Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
สุกร เปรต วิบากกรรมของผู้ยุยงให้คนอื่นแตกแยก
[สั่งพิมพ์]
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2019-10-13 14:36
ชื่อกระทู้:
สุกร เปรต วิบากกรรมของผู้ยุยงให้คนอื่นแตกแยก
สุกรเปรต
วิบากกรรมของผู้ยุยง
ให้คนอื่นแตกแยก
สุกร เปรต วิบากกรรมของผู้ยุยงให้คนอื่นแตกแยก
พระพุทธศาสนากล่าวถึงวิบากกรรมของคนที่ชอบพูดยุยงให้คนอื่นแตกแยก ไว้อย่างน่าสนใจ ว่าตายแล้วต้องเกิดเป็น เปรต อย่างเวทนา ดังมีปรากฏในคัมภีร์เปตวัตถุ (เรื่อง เปรต ) มาดังนี้
วันหนึ่ง ขณะเดินลงจากเขาคิชฌกูฏ พระมหาโมคคัลลานะแสดงอาการแย้มให้ปรากฏ (ยิ้มน้อยๆ ให้พอรู้ว่ามีเหตุพิเศษ) พระลักขณะจึงถามว่าท่านแสดงอาการแย้มนั้นเพราะเหตุใด พระมหาโมคคัลลานะตอบว่า “ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะถามปัญหานี้ ขอให้ท่านถามในสำนักพระพุทธเจ้า เมื่อกลับจากบิณฑบาตและฉันอาหารเช้าแล้ว”
สุกรเปรต
ตอนสายวันนั้น ขณะกำลังเข้าเฝ้าฯ พระพุทธเจ้าพระลักขณะได้ถามถึงอาการแย้มนั้นอีกครั้ง พระมหาโมคคัลลานะจึงตอบว่า “ได้เห็นเปรตตนหนึ่งมีอัตภาพใหญ่ยาวมาก ร่างกายของมันคล้ายมนุษย์ แต่ศีรษะของมันคล้ายศีรษะสุกร หางมันเกิดที่ปาก มีหมู่หนอนไหลออกจากปากเราไม่เคยเห็นสัตว์ผู้มีรูปอย่างนี้เลย จึงยิ้ม”
พระศาสดาทรงสดับดังนั้นแล้วตรัสว่า
“เราเองก็เคยเห็นสัตว์ลักษณะปานนี้ที่โพธิมณฑลเช่นกัน แต่เราไม่พูดด้วยหวังจะอนุเคราะห์คนทั้งหลาย เพราะหากเราพูดไปแล้ว คนพวกใดไม่เชื่อ ความไม่เชื่อนั้นก็จะเป็นโทษแก่เขาเอง บัดนี้เราได้โมคคัลลานะเป็นพวกแล้ว โมคคัลลานะพูดจริง เราก็เป็นพยานของโมคคัลลานะได้”
ภิกษุทั้งหลายต่างทูลถามถึงบุพกรรมของสุกรเปรตตนนั้น พระพุทธองค์จึงทรงแสดงถึงอดีตกรรมของมันว่า…
ในสมัยแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้านามว่า “กัสสปะ” มีพระเถระ 2 รูปจำวัดอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง ทั้งสองรักใคร่นับถือกันเสมือนพี่น้องคลานตามกันมา พระมหาเถระผู้อาวุโสกว่ามีพรรษา 60 ปี ส่วนพระอนุเถระมีพรรษา 59 ปี ปฏิบัติตนประหนึ่งเป็นสามเณรของพระมหาเถระ คอยถือบาตรและจีวรให้ ตลอดจนปรนนิบัติต่อพระมหาเถระอย่างดีเสมอมา
กระทั่งวันหนึ่ง พระธรรมกถึก (ผู้ชำนาญในการแสดงธรรม) ได้เดินทางมายังอาวาสนั้นและขออาศัยอยู่ด้วย พระเถระทั้งสองให้การต้อนรับด้วยความยินดี ทั้งยังเชื้อเชิญให้พระธรรมกถึกแสดงธรรมแก่พุทธบริษัทในวันธรรมสวนะหรือวันฟังธรรม จากนั้นจึงพาพระธรรมกถึกไปบิณฑบาตในหมู่บ้านใกล้เคียง เมื่อฉันอาหารเสร็จ ก็ขอร้องให้แสดงธรรม เมื่อชาวบ้านได้ฟังธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงนิมนต์พระธรรมกถึกมาฉันอาหารอีกในวันรุ่งขึ้น
ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน พระมหาเถระและพระอนุเถระได้ให้การรับรองพระธรรมกถึกด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่พระธรรมกถึกนั้นใจบาป คิดชั่ว หมายจะครองอาวาสแห่งนั้นแต่เพียงผู้เดียว จึงวางอุบายให้พระเถระทั้งสองแตกคอกันจะได้ออกจากอาวาสไป แต่เนื่องจากพระธรรมกถึกรู้ดีว่าพระเถระทั้งสองมีอุปนิสัยอ่อนโยนยิ่งนัก การจะยุแยงให้ผิดใจกันอย่างบุ่มบ่ามย่อมไม่ได้ผล จึงค่อยๆ ใช้กลอุบายสร้างความระคายใจให้พระเถระทั้งสองอย่างแยบยล
เย็นวันหนึ่ง พระธรรมกถึกเข้าไปหาพระมหาเถระผู้อาวุโสกว่าแล้วกล่าวว่า “ท่าน ข้าพเจ้ามีเรื่องจะพูดกับท่านหน่อยหนึ่ง”
“มีอะไรก็พูดมาเถิด ผู้มีอายุ”
พระธรรมกถึกทำทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเพียงว่า “ท่านผู้เจริญ!การพูดมีโทษมาก ข้าพเจ้าไม่พูดละ”
จากนั้นพระธรรมกถึกก็เข้าไปยังสำนักของพระอนุเถระผู้อ่อนอาวุโส และกล่าวเป็นนัยให้พระอนุเถระฟังเช่นเดียวกัน พระธรรมกถึกทำทีมีลับลมคมนัยเช่นนี้อยู่สองสามวัน กระทั่งเห็นว่าพระเถระทั้งสองกระวนกระวายใจเต็มที่แล้ว จึงกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าสงสัยว่าทำไมท่านกับพระอนุเถระจึงไม่ถูกกัน”
“ท่านสัตบุรุษ ท่านเอาอะไรมาพูด เราทั้งสองรักใคร่กันเหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน เมื่อตัวเราได้สิ่งใด พระอนุเถระก็ได้สิ่งนั้น พระอนุเถระได้สิ่งใด เราก็ได้สิ่งนั้น โทษใดๆ ของพระอนุเถระนั้นเราไม่เคยเห็นเลยตลอดกาลอันยาวนานที่อยู่ร่วมกันมา”
“อย่างนั้นหรือท่าน ถ้าอย่างนั้นทำไมพระอนุเถระจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า ให้พิจารณาให้ดีเสียก่อนที่จะคบหากับพระมหาเถระ”
พระมหาเถระได้ฟังดังนั้นก็มีใจโกรธแค้น ความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อพระอนุเถระแตกสลายลง ดุจภาชนะดินที่ถูกตีด้วยไม้ ส่วนพระธรรมกถึกก็ได้เข้าไปกล่าวเช่นนี้กับพระอนุเถระเช่นกัน ทำให้พระอนุเถระหมดความนับถือในตัวพระมหาเถระ
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่จึงแยกทางกันไปบิณฑบาต ขณะที่พระอนุเถระยืนอยู่ที่ศาลาอันเป็นที่บำรุง พระมหาเถระก็ไปถึงพระอนุเถระเกิดความลังเลว่า “เราควรจะรับบาตรและจีวรของพระเถระดีหรือไม่หนอ”
แต่ด้วยความที่เคยปรนนิบัติพระเถระมาโดยตลอดพระอนุเถระจึงใจอ่อน และคิดว่าไม่ควรเสียวัตรปฏิบัติอันดีที่เคยทำมา ท่านจึงเข้าไปหาพระเถระแล้วกล่าวว่า “ขอท่านจงให้บาตรและจีวรของท่านแก่ข้าพเจ้าเถิด”
แต่พระมหาเถระกลับชี้นิ้วและตวาดเอาว่า “จงไป จงไปคนหัวดื้อ เจ้าไม่ควรรับบาตรและจีวรของเรา”
พระอนุเถระจึงตอบโต้ไปว่า “ความจริงข้าพเจ้าก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะไม่รับบาตรและจีวรของท่าน”
ผลที่สุดพระเถระทั้งสองก็แตกคอกัน รูปหนึ่งเดินจากไปทางทิศตะวันออก ส่วนอีกรูปหนึ่งเดินจากไปทางทิศตะวันตก
พระธรรมกถึกเห็นดังนั้นก็รู้สึกสมใจ แต่แสร้งกล่าวว่า“อย่าทำอย่างนี้เลยท่าน อย่าทำอย่างนี้เลย” แต่พระเถระทั้งสองก็ไม่ฟัง วันรุ่งขึ้นพระธรรมกถึกเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านอย่างเคย เมื่อชาวบ้านถามถึงพระเถระทั้งสอง พระธรรมกถึกจึงชี้แจงว่า “เมื่อวานนี้ท่านทั้งสองทะเลาะกัน แตกแยกกันไปแล้ว อาตมาพยายามห้ามเท่าไรก็ไม่ฟัง” เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านเสียใจมาก บางคนที่มีไหวพริบถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า“ความพลั้งพลาดใดๆ ของท่านผู้เจริญทั้งสอง พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน ภัยที่เกิดแก่พระเถระทั้งสองคงเนื่องมาจากพระธรรมกถึกนี่เอง”
ส่วนพระเถระทั้งสองเมื่อบาดหมางกันไป ก็มิได้มีความสบายใจเลย หนำซ้ำยังไม่ได้ปฏิบัติภาวนาธรรม เพราะต่างก็กังวลใจกับความแตกแยกที่เกิดขึ้น
กระทั่งกาลล่วงไป 100 ปี พระเถระทั้งสองบังเอิญไปพบกันในวิหารแห่งหนึ่ง เมื่อพระมหาเถระเห็นพระอนุเถระแล้วก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ พระอนุเถระเองก็มองพระมหาเถระผู้อาวุโสด้วยนัยน์ตาเอ่อล้นด้วยน้ำตา ท่านก้มกราบพระมหาเถระแล้วกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าถือบาตรและจีวรของท่านอยู่เป็นเวลานาน ท่านได้เห็นมารยาทอันใดของข้าพเจ้าที่ไม่สมควรอยู่บ้างหรือ”
“ไม่เคยเห็นเลย ผู้มีอายุ” พระมหาเถระตอบ
“ถ้าอย่างนั้น เหตุใดท่านจึงพูดกับพระธรรมกถึกว่าอย่าคบหาสมาคมกับข้าพเจ้า”
“ผู้มีอายุ เราไม่เคยพูดเลย แล้วท่านเล่า เห็นความประพฤติอันไม่สมควรใดๆ ของเราหรือ”
“ไม่เคยเลย” พระอนุเถระตอบ “ถ้าอย่างนั้น ทำไมท่านจึงพูดกับพระธรรมกถึกว่าอย่าคบหาสมาคมกับเรา”
“ข้าพเจ้าไม่เคยพูดเลย เป็นความจริง ข้าพเจ้าไม่เคยพูดเลย” พระอนุเถระยืนยันขันแข็ง
เมื่อได้ทราบความจริงดังนี้ ความบาดหมางซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลาถึง 100 ปีก็ระงับลง พระเถระทั้งสองล่วงรู้ถึงเจตนาร้ายของพระธรรมกถึก จึงกล่าวชวนกันว่า “เราไปไล่พระธรรมกถึกออกจากอาวาสกันเถิด”
ผลจากการยุยงให้พระเถระผู้ทรงศีลต้องผิดใจกัน ทำให้พระธรรมกถึกต้องชดใช้ผลกรรมในอเวจีมหานรกหนึ่งพุทธันดร มีร่างกายเป็นสุกรเปรตดังที่พระมหาโมคคัลลานะได้พบเห็น และแม้สมณธรรมที่ได้บำเพ็ญเพียรมา 20,000 ปีก็ไม่อาจช่วยสุกรเปรตตนนั้นได้
เรื่อง เก็บมาเล่าโดย ขวัญ เพียงหทัย
https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/41383.html
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2019-10-13 14:39
กรรมที่ยุทำใ
ห้คนแตกแยก เลยเกิดเป็น เปรตสุกร
สมัยศาสนาองค์สมเด็จพระโลกเชษฐ์พุทธเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสป นั้น มนุษย์เรามีอายุยืนประมาณสองหมื่นปี ก็มีคนบวชเป็นภิกษุสามเณร เหมือนกับกาลทุกวันนี้ คราทีนั้น มีภิกษุสองรูป อยู่ด้วยกัน ณ. วัดใกล้ป่าแห่งหนึ่ง รูปอาวุโส มีพรรษาหกสิบ อีกรูปหนึ่งมีพรรษาห้าสิบเก้า พระคุณเจ้าทั้งสอง มีความรักใคร่สนิทสนมดุจพี่น้องคลานตามกันมา ภิกษุผู้อ่อนกว่า ท่านมีสัมมาคารวะเอาใจใส่ ปฏิบัติพระเถระ ประดุจเช่นตนเป็นสามเณร ฝ่ายพระเถรเจ้า ก็มีใจเฝ้าห่วงใยเอาใจใส่ ให้โอวาทภิกษุผู้ด้อยอาวุโสกว่าอยู่เนืองนิตย์
เมื่อถึงคราวจะวิปริตอาเพศ ก็บังเอิญให้มีพระนักเทศน์ เข้ามาในอาวาสนั้น แล้วเสกสรรปั้นแต่งวาจา กล่าวเปสูญญวาท ให้พระคุณเจ้าทั้งสองแตกกัน เมื่อแตกกันแล้ว ต่างองค์ก็คว้าเอาบาตรเอาจีวรของตน ออกไปจากอาวาสนั้นคนละทิศ พระธรรมกถึก ก็ยึดอาวาสอยู่สบายตามลำพังแต่องค์เดียว หาได้เฉลียวใจ ถึงบาปกรรม ที่ตนกล่าวยุยงส่อเสียด ให้พระสงฆ์แตกกันแม้แต่น้อยไม่
หนึ่งร้อยปีผ่านไป พระเถรเจ้าทั้งสองที่ถูกยุยงให้แตกกันนั้น มาพบกันเข้า ในอาวาสแห่งหนึ่ง เมื่อต่างก็ปรับความเข้าใจกันดีแล้ว จึงได้ทราบว่า การที่ตนหลงขัดใจกัน ถึงกับต้องออกจากอาวาสด้วยความเสียใจนั้น เป็นแผนการของพระธรรมกถึกผู้ลามก ใจสกปรก คิดจะยึดเอาอาวาสนั้น เป็นที่อยู่ของตน เมื่อรู้แน่แก่ใจเช่นนี้ พระคุณเจ้าทั้งสอง จึงพากันกลับมายังอาวาสเก่า เพื่อจักดูหน้าพระธรรมกถึก ผู้เปสูญญวาท พอพระธรรมกถึก ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว ได้ทราบว่า พระคุณเจ้าทั้งสอง กลับกลมเกลียวคืนดีเหมือนอย่างเดิม และกำลังกลับมา จึงเกิดความละอาย อยู่วัดนั้นไม่ได้ ต้องเข้าป่าไป ตั้งหน้าบำเพ็ญธรรม
แต่อุตส่าห์ตั้งหน้าบำเพ็ญสมณธรรม อยู่ในป่านานนักหนา ก็ไม่อาจจะยังคุณพิเศษ ให้บังเกิดขึ้นได้ เพราะ จิตใจไม่สงบ ความชั่วผิดในครั้งนั้น ติดอยู่ในห้วงความคิด ออกฤทธิ์เป็นนิวรณ์ คอยกางกั้นไม่ให้คุณธรรมเบื้องสูง เกิดขึ้นได้ หมื่นกว่าปีผ่านไป ท่านก็แตกกายทำลายขันธ์ ถึงแก่มรณภาพ อกุศลกรรม เพียงเปสูญญวาท กล่าวส่อเสียดยุยงให้พระสงฆ์โกรธกัน ซึ่งถ้าดูด้วยสายตาสามัญ ก็น่าจะเป็นบาปเล็กน้อย แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะ บันดาลให้พระธรรมกถึกรูปนั้น ไปเกิดในอเวจีมหานรก ถูกไฟนรกไหม้อยู่ สิ้นพุทธันดรหนึ่ง ถึงบัดนี้ เศษบาปยังไม่หมด จึงมาบังเกิดเป็นเปรต มีเพศแปลกประหลาด คือ สรีระร่างกาย ของเขาเหมือนมนุษย์ธรรมดา แต่ว่า ส่วนหน้ากลายเป็นหมู มิหนำซ้ำ ยังมีหางงอกออกมาจากปาก เป็นการเพิ่มความน่าเกลียด น่าทุเรศให้เกิดความสังเวช แก่ผู้พบเห็นมากยิ่งขึ้น ตลอดเวลามีหมู่หนอนทั้งหลาย ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ไต่เข้าไต่ออกอยู่แถวบริเวณช่องปากนั้น เขานั่งทรมานกาย เพราะ ถูกหนอนบ่อนปากอยู่สิ้นกาลนาน
เท่าที่เล่ามานี้ ต้องการจะชี้ให้เห็นว่า อกุศลกรรมทุกชนิด อย่าได้คิดประมาทว่า เป็นสิ่งเล็กน้อยเป็นอันขาด เพราะ อาจนำไปสู่อบายภูมิได้ทั้งนั้น
ที่มา :
www.nan2day.com/forum/index.php?topic=4826.0
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2019-11-19 09:29
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2