Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
~ หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ~
[สั่งพิมพ์]
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:52
ชื่อกระทู้:
~ หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์ ~
[attach]5066[/attach]
หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี
วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี
กำเนิด
หลวงปู่
ท่านเกิดวันพุธ เดือน 4 ปีกุน อายุ 90 ปี 46 พรรษา ถิ่นกำเนิดบ้านหนองบัว แขวงคำม่วง ประเทศลาว บิดาชื่อคุณพ่อคินทะโนราช มารดาชื่อคุณแม่นุ่น มีพี่น้อง 5 คน หลวงปู่เป็นคนที่ 3 ปัจจุบันได้เสียชีวิตหมดแล้ว
ชีวิตการครองเรือน
เมื่อ
อายุได้ 18 ปี มีครอบครัว มีบุตรด้วยกัน 2 คน เริ่มแรกทำงานเป็นหัวหน้ากรมโยธา ทำอยู่ได้ 8 ปี ก็เกิดเบื่อหน่ายหันมายึดอาชีพค้าขายประมาณ 6 ปี ท่านเกิดเบื่อหน่ายในชีวิตของท่านตั้งแต่เล็กเคยอยู่กับพ่อแม่พี่น้องได้รับทั้งความอบอุ่น ความรัก จนกระทั่งเข้าสู่วัยหนุ่มต้องออกมาต่อสู้กับโลกภายนอก และความรับผิดชอบหน้าที่การงาน ให้ความสุขเลี้ยงดูบุตรและภรรยา เห็นชีวิตนี้ไม่มีความแน่นอน เกิดเบื่อชีวิตคิดจะบวชเพื่อตอบแทนคุณบิดามารดา ท่านจึงได้ไปปรึกษาภรรยาจะขอบวชเป็นเณรสัก 7 วัน ภรรยาก็เห็นดีเห็นงามตกลงให้ท่านบวชทดแทนคุณพ่อแม่ที่เคยเลี้ยงดูมา ในระหว่างที่ท่านบวชเณรอยู่คืนหนึ่งท่านฝันไปว่าเห็นมารดามาบอกว่าอย่าได้สึกเลย เพราะว่ามารดาที่ตายไปนั้นไปถูกจ่านิรยบาลคุมขังเอาไว้ได้รับความทุกขเวทนามาเป็นเวลานาน เพิ่งจะได้รับการพ้นทุกข์เพราะอานิสงส์ของการบวชเณรของลูกในคราวนี้เอง ท่านตกใจตื่นนอนคิดทบทวนความฝันนั้นแล้วก็สังเวชสงสารมารดา คิดในใจว่าจะบวชต่อไปอีก แต่ภรรยากลับหาว่าท่านคิดเอาตัวรอดผู้เดียว ไม่ยอมรับผิดชอบต่อครอบครัว ซึ่งลูก ๆ ก็ยังเล็กอยู่ ท่านพยายามหาทางออกทุกอย่างโดยพูดกับภรรยาว่าจะหาสามีให้ใหม่ ทั้งสองตกลงกันไม่ได้ผลสุดท้ายท่านหมดหนทาง เพราะทนการอ้อนวอนขอร้องจากภรรยาที่คอยติดตามไม่ไหวท่านจึงตัดสินใจสึกจากเณรมาทำมาหากิน ส่งเสียเลี้ยงดูครอบครัวอีกวาระหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นความตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรธรรมของท่านหาได้มีลดละความพยายามไม่
หลัง
จากท่านไปทำงานหาเงินทองเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว ท่านจะมานอนที่วัดปฏิบัติธรรมสมาธิเป็นประจำ บ้านเรือนของท่านที่เคยอาศัยอยู่ก็ปล่อยให้ภรรยาและลูก ๆ อยู่กัน เงินทองที่หาได้มาก็ส่งเสียเลี้ยงดูไม่ได้ให้ขาดแคลนเดือดร้อนอะไร จนกระทั่งลูก ๆ ได้เติบโตพอที่จะช่วยแม่ทำงานทำการได้ เหตุนี้เองทำให้ภรรยาท่านเกิดควมเบื่อหน่ายหมดอาลัยตายอยากในตัวท่าน จึงได้เอ่ยปากบอกกับท่าน เมื่ออยากจะบวชก็ไป ไม่ต้องมาห่วงทางครอบครัว ลูก ๆ ก็โตแล้ว พอจะช่วยทำงานทำการได้ ท่านจึงตัดสินใจไปบวชด้วยความหมดห่วงหมดใย
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:52
ชีวิตเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรธรรม
หลัง
จากได้ตกลงใจจะบวชในครั้งที่สองนี้ ท่านก็ได้เป็นโยมอยู่ที่วัดอาจารย์สีทัดที่เมืองท่าอุเทน
กับเพื่อนอีก 2 คน แต่แล้วก็ผิดหวัง เพราะอาจารย์สีทัดกลับปฏิเสธ ไม่ยอมรับเป็นศิษย์แต่กลับแนะนำให้เดินทางไปหาอาจารย์เหม่ย ท่านและเพื่อนร่วมเดินทางจึงกราบลาอาจารย์สีทัดเดินทางไปหาอาจารย์เหม่ย ตามคำแนะนำ
พบอาจารย์เหม่ย ผู้ทรงคุณวิชาอันแก่กล้า
เมื่อ
ถึงที่อยู่ท่านอาจารย์เหม่ย ท่านและเพื่อนทั้งสองก็เข้าไปกราบนมัสการกราบเรียนขอถวายตัวเป็นศิษย์ เล่าความเป็นมาให้ท่านอาจารย์เหม่ยทราบโดยตลอด เมื่อท่านอาจารย์เหม่ยฟังความก็กล่าวว่า
“ ได้ ถ้าจะมาเป็นศิษย์ แต่ว่าพวกเจ้าที่มาหาอาจารย์ทั้งสามคนนี้จะต้องตายหนึ่งคน มีใครกลัวตายไหม”
อาจารย์เหม่ยกล่าว แล้วถามไปทีละคน ปรากฏว่าเพื่อนทั้งสองที่มา บอกว่ากลัวตายกัน แต่หลวงปู่คำคนิงนิ่งเงียบไม่ตอบ ท่านอาจารย์จึงเอ่ยปากถามว่า
“ แล้วเจ้าเล่าไม่กลัวตายหรือ ”
“ ไม่กลัวตาย ” ท่านตอบ
ผล
สุดท้ายเพื่อนที่มาด้วยกันสองคนถูกอาจารย์เหม่ยไล่กลับไม่รับเป็นศิษย์ ต่อมา ก็มีโยมมาอยู่ร่วมอีกคนหนึ่ง โยมคนนี้ไม่กลัวตายเหมือนกันกับหลวงปู่คำคนิง ก็ได้อยู่ร่วมเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมด้วยกัน พระอาจารย์เหม่ยให้ศิษย์ทั้งสองฝึกฝนธรรมสมาธิกันอย่างหนัก แม้เวลาจะนอนก็ไม่ให้หลับ โดยให้ลูกมะพร้าวเป็นหมอนหนุนหัวแทน ทั้งสองก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์สั่งทุกอย่าง การเพียรธรรมของศิษย์อาจารย์เหม่ยนี้ต้องลำบาก แม้เวลาจะกินข้าวก็มีแต่ข้าวตากแห้งประทังชีวิตไปเท่านั้นการหลับนอนพักผ่อนก็น้อยร่างกายสังขารทนไม่ไหวในที่สุดเพื่อนร่วมศิษย์อาจารย์สำนักเดียวกันต้องเอาชีวิตมาทิ้งในขณะนั่งทำสมาธิ
อาจารย์เหม่ยสอนอสุภกรรมฐาน
เมื่ออาจารย์เหม่ยทราบข่าวว่า ลูกศิษย์อีกคนได้เสียชีวิตแล้ว ขณะนั่งสมาธิ จึงได้สั่งให้หลวงปู่คำคนิงนำศพไปในป่า เดินข้ามเขาอีกลูกหนึ่งแล้วเอาศพนั้นไปผูกมัดไว้ในลักษณะท่ายืนติดกับต้นไม้ แล้วสั่งให้หลวงปู่เดินรอบต้นไม้ที่ศพมัดติดอยู่ โดยให้เพ่งศพไปด้วยตลอดวันตลอดคืนแต่ผู้เดียว
รุ่งเช้าหลวงปู่ท่านกลับมาหาอาจารย์ อาจารย์ก็ถามว่าเป็นยังไงท่านตอบว่าศพที่ตายไปนั้นเหมือนกับตัวท่านเอง ไม่มีอะไรแตกต่างกันตรงไหน อาจารย์เหม่ยถามอีกว่า
“กลัวไหม”
ท่านก็ตอบว่า “ไม่กลัว เพราะเขาก็เหมือนเรา เราก็เหมือนเขา”
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:52
คราวนี้อาจารย์เหม่ยสั่งให้หลวงปู่ท่านเอามีดไปที่ศพมัดอยู่พร้อมกับสั่งให้ท่านแก้ศพที่มัดติดยืน 1 คืนออกจากต้นไม้ เอานอนลงกับพื้นดินให้หลวงปู่เอามีดผ่าท้องแล้วสั่งให้หลวงปู่ หยิบอวัยวะทุกชิ้นส่วนในร่างกายออกมาดู แต่ละชิ้นขณะที่หลวงปู่หยิบหัวใจก็ดี ตับก็ดี ปอดก็ดี ให้พูดเสียงดัง ๆ ด้วยว่าเป็นอะไร แล้วนำไปกองรวมกันอีกมุมหนึ่ง จนกระทั่งครบทุกอย่าง แล้วทำการลอกเนื้อหนังทุกส่วนออกเช่นเดียวกัน ให้นำไปเผาไฟ คงเหลือไว้แต่กระดูก จึงสั่งให้ท่านนำกระดูกไปต้มล้างให้สะอาด แล้วนำกระดูกทั้งหมดมาร้อยด้ายเป็นโครงกระดูก สั่งให้หลวงปู่นับด้วยว่ามีกี่ท่อน ปรากฎว่าเมื่อหลวงปู่นำเอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มาร้อยด้ายจนครบหมดก็นับได้ 180 ท่อน
ท่านอาจารย์เหม่ยจึงกล่าวว่าคนที่จะมาเพียรธรรมให้บรรลุนั้น จะต้องมีกระดูกครบ 300 ท่อน อาจารย์ก็สอนธรรมไปในขณะหลวงปู่ร้อยกระดูก กระดูกคือพระวินัย เนื้อหนังคือ พระวินอกระเบียบ คือ หู ตา จมูก ปาก มือ เท้า
หูไม่ให้ฟังในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ตาไม่ให้เห็นทั้งรูปและนามในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ปากห้ามพูดในสิ่งที่ไม่ดี ใจให้ระลึกชอบ ต้องคิดชอบ ปฏิบัติชอบ อยู่ชอบ กินชอบ วาจาชอบ นอนชอบ ให้ถูกต้องตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ หลวงปู่ได้รับการสั่งสอนอบรมฝึกฝนเคร่งครัด และเว้นความชั่วทุกประการ
การทำความเพียรของหลวงปู่มีจิตใจกล้าหาญ กล้าเสี่ยงความตายสร้างพลังจิต กระทำสมาธิภาวนาด้วยการเจริญอานาปานสติเป็นมาตรฐานคือการเดินลมเข้าออกภาวนาพุทโธนั้นเอง การฝึกจิตต้องฝึกอานาปานสติก่อน เพราะเป็นกรรมฐานกองใหญ่และยากที่สุดในกรรมฐาน 40 กอง หลวงปู่กล่าวว่าจะเพ่งกสิน 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 และอาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุวัฎฐานหรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่ใช้อานาปานสติควบคู่ไปด้วยไม่มีทางจะได้ผล หลวงปู่คำคนิงมักจะบำเพ็ญเพียรภาวนาอดอาหาร 7 วันบ้าง 15 วันบ้าง จนร่างกายชินเป็นธรรมดาไป ร่างกายไม่อ่อนเพลียหิวโหยแต่อย่างใด
หลวงปู่คำคนิงให้คำอรรถาธิบายว่า ก่อนเข้าสมาธิภาวนาจะต้องกำหนดอธิษฐานไว้ก่อนว่า จะเข้าสมาธิระดับฌานที่ 1 ถึงฌาน 4 เป็นเวลากี่วันกี่คืน เมื่อกำหนดได้แล้วก็เข้าสมาธิภาวนาจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ จากนั้นก็ถอยจิตออกมาอยู่ระดับอุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับที่ใช้ความพิจารณาได้ แล้วก็น้อมจิตอธิษฐานว่าจะเข้าฌาน 7 วัน หรือ 15 วัน ก็อธิษฐานลงไปเลย พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ไม่ให้เข้านานวันจนเกินไปเป็นการทรมานตัว หลวงปู่คำคนิงบอกว่า เมื่อเข้าสมาธิลึกถึงขั้นอัปปนาฌานที่ 4 จะเลยขึ้นอรูปฌานก็ได้ แต่ต้องชำนาญฌาน 4 ก่อนเพียงแต่ว่าเพิกกสิณให้หายไปเสียแล้วยกเอาอรูปกรรมฐานทั้ง 4 มาพิจารณาคือ
1. อากาสานัญจายตนะ
2. วิญญาณัญจายตนะ
3. อากิญจัญญายตนะ
4. เนวสัญญานาวัญญายตนะ
ทั้งหมดนี้เรียกว่าอรูปสมาบัติ หรือสมาบัติ 8 ผู้ได้ถึงสมาบัติ 8 ย่อมมีอำนาจพลังจิตมหาศาลและมักจะได้ อภิญญา 5 ด้วย ผู้ที่ได้สมาบัติ 8 แล้ว ถ้าเจริญวิปัสสนาสืบต่อ ใช้เวลาเพียงชั่วแค่เคี้ยวหมากแหลกเดียวก็เป็น พระอรหันต์ แต่หลวงปู่คำคนิงท่านปฏิเสธว่าท่านไม่ใช่พระอรหันต์ท่านเป็นเพียงพระภิกษุผู้เพียรปฏิบัติอยู่ในร่องรอยพระพุทธศาสนา
หลวงปู่ท่านเพียรธรรมกับอาจารย์เหม่ยจนแก่กล้า และชำนาญในการเข้ากรรมฐานจนครบทุกอย่าง ท่านอาจารย์เหม่ยก็อนุญาตให้หลวงปู่เข้าป่า เดินธุดงค์ตามลำพังแต่ผู้เดียวนับแต่นั้นเป็นต้นมา ถึงแม้กระนั้นหลวงปู่ท่านก็ยังไม่รู้ตัวว่าท่านได้ธรรมท่านก็ยังอุตส่าห์เที่ยวเดินธุดงค์ค้นหาครูบาอาจารย์ เพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้พบโมกขธรรมแห่งการหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:53
เดินทางธุดงค์พบนาคกระเสน
เมื่อหลวงปู่คำคนิงออกเดินธุดงค์ผ่านป่าเขาไปทางด้านเหนือของประเทศลาวเป็นเวลาแรมปี จนกระทั่งพบดาบสผู้หนึ่งให้คำแนะนำไปหาพระนาคกระเสน ซึ่งอยู่ในอุโมงค์บนเทือกเขา (พระนาคกระเสนนี้เห็นหลวงปู่บอกว่าไม่ใช่คนธรรมดา เป็นพระอรหันต์ลงมาโปรด) ครั้งหลวงปู่คำคนิงไปถึง ก็เข้าไปตามอุโมงค์นั้น พอไปได้แค่ครึ่งทางก็พบพระนาคกระเสนพระนาคกระเสนจึงได้ถามการมาของหลวงปู่คำคนิง ท่านก็ตอบพระนาคกระเสนว่าต้องการมาหาโมกขธรรม พระนาคกระเสนจึงบได้ให้พระคำภีร์แผ่นทองคำแก่หลวงปู่ โดยได้สั่งให้หลวงปู่นำแผ่นทองคำพระคัมภีร์ของพระนาคกระเสนนี้ไปคัดลอกใส่ใบลานตามกำหนดเวลาที่ตกลงไว้แล้วให้หลวงปู่นำเอาแผ่นทองคำพระคัมภีร์นั้นกลับมาคืน
เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้กลับเอาแผ่นทองคำพระคัมภีร์ไปคืนพระนาคกระเสนแล้ว ก็ได้ถามหลวงปู่คำคนิงว่า
“ ท่านจะไปไหนต่อ ”
“ จะไปหาโมกขธรรม ” หลวงปู่ท่านก็ตอบ
พระนาคกระเสนจึงตอบว่า “โมกขธรรมมันอยู่ในตัวเจ้าแล้ว เจ้ารู้ตัวไหม” แต่หลวงปู่คำคนิงกลับไม่เชื่อในคำบอกเล่า หาว่าพระนาคกระเสนพูดโกหก
ดังนั้น หลวงปู่จึงถูกพระนาคกระเสนด่าว่าต่าง ๆ ที่ไม่เชื่อพระนาคกระเสน เลยบอกว่าถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าโมกขธรรมมันอยู่ในตัวเจ้าละก็ จงเดินไปตายเสีย แล้วพระนาคกระเสนก็ขับไล่ไม่ให้อยู่ออกจากที่นั้นทันทีทันใด หลวงปู่เกิดความเสียใจ คิดจะไปตายไม่ว่าจะเดินเข้าป่าขึ้นเขาลงห้วย ก็จะไม่ยอมให้ผู้คนเห็นหน้า หลวงปู่เดินธุดงค์อย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง หวังเบื้องหน้าเป็นที่ตาย จนถึงเชียงค้อ เชียงคาน เชียงราย เชียงแสน จนกระทั่งเชียงแมน ถึงเขตเชียงตุงในป่าทึบใหญ่
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:53
หลวงปู่คำคนิง แสดงฤทธิ์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
[attach]5067[/attach]
เมื่อหลวงปู่คำคนิงเดินธุดงค์ผ่านเข้าเขตเชียงตุงในเขตป่าใหญ่เทือกเขาแห่งหนึ่งเป็นภูเขาคิน มีอุโมงค์พอที่จะเป็นที่พักพิง หลวงปู่ท่านจึงคิดในใจว่าจะเอาที่ตรงนี้เป็นที่ตายโดยจะไม่ให้ใครเห็นแม้แต่ซากศพของท่านเอง หลวงปู่ท่านได้อยู่มาถึงหนึ่งพรรษา หลังจากผ่านไปประมาณเดือนห้าหรือเดือนหก หลวงพ่อปานวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้พาคณะธุดงค์ผ่านมาในเขตเชียงตุง มาพบหลวงปู่คำคนิงในป่าลึก
ครั้นเมื่อพบกัน หลวงพ่อปานก็พูดขึ้นว่า
“ เออ...นี้พระหรือคน ”
หลวงปู่คำคนิงได้ยิน ก็เกิดโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที แล้วพูดขึ้นว่า
“ ได้พระนะมันอยู่ที่ไหน เฮ้ย...พระมันอยู่ที่ไหนวะ ”
หลวงพ่อปานท่านก็ย้อนตอบว่า
“ อ้าว...ก็เห็นผมยาว ผ้าก็อีหรุปุปะสีเหลืองก็ไม่มี แล้วใครเขาจะรู้ว่าพระหรือคน ”
หลวงปู่คำคนิงท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า
“ พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ ”
หลวงพ่อปานตอบว่า ไม่ใช่
หลวงปู่คำคนิงท่านก็ถามหลวงพ่อว่า
“ พระมันอยู่ที่ผ้าเหลืองหรือวะ ”
หลวงพ่อปานตอบว่า ไม่ใช่
หลวงปู่คำคนิงก็ถามอีกว่า
“ แล้วพระมันอยู่ที่ไหนเล่า ”
หลวงพ่อปานก็ตอบว่า
“ พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาดนะซี ”
หลวงปู่คำคนิงท่านก็เลยหันมาตะคอกเข้าใส่เอาว่า
“ ถ้าอย่างนั้นก็เสือกถามทำไมล่ะวะพระหรือคน ”
หลวงพ่อปานท่านก็เลยตอกกลับให้ว่า
“ เห็นผมเผ้ายาวรุงรังอย่างนั้นนี่ใครจะไปรู้เล่า ”
หลวงปู่คำคนิงก็ยังไม่หายโมโห เลยกระแทกให้ว่า
“ ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผม ไม่ได้อยู่ที่ผ้าแล้ว เสือกมาถามทำไม ทำไมไม่ดูใจคน ไอ้พระบ้านพระเมือง พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดีมันจะต้องเห็นดีกัน ”
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:53
หลวงปู่คำคนิงพูดจบ ท่านเดือดโมโหจัดก็เลยหันไปคว้าเอาหวายอันยาวร่วมวา ขว้างผลุงไปตรงหน้าหลวงพ่อปาน อัศจรรย์เป็นที่สุด ไม้หายไปกลายเป็นงูตัวยาวใหญ่พุ่งฉกเข้าหากลุ่มพระธุดงค์หลวงพ่อปานแตกฮือหลบฉากไปแอบอยู่ข้างหลังพ่อปานกันหมด ต่างก็แปลกใจไปตาม ๆ กันไม้ไหงกลายเป็นงู
อัศจรรย์มาก ใบไม้ของหลวงพ่อปานก็กลายเป็นนกตัวใหญ่โฉบเอางูของหลวงปู่คำคนิงหายไปทั้งงูแลนกใหญ่ พองูตกลงมาถึงพื้นดินงูนั้นก็กลายเป็นช้างใหญ่ ส่วนของหลวงพ่อปานก็กลายเป็นเสือต่อสู้กันต่างฝ่ายต่างก็บันดาลให้เป็นสัตว์ร้าย ต่อสู้กันเต็มไปหมด ยังไม่มีใครแพ้ ชนะ ต่างคนต่างบันดาลลมพายุฝนเข้ากระหน่ำกันจนทำให้ฝุ่นตลบไปหมดในบริเวณนั้น เวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน ก็หามีใครแพ้ชนะไม่ จนต่างฝ่ายต่างเหนื่อยอ่อน ทำอะไรกันไม่ได้
ในที่สุดหลวงปู่คำคนิงและหลวงพ่อปานต่างก็นั่งลงหัวเราะกันด้วยความขบขัน หลังจากนั้นหลวงปู่คำคนิงก็บอกคณะธุดงค์ของพ่อปานว่าข้าสองคนนี้เป็นเพื่อนกัน พระธุดงค์ลูกศิษย์หลวงพ่อปานก็เข้าไปกราบหลวงพ่อคำคนิง ท่านก็เอามือลูบศรีษะพระทุกองค์ด้วยความเมตตา หลวงพ่อปานก็บอกกับหลวงปู่คำคนิง ว่าพระพวกนี้เขาอยากเห็นของจริงก็เลยพาเขามาให้เห็นเสีย พระพวกนี้เขาก็เป็นคนจริงเสียด้วย
หลวงปู่คำคนิงก็เลยบอกว่า ข้าน่ะไม่ได้เก่งอะไรหรอก อาจารย์แกเขาเก่งอยู่แล้ว เมื่อพูดจบหลวงพ่อปานก็บอกว่าตัวท่านเองไม่เก่งหรอกสู้หลวงปู่คำคนิงไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม ให้ใครเป็นอาจารย์กันผลสุดท้ายตกลงเป็นเพื่อนกันในระหว่างพักแรมด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างโต้ตอบถามธรรมะแก่กันทั้งฝ่ายถามฝ่ายแก้ก็หาได้แพ้ชนะกันไม่ สลับถามตอบกันไปกันมา จนต่างฝ่ายเลิกถามกันไปเอง หลวงพ่อปานและคณะธุดงค์ได้พักอยู่กับหลวงปู่คำคนิงหลายวันพอสมควร จึงได้แยกย้ายจากกัน
พบพระนาคกระเสนครั้งที่สอง
หลวงปู่คำคนิงหลังจากได้แยกย้ายกับหลวงพ่อปานที่เชียงตุงแล้วท่านก็ออกเดินธุดงค์ลงมาทางใต้ ผ่านป่าเขาลำเนาไพรเป็นเวลาแรมเดือนจนกระทั่งมาถึงอุโมงค์ของพระนาคกระเสน หลวงปู่ท่านก็ได้เข้าไปหาพระนาคกระเสน เล่าเรื่องที่ได้พบ หลวงพ่อปานให้พระนาคกระเสนฟังจนหมดในที่สุดพระนาคกระเสนจึงได้สรุปให้หลวงปู่คำคนิงฟังว่า ทั้งหมดที่ท่านเล่ามานั้นแหละตัวธรรมที่เจ้าต้องการ
เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้ฟังพระนาคกระเสนกล่าวเช่นนั้นก็ดีใจความไม่กลัวตายกลับทวีคูณขึ้น หลังจากลาพระนาคกระเสนก็ได้ออกเดินธุดงค์จะเข้าถ้ำไหนป่าไหน ความกลัวตายไม่มีในใจท่านเลย ท่านเดินธุดงค์ผ่านหมู่บ้านใดก็แสดงธรรมโปรดญาติโยมด้วยธรรมะอันลึกซึ้ง หลวงปู่ท่านบอกว่าท่านไม่เคยเรียนหนังสือหนังหาทางด้านธรรมะมาเลย แต่แปลกใจที่ว่าความรู้ที่ได้แสดงธรรมโปรดญาติโยมไม่รู้ว่ามาจากไหน สามารถแสดงธรรมได้ จนเป็นที่เคารพนับถือ จะไปทางไหนก็มีแต่ญาติโยมติดตามหลวงปู่ ท่านเกิดความเบื่อหน่าย ก็ได้หนีความวุ่นวายเข้าถ้ำไปอีกวาระหนึ่ง
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:54
พบเณรคำผู้วิเศษเหนือมนุษย์ธรรมดา
เมื่อหลวงปู่คำคนิงเดินธุดงค์ผ่านถึงภูเขาลูกหนึ่ง เป็นภูเขาที่แปลกและอัศจรรย์ที่สุด ไม่ว่าตัวหลวงปู่เองหรือต้นไม้ต้นไร่ดูเหลืองอร่ามไปหมดบนภูเขาลูกนี้ หลวงปู่ท่านแปลกใจมากเลยตกลงใจจะค้างแรมสักสองสามวัน ในระหว่างที่พักแรมบนภูเขาลูกนี้หลวงปู่ท่านได้พบเณรองค์หนึ่งอายุราว ๆ 20 กว่าปี ยังหนุ่มแน่นอยู่ แต่พอได้สนทนากันก็รู้ว่าเณรคำองค์นี้อายุได้ 220 ปีและพูดภาษามคธได้ สามารถพูดภาษากับสัตว์ร้ายต่าง ๆ ได้ เช่น เสือ ช้าง สิงโต และผีสางได้ด้วย หลวงปู่คำคนิงก็ได้อยู่ร่วมกับเณรคำ
วันหนึ่งเณรคำเรียกพวกสัตว์ดุร้ายต่าง ๆ ในป่านั้นมา พร้อมทั้งผีร้ายต่าง ๆ เช่น ผีกองกอย คือ มีลักษณะพิเศษตรงที่ว่าเท้าของผีกองกอยด้านหน้าจะกลับไปอยู่ข้างหลัง ข้างหลังจะกลับมาอยู่ข้างหน้า เณรคำจะเรียกสัตว์ร้ายทั้งหมด พร้อมผีดุร้ายต่าง ๆ มาหมอบก้มกราบ แสดงธรรมเป็นภาษาสัตว์แล้วให้ศีลไม่ให้สัตว์ร้ายต่าง ๆ หรือผีก่อกรรมทำเวร ให้อยู่ในศีลธรรม (เรียกว่าจับเอาสัตว์ทั้งหมดในป่าพร้อมทั้งผีมาบวชใจ)
ส่วนหลวงปู่คำคนิงเอง ตอนนั้นก็เพียงแค่ได้แต่ฟังภาษาสัตว์รู้เท่านั้นแต่พูดไม่เป็น เวลาจะกินอะไรทำอะไรเณรคำก็มักจะเนรมิต เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจแก่หลวงปู่เป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่คำคนิงและเณรคำได้อยู่ที่ภูเขาอัศจรรย์ลูกนี้เป็นเวลาครึ่งเดือนกว่าก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปด้วยกัน จนกระทั่งมาถึงภูเขาแอ๋ว มีลักษณะจะต้องเดินไต่ข้ามเหวไปอีกฝั่งหนึ่งซึ่งจะมีลูกหินลูกหนึ่งเป็นทางข้าม หลวงปู่ได้รับคำบอกเล่าจากเณรคำว่า มีพระกรรมฐานเอาชีวิตมาตายที่นี่เป็นจำนวนร้อยแล้ว เณรคำยืนยันชี้ลงไปก้นเหวให้หลวงปู่ดู หลวงปู่ก็ก้มลงไปดู เห็นมีแต่กระดูกเต็มไปหมด
หลวงปู่ได้รับคำบอกเล่าจากเณรคำว่า ผู้ที่จะข้ามได้ จะต้องเป็นผู้ที่แก่กล้าในญาณสมาบัติ 4 เท่านั้น จึงจะข้ามได้ ต่อจากนั้นเณรคำก็เดินข้ามให้หลวงปู่ดู แต่หลวงปู่กลับข้ามไม่ได้จึงได้นอนรอเณรคำอยู่อีกฝั่งหนึ่งเป็นเวลา 7 วัน เณรคำจึงได้กลับมาหาแล้วบอกหลวงปู่ว่า ญาณสมาบัติ 4 ของหลวงปู่ยังไม่แก่กล้าพอ
หลังจากนั้นเณรคำกับหลวงปู่จึงได้ร่วมเดินทางธุดงค์ต่อไปถึงอ่างคำบนภูเขาหลวงนี้ ก็มีลักษณะแปลกคือจะเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ น้ำนี้จะใสมาก สามารถมองเห็นกรวด หิน ดิน ทรายถึงก้นหนองน้ำ แต่กลับไม่มีกรวดไม่มีทรายเลย มีแต่ทองคำจำนวนเป็นตัน ๆ จมอยู่ก้นหนองน้ำ พร้อมทั้งกระดูกคนเต็มไปหมด มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะเอาทองคำ แต่ต้องมีอันเป็นไปแม้แต่ฝรั่งก็เช่นเดียวกัน ที่มีเครื่องมืออันทันสมัยลงไปเอากัน เอาชีวิตไปทิ้งก็มี ส่วนคนที่โชคดีกลับขึ้นมาพร้อมกับทองคำ แต่แล้วทองคำก็กลายเป็นดินเป็นหินไป นับว่าอ่างคำนี้แปลกและอัศจรรย์มาก จากนั้นเณรคำก็พาหลวงปู่ออกธุดงค์ต่อไป
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:54
พบเมืองมหัศจรรย์
เณรคำกับหลวงปู่ได้เดินธุดงค์มาถึงภูเขาช้างแฮ เขตเมืองพระลานที่บริเวณตรงนี้แปลกอยู่ที่ว่า มีบ้านเมืองรกร้างตั้งอยู่ประมาณ 50 หลังคาเรือน และบ้านเรือนเหล่านี้เป็นหินไปหมดอยู่เชิงเขาหิน และมีทางเดินขึ้นไปบนหินมีประตูหินปิดอยู่ เณรคำจึงเอามือตบประตูหินนั้น 3 ครั้ง ทันใด ประตูหินที่ปิดก็เปิดออก เณรคำกับหลวงปู่ก็เดินเข้าไปในห้องอีก ภายในห้องมีหีบเป็นหินขนาดใหญ่ 4-5 หีบ เณรคำจึงเรียกหลวงปู่เข้ามาดู แล้วต่อไปเณรคำจึงเอามือตบฝาหีบหินใบใหญ่ใบหนึ่ง 3 ที ฝาหีบหินใบใหญ่นั้นก็เปิดออก ภายในหีบนั้นมีแต่แก้วแหวนเงินทอง ภาชนะของใช้เป็นทองคำหมด หลังจากนั้นเณรคำจึงได้บอกหลวงปู่ค้างแรมอยู่ในห้องนั้น 3 วัน 3 คืน
พอรุ่งเช้าวันที่ 4 เณรคำและหลวงปู่ก็เห็นหญิงสาวแต่งตัวเหมือนนางฟ้าบนสวรรค์ออกมาปรากฏตัวให้เห็น แล้วบอกให้เณรคำกับหลวงปู่รีบหนีออกไปจากที่นี่ อยากจะได้แก้วแหวนเงินทองอะไรก็เอาไป พูดจบนางฟ้าองค์นั้นก็หายเข้าไปในประตูหินอีกด้านหนึ่ง
เณรคำกับหลวงปู่เดินตามไป เณรคำได้เอามือตบประตูหินนั้น 3 ที ประตูหินนั้นจึงเปิดออก เณรคำกับหลวงปู่เดินผ่านประตูหินและใช้มือตบทำอย่างนี้จนกระทั่งผ่านเข้าไปถึง 7 ชั้น พบนางฟ้ากำลังทอผ้าอยู่ (ผ้าทองคำ) เณรคำจึงเดินเข้าไปถามพร้อมหลวงปู่ว่า ทอผ้าให้ใคร และนางฟ้าชื่ออะไร นางฟ้าองค์นั้นตอบว่าชื่อนางสีดาที่กำลังทอผ้าอยู่นี้จะเอาไว้ ให้พระศรีอาริยเมตไตรย จะลงมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์ อีกไม่นานนี้ นางสีดาพูดจบก็บอกให้เณรคำและหลวงปู่รีบออกจากที่นี่ เพราะนางสีดากลังจะมีอันตราย
ผลสุดท้ายเณรคำและหลวงปู่จึงออกจากที่นั่น มาพักอยู่ใต้ถุนเรือน (บ้านหิน 50 หลัง) ข้างนอก
พอพักไปได้สักระยะหนึ่ง เณรคำและหลวงปู่เห็นพวกยักษ์เดินก้าวมาเป็นกลุ่ม (ลักษณะยักษ์นี้ใหญ่โตกว่ามนุษย์ธรรมดามาก) เดินผ่านมาตรงเณรคำกับหลวงปู่พักอยู่ได้ยินพวกยักษ์พูดกันว่ากำลังเดินหาพวกมนุษย์ที่เข้ามาในบริเวณนี้ เมื่อยักษ์เดินผ่านไป เณรคำกับหลวงปู่จึงได้พากันเดินลงจากเขานั้นมา ระหว่างเดินลงเขาพบแต่กองกระดูกเรียงรายสองข้างทางไปหมด เณรคำก็พาหลวงปู่ลงมาถึงเชิงเขา พบพระกรรมฐานองค์หนึ่งปักกลดอยู่
เณรคำบอกกับพระกรรมฐานองค์นั้นว่า ขอฝากโยมผ้าขาวคนนี้ด้วย พอพูดจบเณรคำก็หายตัวไปอย่างอัศจรรย์
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:54
หลวงปู่คำคนิงได้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธ์
เมื่อหลวงปู่คำคนิงอยู่กับพระกรรมฐานสักระยะหนึ่ง ท่านก็ขอแยกทาง หลวงปู่ท่านออกธุดงค์ไปในป่าลึกจนถึงภูเขาฤาษีหลวงปู่ท่านขึ้นไปบนภูเขาลูกนั้น พบฤาษีตนหนึ่ง
พระฤาษีถามว่ามาทำไมหลวงปู่ หลวงปู่ก็บอกว่าอยากรู้ธรรม พระฤาษีบอกว่าให้ไปเอาคัมภีร์เล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ของท่านเอง ซึ่งตอนนี้ได้ให้พระองค์หนึ่งไปเรียนอยู่ที่ภูเขาอีด่างโน้น ให้หลวงปู่ไปตามเอาหลวงปู่จึงลาพระฤาษีเดินธุดงค์มุ่งหน้าไปภูเขา ถึงภูเขาอีด่างพบพระองค์นั้นที่ได้พระคัมภีร์ของฤาษีมา แต่พระภิกษุบอกหลวงปู่ว่าท่านได้นำไปเก็บไว้ที่ถ้ำบนภูเขางา ดังนั้น หลวงปู่จึงต้องเดินธุดงค์กลับไปเอา
เมื่อหลวงปู่ได้พระคัมภีร์นั้นแล้วเปิดอ่านดู แต่ละบทมีความสามารถใช้ต่าง ๆ กัน เช่น สามารถย่นระยะทางได้ เดินบนผิวน้ำได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ หายตัวได้ แต่พระคัมภีร์เล่มนี้แปลกและอัศจรรย์เป็นพิเศษมากที่ว่าใครมีพระคัมภีร์อยู่กับตัวเพียงแค่นึกคิดปรารถนาอะไร ก็จะบังเกิดขึ้นโดยทันทีโดยไม่ต้องท่องบ่นพระคาถาในคัมภีร์เลย แต่กลับตรงกันข้ามถ้าใครคิดจะท่องมนต์พระคาถาในพระคัมภีร์เล่มนี้เพื่อให้ขึ้นใจแล้วก็จะเกิดมืดฟ้ามัวดิน มีลมฝนฟ้าผ่าทันที เป็นอัศจรรย์ใจยิ่ง
พระมหากษัตริย์ลาวทรงถวายอุปสมบท
เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ได้มุ่งเดินธุดงค์ ลงมาทางใต้ เขตนครจำปาศักดิ์ หลวงปู่ท่านได้มาจำพรรษาที่เขาภูด่าง
ความเลื่อมใสศรัทธาของคนในประเทศลาวเริ่มแผ่ขยายกว้างขวางออกไปอย่างรวดเร็วมาก จากหมู่บ้านรู้เข้าถึงตำบล จากตำบลเข้าถึงอำเภอเข้าถึงจังหวัดจากจังหวัดแผ่ขยายจนทั่วประเทศ ประชาชนประเทศลาวรู้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ต่างมุ่งเดินทางมาทุกทั่วสารทิศ มุ่งสู่จังหวัดนครจำปาศักดิ์
ต่อมาความนี้ได้ทราบถึงพระเจ้าศรีสว่างวัฒนา ซึ่งเป็นเหนือชีวิตแห่งประเทศลาว รวมทั้งญาติฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ จึงได้เสด็จมาที่เมืองปากเซ บนภูเขาอีด่าง แขวงเมืองจำปาศักดิ์ เมื่อเจ้าเหนือหัวศรีสว่างวัฒนาได้พบหลวงปู่จึงกล่าวคำว่า
“ ท่านเก่งมีอิทธิฤทธิ์มากหรือไร ”
หลวงปู่ท่านว่า
“ ไม่ ”
เจ้าเหนือหัวแห่งลาวก็ถามอีกว่า
“ ถ้าไม่เก่งแล้วทำไมคนลือเลื่อมใสไปทั่วประเทศ ”
หลวงปู่ก็ตอบว่า
“ ใครเป็นคนพูด ”
เจ้าเหนือตอบว่า
“ ก็ประชาชนทั้งประเทศ ”
หลวงปู่ท่านก็ตอบว่านั้นคนอื่นพูด แต่ตัวท่านไม่เคยพูด
ผลสุดท้ายเจ้าเหนือหัวชีวิตแห่งประเทศลาว เกิดความเลื่อมใส ขอขมาที่ล่วงเกินหลวงปู่ และเอ่ยขอหลวงปู่สักอย่างหนึ่งจากหลวงปู่จะได้ไหม หลวงปู่บอกว่าได้ เจ้าเหนือชีวิตแห่งประเทศลาวบอกว่า ขอปลงผมซึ่งยาวจนจะถึงเอวออกจะได้ไหม
หลวงปู่บอกว่าได้ ต้องบวชเป็นพระก่อน
ในที่สุดวันกำหนดอุปสมบทซึ่งทางสำนักพระราชวังได้จัดขึ้นโดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ พร้อมด้วยข้าราชการประชาชนแห่กันไปที่วัดหอเมืองเก่งแขวงจำปาศักดิ์ ในระหว่างที่ปลงผมหลวงปู่นั้น ทั้งฝ่ายสำนักราชวังก็ดี ข้าราชการประชาชนก็ดี ต่างก็เอาผ้าไหมแพรทองมาปูรองรับเส้นผมของหลวงปู่กันแน่นไปหมดทั่วบริเวณในวัดและนอกวัด ในวันนั้นต่างคนต่างแย่งผมที่หลวงปู่ปลงแทบจะฆ่ากันเลย จนเจ้าหน้าที่รักษาบ้านเมืองวุ่นวายไปหมดครั้งเมื่อเวลาอุปสมบทก็มีพระสงฆ์ราชาคณะพร้อมทั้งพระสังฆราชเสด็จมาเป็นปรานฝ่ายสงฆ์รวมทั้งหมด 24 รูป เมื่ออุปสมบทเสร็จ หลวงปู่ได้อยู่ที่ภูเขาอีด่างอีกระยะหนึ่ง เห็นความวุ่นวายจึงเกิดความเบื่อหน่าย ท่านจึงแอบหนีออกมาโดยไม่มีใครรู้เลยว่าท่านไปอยู่ที่ไหน
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:55
ก่อนนี้คือ..ฤาษี
[attach]5068[/attach]
แม้วัยของท่านจะ 82 และ 42 พรรษาแล้วก็ตาม ยังนั่งเอวตรง แผ่นหลังตรงดุจดามไว้ด้วยแท่งเหล็ก บ่งบอกถึงความเข้มแข็งเปี่ยมพลังภายในลึกล้ำ แม้ท่านจะบอกกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า ท่านไม่สบายป่วยเรื้อรังมาสองปีแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มรณะภาพไปสามวันสามคืน ญาติโยมจะเอาไปเผาแล้วซี แต่ท่านก็ฟื้นขึ้นมาอีก ยังสดชื่นกระปรี้กระเปร่าคล้ายไม่ป่วยไข้เลย แสดงว่ากำลังใจของท่านเข้มแข็ง และมีบุญญานุภาพอย่างลึกลับ
หลวงปู่คำคนิง จุลมณี เป็นชาวคำม่วน แขวงคำม่วน ประเทศลาว ปีนี้ (2523) อายุเต็ม 86 ปี
หลวงปู่คำคนิงได้อนุญาตให้คณะเราสัมภาษณ์ท่านและบันทึกเสียงได้อัธยาศัยของท่านเปี่ยมเมตตาจิตและเปิดเผยปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ท่านเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงสิ่งสมมติ ชีวิตคนเราเหมือนตัวละครที่แสดงไปตามบทบาท ไร้สาระแก่นสาร มีแต่มรรคผล นิพพานเท่านั้นเป็นสารธรรม อันจริงแท้แน่นอน บริสุทธิ์ สะอาด สงบ ศานติ ชั่วนิรันดร์
ก่อนจะเข้าสู่ร่วมผ้ากาสาวพัสตร์นั้น ท่านมีลูกเมียเป็นฝั่งเป็นฝามาก่อน แต่พออายุได้ 30 ปี ก็เบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนจึงอำลาลูกเมียออกบวชเป็นฤาษีดาบส ท่องเที่ยวธุดงค์ไปในป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลานานถึง 15 ปี ไม่เคยเข้าอยู่หมู่บ้านเลย อยู่แต่ในป่าเป็นวัตร ถือสัจจะเคร่งในศีลฤาษีโยคีฝึกตนอย่างเคร่งครัด ละเว้นความชั่วทุกประการ 7 วันขบฉันอาหารครั้งหนึ่ง 15 วัน ขบนั้นอาหารครั้งหนึ่งเป็นการบำเพ็ญตบะอย่างแรงกล้า เพื่อพิสูจน์กำลังใจและความทรหดอดทนของตนว่ามีความกล้าตายไหม อาลัยไยดีในสังขารร่างกายขนาดไหน
จากการปฏิบัติตนแบบฤาษีชีไพรอย่างยิ่งยวดนี้เอง ทำให้ท่านพบกับความศานติสงบกายสงบจิตอย่างล้ำลึก มีความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ในองค์ฌานสมาธิ เป็นพระฤาษีแก่กล้าฌานสมาบัติ สามารถเข้าฌานนานวันโดยไม่อ่อนเพลีย ไม่หิวโหยร่างกายกระชุ่มกระชวยแข็งแรงเป็นปกติ สามารถเดินธุดงค์ ขึ้นเขาลงห้วยได้เท่าคนหนุ่มฉกรรจ์ เพียงแต่ว่าร่างกายไม่อ้วน ร่างกายผอมเกร็ง แขนขามือกำได้รอบแต่ทว่าแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ไปไหนมาไหนในป่าในถ้ำ สัตว์ป่าก็เป็นมิตร ไม่กล้าทำอันตราย ด้วยอำนาจเมตตาที่แผ่ออกจากฌานสมาธิ
อยู่แต่ในป่าในถ้ำนับร้อยนับพันถ้ำในภูเขาแดนลาว เสวยสุขในฌานจนเบื่อหน่าย เห็นว่าไม่ใช่ทางหลุดพ้นทุกข์ ไปสู่มรรคผลนิพพาน หลวงปู่คำคนิงจึงได้ลาเพศฤาษีดาบสเข้าสู่พระพุทธศาสนาอุปสมบทเป็นพระภิกษุเพื่อปฏิบัติธรรมสู่ทางพ้นทุกข็อันถูกต้องร่องรอย เมื่อบวชแล้วก็ยังถือมั่นอยู่ในสัจจอธิษฐาน คืออยู่ในป่าในถ้ำเป็นวัตร ไม่ยอมเข้าอยู่ในหมู่บ้านหรือสำนักสงฆ์ และวัดวาอารามใด ๆ เป็นเด็ดขาด มุ่งถือพระธรรมคือการปฏิบัติทางจิตเพื่อความหลุดพ้นเป็นใหญ่ ได้ธุดงค์ไปจำพรรษาตามถ้ำตามเทือกเขาต่าง ๆ ในแดนลาว ปีแล้วปีเล่า ตราบจนกระทั่งเวลานี้ได้ 27 พรรษา ถ้ารวมเป็นพระฤาษีด้วยก็เป็น 42 พรรษา
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:55
หลวงปู่ถอดจิตไปเยือนจักรวาลแห่งอะโมล็อกโคยาทีป
พระอาจารย์ทองสาและพระอาจารย์สุธีได้เป็นผู้ที่เล่าเรื่องของหลวงปู่คำคนิง ให้ผู้เขียนฟังดังต่อไปนี้
ในช่วงปี พ.ศ.2527 ในเดือนมีนาคม ได้จัดงานครบรอบอายุ 90 ปีให้หลวงปู่ หลวงปู่เกิดอาพาธเจ็บป่วยลง ท่านไม่ได้บอกกล่าวแก่ผู้ใดโดยปรกติ ท่านชอบถอดจิตอยู่ข้างนอกเสมอ เข้าออกภายในถ้ำที่อยู่ปัจจุบันนี้
ในตอนเช้าวันหนึ่งหลวงปู่พูดว่า
“ ฉันเถอะ...อาจารย์จะพักผ่อน ”
พอวันที่ 2 ไม่ยอมฉันน้ำเลย เข้าไปถามไถ่ รู้สึกท่านเปลี่ยนเป็นคนละคน ดูอารมณ์ไม่ดีเลย เมื่อใคร ๆ เข้าไปก็โดนไล่ออกมา พวกเรากำลังจะจัดเตรียมงาน จะปรึกษาท่านบ้างบางอย่างก็เลยปรึกษาไม่ได้ เพราะท่านไล่ออกมาทุกที
อาตมาเลยตัดสินใจเข้าไปสอบถามหลวงปู่ว่า
“ หลวงปู่เป็นอะไรครับอีกไม่กี่วันก็ถึงวันงานแล้วผมจะมาปรึกษาหลวงปู่เรื่องงาน ”
ท่านเลยเล่าความจริงให้ฟังว่า
“ อาจารย์ไม่สบายอยากอยู่เงียบ ๆ เจ้าก็รู้ถ้าอาจารย์ป่วยก็จะไม่หาหมอหรือ ไปฉีดยาเป็นอันขาด อาจารย์ถ้าป่วยต้องเอาธรรมรักษาเท่านั้น ”
นี่เป็นเหตุผลของท่านอย่างหนึ่ง ถ้าแม้ตัวของอาตมาเองหรืออาจารย์หรือญาติโยมคนไหนก็ตาม เข้าไปหาหลวงปู่ท่านจะบอกว่า พวกเทพเทวดานี้จะผละออกห่างจากใจของท่านทำให้ท่านรู้สึกเหนื่อยเหมือนใจจะขาด แต่ถ้าหลวงปู่อยู่เงียบ ๆ เพียงองค์เดียว ท่านบอกว่าจะไม่เหนื่อยเลยเพวกเราก็เลยเข้าใจและรู้จุดประสงค์ของท่าน จึงปล่อยให้อยู่ตามลำพังเพียงองค์เดียวเป็นเวลา 3 วัน ก็เข้าไปดูท่าน เห็นว่ายังเป็นปกติดี ก็ปล่อยให้ท่านนั่งปฏิบัติกรรมฐานต่อไป เป็นเวลา 10 วัน ท่านได้เรียกอาตมาให้ไปหาน้ำมาให้ท่านฉัน แต่ส่วนอาหารนั้นท่านไม่ยอมฉัน
ต่อมา ท่านบอกว่าได้ถอดจิตไปไกลเกินไปแล้ว ตอนกลับมันเลยช้า ตอนนี้อาจารย์ยังเหนื่อยและ เพลียอยู่มาก ขอให้อาจารย์พักผ่อนจนแข็งแรง แล้วจะเล่าอะไรให้พวกเจ้าฟัง พวกเราได้รอท่านเป็นอาทิตย์แล้วจนใกล้ ๆ มาถึงวันงาน ท่านก็ยังไม่แข็งแรง จนงานพุทธาภิเษกปี 27 ไปแล้ว ท่านจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า
“ ตอนที่อาจารย์ป่วย ถ้าพวกเจ้าเข้าไปอาจารย์จะรู้สึกเหนื่อยเพลียจะขาดใจให้ได้ แต่เวลาอยู่องค์เดียวกลับไม่เป็นอะไรเลย ”
ท่านได้เล่าอีกว่า...มีอยู่วันหนึ่งพญาหงส์ดำตนนี้ เป็นคนที่เกิดก่อนพุทธเจ้าเสียอีก แต่ว่านับถือพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ให้รับหน้าที่ว่า พระองค์ใดที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระพุทธเจ้าจะให้มาเป็นคนรับหน้าที่ พระอรหันต์องค์ใดเมื่อสิ้นบุญแล้ว ต้องผ่านพญาหงส์ดำตนนี้เสียก่อน พอหลวงปู่เกิดอาพาธล้มป่วยลงก็มาชวนหลวงปู่
“ นี่ท่านอย่ามาทนทุกข์ทรมานอยู่กับร่างกายสังขารนี้เลย จะพาไปเที่ยว ”
หลวงปู่ก็ไปพญาหงส์ดำบอกว่าต้องไปรายงานบอกพระพุทธเจ้าก่อน จึงจะออกนอกโลกได้ หลวงปู่ได้เล่าถึงลักษณะที่ไปให้ฟังและเปรียบเทียบว่า แผ่นดินเรานี้เปรียบเหมือนส่วนหนึ่งของโลก พอพ้นจากดินไป ท่านลำดับให้ฟังว่าเป็นน้ำ น้ำนี้มากกว่าดิน 10 ส่วน พอพ้นจากน้ำก็เป็นลม 10 ส่วน ที่เล่ามานี้หมายถึงระยะทางที่ไปกับพญาหงส์ดำนอกโลก ส่วนลักษณะของลมนั้นท่านบอกว่า เครื่องบินหรือ เครื่องยนต์กลไกที่มนุษย์ทำกันเก่ง ๆ ทุกวันนี้ไม่สามารถที่จะไปถึงได้ แต่จะไปได้เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ท่านไปตรงลมแล้วมองลงไป เห็นไฟอยู่ไกลลิบ ๆ แต่ลุกแดงฉานลักษณะคล้าย ๆ ภูเขา แต่มากกว่าลมเป็น 10 เท่า ที่ว่าเป็นไฟลุกแดงฉานนั้นแหละ หลวงปู่เปรียบเทียบให้ฟังอย่างนั้น ลักษณะเดียวกันท่านก็มองออกไปอีกด้านหนึ่ง เห็นเหมือนแก้วจะเป็นเพชรก็ไม่ใช่ เป็นแก้วก็ไม่เชิงท่านว่าอย่างนั้น อยู่อีกมุมหนึ่ง แต่สูงพอ ๆกับไฟที่ลุกแดงฉานคล้ายภูเขาที่ว่านี่แหละ ทีนี้แสงไฟได้ไปกระทบกับแก้วหรือเพชรที่ท่านเห็น มันสว่างไปหมด แล้วพอหลวงปู่มองลงมาที่โลกมนุษย์เรานี้ ท่านบอกว่าโลกเรานั้นสูงไกล แล้วทีนี้พอท่านไปถึง ก็เห็นมีคนเยอะแยะ คล้าย ๆ กับคนในบ้านเราหรือในประเทศไทยของเราเอง พวกคนเหล่านั้นเห็นและก็ได้ถามหลวงปู่ว่า ท่านมาได้ยังไง ทุกคนยังแปลกใจท่านอยู่
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:55
ครั้งหนึ่งมีพระภิกษุองค์หนึ่ง ไม่ทราบชื่ออะไร ข้าพเจ้าก็ลืมมีญาติพี่น้องอยู่ที่อำเภอโขงเจียมนี้เอง พระภิกษุรูปนี้ได้มาอยู่กับหลวงปู่ครั้งหนึ่ง แล้วท่านก็ไปจำพรรษาอีกที
หลวงปู่ท่านมีอุปนิสัยอย่างหนึ่ง คือ พระภิกษุที่ได้มาอยู่ร่วมกับท่านแล้ว ในเมื่อออกจากท่านไป ท่านจะไม่รับให้กลับเข้ามาอยู่อีก ไม่ว่าจะมาขออ้อนวอนใด ๆ ก็ตาม
ต่อมาไม่นานนักพระภิกษุรูปนั้น ก็เกิดป่วยสุขภาพไม่ค่อยจะดี จึงได้กลับมาขออยู่กับหลวงปู่อีก หลวงปู่ท่านให้การปฏิเสธไม่ให้อยู่แต่ถ้าจะมาตายก็อยู่ได้ ก็เป็นอันว่าพระภิกษุรูปนั้นก็ได้กลับเข้ามาอยู่ และได้รักษาตัวไปด้วย
หลวงปู่ท่านเคยทำสมาธิแล้วตายไปถึงสองครั้ง ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าครั้งไหน หลวงปู่ท่านได้ตายไปสามวัน พวกชาวบ้านต่างก็มาทำโลงศพให้ท่าน โดยมีพระภิกษุรูปที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวถึง วันนี้เป็นหัวหน้าทำโลงศพให้หลวงปู่ท่าน ประดับด้วยลวดลายวิจิตรตระการตา หลังจากทำโลงศพเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกชาวบ้านต่างก็จะจัดเตรียมงานเผาศพให้ท่านก็พอดีร่างกายของท่านเริ่มกลับคืนสู่สภาพ อบอุ่นขึ้นทีละน้อย จนเข้าสู่สภาวะปกติ หลวงปู่ท่านก็ได้เล่าการตายของท่านในครั้งนี้ ได้ไปเที่ยวชมเมืองนรก ซึ่งท่านเรียกว่า “ ศาลาพันห้อง ”
หลังจากหลวงปู่ได้ยินยอมให้พระภิกษุผู้ที่ได้เคยทำโลงศพให้ท่านเมื่อครั้งก่อน กลับเข้ามาอยู่ด้วยอีกครั้ง ด้วยว่าเพื่อที่จะขอมาตายที่นี่ต่อมาในกลางฤดูเข้าพรรษา พระภิกษุรูปนี้ ได้ถึงแก่มรณภาพตามสัจจะวาจาของหลวงปู่ที่ได้พูดเอาไว้ โลงศพซึ่งผู้ตายได้เคยทำขึ้น หวังจะใส่ร่างของหลวงปู่ก็ต้องกลับมาใส่ร่างของตัวเอง
หีบโลงศพใบที่สาม เมื่อข้าพเจ้ากับพระอาจารย์ทองสาได้เข้ามาอยู่กับหลวงปู่ท่าน ข้าพเจ้าเคยพูดกับหลวงปู่เสมอ จะไปซื้อโลงศพลงรักปิดทองที่สวยที่สุดมาให้ และต่อมาไม่นานข้าพเจ้าได้สั่งซื้อมาในราคาหมื่นกว่าบาท เมื่อนำมาถึงที่วัด ข้าพเจ้าได้นำไปติดตั้งในห้องจำวัดของท่าน ข้าพเจ้าและพระอาจารย์ทองสาเห็นหลวงปู่ท่านมีความปิติปลื้มใจในศิษย์ทั้งสองมาก หลวงปู่ท่านจึงได้สั่งเสียไว้กับข้าพเจ้าและท่านอาจารย์ทองสา
“ โลงทองใบนี้อย่าได้ทำลายหรือเผานะหลังจากอาจารย์ตายและได้ใส่โลงทองใบนี้แล้ว ขอให้เจ้าทั้งสองเก็บรักษาไว้ เมื่อถึงคราวสุธีตายก็เอาโลงทองใบนี้ใส่ เราสามคนได้ไปอยู่ที่เดียวกันนี้ ”
นี่คือคำสั่งเสียของหลวงปู่ท่าน
ข้าพเจ้าก็พูดเป็นเชิงเล่นกับหลวงปู่ท่านว่า ไม่เอา...ข้าพเจ้าจะหาใบใหม่ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะไปตายที่ไหน
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:56
หลวงปู่แสดงฤทธิ์ให้ข้าพเจ้าเห็น
ผม อาจารย์สุธี
จะขอเล่าเรื่องปาฏิหาริย์เล็ก ๆ น้อย ๆที่ประสบมากับตัวเองให้ฟังว่า เมื่อช่วงเดือนมีนาคม ใกล้ ๆ วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2528 นี้เอง ทางผมกับอาจารย์ทองสาและญาติโยมได้ร่วมกันจัดงานฉลองอายุหลวงปู่ซึ่งปีนี้อาตมาได้จัดเสียใหญ่โต แล้วก็ปรากฏว่าช่วงนั้นภูมิอากาศก็ไม่ค่อยจะดีนัก
ทีนี้ พอเหลืออีกสามวัน อาตมาก็ได้ตกแต่งสถานที่ เรียกว่าลงทุนกันซื้อผ้าใหม่ ๆ มาทำม่าน และอะไรต่าง ๆ อีกหลายอย่างก็ปรากฏว่าฝนตั้งเค้ามาอย่างขนาดหนัก อาตมาเห็นเข้าก็ใจไม่ดีวิ่งไปบอกกับหลวงปู่ว่าจะทำยังไงกันดี ปะรำเวทีที่จะทำพิธีต่าง ๆ ซึ่งมุงหลังคาด้วยหญ้าคาธรรมดาไม่สามารถจะกันฝนได้ และจะทำให้ข้าวของเสียหายหมด และขอร้องหลวงปู่ ให้ช่วยบอกเทวดาขออย่าให้ตกที่นี่เลย ให้ไปตกที่อื่นก่อน
รู้สึกว่าท่านจะนิ่งไปสักพักหนึ่ง แล้วก็ถามอาตมาว่าเหลืออีก 2 วันท่านก็บอกว่าอย่างนั้นไม่เป็นไร อาจารย์ขอเขาแล้ว และทางเขาก็ตกลงแต่มีข้อแม้อยู่ว่าฝนไม่ตกก็ได้ แต่ต้องมีลมนะ อาตมาก็บอกกับท่านว่ายอมตกลงปรากฏว่าช่วงนั้นพายุได้กระหน่ำมาทั้งลมทั้งฝน แต่เป็นฝนปรอย ๆ จะหนักไปทางด้านลมมากกว่า และที่วัดซึ่งกำลังตกแต่งสถานที่อย่างสวยงาม พอโดนลมพัดกระหน่ำ ข้าวของนั้นได้กระจัดกระจายเสียหายหมดเลย แต่พอมองไปทางฝั่งลาวนั้น เห็นฝนตกเสียขาวโพลน มองแทบไม่เห็นภูเขาแม้แต่โยมที่มาจากตระการหรือพิบูลก็ตาม พอมาถึงที่วัดก็แปลกใจว่า เอ๊ะ...ทำไมที่วัดฝนตกปรอย ๆ แต่ทางรอบนอกกลับมีฝนลงกระหน่ำไปหมด จนทางแทบจะเสียหายมาไม่ได้
เรื่องนี้อาตมาก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ทำไมท่านถึงมีบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์สามารถห้ามฝนได้ หรืออาจจะเรียกว่าขอกับเทพเทวดาได้ทีนี้พอถึงช่วงวันงาน ท่านได้สั่งกับอาตมาว่า นับจากวันนี้ไป ที่ได้ต่อรองขอฝนนั้น พอวันงานให้ลั่นฆ้อง ซึ่งฆ้องนี้ให้ตีไม่ให้ขาดระยะเลย จนกว่าจะเสร็จสิ้นงาน ถ้าหยุดตีเมื่อไหร่ หลวงปู่ท่านบอกว่าเทพเทวดาท่านจะไม่รับรอง เพราะว่าได้ต่อรองขอเบื้องล่างเบื้องบนแล้วว่า ให้ตีฆ้องนี้เป็นสัญญาณว่าที่ถ้ำคูหาสวรรค์นี้ได้จัดงานอย่าให้มีฝน อย่าให้มีลมให้ตีทุกระยะจนกว่าจะสิ้นสุดงานเลย ถ้าขาดเมื่อไรก็จะไม่รับรอบเรื่องฝนหรือลม ปรากฏว่าในงานวันนั้น ญาติโยมที่มาในงานบุญหลวงปู่นั้น มีจิตศรัทธาตั้งใจตีกันจนสว่างไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย นี่เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:56
คราวก่อนนั้นเมื่อปี 2527 ก็เหมือนกัน ในวันที่ 16 มีนาคม พวกเราได้จัดงานฉลองบุญอายุของหลวงปู่ นี่ก็เป็นเรื่องแปลก วันนั้นฝนไม่ตก แต่พอเสร็จงานปรากฏว่าได้มีพายุกระหน่ำขนาดหนัก จนทำให้ปะรำพิธีล้มระเนระนาดไปหมด พวกเราไม่ต้องเก็บเลย ลมเก็บให้หมดแล้วเรียบร้อย อันนี้เป็นที่แปลกที่ประสบกับอาตมา ซึ่งเป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่ แล้วก็มีญาติโยมหลายคนที่จะมานมัสการหลวงปู่ มาจากทางไกลก็ดี หรือจากบางจังหวัดที่อยู่ใกล้ ๆ พอมาถึง หลวงปู่ก็มักจะทักทายทำนายจนเป็นที่พออกพอใจ ของญาติโยมทุกคน จนกระทั่งบางคนน้ำตาไหลก็ดี เพราะว่าที่ท่านทักนั้น ท่านใช้วิชาเกี่ยวกับหูทิพย์ ตาทิพย์ ใจทิพย์สามารถหยั่งรู้ถึงอนาคต ปัจจุบันและอดีตได้ทั้งหมด ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถที่จักมีคุณธรรมพิเศษนี้ได้ นอกจากว่าเป็นพระที่ต้องปฏิบัติกรรมฐานและต้องมีความชำนาญจนกระทั่งได้อภิญญาขึ้นไป หรือไม่ต่ำกว่าอภิญญาก็ต้องได้วิชาสามคือเจโต สามารถหยั่งรู้ใจทิพย์จักษุญาณ คือตาทิพย์ อนาคตังสญาณ แล้วก็ปัจจุบันนังสญาณคือตั้งแต่พระที่ระดับอนาคามี ซึ่งรู้เกี่ยวกับพระที่มีการปฏิบัติเคร่งหรือพระที่มีคุณธรรมพิเศษขึ้นไป
อาตมานั้นได้มาอยู่กับหลวงปู่เข้าปีที่ 3 แล้ว หลวงปู่มักจะแสดงธรรมเป็นประจำในเรื่องของญาณ 8 ซึ่งอาตมาได้ประสบมากับตัวเองและสามารถจะยืนยันได้ว่า หลวงปู่นั้นท่านไม่ใช่พระธรรมดา ต่อมาอาตมาก็เคยถามท่านเกี่ยวกับหูทิพย์ว่า หลวงปู่เคยดักฟังคนที่กำลังพูดถึงท่าน ซึ่งคนนั้นอยู่อีกที่หนึ่งและห่างจากวัดมาก ถ้าคิดเป็นระยะทางก็ประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร ประมาณอำเภอพิบูลมังสาหาร กับอำเภอโขงเจียม ท่านบอกว่าสบายมากเลยในการที่จะดักฟังว่าคนนั้นเขาจะพูดดีหรือพูดร้ายสามารถฟังได้สบาย และอาตมาก็ถามหลวงปู่อีกว่า แล้วคนที่อยู่กรุงเทพฯ ล่ะ หลวงปู่สามารถฟังได้สบายมั้ย หลวงปู่ก็พูดว่าอาจจะใช้กำลังสูงหน่อยเพราะท่านก็อยู่ในวัยชรา และถ้าใช้กำลังมากนั้นบางทีอาจจะทำให้ท่านถึงแก่ชีวิต แต่ท่านบอกว่าถ้าท่านมีสุขภาพแข็งแรงอายุสัก 60-80 พรรษา ก็จะทำได้ไม่ยาก แต่นี่ท่านอายุ 90-91 พรรษาเข้าไปแล้ว ท่านบอกว่ามันอันตราย แต่สำหรับระยะทางเขตอำเภอโขงเจียมถึงอำเภอพิบูลฯ ไม่เกิน 90-100 กิโลเมตรนี้ ท่านบอกสบายมากในการที่จะใช้หูทิพย์
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:57
บ่อนํ้าเทวดา
[attach]5069[/attach]
มีอยู่ตอนหนึ่งหลวงปู่เคยกล่าวถึงว่า เมื่ออดีตกาลนั้นที่แห่งนี้ยังไม่มีมนุษย์หรือสัตว์ต่าง ๆ อยู่เป็นเมืองของราชสีห์ 7 ตัว สมัยนั้นมีหน่อเงินทองคำมากมาย ราชสีห์ทั้ง 7 นี้จะมากิน หน่อเงินหน่อทองคำแทนอาหาร แต่พอถึงหน้าแล้งน้ำจะกันดาร อยู่นี่พระภูมิไม่ช่วยมันก็ลำบาก จะย้ายไปอยู่ที่อื่นมันก็ไม่ได้ เพราะเมื่อตอนมาอยู่ใหม่ ๆ พระภูมิที่นี่ขอร้องหลวงปู่ว่าอย่าหนีเลยและนิมนต์จะช่วยเรื่องน้ำไม่ยากหรอก พระภูมิพูดกับหลวงปู่ หลวงปู่ถามว่าจะช่วยจริงหรือ แล้วท่านก็ทำสมาธิได้เห็น คือ ตรงหน้าถ้ำนั้นได้มีน้ำหยดลงมา เมื่อท่านได้ยินเสียงน้ำหยดแหมะ ๆ ท่านก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิ และเพราะความอยากได้น้ำ ท่านก็ออกไปล้างถังให้สะอาด แล้วเอามารองตรงที่เห็น รอยน้ำหยดออกมาอยู่ คิดว่าน้ำหยดทีละนิดอย่างนี้ถึงเช้าก็คงไม่เต็มถัง จะได้ใช้ล้างหน้าตาให้สบาย ท่านคิดอย่างนั้น พอเอาถังมารองก็กลับเข้าไปในถ้ำทำสมาธิต่อ พอถึงรุ่งเช้าท่านออกมาดูปรากฏว่าไม่มีน้ำเลยในถังนั้น และไม่มีรอยน้ำเปียกให้เห็นเลย
พอถึงกลางคืนหลวงปู่ก็มาดูว่าจะมีน้ำหรือเปล่า แต่ปรากฏว่าไม่มีก็ได้ไปบอกกับภูมิว่าจะโกหกหลองลวงท่านหรือ บอกว่าจะช่วยแต่ไม่ช่วยจริง ภูมิได้ยินเช่นนั้นก็บอกกับหลวงปู่ว่า รับปากว่าจะช่วยจริง แต่ท่านทำผิด ท่านได้เอาถังมารอง มันก็เลยไม่ไหล ตอนนั้นหลวงปู่ยังไม่เชื่อ
ในที่สุด ภูมิบอกอีกว่า พรุ่งนี้เช้าให้ท่านไปดูหลังถ้ำ และขึ้นไปจะเห็นเป็นรอยขีดกากบาท และมีวงกลมรอบอีกชั้นหนึ่ง ในนิมิตภูมิบอกว่าอย่างนั้น พอถึงตอนเช้าหลวงปู่ขึ้นไปดู ไม่รู้เป็นรอยหินหรือรอยอะไร เห็นไม่ถนัดนัก หลวงปู่เลยเข้าใจว่าเป็นตรงนี้แหละ
หลวงปู่บอกอีกว่าช่วงนั้นประเทศลาวแตกใหม่ ๆ พวกคนลาวได้อพยพมาอาศัยอยู่กับหลวงปู่ ท่านเกณฑ์คนพวกนั้นให้ไปช่วยขุด มีหินอยู่เล็กน้อยและมีทราย ก็ขุดลงไปเรื่อย ๆ จนกว้างออกเป็นสระ ที่อาตมาได้ขนดินมาถม 50 กว่าคันรถ เวลานี้หลังถ้ำก็เลยเรียบ แต่ก่อนมันเป็นหนองน้ำต่อมา หลวงปู่ก็ไม่เห็นมีอะไรเลยในบ่อที่ขุดนั้น ท่านก็ว่าภูมิโกหกอีกแล้ว
ท่านได้มานั่งสมาธิและต่อว่ากับภูมิว่า ท่านโกหกอาตมาถึง 2 ครั้ง 2 คราแล้วนะ ภูมิได้ยินดังนั้นก็บอกว่าไม่ได้โกหกท่านเป็นเช่นอย่างที่บอกจริง แต่อยู่เหนือขึ้นไปอีก ลองไปดูใหม่เถอะ ต่อมาพอถึงรุ่งเช้า หลวงปู่ได้ออกมาดูอีก ก็เห็นเป็นเช่นนั้นจริง เพราะมีรอยขีดอย่างที่ภูมิบอกไว้เลยว่าจ้างชาวบ้านแถวนั้นให้มาเจาะหิน หลวงปู่จะให้ค่าจ้าง 1,500 บาททำอยู่ 3 วัน เจาะลงไปได้ไม่เท่าไหร่ พวกชาวบ้านเหล่านั้นไม่ยอมทำต่อเพราะเหตุใดไม่รู้ได้ พวกเขาเหล่านั้นไม่ยอมเอาเงิน และไม่ขอทำต่อด้วย แม้แต่ชาวบ้านด่านก็หาว่าหลวงปู่สติไม่ดี เพ้อเจ้อไปเองมากกว่า
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:57
ตอนที่ขุดบ่อพระลานหินชาวบ้านก็บอกว่า ไม่มีน้ำหรอกแต่ท่านไม่สนใจ เพราะเชื่อมั่นว่าตรงนั้นต้องมีน้ำอยู่จริง ต้องพยายามดูอีกสักครั้งต่อมาก็ได้ให้พวกกลุ่มคนลาวเหล่านั้นให้มาช่วยขุด ตอนแรกพวกนั้นก็งงไปตาม ๆ กัน คิดว่าหลวงปู่คิดยังไงขึ้นมาให้ไปขุดตรงพระลานหิน หลวงปู่สั่งให้เอาชะแลงและสกัดไปกันหลายคน จะได้ช่วยกัน ท่านก็พาไปขุดที่เก่า ที่เคยให้ชาวบ้านขุดก่อนนั้น ทำเอาไว้หน่อยเดียว พอมาถึงบ่อพระลานหินก็ลงมือช่วยกันขุดทันที คนเหล่านั้นได้เอาชะแลงไปกระทุ้งรอบ ๆ บ่อ รู้สึกมีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งได้เขยื้อนไปมา หลวงปู่ เห็นดังนั้นก็สั่งให้คนเหล่านั้นเอาชะแลงงัดก้อนหินก้อนนั้นออกมา พองัดออกมาแล้ว ดินบริเวณแถวนั้นได้ยุบลงไปทันที ดินแถวนั้นเป็นทรายปนหินเล็กน้อย ท่านสั่งให้ขุดกว้าง ๆ แล้วช่วยกันขนหินกับทรายไว้นอกบ่อ ปรากฏว่าพอขนทรายและหินออกหมดแล้ว จะมีตาน้ำอยู่ที่หนึ่งได้มีน้ำไหลออกมา แต่ไหลพักเดียวเท่านั้นพอปล่อยช่วงไว้สักพัก น้ำไหลลงมาจนเต็มบ่อที่ขุดไว้ หลวงปู่ได้เล่าลักษณะของน้ำในบ่อให้ฟังว่า ในบ่อน้ำนั้นเห็นมีคราบเหลือง ๆ ลอยอยู่เหนือน้ำเหมือนทองคำ และน้ำใสสะอาดเวลาเอามาดื่มจะไม่มีรสเปรี้ยวเลย และไม่ฝาดด้วย เวลาท่านเอามือไปช้อนคราบนั้นขึ้นมากำไว้ จะได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บ ๆ พอหลายปีนานเข้าคราบเหล่านั้นก็หายไปเอง
ต่อมา หลวงปู่ได้บอกแก่ญาติโยมทั้งหลาย พวกเราเอาท่อต่อกันใช้ตามบ้านจากบ่อน้ำจนทุกวันนี้ แต่พอถึงหน้าแล้งเดือนเมษา น้ำจะขาดประมาณเดือนเศษ และพอหน้าฝนน้ำนั้นจะไหลอยู่ตลอดเวลา ท่านบอกว่าถ้าสามารถมีแทงก์ก็เก็บน้ำไว้ก็ดี จะได้ไว้ใช้ตอนหน้าแล้งของทุกปี ก็จบเพียงแค่นี้
ข้าพเจ้าได้อยู่รับใช้หลวงปู่มาตลอด 4 พรรษา หลวงปู่ท่านมักจะพูดเป็นนัยให้ข้าพเจ้าได้ยินอยู่เสมอว่า “อาจารย์นี้แหละลูกแข้งลำขาของพระพุทธเจ้าแหละ” หรือบางครั้งบางคราวข้าพเจ้าก็ได้ยินท่านพูดเป็นนัยว่า “อาจารย์นี้แหละเหมือนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง ตรัสรู้เห็นจริงในธรรมะ 84,000พระธรรมขันธ์เหมือนพระพุทธเจ้า แต่อาจารย์ไม่ใช่พระพุทธเจ้า” หลวงปู่ท่านพูดกับข้าพเจ้าเสมอเรื่องงานบุญธาตุพนม
ทุกปีพระองค์ท่านจะเสด็จโปรดสัตว์ และจะมาหาหลวงปู่เสมอ มีรับสั่งให้หลวงปู่กระทำภารกิจให้พระองค์ท่าน เพื่อต่ออายุศาสนาอยู่เสมอหลวงปู่ท่านพูดเสมอว่า ไม่อยากโปรดมนุษย์เท่าไหร่นัก เพราะมนุษย์นี้สอนยาก ส่วนมากแล้วจะโปรดแสดงธรรมแก่เหล่าเทพยดาพรหมเสียเป็นส่วนมาก โดยเฉพาะที่บริเวณหน้าห้องของหลวงปู่ มีเทพยดาและพรหมมาฟังธรรมทุกวันอย่างละ 7 หมื่นองค์เป็นประจำ หรือบางทีทุกวันพระ หลวงปู่ท่านจะต้องเข้านอนครองผ้า เพื่อถอดจิตขึ้นไปสู่เทวโลกและพรหมโลก ตามคำทูลอาราธนาเพื่อไปแสดงธรรมโปรดเหล่าเทพ
ข้าพเจ้าผู้เขียนได้ยินหลวงปู่ท่านพูดให้ข้าพเจ้าฟังมา และบางทีข้าพเจ้าก็ได้ถามท่านเอง
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:57
ยืนเป็น.. นอนตาย..
ภาพที่ปรากฏต่อหน้าชาวบ้านที่ออกหาของป่าไปขาย 2 คน ยากอธิบายความรู้สึกได้ชัดเจน นอกจากผู้ใดเห็นภาพเช่นนั้นแล้วจะบอกกับตัวเองได้ถูกเพราะต่างจิตต่างใจกันลองเทียบกับตัวท่านดู หากไปพบภาพเช่นว่าอย่างไม่คาดคิดมาก่อน ท่านจะรู้สึกอย่างไร ร่างมนุษย์อย่างเรา ๆ นี้แหละผมเผ้าหนวดเครารุ่มร่าม มองแทบไม่งเห็นผิวว่าขาวหรือดำ เพราะแมลงวันตัวดำ ๆ รุมเกาะเต็มคล้ายผึ้งตอมรังจนไม่เห็นรวง นอกจากนั้นยังมีปลวกรังใหญ่ ตั้งแต่พื้นหุ้มร่างขึ้นไปถึงหัวเข่า ชาวบ้านทั้งกลุ่มจึงพากันเข้าไปดูใกล้ ๆ ให้แน่ชัดว่าอะไรกันแน่ แมลงที่เกาะร่างแตกฮือ เห็นผิวหนังขาวซีดเมื่อจับต้อง ปรากฏว่าแข็งเฉียบปานท่อนไม้ หุ้มร่างด้วยชุดชีปะขาวแต่ด่างดำด้วยขี้แมลงวันทั้งผ้าขาวกับผิวขาว
“ คงยืนตายนานแล้วเนาะ ”
หนึ่งในหมู่ชาวบ้านออกความเห็น
“ ช่วยเผาเอาบุญกันเถอะ ”
อีกคนเสนอแนะ
ไม่มีใครขัดจึงช่วยกันกระทุ้งจอมปลวกที่หุ้มขาร่างชีปะขาวตั้งแต่เดินถึงหัวเข่าออกอุ้มร่างที่แข็งเหมือนไม้นอนราบพื้น หาน้ำมาชะล้างขี้แมลงวันตามเนื้อตัวจนสะอาด เมื่อเข้าไปในถ้ำที่ชีปะขาวยืนแข็งตรงปากทางก็เห็นเครื่องใช้สอยจำเป็นอยู่ครบเอาผ้ามาคลุมร่างนั้นอย่างเรียบร้อย
“ ไปบอกพวกชาวบ้านมาช่วยกันเผาศพผ้าขาวคนนี้ดีกว่า ”
หัวหน้าหมู่บ้านกล่าวเป็นเชิงให้พรรคพวก เข้าไปแจ้งข่าวกับเพื่อนว่าพบ “ ผ้าขาว ” หรือชีปะขาวยืนตายปากถ้ำ มาช่วยกันคนละไม้คนละมือเผาท่านเอาบุญ
เชื่อกันว่าเผาศพ “ นักบุญ ” จะได้บุญขึ้นสวรรค์ ชาวบ้านจึงพากันยกขบวนมามีหลายคนเห็นชีปะขาวผู้นำ บำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำภูอีด่างนี้มาหลายปีแล้ว แต่ไม่ได้สนใจเพราะถ้ำนี้สงบวิเวก บรรดานักพรต ฤาษีชีไพรแม้พระธุดงค์ชอบบำเพ็ญเพียรภาวนาบ่อย ๆ ผลัดเปลี่ยนเวียนเสมอไม่ประจำ จึงไม่ค่อยสังเกตกันว่าใครมา ภูอีด่างอยู่ในเมืองปากเซ แขวงนครจำปาศักดิ์ ของราชอาณาจักรลาว
สมัยที่ยังไม่ถูกฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้ายึดครองเช่นปัจจุบันการสัญจร ไม่มาติดต่อระหว่างคนไทยและคนลาวสะดวกมากถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องถ้อยทีถ้อยอาศัย เหล่าครูบาอาจารย์ซึ่งเป็น “พระป่า” ธุดงค์ โดยเฉพาะระดับหลวงปู่ทุกวันนี้ สมัยท่านยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์บุกป่าฝ่าหนามได้คล่องแคล่วล้วนนิยมข้ามแม่น้ำโขงไปทางฝั่งลาวแสวงหาครูบาอาจารย์เก่ง ๆ บ้าง แสวงหาที่วิเวกบำเพ็ญธรรมให้บรรลุตามตั้งหวังบ้าง ที่แสวงหาครูบาอาจารย์ทางเวทมนตร์คาถาอาคมมาก เพราะฝั่งลาวและเขมรมีครูบาอาจารย์ เก่งทางไสยศาสตร์อาคมขลังและมนต์ดำมากมาย
ดังเช่นชีปะขาวที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ให้ปลวกทำรังหุ้มขาจนถึงหัวเข่าผู้นี้ เมื่อชาวบ้านนำร่างมานอนราบกับพื้น ตามพรรคพวกในหมู่บ้านมาช่วยกันจัดการเผาศพ ร่างที่เย็นเฉียบแต่แรกกลายเป็นอุ่นขึ้นทีละน้อยอย่างเด่นชัด เมื่อสัมผัสในเวลาต่อมา “ยังไม่ตาย ท่านยังไม่ตาย ตัวอุ่นขึ้นแล้ว” หัวหน้ากลุ่มตื่นเต้นมากอดทึ่งไม่ได้ ตอนแรกเห็นชัด ๆ ว่าตายจนตัวแข็งเป็นท่อนไม้ และทำไมพอจับนอนลงกลับฟื้นขึ้นชวนอัศจรรย์
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:57
“ เอาน้ำหยอดปากท่านซิ ”
ผู้รู้เรื่องด้านความเป็นความตายพอสมควรแนะนำ พร้อมเหตุผลว่าคนที่ตายหรือสลบไปแล้วฟื้น จะรู้สึกคอแห้ง ถ้าหยอดน้ำจะช่วยให้ความรู้สึกคืนกลับเร็วขึ้น ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ตาย ไม่จำเป็นต้องเผา ต่างทยอยกันกลับ แต่ก็จัดเวรยามช่วยดูแลชีปะขาวที่นอนตัวแข็งไม่กระดุกกระดิก โดยอุ้มเข้าไปไว้ในถ้ำค่อนข้างอุ่นกว่าข้างนอกที่มีลมแรง และน้ำค้างกลางคือ เวลาผ่านไปจากวัน เป็นสอง เป็นสาม
ชาวบ้านก็เปลี่ยนเวรกันหยอดน้ำใส่ปากชีปะขาว ผมเผ้าหนวดเครารุงรังนั้นเป็นระยะ กระทั่งย่างเข้าสัปดาห์ที่ 2 ทุกคนก็หายใจโล่ง บรรลุความสมหวัง
ท่านขยับตัวและลืมตาขึ้น เหมือนคนที่พึ่งตื่นจากหลับ แต่ที่จะได้รับการขอบอกขอบใจที่ช่วยชุบชีวิต ชาวบ้านกลับหน้าเสียเมื่อท่านลุกขึ้นนั่งและพูดเสียงดุ ๆ
“ มายุ่งกับอาตมาทำไมกันนี่ ”
“ เราออกหาของป่าเห็นท่านยืนตัวแข็ง จอมปลวกสูงขึ้นถึงหัวเข่าคิดจะเผาท่านเอาบุญ แต่สังเกตุเห็นท่านยังไม่มรณภาพเลยช่วยมาสิบกว่าวันแล้ว ”
“ เสียดาย...เสียดายจริง ๆ ”
ชีปะขาวส่ายหน้าเหมือนผิดหวัง
“ท่านเสียดายอะไร” ชาวบ้านพากันงง และเมื่อเรียกมาฟังชีปะขาวทั้งหมู่บ้าน แล้วท่านก็เล่าว่า
“ อาตมาหลบมาบำเพ็ญเพียรด้วยการยืนทำสมาธิ ปากถ้ำเร้นลับจากสายตาชาวบ้าน เพื่อจะมุ่งให้บรรลุหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานของพระพุทธเจ้าองค์ซึ่งไม่ยอมนั่ง ไม่ยอมนอน ไม่เคลื่อนไหว ไม่กินอะไรทั้งสิ้นแม้แต่น้ำ ”
ท่านกล่าวช้า ๆ ชาวบ้านนั่งฟังอย่างสงบ
“ ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้เข้าสี่พรรษาแล้ว ปลวกจะทำรังรอบขา ”
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:57
อิทธิฤิทธิ์พญานาค
ในตำนานพระพุทธชัยมงคลคาถาบทที่ 7
มีเรื่องเกี่ยวกับพญานาคว่าสมัยหนึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ในเพระเชตวันมหาวิหาร วันหนึ่งทรงรับนิมนต์ที่จะเสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในวันรุ่งขึ้น
ครั้นเวลาใกล้รุ่ง พระองค์ทรงพิจารณาดูหมู่เวไนยสัตว์ปรากฏว่าพญานันโทปะนันทะนาคราชเข้ามาปรากฏอยู่ในข่ายของพระญาณของพระองค์ พระพุทธองค์ทรงพระดำริว่า พญานาคราชนี้เป็นสัตว์เดรัจฉาน มีวาสนาเข้ามาข้องในข่ายพระญาณของเราตถาคต ควรที่เราตถาคตจะเสด็จไปโปรด แต่พญานันโทปะนันทะนาคราชนี้ ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งนักและเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ที่จะทรมานทำให้หมดพยศร้ายได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยมหิทธิฤทธิ์อันพิเศษ พระโมคคัลลานะเถระมีความสามารถที่จะทรมานพญานันโทปะนันทะนาคราชให้หมดพยศร้ายได้ พอได้เวลาจึงเสด็จออกจากพระคันธกุฏี แล้วมีพระดำรัสสั่งให้พระอานนท์นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาประชุมพร้อมกัน แล้วทรงอธิษฐานว่า ขอให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมองเห็นพระตถาคตและพระอรหันต์ทั้งหลายในกาลบัดนี้
ครั้งทรงอธิษฐานแล้ว ก็ทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเหาะมาโดยทางนภากาศมาสู่สวรรค์เทวโลก เมื่อเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปในอากาศนั้น ประกอบด้วยพระรัศมีอันสว่างไสว วันนั้น พญานันโทปะนันทะนาคราชได้แลเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บังเกิดความพิโรธยิ่งนัก จึงคำรามว่า สมณะโล้นเหล่านี้จะได้ยำเกรงเราสักนิดก็ไม่มี พาพรรคพวกเหาะมาบัดนี้ ชะรอยว่าจะไปสู่ดาวดึงส์พิภพกระมัง ถ้าเหาะไปทางอื่นก็ช่างเถิดแต่ถ้าเหาะข้ามเราไปเมื่อไรเป็นต้องผิดใจกัน เพราะถ้าเหาะข้ามเราไปผงละอองธุลีในฝ่าเท้าก็จะต้องหล่นลงเหนือหัวของเราเป็นมั่นคง ทางที่ดีเราควรจะไปสะกัดหน้าหมหู่สงฆ์เอาไว้ อย่าให้เหาะข้ามเราไปได้
เมื่อคิดดังนั้นก็สำแดงมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพ เนรมิตตนให้มหึมาใช้ลำตัวรัดเขาพะ สุเมรุราชอันสูงประมาณได้สิบสองโยชน์ด้วยขนาดหาง 7 รอบแล้วแผ่พังพานปิดเมืองดาวดึงส์ กว้างประมาณได้สิบสองโยชน์ ปรากฏอยู่เหนือเขาพระสุเมรุราชนั้น แล้วบันดาลให้บังเกิดเป็นควันและหมอกมัวมืดไปทั่ว ฝ่ายพระรัฐบาลอรหันตเถระแด่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาว่าเป็นเพราะเหตุไรจึงเป็นเช่นนั้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า มีมืดมนอนธกาลเช่นนี้เป็นเพราะอานุภาพของพญานาคราชอันมีชื่อว่านันโทปะนันทะมีจิตกริ้วโกรธพยาบาทต่อเราผู้ตถาคตยิ่งนัก จึงเอาร่างกระหวัดรัดเขาพระสุเมรุราชไว้ประมาณ 7 รอบแล้วแผ่พังพานปกคลุมไปในเขตเมืองดาวดึงส์สวรรค์แล้วบันดาลให้เกิดเป็นหมอกควันมืดมัวไปทั่วแดนดาวดึงส์สวรรค์ เมื่อพระรัฐบาลอรหันตเถระเจ้า ได้ฟังดำรัสของพระพุทธองค์เช่นนั้น จึงกราบทูลอาสาที่จะทรมานพญานาคราชให้พ่ายแพ้สิ้นพยศร้าย แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงอนุญาต ต่อจากนั้นพระอรหันตเถระเจ้าทั้งหลายได้กราบทูลขออาสาที่จะทรมานปราบพญานาคราชนั้นให้เสื่อมหายจากพยศร้าย แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ทรงอนุญาต
โดย:
kit007
เวลา:
2013-10-19 08:58
เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ อำมาตย์ผู้หนึ่งได้กราบทูลพระเจ้าลิจฉวี ว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งปวงมีพระหฤทัยประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณไม่มีผู้เสมอเหมือนทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประกาศพระธรรมอันบริสุทธิ์เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บัดนี้ พระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหารของเจ้าพิมพิสาร บรมกษัตริย์กรุงราชคฤห์พระพุทธองค์ทรงมีอภินิหารบารมีคุณสูงยิ่งนัก ถ้ากราบทูลอันเชิญขอให้พระพุทธองค์เสด็จมายังพระนครเวสาลีประสบอยู่นี้ จักต้องสงบราบคาบลง เพราะอานุภาพของพระพุทธองค์
พระเจ้าลิจฉวีจึงทรงโปรดให้เจ้าชายมหาลี พร้อมด้วยบุตรชายของท่านปุโรหิตกับพลนิกรเป็นอันมาก แล้วจึงแต่งให้ราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อกราบทูลขอประทานโอกาสให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปบำบัดภัยพิบัติให้พระนครเวสาลี พระเจ้าพิมพิสารทรงเห็นใจ ยินดีสนับสนุนในการที่ทูลเชิญสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลอันเชิญแจ้งเหตุที่เกิดขึ้นให้พระพุทธองค์ทรงทราบทุกประการ
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำทูลเชิญเด็จของคณะราชทูตชาวพระนครเวสาลี ทรงใคร่ครวญดูด้วยพุทธญาณก็ทรงทราบว่า เมื่อเราสวดรัตนสูตรในพระนครเวสาลี อาชญาจักแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักราวาลเมื่อสวดรัตนสูตรจบลง สัตว์ทั้งหลายแปดหมื่นสี่พันก็จักบรรลุมรรคผลภัยทุกอย่าจักสงบลงไป เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบในพระหฤทัยดังนี้แล้ว จึงทรงรับคำทูลเสด็จไปยังพระนครเวสาลีของเจ้าชายมหาลี หัวหน้าคณะราชทูตแล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จสู่พระนครเวสาลี พร้อมด้วย พระสาวกห้าร้อยรูป พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้ยอำมาตย์ราชเสวกและพลนิการได้ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงฝั่งแม่น้ำคงคา พระเจ้าพิมพิสารทรงลุยลงไปในแม่น้ำคงคาจนถึงพระศอเพื่อส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสาวกที่ลงนาวาข้ามแม่น้ำคงคาไป เหล่าอากาศเทวาเบื้องบนก็ชวนกันทำสักการะบูชาตราบเท่าถึงชั้นอกนิฏฐพรหมโลก และพญานาคที่อยู่ในแม่น้ำคงคาพากันมาทำสักการะบูชาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
จากข้อความในอรรถกถานี้ บอกกล่าวว่าพญานาคมีจริง
ที่มา
http://www.phibun.com/wattumkuha ... asawan_005files.php
โดย:
Metha
เวลา:
2013-12-11 00:34
ขอบคุณครับ
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2014-11-27 07:10
โดย:
Nujeab
เวลา:
2014-11-27 15:00
กราบสักการะครับ
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2