Baan Jompra

ชื่อกระทู้: หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ วัดเขาหงส์ ลพบุรี [สั่งพิมพ์]

โดย: รามเทพ    เวลา: 2020-8-31 06:54
ชื่อกระทู้: หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ วัดเขาหงส์ ลพบุรี
ประวัติ  พระอาจารย์เขาหงส์
(หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ อายุ ๑๐๘ ปี)  
วัดเขาหงส์ ลพบุรีพระเถระ 5 แผ่นดิน




"ฮาร์วาร์ด" เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกได้อย่างยาวนานกว่า ๓๐๐ ปี คนไทยคนแรกที่เข้าเรียนฮาร์วาร์ด คือ พระยาศัลวิธานนิเทศ หรือ นายแอบ รักตประจิต (Aab Raktaprachit) ยังมีเกียรติประวัติเป็นคนที่มีชื่อแรกอยู่ในหนังสือรายชื่อศิษย์เก่าของฮาร์วาร์ดทุกปี เป็นเวลา ๘๐ ปีติดต่อกัน
  แต่ใครเลยจะคิดว่าหลวงตาแก่ๆ แห่ง สำนักสงฆ์เขาหงษ์ ต.นิคม อ.เมือง จ.ลพบุรี อย่าง พระ ดร.พิชัย ฐิติลาโภ หรือ หลวงตาพิชัย หรือ หลวงปู่เขาหงษ์ อายุ ๑๐๘ปี (เกิด ๒๒ เมษายน ๒๔๔๕) จะจบปริญญาเอกครุศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เช่นกัน
  เมื่อนับดูวันเวลาที่ล่วงเลยมา หมายความว่า ชีวิตได้ผ่านมาถึง ๕ แผ่นดินด้วยกัน นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
  ดร.พิชัย รัตนพันธ์ เป็นชื่อและสกุลเดิมของหลวงตาพิชัย ส่วนความเกี่ยวข้องกับนามสกุล ณ ป้อมเพชร เป็นนามสกุลของมารดาท่าน
  ทั้งนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าท่าจบจากฮาร์วาร์ดจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากหลวงตาทั่วๆ ไปคือ ท่านพูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รวมทั้งภาษาของชาวตะวันตกอื่นๆ ได้อีกหลายภาษา
  ขณะเดียวกันภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นลาว เขมร จีน พม่า มอญ ท่านพูดได้หมด หากใครได้พบหรือสนทนาธรรมกับท่าน ลองสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ หรือเยอรมันก็ได้
  เหตุผลเดียวที่หลวงตาพิชัยเดินทางไปเรียนต่างประเทศ คือ ด้วยความอยากรู้ และอยากจะช่วยเหลือญาติให้หายจากโรคมะเร็ง จึงไปปรึกษาขอความรู้จากเพื่อนที่เป็นหมอคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไรนัก
  ในที่สุดจึงตัดสินใจเดินทางไปเรียนหมอที่แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ก่อนที่จะไปเรียนด้านการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยใช้เวลาเรียน ๕ ปี
  จากนั้นกลับมารับราชการที่กระทรวงธรรมการ หรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันนี้ ตำแหน่งในกระทรวงธรรมการสุดท้ายเป็นศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์
  และเมื่อถูกคำสั่งให้ย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งมีเหตุมาจากความขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาอย่างรุนแรง จึงตัดสินใจลาออกจากราชการในวัย ๕๘ ปี และบวชเป็นพระมาถึงทุกวันนี้
  หลวงตาพิชัย อุปสมบท ณ พระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราม เมื่อปี ๒๔๙๓ จากนั้นก็เรียนจบเปรียญธรรมประโยค ๖ และก่อนหน้านี้ท่านเคยได้รับสมณศักดิ์ที่ พระสุนทรธรรมรส แต่ด้วยเหตุผลทางด้านการเมืองของคณะสงฆ์ เนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างในวงการสงฆ์ ขัดความรู้สึก และความคิดของตนเอง จึงต้องกลายเป็นพระที่โดดเดี่ยว และได้รับฉายาว่าเป็น “ปราชญ์ดำปากหมา" แห่งวัดสุทัศนฯ เนื่องจากชอบวิพากษ์วิจารณ์นั่นเอง
  ท่านจึงลาออกจากสมณศักดิ์ดังกล่าว ไปใช้ชีวิตอย่างพระบ้านนอก ซึ่งขณะที่ลาออกนั้นพระที่เป็นระดับสมเด็จในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังเป็นสามเณรอยู่เลย ทั้งนี้ หากท่านไม่ลาออกเวลานี้คงได้รับสมณศักดิ์ในชั้นสมเด็จไปแล้ว หลังจากนั้นท่านได้ออกธุดงค์ไปทั่วประเทศ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ท่านไปมาหมด และสุดท้ายมาอยู่ที่สำนักสงฆ์เขาหงษ์
  แม้วัยของหลวงปู่จะล่วงเลยมากถึง ๑๐๘ ปี แต่ความทรงจำอันหลากหลายเรื่องราว ที่ยังแจ่มชัดในความทรงจำ นอกจากนี้แล้วสิ่งที่คนเคยพบเจอกับหลวงปู่ รู้สึกทึ่งเป็นอันมาก ก็คืออายุ ๑๐๘ ปี แต่ผิวพรรณ หน้าตา รวมทั้งพละกำลังต่างๆ ดูไม่ร่วงโรยตามอายุขัยแต่อย่างใด
  ตรงกันข้ามกลับมีสายตาดี พูดคุยชัดเจน สามารถพูดคุยได้หลายภาษา และเดินขึ้นลงวัดที่สร้างเอาไว้บนเนินเขาได้อย่างสบาย
  ขณะเดียวกันก็จดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตได้ และถ่ายทอดให้ฟังอย่างอารมณ์ดี
“อาตมาไม่ใช่คนไทย เพราะตอนที่อาตมาเกิดนั้น ประเทศไทยยังไม่เกิด เพลงชาติที่ร้องกันอยู่ทุกวันนี้ยังไม่มี วันที่ วันขึ้นปีใหม่ยังเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน อยู่เลย อาตมาเกิดในแผ่นดินสยามช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ โน้น เกิดได้ ๙ ปี ก็สิ้นรัชกาลที่ ๕ ใช้เงินมาตั้งแต่เงินพดด้วง เงินฬส เงินไพ เงินเฟื่อง เงินอัฐ เงินสตางค์ เงินสลึง เงินบาท เงินกระดาษ และปัจจุบันก็ใช้เงินพลาสติก เงินบำนาญที่อาตมาได้รับอยู่เดือนละกว่า ๒ หมื่นบาทนั้น เป็นเงินบำนาญของกระทรวงธรรมการ ไม่ใช่ของกระทรวงศึกษาธิการ และตำบลบ้านเกิดที่บางเขนนั้น เปลี่ยนชื่อมา ๓ ครั้งแล้ว เมืองไทยในยุคที่มีประชากรทั่วประเทศ ๑๘ ล้านคนนั้น แต่ปัจจุบันมีกว่า ๖๐ ล้านคน สภาพแตกต่างจากทุกวันนี้อย่างสิ้นเชิง” นี่คือคำยืนยันจากปากของหลวงตาพิชัย
  อย่างไรก็ตาม ในอดีตหลวงตาพิชัยขึ้นชื่อว่าเป็นพระดูหมอ และใบ้หวยแม่นมาก ไม่ต่างจากที่วัดหลวงพ่อปากแดง จ.นครนายก ในทุกวันนี้
  แต่ปัจจุบันนี้ท่านประกาศไว้ชัดเจน หน้าสำนักสงฆ์ว่า ศาสนพิธีทุกอย่างไม่ทำที่นี่ เครื่องรางของขลัง ดูหมอ ใบ้หวย ฯลฯ ไม่รับทำ
  แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงทำต่อเพื่อเป็นทานแก่ชาวโลกคือ ทำยาสมุนไพรรักษาโรคได้หลายอย่าง เช่น เอดส์ เบาหวาน ความดัน ริดสีดวงทวาร รวมทั้งมะเร็ง ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่ลูกศิษย์ โดยบอกกันแบบปากต่อปากเท่านั้น
  หลายคนเชื่อในสรรพคุณยาของท่าน ในขณะที่หลายคนไม่เชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันในความสามารถจัดยาสมุนไพร คือ อนุสิทธิบัตร ที่ออกโดย กรมทรัพย์สินทางปัญญา และใบประกอบวิชาชีพด้านสมุนไพรแผนไทย ที่หลวงพ่อได้รับจากกระทรวงสาธารณสุข







โดย: รามเทพ    เวลา: 2020-8-31 06:54
พระอาจารย์เขาหงส์


หลวงปู่พิชัย ฐิติลาโภ แห่งสำนักสงฆ์เขาหงส์ อ.เมือง จ.ลพบุรี ชื่อนี้น้อยคนนักที่จะรู้จัก หลวงปู่ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา อารมณ์ดี แจ่มใสอยู่เสมอ และมีอายุยืนยาวถึง ๑๐๘ ปี โดยที่สุขภาพท่านยังแข็งแรง ลุกเดินได้อย่างปกติ พูดจาคล่องแคล่ว ความจำเยี่ยม ทุกคนที่พบท่านต่างพูดเหมือนกันว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่านจะมีอายุถึง ๑๐๘ ปี ส่วนใหญ่ต่างคิดว่าน่าจะอยู่ราว ๗๐ ปี จนบ่อยครั้งเข้าหลวงปู่จึงต้องนำหลักฐานยืนยันวันเดือนปีเกิดมาให้ดูกัน และติดอยู่ที่วัดจนถึงทุกวันนี้ และหลวงปู่ท่านยังมีชื่อที่เรียกหากันอีกมาก
พระเถระ 5 แผ่นดิน ผู้สืบทอดสุดยอดวิชาแห่งสำนักวัดมะขามเฒ่า ปรมาจารย์ผู้มีอาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวัดสุทัศน์ ศิษย์ในองค์พระสังฆราชแพ พระอาจารย์ในดง พระในตำนาน ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันมากในหมู่พระธุดงค์ ผู้สำเร็จวิชาเป่าทองในระดับสุดยอด เป่าคราวเดียวหายวับไปกับตา แต่ถ้าเข้าเครื่อง X-Ray ละก็เห็นหมดทุกแผ่น ทั้งหมดที่กล่าวขึ้นมา คือ องค์หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ ปรมาจารย์ผู้เฒ่าแห่งสำนักสงฆ์เขาหงษ์ อ.เมือง จ.ลพบุรี พระผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของลูกศิษย์มากมายในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญในสุดยอดวิชาการเป่าทอง ซึ่งทำเอานายแพทย์หลายท่านต้องประหลาดใจ เพราะเห็นแผ่นทองหลายแผ่นติดอยู่ที่ศีรษะลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่มารับการตรวจโดยการ X-Ray
หลวงตาฮาวาร์ด
ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันมาก เนื่องจากได้มีหนังสือพิมพ์ วารสารหลายฉบับ จนถึงรายการโทรทัศน์ได้นำไปเผยแพร่จนเป็นที่รู้จักกันมากในเรื่องของการใช้ยาทั้งสมุนไพรโบราณ ทั้งแผนปัจจุบัน ที่หลวงปู่นำมาประยุกต์ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ จนทุกวันนี้มีผู้คนทั้งไทยและต่างชาติ ทั้งฝรั่ง ยุโรป อเมริกา จีน สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง มาหาหลวงปู่มากมาย ซึ่งท่านก็พูดคุยได้รู้เรื่องทุกคน เนื่องจากหลวงปู่พูดได้หลายภาษา โดยท่านศึกษามาตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาสจนเป็นดอกเตอร์จบจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด จึงเป็นเหตุที่มาของฉายานี้ ซึ่งในภายหลังท่านบอกให้ปลี่ยนเป็น “หลวงฮาวัด"แทน
   มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับ วารสาร รายการโทรทัศน์ ได้เผยแพร่เรื่องราวของหลวงปู่ในนามของ “หลวงตาฮาร์วาร์ด” ผู้ชำนาญในการใช้สมุนไพรโบราณและตัวยาในแผนปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่มาของฉายานี้ก็มาจากเมื่อครั้งก่อนบวชนั้นท่านได้สำเร็จการศึกษาสูงสุดในระดับปริญญาเอก หรือเป็นด๊อกเตอร์ที่จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั่นเอง ซึ่งต่อมาได้อุปสมบท ณ อุโบสถวัดสุทัศน์เทพวราราม โดยมี สมเด็จพระสังฆราชแพ เป็นพระอุปัชฌาย์ นอกจากนั้นหลวงปู่ยังได้ศึกษาวิชาพุทธาคมในสายหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า โดยมีองค์หลวงปู่ปลื้มผู้เป็นน้องร่วมสายโลหิตของหลวงปู่ศุขเป็นผู้ฝึกสอนให้โดยตรง และหลวงปู่ปลื้มผู้นี้เองที่เป็นผู้สร้างวัตถุมงคลพระเครื่องต่างๆ ให้แก่องค์หลวงปู่ศุขในขณะนั้น และเป็นสมภารเจ้าผู้ครองวัดมะขามเฒ่าในเวลาต่อมา
พระอาจารย์ในดง
ชื่อนี้ลูกศิษย์ลูกหาหลายคนใช้เรียกมาเป็นเวลาหลายสิบปี และเคยมีการเขียนถึงในหนังสือหลายเล่มจนเป็นที่กล่าวกันว่า ผู้ใดพบพระอาจารย์ในดง ผู้นั้นได้พบขุมวิชาแห่งสำนักวัดมะขามเฒ่า ซึ่งผู้ที่จะพบได้นั้นต้องมีมานะพากเพียร ธุดงค์เข้าป่าไปด้วยความตั้งใจเท่านั้น จึงจะได้พบซึ่งจะได้รวบรวมเรื่องราวทั้งหลายนี้มาเผยแพร่ในตอนต่อๆไป
อาจารย์ดำ หลวงปู่ดำ
เนื่องจากหลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปงานพิธีต่างๆ และพุทธาภิเษกอยู่บ่อยครั้งซึ่งท่านจะบอกลูกศิษย์ทั้งหลายว่าไม่ต้องมาดูแล ท่านจะไปเอง กลับเอง ไม่ต้องเป็นภาระกับใคร ดังนั้นเองเมื่อท่านไปถึงงานจึงไม่มีใครรู้จักซึ่งท่านก็จะหลบพักผ่อนอยู่ตามลำพังจนถึงเวลาปลุกเสกท่านจึงจะเข้าไปนั่งปรกจนเสร็จแล้วลุกกลับออกจากงานทันที จะไม่นั่งอยู่จนจบพิธี ดังนั้นเอง ผู้จัดงานทั้งหลายและโฆษกงานก็ดีจึงไม่รู้จักท่าน ไม่รู้ว่ามายังไง เมื่อไร และชื่ออะไร จึงต่างก็เรียกท่านตามรูปพรรณสัณฐานว่า อาจารย์ดำ หลวงปู่ดำ บางครั้งเรียก หลวงพ่อใหญ่ ก็มี
ท่านเจ้าคุณ พระสุนทรธรรมรส
ใครจะคิดว่า หลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่งจะเคยมีศักดิ์เป็นถึงท่านเจ้าคุณ รองเจ้าคณะ 1 แห่งวัดสุทัศน์เทพวราราม วัดใหญ่กลางกรุงนี่เอง แต่ในสายวัดสุทัศน์แล้วมีพระผู้ใหญ่หลายรูปเดินทางไปกราบพบหลวงปู่อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากในสมัยที่ท่านเป็นพระสุนทรธรรมรสนั้น ก็ได้ชื่อว่า เป็นพระนักเทศน์ นักธรรม เป็นปราชญ์แห่งธรรม ซึ่งนั่นก็ลุล่วงมาร่วม 50 ปีแล้ว (ท่านจำพรรษาอยู่วัดสุทัศน์ตั้งแต่ พ.ศ. 2493-2511ทั้งสิ้น 18 พรรษา) ก่อนออกธุดงค์ไป จนกล่าวได้ว่า หลวงปู่เป็นปรมาจารย์ผู้อาวุโสสูงสุดที่ยังมีชีวิตอยู่ในสายสำนักวัดสุทัศน์และได้เข้าร่วมพิธีปลุกเสกครั้งสำคัญๆ ในสมัยนั้นด้วย
แต่เมื่อถามหลวงปู่ว่าชื่อฉายาที่มากมายนี้ท่านชอบให้ลูกศิษย์เรียกชื่อไหนท่านจะยิ้มและตอบว่า เรียกพระอาจารย์เขาหงส์สิดี และนั่นจึงเป็นที่มาของฉายา “พระอาจารย์เขาหงส์”

โดย: oustayutt    เวลา: 2020-9-2 22:32





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2