Baan Jompra

ชื่อกระทู้: ~ หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ~ [สั่งพิมพ์]

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-17 11:14
ชื่อกระทู้: ~ หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ~
[attach]4708[/attach]

ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร


วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย
ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร



๏ อัตโนประวัติ

“หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร” เป็นพระมหาเถระผู้มีปฏิปทาจริยวัตรอันงดงามยิ่ง ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันโดยไม่ขาด ท่านเป็นพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญในการเจริญสมถะและวิปัสสนากรรมฐานอย่างยิ่งยวด รักในความสงบ สันโดษ มักน้อย พูดน้อย สำรวมระวังกาย วาจา ใจ และฉันอาหารเพียงวันละมื้อเดียว นับเป็นพระอริยบุคคลผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง

หลวงปู่สงฆ์ มีนามเดิมว่า “สงฆ์” เป็นนามที่ชาวกรุงเทพมหานครเรียกชื่อท่านด้วยความเคารพเลื่อมใส นามสกุลไม่ทราบ เพราะท่านไม่ได้บอกใคร เกิดเมื่อวันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ.2433 ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล อันเป็นแผ่นดินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นลูกชาวนาวิสัยใต้ บ้านแหลมนาว อ.สวี จ.ชุมพร โยมบิดาชื่อ นายแดง โยมมารดาชื่อ นางนุ้ย (ไม่ทราบนามสกุล)


โดย: kit007    เวลา: 2013-9-17 11:16
๏ การบรรพชาและอุปสมบท

ชีวิตวัยเด็ก ท่านชอบศิลปะทางฟ้อนรำ และหนังตะลุง เคยแสดงมโนราห์เป็นตัวร้าย ชอบตลก ครั้นเมื่ออายุ 18 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรกับพระอธิการชื่น วัดสวี ต.ปากแพรก อ.สวี จ.ชุมพร อันเป็นวัดใกล้ๆ บ้านเกิดของท่าน เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยอยู่เพียง 2 ปี จึงลาสิกขา ออกไปช่วยเหลือโยมบิดา-โยมมารดาประกอบอาชีพทำงานท้องนาและไร่สวน

เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดสวี จ.ชุมพร  โดยมีพระครูธรรมลังกาวี เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาที่วัดควน (ทึงทั่ง) อ.สวี จ.ชุมพร 1 พรรษา ในระหว่างพรรษาท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติมจนพอรู้แนวทางการดำเนินชีวิตในเพศพรหมจรรย์


๏ การออกเดินธุดงคกรรมฐาน

หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านมีความสนใจทางสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน แต่ในจังหวัดชุมพรไม่มีพระอาจารย์สอนทางด้านนี้เลย ท่านจึงกราบลาพระอุปัชฌาย์และพระอาจารย์ ออกจากจังหวัดชุมพรมุ่งหาพระอาจารย์สอนกรรมฐานในถิ่นอื่นๆ โดยได้ออกเดินทางไปท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะท่านยังไม่รู้จักคำว่า “เดินธุดงค์” ในสมัยนั้น  แต่หลวงปู่สงฆ์มีความแน่ใจว่า การเดินทางอยู่ในป่าดงพงไพรนี้จะต้องพบกับพระผู้ปฏิบัติบ้าง เพราะพระกรรมฐานชอบอยู่ถ้ำผาป่าดงมากกว่าอยู่วัดวาอาราม หลวงปู่สงฆ์รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ รอบด้าน เช่น สัตว์ป่า ไข้ป่า อันดุร้ายไปได้ ก็เพราะแรงใจที่มุ่งปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อพบก็จะมอบตัวเป็นศิษย์ขอฝึกอบรมปฏิบัติพระกรรมฐานด้วยเท่านั้น

หลวงปู่สงฆ์ประสบความสมหวัง เมื่อได้ทราบว่า หลวงปู่รอด (หลวงพ่อทวดรอด) วัดโต๊ะแซ่ หรือวัดโต๊ะแซะ (วัดโฆสิต ในปัจจุบัน) เป็นพระอาจารย์ที่ทรงฌานสมาบัติสูงองค์หนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ท่านจึงได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ ขอฝึกอบรมปฏิบัติพระกรรมฐานอยู่กับหลวงปู่รอด 2 พรรษา และยังมีพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งคือ หลวงพ่อทวดเวียน ซึ่งพบกันขณะเดินธุดงค์

ท่านมีความพากเพียรอย่างคร่ำเคร่ง มีสมาธิแก่กล้าสามารถในทางปฏิบัติมากแล้ว หลวงปู่รอดได้ให้ออกเดินธุดงค์ไปอยู่ตามป่าช้า ตามถ้ำผาป่าดงต่อไป เพื่อความรู้แจ้งในจิตใจ และจะได้ปรารภธรรมตามสติปัญญา หลวงปู่สงฆ์ท่านจึงมีความชำนาญในเรื่องสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยก่อนโน้น ทางภาคใต้นับตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป ครูบาอาจารย์ต่างๆ มักจะสนใจปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้วเดินจิตเล่นฤทธิ์กันเสียโดยส่วนมาก  สำนักเรียนวิชาต่างๆ ภายใน (จิต) สำนักเขาอ้อ มีชื่อเสียงมากในเรื่องนี้ แต่หลวงปู่สงฆ์ก็ดี หลวงปู่หมุนก็ดี ตามที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านสามารถหันเข้ามาดำเนินจิตสู่วิปัสสนากรรมฐานเสีย เพราะเป็นหนทางออกจากความยึดมั่นในอำนาจจิต อำนาจฌาน ได้อย่างสิ้นเชิง เป็นความจริงดังนี้

ต่อมาหลวงปู่สงฆ์ท่านเกิดสติปัญญามองเห็นภัยในวัฎสงสาร ที่มันไม่เที่ยงแท้แปรปรวนหมุนเวียนไม่รู้จบ ท่านเกิดเบื่อหน่าย คิดดำเนินชีวิตในป่าดงพงไพร ปฏิบัติจิตเร่งบำเพ็ญเพียรเพื่อความพ้นทุกข์ การเดินธุดงคกรรมฐานของครูบาอาจารย์นั้น มิใช่ว่าจะเดินไปในที่แห่งหนึ่งแล้วไปในที่อีกแห่งหนึ่ง  พึงรีบเดินเพื่อให้ถึงที่หมายเร็วๆ นั้นหาไม่ แต่การเดินธุดงค์ก็เหมือนการเดินแบบปกติหรือเดินจงกรมนั่นเอง ท่านเดินอย่างมีสติ คือ ขณะที่ก้าวเดินไปนั้น ท่านกำหนดคำบริกรรมหรือพิจารณาธรรมไปเรื่อยๆ โดยไม่นับก้าวแต่อย่างใด ท่านเดินด้วยสติ แม้อะไรจะเกิดขึ้นมาในช่วงนั้น ท่านก็รู้ชัด ไม่มีอาการของจิตแส่ส่ายไปมา เพราะสติเป็นกำลังอันสำคัญขณะบำเพ็ญความเพียร ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน

หลวงปู่สงฆ์ท่านได้อาศัยชีวิตอยู่ในป่าดงเป็นเวลาหลายปี อาศัยโคนไม้ ถ้ำผาต่างๆ เป็นที่พักผ่อน ไม่มีความอาลัยในชีวิตว่าจะสุขหรือทุกข์ ท่านมุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความรู้ธรรม เมื่อรู้ธรรมแล้ว ท่านก็นำธรรมะนั้นมาสอนจิตสอนใจตนเอง ขัดเกลากิเลส ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นสมบัติประจำสันดานมนุษย์ ให้หลุดให้ลอกออกไปจากจิตใจ ชำระจิตใจด้วยธรรมเพื่อความสะอาดหมดจดแห่งชีวิต

หลวงปู่สงฆ์ออกธุดงค์ยาวนาน 7 ปีเศษ เป็นช่วงเวลาแห่งการทรมานกิเลสภายในจิตใจ ท่านไม่เคยออกจากป่าสู่เมืองเลย มีความอดทนค้นคว้าสัจธรรมความเป็นจริงของพระพุทธเจ้า ด้วยชีวิตเป็นเดิมพันท่ามกลางป่าดง ท่านอาศัยภูเขาลำเนาไพรมาโดยตลอด การบิณฑบาตท่านโคจรไปในหมู่บ้านชาวป่า ได้บ้างอดบ้างตามอัตภาพ จนมีความพอดีแก่จิตใจ ปล่อยวางของหนักได้หมดสิ้นแล้วอย่างมั่นใจ ทำให้สภาพจิตสดใสแจ่มแจ้งในธรรมะ  แต่สภาพสังขารดูออกจะเป็นฤาษีชีไพร หนวดเครารุงรัง ผมเผ้ายาว จีวรสบงขาดรุ่งริ่ง นั่งภาวนาในป่า ท่านออกเดินธุดงค์ตั้งแต่ภูเก็ตเข้าเขตประเทศพม่าด้านตะนาวศรี มะริด ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี เข้าเขตกาญจนบุรี สุพรรณบุรี แล้วมุ่งหน้ากลับสู่ชุมพรบ้านเกิด ปักกลดปฏิบัติธรรมแสวงหาความสันโดษใกล้บ้านศาลาลอย  

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-17 11:16
๏ มาพำนักอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย

คล้ายกับวาสนาท่านจะต้องมาอยู่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย มีเรื่องเล่ากันว่า ขณะนั้นมี 2 แม่ลูกออกหาของป่าละแวกวัดร้าง มีนกแก้วบินส่งเสียงร้องว่า “หนักก็วางเสีย”  เป็นสำเนียงนก และบินนำหน้า 2 แม่ลูก ไปจนถึงบริเวณที่พ่อหลวงสงฆ์ปักกลด นกก็บินหายไป 2 แม่ลูกเข้าไปกราบหลวงปู่สงฆ์ และนิมนต์ให้เข้าไปในหมู่บ้าน ซึ่งมีวัดร้างอยู่อีกแห่งหนึ่ง ปัจจุบันก็คือ “วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย”  ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร นั่นเอง

ขณะเดียวกัน กำนันเฉย ในหมู่บ้านนั้นเกณฑ์ชาวบ้านมาปลูกกุฏิเล็กๆ ถวายให้ท่านอยู่ 1 หลัง หลังจากนั้นมาความศรัทธาความเจริญก็บังเกิดแก่หมู่บ้านนี้มาโดยลำดับ ต่อมาหลวงปู่สงฆ์ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำและก่อสร้างวัดเจ้าฟ้าศาลาลอย  ตั้งแต่ปี พ.ศ.2462 เป็นต้นมา จนเจริญรุ่งเรืองในปัจจุบัน


พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย)



ด้วยมีสมณะวิสัยรักในสันโดษ หลวงปู่สงฆ์ไม่ยอมรับตำแหน่งใดๆ ภายในวัด เป็นเพียงประธานสงฆ์ของพระหนุ่มเณรน้อยเท่านั้น ปัจจัยไทยทานอันเป็นสมบัติของสงฆ์ท่านไม่ข้องแวะ ท่านไม่สนใจ และไม่รู้ค่าของเงินด้วยว่ามีมากน้อยแค่ไหน เพราะท่านไม่จับและแตะต้อง ไม่ยินดีในเอกลาภ ชีวิตในสมมติสงฆ์มีเพียงปัจจัยสี่เท่านั้น ท่านมีอายุก็ยืนยาวถึง 5 แผ่นดิน ซึ่ง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (เสด็จเตี่ย) พระบิดาแห่งราชนาวีสยาม ทรงฝากพระองค์เป็นศิษย์ด้วยความเลื่อมใสในบารมีธรรม

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-17 11:17
๏ เทพเจ้าของชาวชุมพร “ผู้มีวาจาสิทธิ์”

หลวงปู่สงฆ์ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระธรรมวินัย ปฏิบัติกับลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านทั่วไปอย่างคงเส้นคงวา มีเมตตาสูงต่อคนและสัพพะสัตว์ที่เดือดร้อน ท่านเมตตาช่วยเหลือแทบทุกรายที่ไปขอความช่วยเหลือตลอดเวลา เสมอต้นเสมอปลาย ท่านได้รับสมญานามว่าเป็น เทพเจ้าของชาวชุมพร “ผู้มีวาจาสิทธิ์” ดังนั้น บรรดาลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมทั้งหลาย มักจะมาชุมนุมกันที่ศาลา ในช่วงเวลาเช้าก่อนไปทำงานเป็นประจำ เพื่อขอวาจาสิทธิ์ของท่าน ถ้าท่านกล่าวคำใดกับใครจะเป็นความจริงตามนั้นเสมอ

ครั้งหนึ่งมีข้าราชการผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เดินทางเข้าไปนมัสการ พร้อมกับนำสัตว์เลี้ยงสี่เท้าไปถวายท่านด้วย หลวงปู่สงฆ์เห็นดังนั้น ได้สอบถามว่า “อ้าว...นั่นเอานกมาทำไมกัน”

ข้าราชการผู้ใหญ่นั้นตอบว่า “ไม่ใช่นกหรอกครับ หลวงปู่”

ว่าแล้วก็เปิดกรงออกเท่านั้น ปรากฏว่าทุกคนต่างตกตะลึงในความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เพราะแทนที่จะเป็นสัตว์สี่เท้าที่จับใส่กรง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่กลับกลายเป็นนกตัวหนึ่ง บินออกมาจากกรงหนีไปทันที บรรดาลูกศิษย์ลูกหาญาติโยมทั้งหลายในวัดต่างพูดกันว่า “นี่เป็นวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่”

ตามปกติ หลวงปู่สงฆ์ชอบใช้ยาเส้น (ยาฉุน) สีปากแล้วอมเอาไว้ ดังนั้น ยาเส้น (ยาฉุน) ที่ท่านใช้แล้วจะกลับกลายเป็นของวิเศษศักดิ์สิทธิ์ ครั้งหนึ่งได้มีชายคนหนึ่งมาหาหลวงปู่ ท่านได้มอบยาเส้นให้ไป เมื่อได้แล้วก็นำเก็บไปไว้ในตู้เซฟ รวมกับเอกสารและทรัพย์สินของมีค่ามากมาย  หลังจากนั้นได้มีขโมยเข้าบ้านชายคนนี้ เมื่อขโมยเปิดตู้เซฟ ต้องเบือนหน้า เพราะภายในตู้เซฟไม่มีสมบัติทรัพย์มีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว มีแต่ยาเส้นกองเต็มไปหมด ไม่มีของมีค่าเลย หัวขโมยจึงต้องหลบหนีกลับไปมือเปล่า

แต่ทว่าหัวขโมยรายนี้ก็ไปไม่รอด โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวและเตรียมดำเนินคดี แต่ไม่มีของกลาง เพราะไม่ได้ทรัพย์สินกลับไป โดยบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า “ในเซฟมีแต่ยาเส้น ใครจะเอาไปทำไม”  ในความเป็นจริงยาเส้นในตู้เซฟนั้นมีเพียงก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น

หลวงปู่สงฆ์ท่านยังมีวิชารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา เคยทำการรักษาโรคของผู้ป่วยทุกคน จนอาการทุเลาดีขึ้น ครั้งหนึ่งมีผู้ป่วยชาวนครศรีธรรมราชที่มีอาการปวดท้องมานาน 10 กว่าปี ไปรักษาที่ไหนตามโรงพยาบาลต่างๆ เสียเงินไปเป็นแสนบาท นายแพทย์เก่งขนาดไหนก็รักษามาแล้ว ที่ไหนว่าเก่งๆ พอเจอโรคบุคคลนี้เข้าไปรักษาไม่หาย ผู้ป่วยจึงได้หอบสังขารชนิดผอมติดกระดูก  เดินทางมาหาหลวงปู่ด้วยความศรัทธา เพื่อขอให้หลวงปู่รักษาโรค โดยได้นำน้ำปลาไปให้ท่านเพ่งกระแสจิตนานกว่า 10 นาที

หลวงปู่นำน้ำปลานั้นมาให้และบอกว่าให้กินน้ำปลานี้แทนยา ด้วยความศรัทธาในองค์หลวงปู่ ผู้ป่วยได้เปิดขวดน้ำปลาดื่มเข้าไป แม้ว่าน้ำปลาจะมีรสเค็ม แต่เวลาน้ำปลาผ่านลำคอไปแล้ว รู้สึกเย็นๆ พอไปถึงท้อง อาการปวดเสียดนั้นหายเป็นปลิดทิ้งทันที และไม่เกิดอาการปวดในภายหลังอีกแต่อย่างใด และมีอาการยิ้มแย้มทันที ผู้ป่วยคนนั้นก็ล้มลงกราบหลวงปู่สงฆ์ด้วยความศรัทธา

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-17 11:18
๏ กิจวัตรปฏิบัติ

เวลา 04.00 น. ไหว้พระทำวัตรเช้า

เวลา 06.10 น. ออกจากห้องเพื่อเตรียมที่จะออกบิณฑบาต ในระหว่างนั้นสามเณรอุปัฏฐากจะขึ้นปฏิบัติ และญาติโยมมากราบขอพร

เวลา 07.00 น. ออกบิณฑบาต เมื่อกลับมาแล้วท่านเข้าห้องไหว้พระอีก

เวลา 09.00 น. ลงหอฉันเพื่อฉันภัตตาหาร เมื่อฉันภัตตาหารและให้พรเรียบร้อยแล้ว ท่านจะพูดคุยกับญาติโยมที่มาทำบุญ หลังจากนั้นท่านกลับขึ้นกุฏิและต้อนรับพุทธศาสนิกชนที่มาจากใกล้และไกลพอสมควร แล้วเข้าห้องพักผ่อน

เวลา 12.30 น. ออกจากห้องเพื่อต้อนรับศรัทธาญาติโยมที่มาขอพร

เวลา 14.00 น. ท่านสรงน้ำแล้วเข้าห้องไหว้พระสวดมนต์

เวลา 16.00 น. ออกจากห้องเพื่อต้อนรับศรัทธาญาติโยมที่มาขอพร

เวลา 18.00 น. เข้าห้องทำกิจภาวนา และให้ภิกษุสามเณรทั้งหมดต้องทำกิจภาวนาด้วยจนถึงเวลา 20.00 น.

เวลา 20.00 น. เสร็จจากทำกิจภาวนาแล้ว ออกจากห้องให้ภิกษุสามเณรขึ้นปรนนิบัติ และเป็นโอกาสที่ท่านให้โอวาทแนะนำสั่งสอน

เวลา 22.00 น. เข้าห้องพักผ่อน

เวลา 24.00 น. ล่วงจากนี้ไปแล้วท่านจะทำกิจภาวนาไปจนถึงเวลา 04.00 น.

* อนึ่ง ถ้าเป็นวันพระกลางเดือนและสิ้นเดือน เวลา 13.00 น. ท่านจะลงอุโบสถพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพื่อสวดและฟังพระปาฎิโมกข์โดยมิได้ขาด


โดย: kit007    เวลา: 2013-9-17 11:18
๏ การมรณภาพ

เมื่อย่างเข้าสู่วัยชรา สังขารมนุษย์จึงกลายเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน หลวงปู่สงฆ์ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนี้ ตั้งแต่ พ.ศ.2462 จนถึงวันอังคารที่  2 สิงหาคม พ.ศ.2526 ตรงกับแรม 9 ค่ำ เดือน 8 ปีกุน  ก่อนหน้านี้หนึ่งวันหลวงปู่ได้ให้คนไป ตามหลวงพ่อคงจากวัดวิสัย ซึ่งเป็นหลานชายของท่านให้มาพบ และกล่าวว่า เมื่อท่านสิ้นขอมอบบาตร, ไม้เท้า และย่ามให้แก่หลวงพ่อคงนำไปเก็บรักษาไว้ด้วย

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2526  ตอนเช้าหลวงปู่ท่านยังรู้สึกตัว มีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่แขนท่าน นอนสงบอยู่บนเตียงที่กุฏิ เวลาประมาณ 10.00 น. เศษๆ ลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดที่มาปรนนิบัติหลวงปู่ เห็นท่านนอนนิ่ง แต่ทว่าน้ำเกลือไหลเปรอะออกมาจึงได้ไปตามหมอมาดู ปรากฏว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปอย่างสงบเสียแล้ว น้ำไม่ได้เข้าสู่ร่างกายเพราะลมหายของหลวงปู่หยุด น้ำเกลือจึงไหลล้นออกมาไม่อาจเข้าสู่ร่างกาย หลวงปู่จากไปอย่างสงบไม่ทราบเวลาที่แน่นอน เพราะท่านนอนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่กระวนกระวายจนผิดสังเกต บรรยากาศ ณ เวลานั้นช่างเงียบเชียบ แม้แต่สายลมยังหยุดนิ่ง ใบไม้ไม่ไหวติง ไม่มีแม้แต่เสียงนก เสียงการ้องเหมือนปกติเช่นเคย แสงแดดส่องประกายเหลืองจ้าผิดปกติจากทุกๆ วัน ทุกสรรพเสียงเงียบเชียบ มีเพียงแต่เสียงฆ้องกลองดังระงมไปทั่ว ซึ่งเป็นการบอกเหตุให้ชาวบ้านได้รับรู้ บ้างต่างก็พากันงุนงงเต็มไปด้วยความสงสัย สับสน มีบ้างที่รู้ถึงข่าวการอาพาธของหลวงปู่ก็เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ถึงลางบอกเหตุของการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่

ดั้งนั้น ทุกคนในบริเวณที่รัศมีเสียงฆ้องกลองสามารถดังถึง ก็รีบมาที่วัดเป็นการด่วน บางคนทิ้งจอบทิ้งเสียมไว้กลางทุ่งนาโดยมิได้นึกถึงสิ่งใด เพราะตอนนี้ทุกคนต่างต้องการมาให้ถึงวัดโดยเร็ว เมื่อมาถึงในบริเวณวัด พอทราบว่าหลวงปู่ท่านได้จากไปเสียแล้ว สร้างความอาลัยเศร้าโศกเสียใจเป็นยิ่งนัก บางคนถึงกับร้องไห้ฟูมฟาย บางคนน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ด้วยคิดว่าตอนนี้ที่พึ่งทางใจได้จากไปเสียแล้ว ต่อไปนี้จะพึ่งใครเพราะตอนสมัยหลวงปู่ท่านยังอยู่ ไม่ว่าจะเจ็บไข้ได้ป่วยหรือเดือดร้อนด้วยเรื่องอันใด ก็จะได้หลวงปู่เป็นที่พึ่งปัดเป่าทุกข์ร้อนต่างๆ ให้สิ้นไป ต่อจากนี้ไปจะหันหาไปพึ่งใครได้อีกเล่า ยิ่งทำให้บรรยากาศในบริเวณวัดวังเวงยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่อยู่ไกลออกไปทราบข่าวคราว ต่างก็พากันมาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยอย่างเนืองแน่นจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อกราบนมัสการสรีระและบำเพ็ญกุศลถวายแด่หลวงปู่สงฆ์

ตั้งแต่เช้าจรดค่ำคืน ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยจะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน บ้างต้องจอดรถยนต์เดินกันเป็นระยะทาง 2-3 กิโลเมตร ในระหว่างงานมีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น คือ หาใช่เพียงแต่ผู้คนไม่ที่มานมัสการสรีระของหลวงปู่ แม้แต่เต่าที่ท่านได้เคยเลี้ยงและได้ปล่อยไปแล้ว ยังกลับมาที่วัดเสมือนว่ามันจะทราบว่าหลวงปู่ได้ละสังขารแล้ว

ในวันที่เต่าปรากฏนั้นเกิดพายุหมุน เล่นเอาสังกะสีหลังคาโรงที่สร้างเอาไว้สำหรับรองรับคนที่มาฟังเทศน์ ฟังการสวดพระอภิธรรม กระจัดกระจาย สังกะสีปลิวว่อนแต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด เต่าตัวนี้มีขนาดประมาณ 15-20 นิ้วเห็นจะได้ เมื่อมาถึงที่ศาลามีคนอุ้มเอาขึ้นไปวางไว้ตรงหน้าหีบศพของหลวงปู่ เมื่อวางเสร็จเต่าตัวนี้ก็ทำหัวผงกๆ จากนั้นก็นิ่ง มีคนเห็นเต่าน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสอง ข่าวนี้กระจายไปทั่วเมืองชุมพร คนก็เลยมาดูเต่ากันมากขึ้น สิ่งที่น่าประหลาด คือ เมื่อนำเต่าออกมาถ่ายรูปหรือจะนำออกมาวางในลักษณะใดก็ตาม พอวางเสร็จซักครู่เต่าก็จะหันหัวกลับไปที่หีบศพทุกครั้ง แล้วกลับไปนอนนิ่งใต้หีบศพของหลวงปู่

ความแปลกยังมีอีก จนกระทั่งถึงวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2526 จากจำนวนเต่า 1 ตัวแรก กลายเป็น 9 ตัว เพราะมีเต่าเพิ่มมาอีก บางตัวมาปรากฏอยู่หน้าลานวัด บางตัวชาวบ้านจับเอามาส่งที่วัด   เพราะเขาเล่าว่าตอนขณะที่พวกเขาจะเดินทางมานมัสการหลวงปู่ เต่าได้ออกมาขวางหน้ารถ  คล้ายกับว่าจะให้พามันมานมัสการหลวงปู่ด้วยนั่นเอง ที่เป็นอย่างนี้เพราะเหตุว่าเมื่อตอนหลวงปู่ยังอยู่นั้นหากชาวบ้านพบเต่าคลานอยู่หรือว่าจับได้ ก็จะนำมาถวายหลวงปู่ที่วัด ท่านก็จะเอาสีเขียนทาลงไป เขียนชื่อท่านบ้าง เขียนชื่อวัดบ้าง บางตัวก็จะมีอักขระขอม เป็นที่รู้กันว่านี่คือเต่าของหลวงปู่ เป็นเต่าพันธุ์เต่าหก มีลักษณะ 6 ขา เป็นเต่าพันธุ์เฉพาะถิ่นในแถบเมืองชุมพรนี้ บางตัวหากจะยกต้องใช้ผู้ชายกำลังดีๆ ถึง 4 คนจึงจะยกได้

มีเรื่องแปลกอีกว่า หลวงปู่ไปเข้าฝันชายคนหนึ่งแถวบ้านสามแก้ว ว่าให้ไปช่วยลูกของท่านที่ตกบ่อด้วย ชายคนนั้นไปดูตามบ่อต่างๆ ก็พบเต่ากำลังตะเกียกตะกายจะขึ้นจากบ่อมาให้ได้ เขาก็ช่วยมาจากบ่อ พอดูที่กระดองเต่าก็เห็นอักษรเขียนว่า ว.ศ.ล. คือ เป็นตัวย่อของวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนั่นเอง ก็เลยนำมาที่วัด มีชาวบ้านที่ได้มานมัสการหลวงปู่ เมื่อมาพบเห็นเต่าก็นำไปตีเป็นตัวเลข นำไปแทงหวย ในงวดวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2526  ถูกกันเกือบทั้งเมืองชุมพร ข่าวเรื่องเต่าของหลวงปู่เป็นที่เกรียวกราวมากในจังหวัดชุมพร


โดย: kit007    เวลา: 2013-9-17 11:19
หลวงปู่สงฆ์ท่านได้เข้าพำนักอยู่ประจำที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนี้ ตั้งแต่ พ.ศ.2462 จนถึงวันอังคารที่  2 สิงหาคม พ.ศ.2526 ตรงกับแรม 9 ค่ำ เดือน 8 ปีกุน เวลาประมาณ 10.00 น. เศษๆ หลวงปู่สงฆ์ได้มรณภาพลงอย่างสงบ สิริอายุได้ 94 ปี 3 เดือน 2 วัน รวมเวลาที่ท่านพำนักอยู่ที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยทั้งสิ้น 64  ปี

ทางคณะสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพของ “หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร” ตั้งแต่วันที่ 2-16 สิงหาคม พ.ศ.2526  และได้ทำพิธีปิดศพในคืนวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2526  หลังจากนั้นทุกๆ คืนจะมีการสวดพระอภิธรรมโดยพระภิกษุสงฆ์ภายในวัด และโดยเฉพาะในวันอังคารซึ่งกับวันคล้ายวันเกิดและวันมรณภาพของหลวงปู่ท่าน จะมีการสวดพิเศษคือการสวดในบทอานัตลักขณสูตรและอาทิตปริยายสูตร สลับกันไปทุกๆ วันอังคารของแต่ละสัปดาห์ และจะมีการสวดครบรอบวันมรณภาพในแต่ละปี ซึ่งตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม ของทุกๆ ปี โดยจะมีการนิมนต์พระเถระชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดชุมพรมาสวดเป็นประจำทุกๆ ปี

ปัจจุบัน สรีระสังขารของหลวงปู่ได้ตั้งประดิษฐานอยู่บนศาลา 100 ปี ศาลาธรรมสังเวช วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย เพื่อให้คณะศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปได้กราบสักการบูชา แม้ท่านจะมรณภาพรูปกายแตกดับ แต่ท่านยังคงเป็นเทพเจ้าของชาวชุมพรตลอดไป

หลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร เป็นพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีจริยวัตรอันงดงาม ปฏิบัติธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่ต้นจนหลวงปู่มรณภาพ อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันโดยไม่ขาด ด้วยปฏิปทานี้จึงเป็นที่เคารพศรัทธาในบารมีของหลวงปู่ ซึ่งกิจวัตรของหลวงปู่เป็นกิจวัตรที่เคร่งครัดยากที่พระสงฆ์รูปอื่นจะปฏิบัติตามได้


สรีระสังขารของหลวงปู่สงฆ์ จนฺทสโร
ประดิษฐานอยู่บนศาลา 100 ปี ศาลาธรรมสังเวช
วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ต.บางลึก อ.เมือง จ.ชุมพร




.............................................................

รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
1. หนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก คอลัมน์ พระเครื่อง คม ชัด ลึก
ฉบับวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2549
2. http://www.chumphontour.com/history/wat ... oi_01.html
3. http://www.geocities.com/thaimedicinecm/loungpusong.htm                                                                                       
.....................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22333


โดย: taratip    เวลา: 2013-9-17 11:21
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย taratip เมื่อ 2013-9-17 11:23









นำภาพบรรยากาศในวัดมาให้ชมครับ

โดย: AUD    เวลา: 2013-9-17 14:01

โดย: sritoy    เวลา: 2013-9-17 17:25
สาธุกราบหลวงปู่ครับ
โดย: oustayutt    เวลา: 2013-9-17 19:21
กราบหลวงปู่ครับ
โดย: sriyan3    เวลา: 2013-9-18 08:33
กราบหลวงปู่เจ้าข้า
โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:03
หลวงปู่สงฆ์
พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  วัดศาลาลอย  จังหวัดชุมพร

เรื่อง คุณครููจีระพันธุุ์  เจียระนัย
ภาพ  ลุงบูลย์



บวช เป็นสามเณร เมื่ออายุ ๑๘ ปี  ที่วัดสวี  พออายุครบอุปสมบท  จึงอุปสมบทที่วัดควน อำเภอสวี ได้รับฉายาว่า “จนฺทสโร” หรือ สงฆ์   จันทะสะโร ท่านสนใจการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน  โดยได้ปฏิบัติตั้งแต่ยังไม่บวช

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:03



แต่ ในวัดไม่มีพระอาจารย์สอนวิชาสมถวิปัสสนา   พระสงฆ์จึงลาพระอุปัชฌาย์เดินทางไปแสวงหาพระอาจารย์ การเดินทางลำบาก   มีแต่ทางเรือ กับทางเดินในป่า ชาวบ้านต้องมีอาวุธมีดพร้า  ไว้ป้องกันตัวและใช้ถาง ริดกิ่งไม้ เถาวัลย์  แต่พระห้ามมีมีดพร้าหรืออาวุธ  จึงต้องเดินมุดลอดพงหนาม เดินด้วยเท้า  ไปมืดค่ำที่ไหนก็ปักกลดนอนพักที่นั่น  จนไปถึงเกาะภูเก็ต

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:04




พระ สงฆ์ได้สมัครเป็นศิษย์  ของพระอาจารย์รอด  สอนวิชาวิปัสสนากรรมฐานที่วัดโต๊ะแซ สมัยนั้นยังเป็นวัดป่า  (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโฆสิตวิหาร)   พระสงฆ์ได้ฝึกปฏิบัติวิปัสสนาที่วัดนี้ พอออกพรรษา  ก็คิดว่าตนมีความสามารถพอที่จะออกไปเดินธุดงค์ต่อ จึงขออนุญาตพระอาจารย์  แต่พระอาจารย์ไม่อนุญาต  รออยู่จนพรรษาที่ ๓  จึงไปขออนุญาตอีก   คราวนี้พระอาจารย์อนุญาตและพูดว่า
“ไปแล้วอย่ามาอีก  ฉันไม่ใช่อาจารย์ที่แท้จริงของคุณ  อาจารย์ที่แท้จริงของคุณอยู่ที่ท่าข้าม  พุนพิน แล้วพระอาจารย์ก็บอกทางลัดให้  “พอขึ้นจากเรือที่ฝั่งแล้ว   ให้เดินตรงไปที่ภูเขาสูง  จะมีผู้รออยู่และนำทางคุณไป”


พระสงฆ์จึงออกจากวัดโต๊ะแซ  เดินเท้ามาตามทางเดิม  แวะหยุดพักปักกลดมาเป็นระยะ  ใช้เวลาเป็นเดือน   กว่าจะมาถึงที่ข้ามฟากจากเกาะภูเก็ตมาสู่ฝั่งพังงา  (ปัจจุบันคือ  ท่าฉัตรชัยกับท่านุ่น)  อันเป็นที่ ๆ แคบที่สุดของทะเลที่ขวางกั้น   ระหว่างเกาะภูเก็ตกับแผ่นดินพังงา  
พระสงฆ์ขออาศัยเรือชาวบ้านข้ามฝั่งแล้วก็หมายตายอดเขา   ถึงเชิงเขาเป็นเวลาใกล้ค่ำ  จึงเตรียมกางกลด เพื่อพักผ่อน พลางนึกในใจว่า   ในป่าในเขาแถบนี้ ไม่มีบ้านเรือนของผู้คน   แล้วจะไปพบผู้นำทางที่พระอาจารย์บอกได้ที่ไหน   แต่พระหนุ่มสงฆ์ยังไม่ทันจะได้ปักด้ามกลด  ลงดินก็ได้ยินเสียงดังสวบสาบมาจากป่า

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:04



พอหันไปมองก็เห็นช้างพลาย (ช้างตัวผู้)  รูปร่างสง่างามสูงใหญ่   กำลังใช้งวงจับรูดใบไผ่และยอดไผ่อ่อนใส่ปากเคี้ยว  พอเห็นพระหนุ่ม  ช้างโบกหูอันใหญ่โตขึ้นลง ๓ หน พร้อมชูงวงชี้มาที่พระ แล้วผงกหัวขึ้นลงอีก ๓  ครั้ง แสดงความเคารพ  จากนั้นก็หันไปสนใจกับยอดไม้ต่อ   พระหนุ่มสงฆ์พิจารณาแล้วก็นึกว่า   คงเป็นผู้นำทางตามที่พระอาจารย์ว่าไว้แน่ๆ
คืนนั้นพระหนุ่มนั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในกลด  โดยมีช้างคอยอารักขา   แต่พอรุ่งเช้า พระหนุ่มเก็บกลดเสร็จ  ยังไม่ทันจะได้หาลูกไม้ฉัน   ช้างป่าก็ออกเดิน  ทำให้พระหนุ่มต้องรีบเดินตามช้างเชือกนั้นไป

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:04



ช่วงเวลาที่พระสงฆ์เดินทางออกมาจากวัดโต๊ะแซ  พระอาจารย์รอดอาพาธแล้วก็มรณภาพ ส่วนพระสงฆ์ ช้างพาเดินขึ้นเขา ลงห้วย  จนไม่มีเวลาแม้แต่จะหาผลไม้ขบฉัน  พอช้างหยุดเดิน ช้างกินใบไผ่  กินหยวกกล้วย  แต่พระสงฆ์เลยเพลฉันอะไรไม่ได้ก็ต้องอด  อาศัยการเจริญภาวนาทำให้พระหนุ่มสงฆ์ไม่อ่อนเพลีย  จนล่วงเข้าบ่ายวันที่ ๓   ขณะเดินอยู่บนเชิงเขา  พระหนุ่มจึงเห็นหลังคาบ้านหลายหลังอยู่เบื้องล่าง   ช้างนำทางก็หยุดหันหน้าไปทางหมู่บ้าน โบกใบหูขึ้น ๓ ครั้ง   ก่อนจะหันกลับไปสู่ทิศทางเดิม



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:05
พระสงฆ์สวดอวยพรขอบคุณช้าง  แล้วเดินลงไปที่หมู่บ้าน   สอบถามชาวบ้านถึงทางที่จะไปบ้านท่าข้าม   ชาวบ้านในแต่ละหมู่จึงช่วยนำทางต่อให้เป็นระยะ ๆ จนถึงบ้านท่าข้าม  อำเภอพุนพิน  จังหวัดสุราษฎร์ธานี   ลงเรือข้ามไปยังฝั่งด้านเหนือของแม่น้ำตาปี   พบชายคนหนึ่งเดินแบกไม้สวนทางมาจึงถาม  “แบกไม้ไปทำอะไรโยม?”
“เอาไปทำเพิงให้พระเผื่อฝนตกจะได้ไม่เปียกขอรับ”  ชายคนนั้นตอบ
ตอน แรกพระสงฆ์กะจะทักทายเพื่อถามเส้นทาง  แต่พอได้ยินชายแบกไม้พูดถึงพระ   ทำให้พระสงฆ์เกิดฉุกคิดขึ้นมา หรือว่าจะเป็นพระที่อาจารย์ให้มาหา



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:05
พระสงฆ์จึงเดินตามชายคนแบกไม้ไป   ก็ไปพบพระธุดงค์วัยกลางคน  ชื่อหลวงพ่อเวียน  จึงขอมอบตัวเป็นศิษย์   แต่หลังจากฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน  กับหลวงพ่อเวียนได้ ๓ วัน   หลวงพ่อเวียนก็บอกว่า  
“น้องเจ้ารออยู่ที่นี่นะ  หลวงพี่จะไปทำธุระสักพัก”
หลวงพ่อเวียนไม่ได้บอกจุดหมายให้ลูกศิษย์รู้ว่าไปไหน  จน ๑  เดือนผ่านไปหลวงพ่อเวียนก็ไม่กลับ   พระสงฆ์ไม่รู้จะไปตามหาหลวงพ่อเวียนได้ที่ไหน   จึงเดินธุดงค์ขึ้นเหนือก็ไม่พบพระอาจารย์   พระสงฆ์เลยตั้งใจว่าจะไปให้ถึงจังหวัดสระบุรี  เพื่อกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท
ตอนผ่านหมู่บ้านหนองไม้เหลือง เขตจังหวัดเพชรบุรี



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:05
โจรป่าคนหนึ่งเห็นพระเดินมารูปเดียว ก็คิดว่าในบาตร น่าจะมีข้าวของมีค่า   เพราะที่ผ่าน ๆ มา เคยปล้นพระได้ทรัพย์สินทองที่ติดตัวพระมากมาย   แต่พระสงฆ์มีร่างสูงใหญ่  โจรกลัวว่าถ้าเข้ายื้อแย่งเอา   คงสู้กำลังของพระไม่ได้  จะวิ่งไปตามหัวหน้าโจรและพวกมาช่วย   ก็กลัวจะล่าช้า  จึงวิ่งไปดักหน้า ใช้มีดและดาบคม  ฝังลงไปในทางเดินที่มีดินปนทราย โดยหงายเอาคมขึ้น   กะให้พอดีกับระยะจังหวะก้าวย่าง  และใช้ใบไม้แห้งโรยพรางตาไว้อีกชั้นหนึ่ง   คิดว่าพอพระสงฆ์เหยียบมีด ดาบ เท้าเป็นแผลเจ็บ ก็จะเข้าแย่งบาตรและย่ามไป

พระสงฆ์ได้เดินเหยียบคมมีดดาบนั้น  โดยไม่เป็นอันตราย  ทำให้โจรผิดหวัง  รีบไปคว้าดาบขึ้นมาใหม่แล้ววิ่งไล่ตาม  พอไล่ทันก็เงื้อดาบขึ้นจะฟัน   แต่พอจะฟันก็เกิดอาการเข่าอ่อนยืนไม่ไหวต้องทรุดตัวลง  เหมือนขาไม่มีแรง  โจรพยายามลุกขึ้นใหม่จะฟันอีกหลายครั้ง  แต่ทุกครั้งก็เข่าอ่อนฟันไม่ได้   สุดท้ายก็วิ่งไปดักหน้าร้องถามว่า
“ท่านมีของดีอะไร  ทำไมมีดดาบจึงไม่ทำอันตรายแก่ท่าน?”
พระ สงฆ์ตอบ “เรามีดีที่ใจ”  (ไม่มีโลภ โกรธ หลง)  มีแต่ชีวิตที่อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนา  พาตนเองให้พ้นจากทุกข์   และเพื่อสอนคนอื่นให้พ้นจากทุกข์



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:06
โจรเห็นเป็นอัศจรรย์  คิดว่าพระมีของดีโจรอยากได้ของดี  จึงนิมนต์ท่านไปพักในชุมโจร  หัวหน้าโจรเห็นพระเดินมากับสมุนของตน   ก็คิดว่าสมุนพาพระมาให้ตนปล้นทรัพย์  พอพระเดินขึ้นไปบนบ้าน   หัวหน้าโจรตรงเข้ามาแย่งย่ามและบาตร   พระสงฆ์อยากจะสั่งสอนหัวหน้าโจรให้สำนึกบาปกรรม   จึงจับหัวหน้าโจรยกขึ้นแล้วโยนไปในดงหนามข้าง ๆ บ้าน  คืนนั้น     ทั้งคืนไม่ว่าพวกสมุนโจร   จะพยายามช่วยกันถางพงหนามเพื่อที่จะเอาตัวหัวหน้าโจรออกมา   ก็เอาออกมาไม่ได้  พระสงฆ์ปล่อยให้หัวหน้าโจรนอนร้องโอดโอยอยู่ในพงหนาม  เพื่อดัดนิสัยจนรุ่งเช้า  พอรุ่งเช้า   พระสงฆ์บอกสมุนโจรให้ไปเอาหัวหน้าออกมา   หัวหน้าโจรก็ออกมาจากดงหนามได้อย่างง่ายดาย   ทำให้หัวหน้าโจรยอมกราบไหว้นับถือ   และพระสงฆ์ก็ได้เทศนาสั่งสอนให้โจรกลุ่มนั้น หันกลับมาเป็นคนดี   แล้วพระสงฆ์ก็ออกเดินทางต่อไป จนไปถึงจังหวัดสระบุรี   แต่ระหว่างทางช่างลำบากยิ่งนัก ต้องเดินเท้าเปล่าบุกป่าขึ้นเขา ลงห้วย  ลงเหว  ข้ามลำธาร บาง



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:06
ตอนน้ำลึกและเชี่ยว แถมมีไข้ป่าคอยคุกคาม   แต่พระสงฆ์เคยเรียนรู้ทางหมอยาพื้นบ้านมาก่อน  จึงรู้ว่าพืชชนิดใดเป็นยาสมุนไพร  นอกจากนั้นยังต้องผจญภัย  กับพวกสัตว์ป่า  หมี เสือ งูพิษและสัตว์ร้ายอีกนานา  ระหว่างหยุดพักปักกลดนั่งทำสมาธิ   มีสัตว์ร้ายมาส่งเสียงข่มขู่จะเอาพระสงฆ์เป็นอาหารก็หลายครั้ง   แต่พระสงฆ์มีสมาธิแก่กล้า  พวกสัตว์ป่าจึงได้แต่ส่งเสียงขู่คำราม   มีเสือตัวหนึ่งคอยมาเดินวนรอบ ๆ กลด  พระสงฆ์นำน้ำใส่บาตรวางไว้หน้ากลด   เสือกินน้ำในบาตรแล้วก็หายดุร้าย  เดินหายเข้าป่า ไม่มารบกวนอีก   
คืน หนึ่งขณะที่พระสงฆ์กำลังเข้าสมาธิเจริญภาวนา  พระสงฆ์รู้สึกว่า  มีตัวงูใหญ่และหนัก เคลื่อนขึ้นทับขาซ้าย แล้วเคลื่อนไปยังขาขวา    แต่ท่านก็ยังสงบจิตนิ่งอยู่อย่างนั้น  จนงูพันรอบสะเอว พันลำตัว  ส่วนหัวและจมูกของงู  มาจ่ออยู่ตรงหูของท่าน



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:06
งูเหลือมเป็นสัตว์เลือดเย็น  มีลำตัวยาว สามารถกลืนกวาง หรือคนได้ทั้งตัว   เพราะปากและขากรรไกรยืดได้  สามารถอ้าปากได้กว้าง  ปรกติงูเหลือมจะแอบซุ่มอยู่บนคาคบไม้  รอคอยจังหวะให้เหยื่อเดินมา  แล้วมันก็ทิ้งตัวลงจากต้นไม้  ใช้ร่างอันยาวรัดกายเหยื่อม้วนพันไปรอบ ๆ  
แม้ งูเหลือมจะไม่มีพิษ  แต่เมื่อรัดร่างของเหยื่อมันจะมีพลังมาก  รัดแน่นจนเหยื่อกระดูกแตก จากนั้นมันจึงค่อยๆ  กลืนเหยื่อจากด้านศีรษะเข้าไปก่อน  จนเหยื่อหายเข้าไปอยู่ในท้องของมัน   จากนั้นมันก็นอนอยู่นิ่ง ๆไม่กินอาหารอะไรอีก เป็นเดือน ๆ   พระสงฆ์ไม่ขยับกาย  แต่แผ่กุศลให้และคิดในใจว่า   หากเคยทำกรรมไว้กับงูเหลือม  ท่านขอมอบชีวิตให้   แต่ถ้าไม่เคยมีกรรมเวรต่อกัน  ขอให้งูจงอย่าสร้างกรรมแก่ท่าน  ปรากฏว่าอีกครู่เดียว  งูเหลือมค่อย ๆ คลายตัวเลื้อยลงจากท่านแล้วก็หายไป   
หลังจากเข้าไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทที่สระบุรีเสร็จ   พระสงฆ์คิดต่อไปว่า ควรจะไปกราบนมัสการพระแก้วมรกตที่วัดพระแก้ว   จังหวัดพระนครด้วย  จะได้ไม่เสียเที่ยวที่อุตส่าห์เดินทางมา



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:06
ตอนที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดพระนคร (กรุงเทพมหานคร)   พระหนุ่มปักกลดอยู่ใกล้บ้านตาและยายคู่หนึ่ง  สองตายายจัดทำอาหารมาถวาย   และตากับยายถามท่านว่า  
“เมื่อคืนหลวงพ่อฝันอะไรบ้าง” พระสงฆ์ตอบซื่อ ๆ ว่า  “ฝันเห็นเสือ”
สองตายายเอาความฝันของพระสงฆ์ไปซื้อหวยรัฐบาล สมัยนั้นมี “หวย ก- ข” ( ก  ไก่ ถึง ฮ นกฮูก) สองตายายซื้อตัว ส  ปรากฏว่าหวยออกมาเป็นตัว ส  สองตายายถูกหวย  ได้เงิน(เหรียญ)กลับมาบ้าน ๓ ขันเต็ม ๆ   ตายายแบ่งเงินส่วนหนึ่งถวาย พระสงฆ์บอกว่า  พระไม่รับเงินและทอง   และไม่ส่งเสริมให้เล่นการพนัน เพราะเป็นประตูนรก (อบายมุข)   แต่สองตายายรู้ว่า  หลวงปู่จะกลับไปชุมพรทางเรือ   จึงนำเงินค่าโดยสารไปให้นายท้ายเรือสำเภา   และเรือสำเภาก็มาเทียบท่าที่ปากน้ำชุมพร



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:07
เมื่อขึ้นจากเรือ พระสงฆ์เดินธุดงค์ไปยังบ้านปลายคลองน้อย  อำเภอสวี   ตอนนั้นยังเป็นป่าเขากันดาร ไกลความเจริญ   พระสงฆ์ไปปักกลดอยู่ในราวป่าใกล้หมู่บ้าน  เช้าก็ออกไปบิณฑบาต  ไม่มีผู้ใดถวายอาหารเลย   ท่านคิดว่าเป็นเพราะชาวบ้านไม่รู้ว่าจะมีพระมาบิณฑบาต   วันแรกจึงไม่ได้ฉันอาหาร  วันรุ่งขึ้นพระสงฆ์ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านอีก   พอเห็นพระชาวบ้านพากันปิดประตู  แต่แทนที่พระสงฆ์จะรีบไปหมู่บ้านอื่น   กลับมีความคิดว่า ถ้าปล่อยให้ชาวบ้านไม่รู้จักพระ  ชาวบ้านจะทำแต่บาปกรรม  อนาคตจะตกนรกหมกไหม้  ซึ่งน่าสงสารมาก  และถ้าท่านท้อถอย   ใครจะสอนให้ชาวบ้านรู้จักบาป -บุญ   พระสงฆ์จึงตั้งใจว่าจะต้องทำให้ชาวบ้านรู้จักทำบุญให้จงได้
ท่านเข้าไปบิณฑบาตซ้ำ ๆ อยู่ ๖ วัน  ตลอด ๖ วัน  ไม่ได้รับอาหารจากชาวบ้านเลย  ปรกติตอนที่ท่านยังเดินธุดงค์อยู่ในป่าลึก   ท่านอาศัยผลไม้ในป่าและน้ำในลำธาร  ทำให้รอดชีวิตมาได้   แต่ตอนนี้มีหมู่บ้าน  ท่านจึงตั้งจิตมั่นว่า   ถ้าชาวบ้านไม่ใส่บาตรท่านก็จะไม่ยอมฉันสิ่งใด
เช้าวันที่ ๗   ท่านพาร่างกายอันอิดโรย เข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านอีก   คราวนี้ชาวบ้านคนหนึ่งถวายข้าวสุกมา ๓ ช้อนทัพพี    เมื่อกลับมาถึงกลดท่านจึงฉัน  พอข้าวมื้อแรกตกถึงท้อง   พระสงฆ์เกิดอาการหน้ามืดแล้วสลบไป  จนบ่ายจึงฟื้นขึ้น  



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:07
เช้าวันที่ ๘ พระสงฆ์ออกไปบิณฑบาตในหมู่บ้านอีก   คราวนี้ชาวบ้านต่างพากันทำบุญใส่บาตร  ด้วยอาหารหวานคาวจนล้นบาตร   ตอนเย็นก็ยังมีชาวบ้านนำน้ำปานะ (น้ำผลไม้) มาถวาย   ท่านจึงได้มีโอกาสแสดงธรรม   ให้ชาวบ้านรู้จักเคารพกราบไหว้และนับถือพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า  
พอออกจากหมู่บ้านปลายคลองน้อย  พระสงฆ์มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านเขาปีบ ที่ ๆ  เคยพบพระอาจารย์เวียน  พระสงฆ์ได้พบชายกำลังตัดไม้อีก  ถามชายคนนั้นว่า  ตัดไม้ไปทำอะไร ชายตัดไม้ตอบว่า ตัดไปทำที่พักให้พระ พระอยู่ที่ไหน   ชายตัดไม้ชี้มือบอกว่า ถ้าจะไปตามผมมา
พระสงฆ์เดินตามชายตัดไม้  ไปพบหลวงพ่อเวียน  พระอาจารย์ที่ท่านกำลังตามหามา ๗ ปีกว่า นั่งอยู่ในกลด



โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:07
หลวงพ่อเวียนถามพระสงฆ์ว่า “เป็นยังไงคอยนานไหม?”
หลวงปู่สงฆ์ (ขณะนี้อายุมากขึ้นจึงขอเรียกว่าหลวงปู่สงฆ์) เล่าให้หลวงพ่อเวียนฟังว่า ตลอด ๗ ปีที่เฝ้าตามหาอาจารย์ ท่านได้ธุดงค์ไปเจอะเจออะไรบ้าง ส่วนพระอาจารย์เวียนก็เล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ได้เดินธุดงค์ไปเมืองตะนาวศรี ไปเมืองมะริด ไปเมืองย่างกุ้งของประเทศพม่า แล้วก็ย้อนกลับมาทางเดิม เพิ่งมาถึงวันนี้เช่นกัน ทั้งอาจารย์และศิษย์ต่างหัวเราะให้กัน ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า พระอาจารย์เวียนรู้อยู่แล้วว่า การปฏิบัติของหลวงปู่สงฆ์อยู่ในระดับขั้นไหน จึงไม่จำเป็นต้องอบรมสั่งสอนอะไรอีก
จากนั้นทั้งหลวงปู่สงฆ์และพระอาจารย์เวียน ก็อยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกันที่บ้านเขาปีบ ช่วยกันเผยแพร่ธรรมะและสั่งสอนชาวบ้าน ให้รู้จักละเว้นความชั่ว ถือศีลและปฏิบัติธรรม จนกระทั่งพระอาจารย์เวียนมรณภาพ
หลวงปู่สงฆ์จึงย้ายมาจำพรรษาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ส่วนเรื่องวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่สงฆ์ มีมากมายหลายเรื่อง แต่จะเล่าสัก ๒ เรื่อง

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:08




เรื่อง ที่ ๑ ครั้งหนึ่งทางราชการจังหวัดชุมพร  ได้นิมนต์พระสงฆ์และพระเถระหลายรูป  จากวัดต่าง ๆ มาที่ศาลากลาง เพื่อร่วมในพิธีถวายพระพรชัย   ต้อนรับในหลวงและสมเด็จ พระบรมราชินี ที่จะเสด็จมาเยี่ยมราษฎรชาวชุมพร  ขณะนั้นใกล้เวลาที่ในหลวง หรือพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาถึง   บรรดาพระสงฆ์และพระเถระจากวัดต่าง ๆ ได้พากันมาถึงที่บริเวณพิธีหมดแล้ว   ยังขาดแต่พ่อหลวงสงฆ์หรือหลวงปู่สงฆ์ที่ยังไม่มา   ทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อนใจเป็นอันมาก
ข้าราชคนหนึ่งจึงถูกส่งไปให้ไปนิมนต์หลวงปู่สงฆ์ ที่วัดศาลาลอยให้รีบมา   แต่หลวงปู่สงฆ์กลับบอกแก่ข้าราชการที่ไปตามว่า “วันนี้ในหลวงยังไม่เสด็จ   ถ้าในหลวงเสด็จมาเราจึงจะไป”  



แล้ว ท่านก็นิ่งเฉยเสีย ทำความไม่พอใจให้กับข้าราชการคนนั้นมาก   เนื่องจากสำนักพระราชวังได้มาเตรียมจัดสถานที่ประทับไว้พร้อมแล้ว  ข้าราชการจึงกลับไปแจ้งกับผู้ว่าราชการจังหวัด   ผู้ว่าราชการจังหวัดคิดในใจว่า หลวงปู่สงฆ์แก่มากแล้วจึงเลอะเลือน  เมื่อไม่มาก็ตามใจท่าน  จนกระทั่งถึงกำหนดเวลาที่ในหลวงจะเสด็จ  
การเสด็จของในหลวงครั้งนั้น  จะเสด็จจากจังหวัดนราธิวาสมาจังหวัดชุมพร  โดยทางเฮลิคอปเตอร์  ขณะที่ข้าราชการจังหวัดชุมพรต่างยืนรอรับเสด็จ   ก็ได้รับวิทยุจากจังหวัดนราธิวาส  แจ้งว่า
“ล้นเกล้า ฯ ทั้งสองพระองค์ไม่สามารถจะเสด็จมาได้  เพราะทัศนวิสัยไม่ดี ท้องฟ้ามืดมิดเต็มไปด้วยเมฆฝน และกระแสลมแรงจัด”
เป็นอันว่าวันนั้น  ในหลวงไม่ได้เสด็จมาชุมพร  แต่เสด็จมาในวันอื่น   เป็นเรื่องที่ชาวชุมพรพูดถึงกันเสมอเมื่อเล่าถึงเรื่องวาจาสิทธิ์ของหลวงปู่ สงฆ์
“อีกครั้งหนึ่งมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่   ไปเยี่ยมกราบไหว้หลวงปู่สงฆ์ พร้อมกับนำสัตว์เลี้ยงสี่เท้า  ใส่กรงไปถวาย   ในเรื่องไม่ได้บอกว่าเป็นสัตว์อะไร แต่หลวงปู่สงฆ์ไม่เลี้ยงสัตว์แบบขังกรง   ท่านต้องการให้สัตว์ได้อยู่ตามธรรมชาติจึงพูดว่า “นั่นโยมเอานกมาทำไม?”  ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนนั้นรีบพูดแย้งว่า
“ไม่ใช่นกหรอกครับหลวงปู่แต่เป็น...”

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:08




ว่า แล้วก็เปิดกรงที่นำมาจะให้หลวงปู่ดูสัตว์ชนิดนั้น (บางคนว่าเป็นกระต่าย)  แต่พอเปิดกรงนกตัวหนึ่งก็บินปร๋อออกจากกรงไป   ทุกคนที่มาด้วยกับข้าราชการท่านนั้น  ต่างพากันตกตะลึงในความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-18 12:09
ตามปกติ หลวงปู่สงฆ์ชอบใช้ยาเส้น (ยาฉุน) สีปากแล้วอมเอาไว้ ดังนั้น ยาเส้นที่ท่านใช้แล้ว จะกลับกลายเป็นของวิเศษศักดิ์สิทธิ์ ครั้งหนึ่ง ได้มีคนมาหาหลวงปู่ ท่านได้มอบยาเส้นให้ไป เมื่อได้แล้วก็นำเก็บไปไว้ในตู้เซฟ รวมกับเอกสารและทรัพย์สินของมีค่ามากมาย

หลังจากนั้น ได้มีขโมยเข้าบ้านชายคนนี้ เมื่อขโมยเปิดตู้เซฟ ต้องเบือนหน้า เพราะในตู้เซฟไม่มีสมบัติทรัพย์แม้แต่ชิ้นเดียว ภายในเซฟมีแต่ยาเส้นกองเต็มไปหมด ไม่มีของมีค่า จึงต้องหลบหนีกลับไปมือเปล่า

แต่ทว่า หัวขโมยนี้ก็ไปไม่รอด โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวและเตรียมดำเนินคดี แต่ไม่มีของกลาง เพราะไม่ได้ทรัพย์สินกลับไป โดยบอกกับตำรวจว่า “ในเซฟมีแต่ยาเส้น ใครจะเอาไปทำไม” ในความเป็นจริง ยาเส้นในตู้เซฟนั้น มีเพียงก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น



หลวงปู่สงฆ์ ยังมีวิชารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นานา เคยทำการรักษาโรคของผู้ป่วยทุกคน จนอาการทุเลาดีขึ้น ครั้งหนึ่ง มีผู้ป่วยชาวนครศรีธรรมราชที่มีอาการปวดท้องมานาน 10 กว่าปี ไปรักษาที่ไหนตามโรงพยาบาลต่างๆ เสียเงินไปเป็นแสนบาท นายแพทย์เก่งขนาดไหนก็รักษามาแล้ว ที่ไหนว่าเก่งๆ พอเจอโรคบุคคลนี้เข้าไป รักษาไม่หาย ผู้ป่วยจึงได้หอบสังขารชนิดผอมติดกระดูก เดินทางมาหาหลวงปู่ด้วยความศรัทธา เพื่อขอให้หลวงปู่รักษาโรค โดยได้นำน้ำปลาไปให้ท่านเพ่งกระแสจิตนานกว่า 10 นาที

หลวงปู่นำน้ำปลานั้นมาให้และบอกว่าให้กินน้ำปลานี้แทนยา ด้วยความศรัทธาในองค์หลวงปู่ ผู้ป่วยได้เปิดขวดน้ำปลาดื่มเข้าไป แม้ว่าน้ำปลาจะมีรสเค็ม แต่เวลาน้ำปลาผ่านลำคอไปแล้ว รู้สึกเย็นๆ พอไปถึงท้อง อาการปวดเสียดนั้นหายเป็นปลิดทิ้งทันที และไม่เกิดอาการปวดในภายหลังอีกแต่อย่างใด และมีอาการยิ้มแย้มทันที ผู้ป่วยคนนั้นก็ล้มลงกราบหลวงปู่สงฆ์ด้วยความศรัทธา


โดย: kit007    เวลา: 2013-9-20 10:49
ศึกไสยเวทย์

ความจริงอีกมุมหนึ่งของวัดร้าง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอยนี้ มีพระภิกษุอยู่ก่อนหน้านี้แล้วองค์หนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหาพอสมควร คือ หลวงพ่อบ่าว ท่านอยู่อีกมุมหนึ่ง มีกุฏิเล็ก ๆ พอได้อาศัยจำวัด

หลวงพ่อบ่าวเป็นพระภิกษุที่มีวิชาอาคมพอตัว มีลูกศิษย์ลูกหา และได้รับความเคารพนับถือจากชาวบ้านตามสมควร แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบ เพราะลูกศิษย์ของท่านออกจะเป็นนักเลงไปสักหน่อย ด้วยถือดีว่ามีพระอาจารย์คงกระพัน

การมาของหลวงปู่นั้น หลวงพ่อบ่าวทราบดีทุกระยะ ท่านก็สงบนิ่งไม่ว่าอะไร เพราะต่างคนต่างอยู่ ว่ากันไป น้ำคลองไม่ปะปนกับน้ำบ่อ ฉันใดฉันนั้น เมื่อหลวงปู่มาอยู่ได้นานวันก็มีคนมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ ต่อมาปรากฏว่าลูกศิษย์ของหลวงปู่เกิดมีเรื่องกับลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวถึงขนาดลงไม้ลงมือกัน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เป็นฝ่ายชนะไม่บอบช้ำ

บรรดาคนหนุ่มต่างก็เฮมาหาหลวงพ่อสงฆ์กันมากขึ้น และนั่นคือต้นเหตุของเมฆหมอกของความขุ่นเริ่มขึ้น น้ำบ่อเริ่มไหลเข้ามาสู่น้ำคลอง ด้วยความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีวิชาอาคมจะไปเกรงกลัวทำไมกับหลวงปู่

จากแรงยุกระตุ้นของศิษย์จึงเกิดให้เกิด ศึกไสยเวทย์ ระหว่างหลวงพ่อบ่าวกับหลวงปู่ขึ้นด้วยประการดังนี้

ในคืนนั้น

ขณะที่หลวงปู่นั่งภาวนาอยู่ภายในกุฏิของท่านดึกพอสมควร สักสองยามเห็นจะได้ ท่านก็ได้ยินเสียงแมลงชนิดหนึ่งบินวนเวียนไปมาอยู่หน้าประตูกุฏิ เมื่อท่านลืมตาขึ้นมองออกไป เสียงแมลงนั้นก็ตกลงหน้าประตู หลวงปู่ยิ้มให้กับตนเองในความมืดแล้วเปิดประตูออกมาดู ตรงหน้าประตูมีใบไม้สดหล่นอยู่หนึ่งใบ ท่านก็หยิบใบไม้สดนั้นขึ้นมาพิจารณา แล้วขยี้ขว้างทิ้งลงไปจากกุฏิ

สิ่งนั้นเตือนให้หลวงปู่ได้ทราบว่า บัดนี้ฝ่ายตรงข้ามได้เริ่มทักทายท่านแล้วด้วยใบไม้ที่เสกเป็นแมลง หวังจะให้มาต่อยท่าน แต่หมดแรงลงเสียก่อน

นี่อาจจะเป็นยกแรกของการต่อสู้แบบไสยเวทย์

เป็นธรรมดาของคนเล่นอาคม เมื่อผิดหวังครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง และครั้งต่อๆ ไป จนกว่าจะชนะ ไม่ยอมแพ้แก่กันเพราะถือว่าเป็นการชิมลางสำหรับครั้งแรก หลวงปู่ก็รู้ว่าจะต้องมีต่อไปจนกว่าฝ่ายนั้นจะพบความสำเร็จในวิชาที่ตนเองร่ำเรียนมา

คืนต่อมา

ในเวลาดึกสงัดหลวงปู่ยังหาได้จำวัดไม่ ท่านกำลังนั่งเจริญภาวนาตามแนวทางของวิปัสสนา กสิณ ในความแจ่มแจ้งของดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ในเพศสมณะ หลวงปู่ได้มองเห็นสิ่งหนึ่งดำมะเมื่อมลอยเคว้งคว้างตรงมายังกุฏิของท่าน ความรู้สึกบอกตัวเอง

“มันมาอีกแล้ว”

ท่านก็หาหวั่นไหวแต่อย่างใดไม่ คงหลับตาเจริญภาวนาของท่านต่อไปในความมืด

ถึงแม้จะหลับตา แต่ท่านก็สามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติที่ลอยเลื่อนตัวตรงเข้ามาหา แต่ว่าไม่อาจจะลอยเข้าในกุฏิได้ สิ่งนั้นวนเวียนอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็หล่นวูบตกลงหน้ากุฏินั่นเอง

เมื่อหลวงปู่เปิดประตูกุฏิออกมาดูก็พบว่า สิ่งนั้นคือหนังควายแผ่นใหญ่เท่าฝ่ามือหล่นอยู่หน้ากุฏิ อันวิชานี้เป็นมนต์ดำหรือ อวิชชาในด้านการเสกเข้าท้องฝ่ายตรงข้าม

ในตอนเช้าเมื่อญาติโยมลูกศิษย์ลูกหามาที่วัด ท่านก็ไม่พูดอะไร แต่ได้พูดคุยเป็นปริศนาธรรมแก่ญาติโยมในเรื่องเกี่ยวกับมนต์ดำ ทำนองว่าคนที่เรียนวิชานี้ไม่ควรจะนำมาใช้ทำร้ายผู้อื่นเพราะเป็นบาป ถ้าหากนำมาใช้ประโยชน์ในการรักษาโรค ช่วยเหลือผู้คนดีกว่า มิฉะนั้นจะเป็นบาปและเข้าตัวเองได้

การพูดทำนองตักเตือนหลวงพ่อบ่าว เพราะหลวงปู่รู้ว่าในกลุ่มชาวบ้านที่มานั่งรายล้อมอยู่นี้น่าจะมีลูกศิษย์หลวงพ่อบ่าวอยู่บ้าง อาจจะเป็นเพราะวิชาอาคมของหลวงพ่อบ่าวยังไม่ถึงหรือเป็นเพราะการเทศน์ปริศนาธรรมกระทบมาก็ไม่ทราบได้

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-20 10:49
ในคืนนั้นเอง

หลวงปู่ก็ได้รับการเยี่ยมเยือนอีกครั้งจาก มนต์ดำ ที่ลอยมากระทบประตู ในตอนเช้าท่านเปิดประตูออกมาเพื่อจะออกบิณฑบาต ก็ได้เห็น หนังหมูที่มีเข็มเย็บผ้าจำนวนมาก หล่นอยู่หน้าประตูกุฏิ ท่านจึงนำไปฝังที่โคนต้นไม้

ศิษย์ของหลวงปู่มีอยู่ ๒ คน คือผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งซึ่งอยู่คนละหมู่บ้าน และนายเกตุ

ผู้ใหญ่บ้านนั้นได้รับวิชาไปจากหลวงปู่ไปหลายอย่างและมีอายุสูงกว่านายเกตุ มีความสุขุมและยึดมั่นในหลักคำสอนของหลวงปู่เป็นอย่างดี เรียกว่า พอจะมีความรู้ทางไสยเวทย์พอคุ้มตัวได้

และในคืนต่อมานั้นเอง หลวงปู่ก็พลาดท่า เพราะสิ่งที่หลวงพ่อบ่าวส่งมานั้นได้เล็ดลอดเข้ามาจากประตูหน้าเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวและเข้าไปสู่ท้องของหลวงปู่ได้

ท่านต้องเอามือกุมไว้ไม่ยอมให้สิ่งนั้นหมุนอยู่ในท้อง เพราะมันเป็นมีดหมออาคม ถ้าหากให้มันหมุนได้ ตับไตไส้พุงจะฉีกขาดหมด หลวงปู่ต้องเก็บความเจ็บปวดไว้จนรุ่งเช้า บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดมาพบ แล้วช่วยกันนำเอาสิ่งนั้นออกมาจากท้องของท่าน

สิ่งที่ออกมาจากปากของหลวงปู่ก็คือมีดสองคม

ท่านให้มันออกมาทางปาก ท่ามกลางความตกใจของลูกศิษย์ที่เห็นอยู่ในขณะนั้น หลวงปู่ไม่พูดอะไรเรื่องนี้ เพียงแต่ให้ลูกศิษย์ไปตัดไม้ไผ่เหลาให้บาง ๆ

“พ่อหลวงจะทำอะไร”

ลูกศิษย์ผู้นั้นเอ่ยถามอย่างสงสัย

หลวงปู่นั่งนิ่งเอ่ยปากขึ้นว่า

“ควายธนู เขาทำเราหลายครั้งแล้วถ้าเราไม่ตอบ เขาจะว่าเราขี้ขลาดตาขาว เราต้องสั่งสอนบ้าง”

เมื่อลูกศิษย์ตัดไม้ไผ่มาแล้ว หลวงปู่ก็ลงมือเหลาจนบางเบาด้วยมือของท่านเอง ระหว่างการเหล่านี้ได้มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อบ่าวได้รับคำสั่งให้มาดูว่าหลวงปู่เป็นอย่างไรบ้าง เพราะผลจากการส่งมีดสองคมมาทักทายเมื่อคืน

แต่เมื่อมาถึงกุฏิ เห็นหลวงปู่นั่งเหลาไม้อยู่ ก็กลับไปบอกแก่หลวงพ่อบ่าวทันที ท่านได้รับรายงานก็สะดุ้ง รู้ด้วยจิตสำนึกทันทีว่า หลวงปู่นั้นอาคมสูงกว่า เพราะส่งมาหลายครั้งแล้วไม่ได้ผล แม้แต่มีดสองคมก็ไม่อาจระคายผิวของหลวงปู่ได้

หลวงพ่อบ่าวไม่รู้ว่ามีดสองคมนั้นได้ผล แต่ยังไม่ถึงกับทำให้หลวงปู่ตายไปทันทีได้ ท่านแก้ไขในเวลาอันรวดเร็วหรือเรียกว่าพลาดท่าไปแล้วก็ได้ ถ้าหากไม่ใช่หลวงปู่ รับรองว่าคนนั้นจะต้องตายไปเพราะสองคมของมีดกรีดไส้พุงขาด

เพราะข่าวที่ว่าหลวงปู่เตรียมรับมือด้วยควายธนูอย่างแน่นอน หลวงพ่อบ่าวจึงเผ่นหนีออกจากวัดหายไปแต่บัดนั้น

ความจริงหลวงปู่หามีเจตนาจะทำร้ายถึงเลือดตกยางออกไม่ เพียงแต่ต้องการสั่งสอนให้หลวงพ่อบ่าวได้ทราบว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน

ฝ่ายหลวงพ่อบ่าวออกจากวัดเจ้าฟ้าศาลาลอยก็ไปอยู่ที่วัดวิหาร ห่างออกมาจากบางลึก ไกลพอประมาณ ความเจ็บแค้นเรื่องนี้กลายเป็นอาฆาต หลวงพ่อบ่าวจัดว่ามีวิชาอาคมสูงองค์หนึ่ง ได้เตรียมสูตรใหม่ที่จะเล่นงานหลวงปู่ด้วยการเอาข้าวเหนียวดำที่สุกแล้วมาปั้นเป็นตัวคน

ตอนเย็นวันนั้นหลวงพ่อบ่าวได้ลงจากกุฏิมากวาดลานวัดดังเคยชิน ปรากฏว่าได้เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง จนทำให้ต้นยางหน้าวัดกิ่งหักกระเด็นลงมา เหมือนมีคนเอากิ่งยางทุ่มใส่หลวงพ่อบ่าว กิ่งยางหล่นลงมาทับร่างหลวงพ่อบ่าวซึ่งกวาดลานวัดถึงแก่มรณภาพทันที

โดย: kit007    เวลา: 2013-9-20 10:49
ข่าวมาถึงหลวงปู่ หลายวันต่อมา ท่านก็ไม่พูดอะไร ได้แต่อธิฐานจิตขออย่าได้จองเวรต่อกันเลย และทำการอโหสิกรรมแก่หลวงพ่อบ่าว ด้วยใจจริงแล้วท่านหาได้อาฆาตอะไรถึงขั้นจะทำให้ตายไปจากกันไม่ และเมื่อหลวงพ่อบ่าวจากไปแล้ว ท่านก็ไม่นึกถึงอะไร ปฏิบัติกิจของท่านต่อไป หาเอาใจใส่ไม่ ฟ้าดินต่างหากที่ไม่เป็นใจต่อการกระทำของหลวงพ่อบ่าว

หลวงปู่สงฆ์กำหนดจิตรู้ด้วยอำนาจอนาคตังสญาณรู้เรื่องราวต่อไป แม้ยังไม่เกิดขึ้นว่า ต่อไปในบริเวณนี้วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง คนที่เคยอยู่ คนที่เคยอุปถัมภ์ค้ำจุนจะได้มาพบกันจะไม่ว่างเว้น คนทั่วไปมาเยี่ยมเยือน ณ สถานที่แห่งนี้

ดังนั้น หลวงปู่สงฆ์จึงตัดสินใจรับนิมนต์ และจำพรรษาที่วัดนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งตรงกับ พ.ศ.๒๔๖๓ เมื่อสมัยที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระสังฆราช

หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เวลานั้นมีอายุ ๓๐ ปี พรรษาที่ ๑๐ และได้บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุในบริเวณวัดขึ้นใหม่ทั้งหมดพร้อมกับตั้งชื่อวัดตามกาลตามสมัยว่า วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร

ภายหลังจากที่หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร มาจำพรรษาที่วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ซึ่งแต่ก่อนอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก ไม่มีเสนาสนะใด ๆ ทั้งสิ้น กลับมีถาวรวัตถุก่อสร้างขึ้นมากมาย

ด้วยเหตุที่ว่า หลวงปู่สงฆ์เป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบศีลจริยวัตรงดงาม จนเป็นที่เลื่องลือแพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางผู้คนก็หลั่งไหลกันเข้าไปยัง วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ดุจดังมีงานประจำปี ปีแล้วปีเล่าชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ต่างมีงานทำทุกวัน สภาพชาวบ้านแถบนั้นเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น ถนนหนทางสมันนั้นก็ยังไม่เจริญเหมือนทุกวันนี้ ฐานะการเป็นอยู่ของชาวบ้านเริ่มมั่งมีขึ้นโดยอาศัยบุญบารมีของ หลวงปู่สงฆ์ เพราะชาวบ้านออกค้าขายตั้งแต่อาหารจนกระทั่งของที่ระลึกให้กับผู้เข้าไปเยี่ยมเยือนนมัสการการท่านทุกวัน ๆ สภาพสังคมที่ถูกทอดทิ้งมานานเริ่มส่งผลให้แก่ชาวบ้านมีความอยู่ดีกินดีขึ้นเช่นกัน

ด้วยอำนาจคุณงามความดีของ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาในป่าเขาถ้ำเหวต่าง ๆ ทนสู้กับอุปสรรคเภทภัยนานาประการนี้ ยังส่งผลให้กับชาวบ้านได้อยู่ดีมีความสุขถ้วนหน้า ก็เพราะคุณธรรมของท่าน

วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย ที่เคยถูกทิ้งมาเป็นเวลานานจนกลายมาเป็นวัดโอ่อ่า เสนาสนะครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งนี้เพราะ หลวงปู่สงฆ์ จันทสโร เป็นพระสุปฏิปันโน และมีศีลจริยวัตรที่เลื่อมใสของประชาชนทั้งหลาย

ความเมตตาของหลวงปู่สงฆ์กว้างขวางไม่มีขอบเขตท่านสงเคราะห์ทั้งมนุษย์และสัตว์ด้วยเมตตาธรรม จนเป็นที่ประจักษ์แก่ผู้เข้าไปนมัสการท่านจนปัจจุบันนี้

การที่หลวงปู่มีความเมตตาต่อสัตว์ทุกชนิดนั้นท่านเล่าเป็นเหตุผลว่า

“สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ขนาดไหนก็ตาม แม้แต่มด ปลวกมันก็มีชีวิตจิตใจ รู้จักรัก รู้จักโกรธ รู้จักกลัว รู้จักหิว รู้จักสุขทุกข์เช่นเดียวกับคนเหมือนกัน

แต่ที่เขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้น ก็เพราะกรรมส่งผลให้เขามาเกิด เกิดมาเพื่อเสวยผลของกรรมเก่าของเขา เมื่อเขาพ้นจากสภาพสัตว์ต่างๆ เหล่านั้นแล้วเขาอาจกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ก็ได้

ดังนั้นเราควรมีเมตตากับสัตว์ทุกชนิดจงพิจารณาดูว่า บาปกรรมนั้นเป็นของมีจริง เหตุนี้ผู้มีปัญญาที่ชาญฉลาดที่มีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นโอกาสที่ประเสริฐแล้ว ควรแต่ประกอบคุณงามความดี มีศีลมีธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อันจะเป็นการจองเวรจองกรรมกันต่อไป เพื่อเราจะได้ไม่ต้องเกิดมาใช้กรรมใช้เวรกันต่อไปอีก

ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรก่อกรรมทำเข็ญ ด้วยการทำลายชีวิตผุ้อื่น ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ แม้แต่มดหรือปลวกก็มีบาปเหมือนกัน

โดย: troop1411    เวลา: 2013-9-23 23:19
สาธุกราบหลวงปู่ขอรับ
โดย: Metha    เวลา: 2013-12-11 00:41

ขอบคุณครับ
โดย: Sornpraram    เวลา: 2018-7-9 10:38





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2