีดาพูดจบก็บอกให้เณรคำและหลวงปู่รีบออกจากที่นี่  เพราะนางสีดากลังจะมีอันตราย
         
ผลสุดท้ายเณรคำและหลวงปู่จึงออกจากที่นั่น  มาพักอยู่ใต้ถุนเรือน (บ้านหิน 50 หลัง) ข้างนอก
         
      พอพักไปได้สักระยะหนึ่ง  เณรคำและหลวงปู่เห็นพวกยักษ์เดินก้าวมาเป็นกลุ่ม (ลักษณะยักษ์นี้ใหญ่โตกว่ามนุษย์ธรรมดามาก) เดินผ่านมาตรงเณรคำกับหลวงปู่พักอยู่ได้ยินพวกยักษ์พูดกันว่ากำลังเดินหาพวกมนุษย์ที่เข้ามาในบริเวณนี้  เมื่อยักษ์เดินผ่านไป  เณรคำกับหลวงปู่จึงได้พากันเดินลงจากเขานั้นมา  ระหว่างเดินลงเขาพบแต่กองกระดูกเรียงรายสองข้างทางไปหมด  เณรคำก็พาหลวงปู่ลงมาถึงเชิงเขา  พบพระกรรมฐานองค์หนึ่งปักกลดอยู่

                             เณรคำบอกกับพระกรรมฐานองค์นั้นว่า  ขอฝากโยมผ้าขาวคนนี้ด้วย  พอพูดจบเณรคำก็หายตัวไปอย่างอัศจรรย์

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:54
หลวงปู่คำคนิงได้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์

                   เมื่อหลวงปู่คำคนิงอยู่กับพระกรรมฐานสักระยะหนึ่ง  ท่านก็ขอแยกทาง  หลวงปู่ท่านออกธุดงค์ไปในป่าลึกจนถึงภูเขาฤาษีหลวงปู่ท่านขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น  พบฤาษีตนหนึ่ง
         
            พระฤาษีถามว่ามาทำไมหลวงปู่  หลวงปู่ก็บอกว่าอยากรู้ธรรม  พระฤาษีบอกว่าให้ไปเอาคัมภีร์เล่มหนึ่ง  ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ของท่านเอง  ซึ่งตอนนี้ได้ให้พระองค์หนึ่งไปเรียนอยู่ที่ภูเขาอีด่างโน้น  ให้หลวงปู่ไปตามเอาหลวงปู่จึงลาพระฤาษีเดินธุดงค์มุ่งหน้าไปภูเขา  ถึงภูเขาอีด่างพบพระองค์นั้นที่ได้พระคัมภีร์ของฤาษีมา  แต่พระภิกษุบอกหลวงปู่ว่าท่านได้นำไปเก็บไว้ที่ถ้ำบนภูเขางา  ดังนั้น  หลวงปู่จึงต้องเดินธุดงค์กลับไปเอา
           
          เมื่อหลวงปู่ได้พระคัมภีร์นั้นแล้วเปิดอ่านดู  แต่ละบทมีความสามารถใช้ต่าง ๆ กัน  เช่น  สามารถย่นระยะทางได้  เดินบนผิวน้ำได้  เหาะเหินเดินอากาศได้  หายตัวได้  แต่พระคัมภีร์เล่มนี้แปลกและอัศจรรย์เป็นพิเศษมากที่ว่าใครมีพระคัมภีร์อยู่กับตัวเพียงแค่นึกคิดปรารถนาอะไร  ก็จะบังเกิดขึ้นโดยทันทีโดยไม่ต้องท่องบ่นพระคาถาในคัมภีร์เลย  แต่กลับตรงกันข้ามถ้าใครคิดจะท่องมนต์พระคาถาในพระคัมภีร์เล่มนี้เพื่อให้ขึ้นใจแล้วก็จะเกิดมืดฟ้ามัวดิน  มีลมฝนฟ้าผ่าทันที  เป็นอัศจรรย์ใจยิ่ง

พระมหากษัตริย์ลาวทรงถวายอุปสมบท

เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ได้มุ่งเดินธุดงค์  ลงมาทางใต้  เขตนครจำปาศักดิ์  หลวงปู่ท่านได้มาจำพรรษาที่เขาภูด่าง

      ความเลื่อมใสศรัทธาของคนในประเทศลาวเริ่มแผ่ขยายกว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็วมาก  จากหมู่บ้านรู้เข้าถึงตำบล  จากตำบลเข้าถึงอำเภอเข้าถึงจังหวัดจากจังหวัดแผ่ขยายจนทั่วประเทศ  ประชาชนประเทศลาวรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ต่างมุ่งเดินทางมาทุกทั่วสารทิศ  มุ่งสู่จังหวัดนครจำปาศักดิ์

      ต่อมาความนี้ได้ทราบถึงพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา  ซึ่งเป็นเหนือชีวิตแห่งประเทศลาว  รวมทั้งญาติฝ่ายเหนือฝ่ายใต้  จึงได้เสด็จมาที่เมืองปากเซ  บนภูเขาอีด่าง  แขวงเมืองจำปาศักดิ์  เมื่อเจ้าเหนือหัวศรีสว่างวัฒนาได้พบหลวงปู่จึงกล่าวคำว่า

“ ท่านเก่งมีอิทธิฤทธิ์มากหรือไร ”
หลวงปู่ท่านว่า “ ไม่ ”
      เจ้าเหนือหัวแห่งลาวก็ถามอีกว่า
“ ถ้าไม่เก่งแล้วทำไมคนลือเลื่อมใสไปทั่วประเทศ ”
      หลวงปู่ก็ตอบว่า
“ ใครเป็นคนพูด ”
      เจ้าเหนือตอบว่า
“ ก็ประชาชนทั้งประเทศ ”
หลวงปู่ท่านก็ตอบว่านั้นคนอื่นพูด  แต่ตัวท่านไม่เคยพูด
                  
        ผลสุดท้ายเจ้าเหนือหัวชีวิตแห่งประเทศลาว  เกิดความเลื่อมใส  ขอขมาที่ล่วงเกินหลวงปู่  และเอ่ยขอหลวงปู่สักอย่างหนึ่งจากหลวงปู่จะได้ไหม  หลวงปู่บอกว่าได้  เจ้าเหนือชีวิตแห่งประเทศลาวบอกว่า  ขอปลงผมซึ่งยาวจนจะถึงเอวออกจะได้ไหม
                    หลวงปู่บอกว่าได้  ต้องบวชเป็นพระก่อน        

         ในที่สุดวันกำหนดอุปสมบทซึ่งทางสำนักพระราชวังได้จัดขึ้นโดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายเหนือฝ่ายใต้  พร้อมด้วยข้าราชการประชาชนแห่กันไปที่วัดหอเมืองเก่งแขวงจำปาศักดิ์  ในระหว่างที่ปลงผมหลวงปู่นั้น  ทั้งฝ่ายสำนักราชวังก็ดี  ข้าราชการประชาชนก็ดี  ต่างก็เอาผ้าไหมแพรทองมาปูรองรับเส้นผมของหลวงปู่กันแน่นไปหมดทั่วบริเวณในวัดและนอกวัด  ในวันนั้นต่างคนต่างแย่งผมที่หลวงปู่ปลงแทบจะฆ่ากันเลย  จนเจ้าหน้าที่รักษาบ้านเมืองวุ่นวายไปหมดครั้งเมื่อเวลาอุปสมบทก็มีพระสงฆ์ราชาคณะพร้อมทั้งพระสังฆราชเสด็จมาเป็นปรานฝ่ายสงฆ์รวมทั้งหมด 24 รูป  เมื่ออุปสมบทเสร็จ  หลวงปู่ได้อยู่ที่ภูเขาอีด่างอีกระยะหนึ่ง  เห็นความวุ่นวายจึงเกิดความเบื่อหน่าย  ท่านจึงแอบหนีออกมาโดยไม่มีใครรู้เลยว่าท่านไปอยู่ที่ไหน

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:55
ก่อนนี้คือ..ฤาษี

[attach]5068[/attach]

           แม้วัยของท่านจะ  82 และ  42 พรรษาแล้วก็ตาม  ยังนั่งเอวตรง  แผ่นหลังตรงดุจดามไว้ด้วยแท่งเหล็ก  บ่งบอกถึงความเข้มแข็งเปี่ยมพลังภายในลึกล้ำ  แม้ท่านจะบอกกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า  ท่านไม่สบายป่วยเรื้อรังมาสองปีแล้ว  เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มรณะภาพไปสามวันสามคืน  ญาติโยมจะเอาไปเผาแล้วซี  แต่ท่านก็ฟื้นขึ้นมาอีก  ยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่าคล้ายไม่ป่วยไข้เลย  แสดงว่ากำลังใจของท่านเข้มแข็ง  และมีบุญญานุภาพอย่างลึกลับ

หลวงปู่คำคนิง  จุลมณี  เป็นชาวคำม่วน  แขวงคำม่วน  ประเทศลาว  ปีนี้ (2523) อายุเต็ม 86 ปี

         หลวงปู่คำคนิงได้อนุญาตให้คณะเราสัมภาษณ์ท่านและบันทึกเสียงได้อัธยาศัยของท่านเปี่ยมเมตตาจิตและเปิดเผยปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร  ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งสมมติ  ชีวิตคนเราเหมือนตัวละครที่แสดงไปตามบทบาท  ไร้สาระแก่นสาร  มีแต่มรรคผล  นิพพานเท่านั้นเป็นสารธรรม  อันจริงแท้แน่นอน  บริสุทธิ์  สะอาด  สงบ  ศานติ  ชั่วนิรันดร์

     ก่อนจะเข้าสู่ร่วมผ้ากาสาวพัสตร์นั้น  ท่านมีลูกเมียเป็นฝั่งเป็นฝามาก่อน  แต่พออายุได้ 30 ปี  ก็เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนจึงอำลาลูกเมียออกบวชเป็นฤาษีดาบส  ท่องเที่ยวธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร  เป็นเวลานานถึง 15 ปี  ไม่เคยเข้าอยู่หมู่บ้านเลย  อยู่แต่ในป่าเป็นวัตร  ถือสัจจะเคร่งในศีลฤาษีโยคีฝึกตนอย่างเคร่งครัด  ละเว้นความชั่วทุกประการ 7 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง 15 วัน  ขบนั้นอาหารครั้งหนึ่งเป็นการบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า  เพื่อพิสูจน์กำลังใจและความทรหดอดทนของตนว่ามีความกล้าตายไหม  อาลัยไยดีในสังขารร่างกายขนาดไหน

        จากการปฏิบัติตนแบบฤาษีชีไพรอย่างยิ่งยวดนี้เอง  ทำให้ท่านพบกับความศานติสงบกายสงบจิตอย่างล้ำลึก  มีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ในองค์ฌานสมาธิ  เป็นพระฤาษีแก่กล้าฌานสมาบัติ  สามารถเข้าฌานนานวันโดยไม่อ่อนเพลีย  ไม่หิวโหยร่างกายกระชุ่มกระชวยแข็งแรงเป็นปกติ  สามารถเดินธุดงค์  ขึ้นเขาลงห้วยได้เท่าคนหนุ่มฉกรรจ์  เพียงแต่ว่าร่างกายไม่อ้วน  ร่างกายผอมเกร็ง  แขนขามือกำได้รอบแต่ทว่าแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ไปไหนมาไหนในป่าในถ้ำ สัตว์ป่าก็เป็นมิตร  ไม่กล้าทำอันตราย  ด้วยอำนาจเมตตาที่แผ่ออกจากฌานสมาธิ

        อยู่แต่ในป่าในถ้ำนับร้อยนับพันถ้ำในภูเขาแดนลาว  เสวยสุขในฌานจนเบื่อหน่าย  เห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์  ไปสู่มรรคผลนิพพาน  หลวงปู่คำคนิงจึงได้ลาเพศฤาษีดาบสเข้าสู่พระพุทธศาสนาอุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อปฏิบัติธรรมสู่ทางพ้นทุกข็อันถูกต้องร่องรอย  เมื่อบวชแล้วก็ยังถือมั่นอยู่ในสัจจอธิษฐาน  คืออยู่ในป่าในถ้ำเป็นวัตร  ไม่ยอมเข้าอยู่ในหมู่บ้านหรือสำนักสงฆ์  และวัดวาอารามใด ๆ เป็นเด็ดขาด  มุ่งถือพระธรรมคือการปฏิบัติทางจิตเพื่อความหลุดพ้นเป็นใหญ่  ได้ธุดงค์ไปจำพรรษาตามถ้ำตามเทือกเขาต่าง ๆ ในแดนลาว  ปีแล้วปีเล่า  ตราบจนกระทั่งเวลานี้ได้ 27 พรรษา  ถ้ารวมเป็นพระฤาษีด้วยก็เป็น 42 พรรษา

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:55
หลวงปู่ถอดจิตไปเยือนจักรวาลแห่งอะโมล็อกโคยาทีป

                   พระอาจารย์ทองสาและพระอาจารย์สุธีได้เป็นผู้ที่เล่าเรื่องของหลวงปู่คำคนิง  ให้ผู้เขียนฟังดังต่อไปนี้
          ในช่วงปี  พ.ศ.2527 ในเดือนมีนาคม  ได้จัดงานครบรอบอายุ 90 ปีให้หลวงปู่  หลวงปู่เกิดอาพาธเจ็บป่วยลง  ท่านไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดโดยปรกติ  ท่านชอบถอดจิตอยู่ข้างนอกเสมอ  เข้าออกภายในถ้ำที่อยู่ปัจจุบันนี้
                          ในตอนเช้าวันหนึ่งหลวงปู่พูดว่า
            “ ฉันเถอะ...อาจารย์จะพักผ่อน ”
                   พอวันที่ 2 ไม่ยอมฉันน้ำเลย  เข้าไปถามไถ่  รู้สึกท่านเปลี่ยนเป็นคนละคน  ดูอารมณ์ไม่ดีเลย  เมื่อใคร ๆ เข้าไปก็โดนไล่ออกมา  พวกเรากำลังจะจัดเตรียมงาน  จะปรึกษาท่านบ้างบางอย่างก็เลยปรึกษาไม่ได้  เพราะท่านไล่ออกมาทุกที
                   อาตมาเลยตัดสินใจเข้าไปสอบถามหลวงปู่ว่า
     “ หลวงปู่เป็นอะไรครับอีกไม่กี่วันก็ถึงวันงานแล้วผมจะมาปรึกษาหลวงปู่เรื่องงาน ”
                    ท่านเลยเล่าความจริงให้ฟังว่า
“ อาจารย์ไม่สบายอยากอยู่เงียบ ๆ เจ้าก็รู้ถ้าอาจารย์ป่วยก็จะไม่หาหมอหรือ  ไปฉีดยาเป็นอันขาด  อาจารย์ถ้าป่วยต้องเอาธรรมรักษาเท่านั้น ”

        นี่เป็นเหตุผลของท่านอย่างหนึ่ง  ถ้าแม้ตัวของอาตมาเองหรืออาจารย์หรือญาติโยมคนไหนก็ตาม  เข้าไปหาหลวงปู่ท่านจะบอกว่า  พวกเทพเทวดานี้จะผละออกห่างจากใจของท่านทำให้ท่านรู้สึกเหนื่อยเหมือนใจจะขาด  แต่ถ้าหลวงปู่อยู่เงียบ ๆ เพียงองค์เดียว  ท่านบอกว่าจะไม่เหนื่อยเลยเพวกเราก็เลยเข้าใจและรู้จุดประสงค์ของท่าน  จึงปล่อยให้อยู่ตามลำพังเพียงองค์เดียวเป็นเวลา 3 วัน  ก็เข้าไปดูท่าน  เห็นว่ายังเป็นปกติดี  ก็ปล่อยให้ท่านนั่งปฏิบัติกรรมฐานต่อไป  เป็นเวลา 10 วัน  ท่านได้เรียกอาตมาให้ไปหาน้ำมาให้ท่านฉัน  แต่ส่วนอาหารนั้นท่านไม่ยอมฉัน

           ต่อมา  ท่านบอกว่าได้ถอดจิตไปไกลเกินไปแล้ว  ตอนกลับมันเลยช้า  ตอนนี้อาจารย์ยังเหนื่อยและ เพลียอยู่มาก  ขอให้อาจารย์พักผ่อนจนแข็งแรง  แล้วจะเล่าอะไรให้พวกเจ้าฟัง  พวกเราได้รอท่านเป็นอาทิตย์แล้วจนใกล้ ๆ มาถึงวันงาน  ท่านก็ยังไม่แข็งแรง  จนงานพุทธาภิเษกปี 27 ไปแล้ว  ท่านจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า
“ ตอนที่อาจารย์ป่วย  ถ้าพวกเจ้าเข้าไปอาจารย์จะรู้สึกเหนื่อยเพลียจะขาดใจให้ได้  แต่เวลาอยู่องค์เดียวกลับไม่เป็นอะไรเลย ”

         ท่านได้เล่าอีกว่า...มีอยู่วันหนึ่งพญาหงส์ดำตนนี้  เป็นคนที่เกิดก่อนพุทธเจ้าเสียอีก  แต่ว่านับถือพระพุทธเจ้า  เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ให้รับหน้าที่ว่า  พระองค์ใดที่ปฏิบัติดี  ปฏิบัติชอบ  พระพุทธเจ้าจะให้มาเป็นคนรับหน้าที่  พระอรหันต์องค์ใดเมื่อสิ้นบุญแล้ว  ต้องผ่านพญาหงส์ดำตนนี้เสียก่อน  พอหลวงปู่เกิดอาพาธล้มป่วยลงก็มาชวนหลวงปู่
       “ นี่ท่านอย่ามาทนทุกข์ทรมานอยู่กับร่างกายสังขารนี้เลย  จะพาไปเที่ยว ”

หลวงปู่ก็ไปพญาหงส์ดำบอกว่าต้องไปรายงานบอกพระพุทธเจ้าก่อน  จึงจะออกนอกโลกได้  หลวงปู่ได้เล่าถึงลักษณะที่ไปให้ฟังและเปรียบเทียบว่า  แผ่นดินเรานี้เปรียบเหมือนส่วนหนึ่งของโลก  พอพ้นจากดินไป  ท่านลำดับให้ฟังว่าเป็นน้ำ  น้ำนี้มากกว่าดิน 10 ส่วน  พอพ้นจากน้ำก็เป็นลม 10 ส่วน  ที่เล่ามานี้หมายถึงระยะทางที่ไปกับพญาหงส์ดำนอกโลก  ส่วนลักษณะของลมนั้นท่านบอกว่า  เครื่องบินหรือ  เครื่องยนต์กลไกที่มนุษย์ทำกันเก่ง ๆ ทุกวันนี้ไม่สามารถที่จะไปถึงได้  แต่จะไปได้เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

            ท่านไปตรงลมแล้วมองลงไป  เห็นไฟอยู่ไกลลิบ ๆ แต่ลุกแดงฉานลักษณะคล้าย ๆ ภูเขา  แต่มากกว่าลมเป็น 10 เท่า  ที่ว่าเป็นไฟลุกแดงฉานนั้นแหละ  หลวงปู่เปรียบเทียบให้ฟังอย่างนั้น  ลักษณะเดียวกันท่านก็มองออกไปอีกด้านหนึ่ง  เห็นเหมือนแก้วจะเป็นเพชรก็ไม่ใช่  เป็นแก้วก็ไม่เชิงท่านว่าอย่างนั้น  อยู่อีกมุมหนึ่ง แต่สูงพอ ๆกับไฟที่ลุกแดงฉานคล้ายภูเขาที่ว่านี่แหละ  ทีนี้แสงไฟได้ไปกระทบกับแก้วหรือเพชรที่ท่านเห็น  มันสว่างไปหมด  แล้วพอหลวงปู่มองลงมาที่โลกมนุษย์เรานี้  ท่านบอกว่าโลกเรานั้นสูงไกล  แล้วทีนี้พอท่านไปถึง  ก็เห็นมีคนเยอะแยะ  คล้าย ๆ กับคนในบ้านเราหรือในประเทศไทยของเราเอง  พวกคนเหล่านั้นเห็นและก็ได้ถามหลวงปู่ว่า  ท่านมาได้ยังไง  ทุกคนยังแปลกใจท่านอยู่

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:55
ครั้งหนึ่งมีพระภิกษุองค์หนึ่ง ไม่ทราบชื่ออะไร  ข้าพเจ้าก็ลืมมีญาติพี่น้องอยู่ที่อำเภอโขงเจียมนี้เอง  พระภิกษุรูปนี้ได้มาอยู่กับหลวงปู่ครั้งหนึ่ง  แล้วท่านก็ไปจำพรรษาอีกที

      หลวงปู่ท่านมีอุปนิสัยอย่างหนึ่ง  คือ  พระภิกษุที่ได้มาอยู่ร่วมกับท่านแล้ว  ในเมื่อออกจากท่านไป  ท่านจะไม่รับให้กลับเข้ามาอยู่อีก  ไม่ว่าจะมาขออ้อนวอนใด ๆ ก็ตาม

      ต่อมาไม่นานนักพระภิกษุรูปนั้น  ก็เกิดป่วยสุขภาพไม่ค่อยจะดี  จึงได้กลับมาขออยู่กับหลวงปู่อีก  หลวงปู่ท่านให้การปฏิเสธไม่ให้อยู่แต่ถ้าจะมาตายก็อยู่ได้  ก็เป็นอันว่าพระภิกษุรูปนั้นก็ได้กลับเข้ามาอยู่  และได้รักษาตัวไปด้วย

        หลวงปู่ท่านเคยทำสมาธิแล้วตายไปถึงสองครั้ง  ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าครั้งไหน  หลวงปู่ท่านได้ตายไปสามวัน  พวกชาวบ้านต่างก็มาทำโลงศพให้ท่าน โดยมีพระภิกษุรูปที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวถึง  วันนี้เป็นหัวหน้าทำโลงศพให้หลวงปู่ท่าน  ประดับด้วยลวดลายวิจิตรตระการตา  หลังจากทำโลงศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว  พวกชาวบ้านต่างก็จะจัดเตรียมงานเผาศพให้ท่านก็พอดีร่างกายของท่านเริ่มกลับคืนสู่สภาพ  อบอุ่นขึ้นทีละน้อย  จนเข้าสู่สภาวะปกติ  หลวงปู่ท่านก็ได้เล่าการตายของท่านในครั้งนี้  ได้ไปเที่ยวชมเมืองนรก  ซึ่งท่านเรียกว่า “ ศาลาพันห้อง ”

         หลังจากหลวงปู่ได้ยินยอมให้พระภิกษุผู้ที่ได้เคยทำโลงศพให้ท่านเมื่อครั้งก่อน  กลับเข้ามาอยู่ด้วยอีกครั้ง  ด้วยว่าเพื่อที่จะขอมาตายที่นี่ต่อมาในกลางฤดูเข้าพรรษา  พระภิกษุรูปนี้  ได้ถึงแก่มรณภาพตามสัจจะวาจาของหลวงปู่ที่ได้พูดเอาไว้  โลงศพซึ่งผู้ตายได้เคยทำขึ้น  หวังจะใส่ร่างของหลวงปู่ก็ต้องกลับมาใส่ร่างของตัวเอง
         
       หีบโลงศพใบที่สาม  เมื่อข้าพเจ้ากับพระอาจารย์ทองสาได้เข้ามาอยู่กับหลวงปู่ท่าน  ข้าพเจ้าเคยพูดกับหลวงปู่เสมอ  จะไปซื้อโลงศพลงรักปิดทองที่สวยที่สุดมาให้  และต่อมาไม่นานข้าพเจ้าได้สั่งซื้อมาในราคาหมื่นกว่าบาท  เมื่อนำมาถึงที่วัด  ข้าพเจ้าได้นำไปติดตั้งในห้องจำวัดของท่าน  ข้าพเจ้าและพระอาจารย์ทองสาเห็นหลวงปู่ท่านมีความปิติปลื้มใจในศิษย์ทั้งสองมาก  หลวงปู่ท่านจึงได้สั่งเสียไว้กับข้าพเจ้าและท่านอาจารย์ทองสา

“ โลงทองใบนี้อย่าได้ทำลายหรือเผานะหลังจากอาจารย์ตายและได้ใส่โลงทองใบนี้แล้ว  ขอให้เจ้าทั้งสองเก็บรักษาไว้  เมื่อถึงคราวสุธีตายก็เอาโลงทองใบนี้ใส่  เราสามคนได้ไปอยู่ที่เดียวกันนี้ ”

นี่คือคำสั่งเสียของหลวงปู่ท่าน

                  ข้าพเจ้าก็พูดเป็นเชิงเล่นกับหลวงปู่ท่านว่า  ไม่เอา...ข้าพเจ้าจะหาใบใหม่  เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะไปตายที่ไหน

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:56
หลวงปู่แสดงฤทธิ์ให้ข้าพเจ้าเห็น

      ผม  อาจารย์สุธี  จะขอเล่าเรื่องปาฏิหาริย์เล็ก ๆ น้อย ๆที่ประสบมากับตัวเองให้ฟังว่า  เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ใกล้ ๆ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2528 นี้เอง  ทางผมกับอาจารย์ทองสาและญาติโยมได้ร่วมกันจัดงานฉลองอายุหลวงปู่ซึ่งปีนี้อาตมาได้จัดเสียใหญ่โต  แล้วก็ปรากฏว่าช่วงนั้นภูมิอากาศก็ไม่ค่อยจะดีนัก
           
         ทีนี้  พอเหลืออีกสามวัน  อาตมาก็ได้ตกแต่งสถานที่  เรียกว่าลงทุนกันซื้อผ้าใหม่ ๆ มาทำม่าน  และอะไรต่าง ๆ อีกหลายอย่างก็ปรากฏว่าฝนตั้งเค้ามาอย่างขนาดหนัก  อาตมาเห็นเข้าก็ใจไม่ดีวิ่งไปบอกกับหลวงปู่ว่าจะทำยังไงกันดี  ปะรำเวทีที่จะทำพิธีต่าง ๆ ซึ่งมุงหลังคาด้วยหญ้าคาธรรมดาไม่สามารถจะกันฝนได้  และจะทำให้ข้าวของเสียหายหมด  และขอร้องหลวงปู่  ให้ช่วยบอกเทวดาขออย่าให้ตกที่นี่เลย  ให้ไปตกที่อื่นก่อน
                             
        รู้สึกว่าท่านจะนิ่งไปสักพักหนึ่ง  แล้วก็ถามอาตมาว่าเหลืออีก 2 วันท่านก็บอกว่าอย่างนั้นไม่เป็นไร  อาจารย์ขอเขาแล้ว  และทางเขาก็ตกลงแต่มีข้อแม้อยู่ว่าฝนไม่ตกก็ได้  แต่ต้องมีลมนะ  อาตมาก็บอกกับท่านว่ายอมตกลงปรากฏว่าช่วงนั้นพายุได้กระหน่ำมาทั้งลมทั้งฝน  แต่เป็นฝนปรอย ๆ จะหนักไปทางด้านลมมากกว่า             และที่วัดซึ่งกำลังตกแต่งสถานที่อย่างสวยงาม  พอโดนลมพัดกระหน่ำ  ข้าวของนั้นได้กระจัดกระจายเสียหายหมดเลย  แต่พอมองไปทางฝั่งลาวนั้น  เห็นฝนตกเสียขาวโพลน  มองแทบไม่เห็นภูเขาแม้แต่โยมที่มาจากตระการหรือพิบูลก็ตาม  พอมาถึงที่วัดก็แปลกใจว่า เอ๊ะ...ทำไมที่วัดฝนตกปรอย ๆ แต่ทางรอบนอกกลับมีฝนลงกระหน่ำไปหมด  จนทางแทบจะเสียหายมาไม่ได้

          เรื่องนี้อาตมาก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า  ทำไมท่านถึงมีบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์สามารถห้ามฝนได้  หรืออาจจะเรียกว่าขอกับเทพเทวดาได้ทีนี้พอถึงช่วงวันงาน  ท่านได้สั่งกับอาตมาว่า นับจากวันนี้ไป  ที่ได้ต่อรองขอฝนนั้น  พอวันงานให้ลั่นฆ้อง  ซึ่งฆ้องนี้ให้ตีไม่ให้ขาดระยะเลย  จนกว่าจะเสร็จสิ้นงาน  ถ้าหยุดตีเมื่อไหร่  หลวงปู่ท่านบอกว่าเทพเทวดาท่านจะไม่รับรอง  เพราะว่าได้ต่อรองขอเบื้องล่างเบื้องบนแล้วว่า  ให้ตีฆ้องนี้เป็นสัญญาณว่าที่ถ้ำคูหาสวรรค์นี้ได้จัดงานอย่าให้มีฝน  อย่าให้มีลมให้ตีทุกระยะจนกว่าจะสิ้นสุดงานเลย  ถ้าขาดเมื่อไรก็จะไม่รับรอบเรื่องฝนหรือลม  ปรากฏว่าในงานวันนั้น  ญาติโยมที่มาในงานบุญหลวงปู่นั้น  มีจิตศรัทธาตั้งใจตีกันจนสว่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย  นี่เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:56
คราวก่อนนั้นเมื่อปี 2527 ก็เหมือนกัน  ในวันที่ 16 มีนาคม  พวกเราได้จัดงานฉลองบุญอายุของหลวงปู่  นี่ก็เป็นเรื่องแปลก  วันนั้นฝนไม่ตก  แต่พอเสร็จงานปรากฏว่าได้มีพายุกระหน่ำขนาดหนัก  จนทำให้ปะรำพิธีล้มระเนระนาดไปหมด  พวกเราไม่ต้องเก็บเลย  ลมเก็บให้หมดแล้วเรียบร้อย  อันนี้เป็นที่แปลกที่ประสบกับอาตมา  ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่  แล้วก็มีญาติโยมหลายคนที่จะมานมัสการหลวงปู่  มาจากทางไกลก็ดี  หรือจากบางจังหวัดที่อยู่ใกล้ ๆ พอมาถึง  หลวงปู่ก็มักจะทักทายทำนายจนเป็นที่พออกพอใจ  ของญาติโยมทุกคน  จนกระทั่งบางคนน้ำตาไหลก็ดี  เพราะว่าที่ท่านทักนั้น  ท่านใช้วิชาเกี่ยวกับหูทิพย์  ตาทิพย์  ใจทิพย์สามารถหยั่งรู้ถึงอนาคต  ปัจจุบันและอดีตได้ทั้งหมด  ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถที่จักมีคุณธรรมพิเศษนี้ได้  นอกจากว่าเป็นพระที่ต้องปฏิบัติกรรมฐานและต้องมีความชำนาญจนกระทั่งได้อภิญญาขึ้นไป  หรือไม่ต่ำกว่าอภิญญาก็ต้องได้วิชาสามคือเจโต  สามารถหยั่งรู้ใจทิพย์จักษุญาณ  คือตาทิพย์  อนาคตังสญาณ  แล้วก็ปัจจุบันนังสญาณคือตั้งแต่พระที่ระดับอนาคามี  ซึ่งรู้เกี่ยวกับพระที่มีการปฏิบัติเคร่งหรือพระที่มีคุณธรรมพิเศษขึ้นไป
                             
         อาตมานั้นได้มาอยู่กับหลวงปู่เข้าปีที่ 3 แล้ว  หลวงปู่มักจะแสดงธรรมเป็นประจำในเรื่องของญาณ 8 ซึ่งอาตมาได้ประสบมากับตัวเองและสามารถจะยืนยันได้ว่า  หลวงปู่นั้นท่านไม่ใช่พระธรรมดา  ต่อมาอาตมาก็เคยถามท่านเกี่ยวกับหูทิพย์ว่า  หลวงปู่เคยดักฟังคนที่กำลังพูดถึงท่าน  ซึ่งคนนั้นอยู่อีกที่หนึ่งและห่างจากวัดมาก  ถ้าคิดเป็นระยะทางก็ประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร  ประมาณอำเภอพิบูลมังสาหาร  กับอำเภอโขงเจียม  ท่านบอกว่าสบายมากเลยในการที่จะดักฟังว่าคนนั้นเขาจะพูดดีหรือพูดร้ายสามารถฟังได้สบาย  และอาตมาก็ถามหลวงปู่อีกว่า  แล้วคนที่อยู่กรุงเทพฯ ล่ะ  หลวงปู่สามารถฟังได้สบายมั้ย  หลวงปู่ก็พูดว่าอาจจะใช้กำลังสูงหน่อยเพราะท่านก็อยู่ในวัยชรา  และถ้าใช้กำลังมากนั้นบางทีอาจจะทำให้ท่านถึงแก่ชีวิต  แต่ท่านบอกว่าถ้าท่านมีสุขภาพแข็งแรงอายุสัก 60-80 พรรษา  ก็จะทำได้ไม่ยาก  แต่นี่ท่านอายุ 90-91 พรรษาเข้าไปแล้ว  ท่านบอกว่ามันอันตราย  แต่สำหรับระยะทางเขตอำเภอโขงเจียมถึงอำเภอพิบูลฯ ไม่เกิน 90-100 กิโลเมตรนี้  ท่านบอกสบายมากในการที่จะใช้หูทิพย์

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:57
บ่อนํ้าเทวดา

[attach]5069[/attach]

          มีอยู่ตอนหนึ่งหลวงปู่เคยกล่าวถึงว่า  เมื่ออดีตกาลนั้นที่แห่งนี้ยังไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ต่าง ๆ อยู่เป็นเมืองของราชสีห์ 7 ตัว  สมัยนั้นมีหน่อเงินทองคำมากมาย  ราชสีห์ทั้ง 7 นี้จะมากิน  หน่อเงินหน่อทองคำแทนอาหาร  แต่พอถึงหน้าแล้งน้ำจะกันดาร  อยู่นี่พระภูมิไม่ช่วยมันก็ลำบาก  จะย้ายไปอยู่ที่อื่นมันก็ไม่ได้  เพราะเมื่อตอนมาอยู่ใหม่ ๆ พระภูมิที่นี่ขอร้องหลวงปู่ว่าอย่าหนีเลยและนิมนต์จะช่วยเรื่องน้ำไม่ยากหรอก  พระภูมิพูดกับหลวงปู่  หลวงปู่ถามว่าจะช่วยจริงหรือ  แล้วท่านก็ทำสมาธิได้เห็น  คือ  ตรงหน้าถ้ำนั้นได้มีน้ำหยดลงมา  เมื่อท่านได้ยินเสียงน้ำหยดแหมะ ๆ ท่านก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ  และเพราะความอยากได้น้ำ  ท่านก็ออกไปล้างถังให้สะอาด  แล้วเอามารองตรงที่เห็น  รอยน้ำหยดออกมาอยู่  คิดว่าน้ำหยดทีละนิดอย่างนี้ถึงเช้าก็คงไม่เต็มถัง  จะได้ใช้ล้างหน้าตาให้สบาย  ท่านคิดอย่างนั้น  พอเอาถังมารองก็กลับเข้าไปในถ้ำทำสมาธิต่อ  พอถึงรุ่งเช้าท่านออกมาดูปรากฏว่าไม่มีน้ำเลยในถังนั้น  และไม่มีรอยน้ำเปียกให้เห็นเลย

          พอถึงกลางคืนหลวงปู่ก็มาดูว่าจะมีน้ำหรือเปล่า  แต่ปรากฏว่าไม่มีก็ได้ไปบอกกับภูมิว่าจะโกหกหลองลวงท่านหรือ  บอกว่าจะช่วยแต่ไม่ช่วยจริง  ภูมิได้ยินเช่นนั้นก็บอกกับหลวงปู่ว่า รับปากว่าจะช่วยจริง  แต่ท่านทำผิด  ท่านได้เอาถังมารอง  มันก็เลยไม่ไหล  ตอนนั้นหลวงปู่ยังไม่เชื่อ

        ในที่สุด  ภูมิบอกอีกว่า  พรุ่งนี้เช้าให้ท่านไปดูหลังถ้ำ  และขึ้นไปจะเห็นเป็นรอยขีดกากบาท  และมีวงกลมรอบอีกชั้นหนึ่ง  ในนิมิตภูมิบอกว่าอย่างนั้น  พอถึงตอนเช้าหลวงปู่ขึ้นไปดู  ไม่รู้เป็นรอยหินหรือรอยอะไร  เห็นไม่ถนัดนัก  หลวงปู่เลยเข้าใจว่าเป็นตรงนี้แหละ

       หลวงปู่บอกอีกว่าช่วงนั้นประเทศลาวแตกใหม่ ๆ พวกคนลาวได้อพยพมาอาศัยอยู่กับหลวงปู่  ท่านเกณฑ์คนพวกนั้นให้ไปช่วยขุด  มีหินอยู่เล็กน้อยและมีทราย  ก็ขุดลงไปเรื่อย ๆ จนกว้างออกเป็นสระ  ที่อาตมาได้ขนดินมาถม 50 กว่าคันรถ  เวลานี้หลังถ้ำก็เลยเรียบ  แต่ก่อนมันเป็นหนองน้ำต่อมา  หลวงปู่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยในบ่อที่ขุดนั้น  ท่านก็ว่าภูมิโกหกอีกแล้ว

    ท่านได้มานั่งสมาธิและต่อว่ากับภูมิว่า  ท่านโกหกอาตมาถึง 2 ครั้ง 2 คราแล้วนะ  ภูมิได้ยินดังนั้นก็บอกว่าไม่ได้โกหกท่านเป็นเช่นอย่างที่บอกจริง  แต่อยู่เหนือขึ้นไปอีก  ลองไปดูใหม่เถอะ  ต่อมาพอถึงรุ่งเช้า  หลวงปู่ได้ออกมาดูอีก  ก็เห็นเป็นเช่นนั้นจริง  เพราะมีรอยขีดอย่างที่ภูมิบอกไว้เลยว่าจ้างชาวบ้านแถวนั้นให้มาเจาะหิน  หลวงปู่จะให้ค่าจ้าง 1,500 บาททำอยู่ 3 วัน  เจาะลงไปได้ไม่เท่าไหร่  พวกชาวบ้านเหล่านั้นไม่ยอมทำต่อเพราะเหตุใดไม่รู้ได้  พวกเขาเหล่านั้นไม่ยอมเอาเงิน  และไม่ขอทำต่อด้วย  แม้แต่ชาวบ้านด่านก็หาว่าหลวงปู่สติไม่ดี  เพ้อเจ้อไปเองมากกว่า

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:57
ตอนที่ขุดบ่อพระลานหินชาวบ้านก็บอกว่า  ไม่มีน้ำหรอกแต่ท่านไม่สนใจ  เพราะเชื่อมั่นว่าตรงนั้นต้องมีน้ำอยู่จริง  ต้องพยายามดูอีกสักครั้งต่อมาก็ได้ให้พวกกลุ่มคนลาวเหล่านั้นให้มาช่วยขุด  ตอนแรกพวกนั้นก็งงไปตาม ๆ กัน  คิดว่าหลวงปู่คิดยังไงขึ้นมาให้ไปขุดตรงพระลานหิน  หลวงปู่สั่งให้เอาชะแลงและสกัดไปกันหลายคน  จะได้ช่วยกัน  ท่านก็พาไปขุดที่เก่า  ที่เคยให้ชาวบ้านขุดก่อนนั้น  ทำเอาไว้หน่อยเดียว  พอมาถึงบ่อพระลานหินก็ลงมือช่วยกันขุดทันที  คนเหล่านั้นได้เอาชะแลงไปกระทุ้งรอบ ๆ บ่อ รู้สึกมีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งได้เขยื้อนไปมา  หลวงปู่  เห็นดังนั้นก็สั่งให้คนเหล่านั้นเอาชะแลงงัดก้อนหินก้อนนั้นออกมา  พองัดออกมาแล้ว  ดินบริเวณแถวนั้นได้ยุบลงไปทันที  ดินแถวนั้นเป็นทรายปนหินเล็กน้อย  ท่านสั่งให้ขุดกว้าง ๆ แล้วช่วยกันขนหินกับทรายไว้นอกบ่อ  ปรากฏว่าพอขนทรายและหินออกหมดแล้ว จะมีตาน้ำอยู่ที่หนึ่งได้มีน้ำไหลออกมา  แต่ไหลพักเดียวเท่านั้นพอปล่อยช่วงไว้สักพัก  น้ำไหลลงมาจนเต็มบ่อที่ขุดไว้  หลวงปู่ได้เล่าลักษณะของน้ำในบ่อให้ฟังว่า  ในบ่อน้ำนั้นเห็นมีคราบเหลือง ๆ ลอยอยู่เหนือน้ำเหมือนทองคำ  และน้ำใสสะอาดเวลาเอามาดื่มจะไม่มีรสเปรี้ยวเลย  และไม่ฝาดด้วย  เวลาท่านเอามือไปช้อนคราบนั้นขึ้นมากำไว้ จะได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ ๆ พอหลายปีนานเข้าคราบเหล่านั้นก็หายไปเอง
                     
         ต่อมา  หลวงปู่ได้บอกแก่ญาติโยมทั้งหลาย  พวกเราเอาท่อต่อกันใช้ตามบ้านจากบ่อน้ำจนทุกวันนี้  แต่พอถึงหน้าแล้งเดือนเมษา  น้ำจะขาดประมาณเดือนเศษ  และพอหน้าฝนน้ำนั้นจะไหลอยู่ตลอดเวลา  ท่านบอกว่าถ้าสามารถมีแทงก์ก็เก็บน้ำไว้ก็ดี  จะได้ไว้ใช้ตอนหน้าแล้งของทุกปี  ก็จบเพียงแค่นี้
                     
         ข้าพเจ้าได้อยู่รับใช้หลวงปู่มาตลอด 4 พรรษา  หลวงปู่ท่านมักจะพูดเป็นนัยให้ข้าพเจ้าได้ยินอยู่เสมอว่า “อาจารย์นี้แหละลูกแข้งลำขาของพระพุทธเจ้าแหละ” หรือบางครั้งบางคราวข้าพเจ้าก็ได้ยินท่านพูดเป็นนัยว่า “อาจารย์นี้แหละเหมือนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง  ตรัสรู้เห็นจริงในธรรมะ 84,000พระธรรมขันธ์เหมือนพระพุทธเจ้า แต่อาจารย์ไม่ใช่พระพุทธเจ้า” หลวงปู่ท่านพูดกับข้าพเจ้าเสมอเรื่องงานบุญธาตุพนม

     ทุกปีพระองค์ท่านจะเสด็จโปรดสัตว์  และจะมาหาหลวงปู่เสมอ  มีรับสั่งให้หลวงปู่กระทำภารกิจให้พระองค์ท่าน  เพื่อต่ออายุศาสนาอยู่เสมอหลวงปู่ท่านพูดเสมอว่า  ไม่อยากโปรดมนุษย์เท่าไหร่นัก  เพราะมนุษย์นี้สอนยาก  ส่วนมากแล้วจะโปรดแสดงธรรมแก่เหล่าเทพยดาพรหมเสียเป็นส่วนมาก  โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าห้องของหลวงปู่  มีเทพยดาและพรหมมาฟังธรรมทุกวันอย่างละ 7 หมื่นองค์เป็นประจำ  หรือบางทีทุกวันพระ  หลวงปู่ท่านจะต้องเข้านอนครองผ้า  เพื่อถอดจิตขึ้นไปสู่เทวโลกและพรหมโลก  ตามคำทูลอาราธนาเพื่อไปแสดงธรรมโปรดเหล่าเทพ

ข้าพเจ้าผู้เขียนได้ยินหลวงปู่ท่านพูดให้ข้าพเจ้าฟังมา  และบางทีข้าพเจ้าก็ได้ถามท่านเอง

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:57
ยืนเป็น.. นอนตาย..

         

          ภาพที่ปรากฏต่อหน้าชาวบ้านที่ออกหาของป่าไปขาย 2 คน  ยากอธิบายความรู้สึกได้ชัดเจน  นอกจากผู้ใดเห็นภาพเช่นนั้นแล้วจะบอกกับตัวเองได้ถูกเพราะต่างจิตต่างใจกันลองเทียบกับตัวท่านดู  หากไปพบภาพเช่นว่าอย่างไม่คาดคิดมาก่อน  ท่านจะรู้สึกอย่างไร  ร่างมนุษย์อย่างเรา ๆ นี้แหละผมเผ้าหนวดเครารุ่มร่าม  มองแทบไม่งเห็นผิวว่าขาวหรือดำ  เพราะแมลงวันตัวดำ ๆ รุมเกาะเต็มคล้ายผึ้งตอมรังจนไม่เห็นรวง  นอกจากนั้นยังมีปลวกรังใหญ่  ตั้งแต่พื้นหุ้มร่างขึ้นไปถึงหัวเข่า  ชาวบ้านทั้งกลุ่มจึงพากันเข้าไปดูใกล้ ๆ ให้แน่ชัดว่าอะไรกันแน่  แมลงที่เกาะร่างแตกฮือ  เห็นผิวหนังขาวซีดเมื่อจับต้อง  ปรากฏว่าแข็งเฉียบปานท่อนไม้  หุ้มร่างด้วยชุดชีปะขาวแต่ด่างดำด้วยขี้แมลงวันทั้งผ้าขาวกับผิวขาว
              “ คงยืนตายนานแล้วเนาะ ”   หนึ่งในหมู่ชาวบ้านออกความเห็น
            “ ช่วยเผาเอาบุญกันเถอะ ”    อีกคนเสนอแนะ
                    
      ไม่มีใครขัดจึงช่วยกันกระทุ้งจอมปลวกที่หุ้มขาร่างชีปะขาวตั้งแต่เดินถึงหัวเข่าออกอุ้มร่างที่แข็งเหมือนไม้นอนราบพื้น  หาน้ำมาชะล้างขี้แมลงวันตามเนื้อตัวจนสะอาด  เมื่อเข้าไปในถ้ำที่ชีปะขาวยืนแข็งตรงปากทางก็เห็นเครื่องใช้สอยจำเป็นอยู่ครบเอาผ้ามาคลุมร่างนั้นอย่างเรียบร้อย

                       “ ไปบอกพวกชาวบ้านมาช่วยกันเผาศพผ้าขาวคนนี้ดีกว่า ”
  
       หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวเป็นเชิงให้พรรคพวก เข้าไปแจ้งข่าวกับเพื่อนว่าพบ “ ผ้าขาว ” หรือชีปะขาวยืนตายปากถ้ำ  มาช่วยกันคนละไม้คนละมือเผาท่านเอาบุญ

      เชื่อกันว่าเผาศพ “ นักบุญ ” จะได้บุญขึ้นสวรรค์  ชาวบ้านจึงพากันยกขบวนมามีหลายคนเห็นชีปะขาวผู้นำ  บำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำภูอีด่างนี้มาหลายปีแล้ว  แต่ไม่ได้สนใจเพราะถ้ำนี้สงบวิเวก  บรรดานักพรต  ฤาษีชีไพรแม้พระธุดงค์ชอบบำเพ็ญเพียรภาวนาบ่อย ๆ ผลัดเปลี่ยนเวียนเสมอไม่ประจำ  จึงไม่ค่อยสังเกตกันว่าใครมา  ภูอีด่างอยู่ในเมืองปากเซ  แขวงนครจำปาศักดิ์  ของราชอาณาจักรลาว

      สมัยที่ยังไม่ถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้ายึดครองเช่นปัจจุบันการสัญจร  ไม่มาติดต่อระหว่างคนไทยและคนลาวสะดวกมากถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องถ้อยทีถ้อยอาศัย  เหล่าครูบาอาจารย์ซึ่งเป็น “พระป่า” ธุดงค์  โดยเฉพาะระดับหลวงปู่ทุกวันนี้ สมัยท่านยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์บุกป่าฝ่าหนามได้คล่องแคล่วล้วนนิยมข้ามแม่น้ำโขงไปทางฝั่งลาวแสวงหาครูบาอาจารย์เก่ง ๆ บ้าง  แสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญธรรมให้บรรลุตามตั้งหวังบ้าง  ที่แสวงหาครูบาอาจารย์ทางเวทมนตร์คาถาอาคมมาก  เพราะฝั่งลาวและเขมรมีครูบาอาจารย์  เก่งทางไสยศาสตร์อาคมขลังและมนต์ดำมากมาย

      ดังเช่นชีปะขาวที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ให้ปลวกทำรังหุ้มขาจนถึงหัวเข่าผู้นี้  เมื่อชาวบ้านนำร่างมานอนราบกับพื้น  ตามพรรคพวกในหมู่บ้านมาช่วยกันจัดการเผาศพ  ร่างที่เย็นเฉียบแต่แรกกลายเป็นอุ่นขึ้นทีละน้อยอย่างเด่นชัด  เมื่อสัมผัสในเวลาต่อมา “ยังไม่ตาย  ท่านยังไม่ตาย ตัวอุ่นขึ้นแล้ว” หัวหน้ากลุ่มตื่นเต้นมากอดทึ่งไม่ได้  ตอนแรกเห็นชัด ๆ ว่าตายจนตัวแข็งเป็นท่อนไม้  และทำไมพอจับนอนลงกลับฟื้นขึ้นชวนอัศจรรย์

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:57
“ เอาน้ำหยอดปากท่านซิ ”  ผู้รู้เรื่องด้านความเป็นความตายพอสมควรแนะนำ  พร้อมเหตุผลว่าคนที่ตายหรือสลบไปแล้วฟื้น  จะรู้สึกคอแห้ง  ถ้าหยอดน้ำจะช่วยให้ความรู้สึกคืนกลับเร็วขึ้น  ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ตาย  ไม่จำเป็นต้องเผา  ต่างทยอยกันกลับ  แต่ก็จัดเวรยามช่วยดูแลชีปะขาวที่นอนตัวแข็งไม่กระดุกกระดิก  โดยอุ้มเข้าไปไว้ในถ้ำค่อนข้างอุ่นกว่าข้างนอกที่มีลมแรง  และน้ำค้างกลางคือ  เวลาผ่านไปจากวัน  เป็นสอง  เป็นสาม

      ชาวบ้านก็เปลี่ยนเวรกันหยอดน้ำใส่ปากชีปะขาว  ผมเผ้าหนวดเครารุงรังนั้นเป็นระยะ  กระทั่งย่างเข้าสัปดาห์ที่ 2 ทุกคนก็หายใจโล่ง  บรรลุความสมหวัง
                     
                           ท่านขยับตัวและลืมตาขึ้น  เหมือนคนที่พึ่งตื่นจากหลับ  แต่ที่จะได้รับการขอบอกขอบใจที่ช่วยชุบชีวิต  ชาวบ้านกลับหน้าเสียเมื่อท่านลุกขึ้นนั่งและพูดเสียงดุ ๆ
                    “ มายุ่งกับอาตมาทำไมกันนี่ ”

              “ เราออกหาของป่าเห็นท่านยืนตัวแข็ง  จอมปลวกสูงขึ้นถึงหัวเข่าคิดจะเผาท่านเอาบุญ  แต่สังเกตุเห็นท่านยังไม่มรณภาพเลยช่วยมาสิบกว่าวันแล้ว ”

“ เสียดาย...เสียดายจริง ๆ ”      ชีปะขาวส่ายหน้าเหมือนผิดหวัง

“ท่านเสียดายอะไร” ชาวบ้านพากันงง  และเมื่อเรียกมาฟังชีปะขาวทั้งหมู่บ้าน  แล้วท่านก็เล่าว่า
           
          “ อาตมาหลบมาบำเพ็ญเพียรด้วยการยืนทำสมาธิ  ปากถ้ำเร้นลับจากสายตาชาวบ้าน  เพื่อจะมุ่งให้บรรลุหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานของพระพุทธเจ้าองค์ซึ่งไม่ยอมนั่ง  ไม่ยอมนอน  ไม่เคลื่อนไหว  ไม่กินอะไรทั้งสิ้นแม้แต่น้ำ ”
          ท่านกล่าวช้า ๆ  ชาวบ้านนั่งฟังอย่างสงบ
           
           “ ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เข้าสี่พรรษาแล้ว  ปลวกจะทำรังรอบขา ”

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:57
อิทธิฤิทธิ์พญานาค

          ในตำนานพระพุทธชัยมงคลคาถาบทที่ 7 มีเรื่องเกี่ยวกับพญานาคว่าสมัยหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในเพระเชตวันมหาวิหาร  วันหนึ่งทรงรับนิมนต์ที่จะเสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในวันรุ่งขึ้น

               ครั้นเวลาใกล้รุ่ง  พระองค์ทรงพิจารณาดูหมู่เวไนยสัตว์ปรากฏว่าพญานันโทปะนันทะนาคราชเข้ามาปรากฏอยู่ในข่ายของพระญาณของพระองค์  พระพุทธองค์ทรงพระดำริว่า  พญานาคราชนี้เป็นสัตว์เดรัจฉาน  มีวาสนาเข้ามาข้องในข่ายพระญาณของเราตถาคต  ควรที่เราตถาคตจะเสด็จไปโปรด  แต่พญานันโทปะนันทะนาคราชนี้  ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งนักและเป็นมิจฉาทิฏฐิ  ผู้ที่จะทรมานทำให้หมดพยศร้ายได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยมหิทธิฤทธิ์อันพิเศษ  พระโมคคัลลานะเถระมีความสามารถที่จะทรมานพญานันโทปะนันทะนาคราชให้หมดพยศร้ายได้  พอได้เวลาจึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏี  แล้วมีพระดำรัสสั่งให้พระอานนท์นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน  แล้วทรงอธิษฐานว่า  ขอให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมองเห็นพระตถาคตและพระอรหันต์ทั้งหลายในกาลบัดนี้
           
        ครั้งทรงอธิษฐานแล้ว  ก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหาะมาโดยทางนภากาศมาสู่สวรรค์เทวโลก  เมื่อเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปในอากาศนั้น  ประกอบด้วยพระรัศมีอันสว่างไสว  วันนั้น  พญานันโทปะนันทะนาคราชได้แลเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บังเกิดความพิโรธยิ่งนัก  จึงคำรามว่า  สมณะโล้นเหล่านี้จะได้ยำเกรงเราสักนิดก็ไม่มี  พาพรรคพวกเหาะมาบัดนี้  ชะรอยว่าจะไปสู่ดาวดึงส์พิภพกระมัง  ถ้าเหาะไปทางอื่นก็ช่างเถิดแต่ถ้าเหาะข้ามเราไปเมื่อไรเป็นต้องผิดใจกัน  เพราะถ้าเหาะข้ามเราไปผงละอองธุลีในฝ่าเท้าก็จะต้องหล่นลงเหนือหัวของเราเป็นมั่นคง  ทางที่ดีเราควรจะไปสะกัดหน้าหมหู่สงฆ์เอาไว้ อย่าให้เหาะข้ามเราไปได้

             เมื่อคิดดังนั้นก็สำแดงมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพ  เนรมิตตนให้มหึมาใช้ลำตัวรัดเขาพะ สุเมรุราชอันสูงประมาณได้สิบสองโยชน์ด้วยขนาดหาง 7 รอบแล้วแผ่พังพานปิดเมืองดาวดึงส์  กว้างประมาณได้สิบสองโยชน์ ปรากฏอยู่เหนือเขาพระสุเมรุราชนั้น  แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นควันและหมอกมัวมืดไปทั่ว  ฝ่ายพระรัฐบาลอรหันตเถระแด่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาว่าเป็นเพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น

          พระพุทธองค์ตรัสว่า  มีมืดมนอนธกาลเช่นนี้เป็นเพราะอานุภาพของพญานาคราชอันมีชื่อว่านันโทปะนันทะมีจิตกริ้วโกรธพยาบาทต่อเราผู้ตถาคตยิ่งนัก  จึงเอาร่างกระหวัดรัดเขาพระสุเมรุราชไว้ประมาณ 7 รอบแล้วแผ่พังพานปกคลุมไปในเขตเมืองดาวดึงส์สวรรค์แล้วบันดาลให้เกิดเป็นหมอกควันมืดมัวไปทั่วแดนดาวดึงส์สวรรค์  เมื่อพระรัฐบาลอรหันตเถระเจ้า ได้ฟังดำรัสของพระพุทธองค์เช่นนั้น  จึงกราบทูลอาสาที่จะทรมานพญานาคราชให้พ่ายแพ้สิ้นพยศร้าย  แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต  ต่อจากนั้นพระอรหันตเถระเจ้าทั้งหลายได้กราบทูลขออาสาที่จะทรมานปราบพญานาคราชนั้นให้เสื่อมหายจากพยศร้าย  แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงอนุญาต

โดย: kit007    เวลา: 2013-10-19 08:58
เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้  อำมาตย์ผู้หนึ่งได้กราบทูลพระเจ้าลิจฉวี  ว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งปวงมีพระหฤทัยประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณไม่มีผู้เสมอเหมือนทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เสด็จประกาศพระธรรมอันบริสุทธิ์เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย   บัดนี้  พระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารของเจ้าพิมพิสาร  บรมกษัตริย์กรุงราชคฤห์พระพุทธองค์ทรงมีอภินิหารบารมีคุณสูงยิ่งนัก  ถ้ากราบทูลอันเชิญขอให้พระพุทธองค์เสด็จมายังพระนครเวสาลีประสบอยู่นี้  จักต้องสงบราบคาบลง  เพราะอานุภาพของพระพุทธองค์
                     
            พระเจ้าลิจฉวีจึงทรงโปรดให้เจ้าชายมหาลี พร้อมด้วยบุตรชายของท่านปุโรหิตกับพลนิกรเป็นอันมาก  แล้วจึงแต่งให้ราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร  เพื่อกราบทูลขอประทานโอกาสให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปบำบัดภัยพิบัติให้พระนครเวสาลี พระเจ้าพิมพิสารทรงเห็นใจ ยินดีสนับสนุนในการที่ทูลเชิญสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  แล้วกราบทูลอันเชิญแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นให้พระพุทธองค์ทรงทราบทุกประการ

             สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำทูลเชิญเด็จของคณะราชทูตชาวพระนครเวสาลี  ทรงใคร่ครวญดูด้วยพุทธญาณก็ทรงทราบว่า  เมื่อเราสวดรัตนสูตรในพระนครเวสาลี  อาชญาจักแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักราวาลเมื่อสวดรัตนสูตรจบลง  สัตว์ทั้งหลายแปดหมื่นสี่พันก็จักบรรลุมรรคผลภัยทุกอย่าจักสงบลงไป  เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบในพระหฤทัยดังนี้แล้ว  จึงทรงรับคำทูลเสด็จไปยังพระนครเวสาลีของเจ้าชายมหาลี  หัวหน้าคณะราชทูตแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จสู่พระนครเวสาลี  พร้อมด้วย  พระสาวกห้าร้อยรูป  พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้ยอำมาตย์ราชเสวกและพลนิการได้ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงฝั่งแม่น้ำคงคา  พระเจ้าพิมพิสารทรงลุยลงไปในแม่น้ำคงคาจนถึงพระศอเพื่อส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า  พร้อมด้วยพระภิกษุสาวกที่ลงนาวาข้ามแม่น้ำคงคาไป  เหล่าอากาศเทวาเบื้องบนก็ชวนกันทำสักการะบูชาตราบเท่าถึงชั้นอกนิฏฐพรหมโลก  และพญานาคที่อยู่ในแม่น้ำคงคาพากันมาทำสักการะบูชาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
                     
                     จากข้อความในอรรถกถานี้  บอกกล่าวว่าพญานาคมีจริง

ที่มา http://www.phibun.com/wattumkuha ... asawan_005files.php

โดย: Metha    เวลา: 2013-12-11 00:34

ขอบคุณครับ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2014-11-27 07:10

โดย: Nujeab    เวลา: 2014-11-27 15:00
กราบสักการะครับ




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2