ในสมัยนั้น (เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม มีชื่อเสียงโด่งดังมาก (หลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ) พร้อมด้วย (หลวงพ่อเจ๊ก วัดหัวฝาย), (หลวงพ่อแป๊ะ วัดคุ้งยางใหญ่) ที่ตำบล บ้านสวน ได้ตกลงเดินทางเพื่อไปเรียนวิชากับเจ้าประคุณสมเด็จพระ พุฒาจารย์โต ที่วัดระฆังฯ การเดินทางไปครั้งนี้ท่านร่ำเรียนอยู่กับ (สมเด็จพุฒาจารย์โต) ถึง ๖ พรรษา เมื่อสำเร็จวิชาที่ร่ำเรียนมาแล้ว จึงกราบลาพระอาจารย์ของท่าน และได้ธุดงค์กลับ จังหวัดสุโขทัย ส่วนหลวงพ่อฤทธิ์ เทวะ ขอแยกเดินธุดงค์ไปกราบนมัสการ พระพุทธบาท ที่จังหวัดสระบุรี
ณ ที่แห่งนี้ ขณะที่ไปปักกรดอยู่ ณ ป่าใกล้กับพระพุทธบาท ปรากฏว่าในตอนเช้าขณะ (หลวงพ่อฤทธิ์) กำลังจะออกไปบิณฑบาต ได้มีเสือโคร่งตัวใหญ่ มานอนอยู่บริเวณหน้ากรดของ หลวงพ่อฤทธิ์ ท่านไม่ได้ตกใจกลัวเลย ท่านบอกกับเสือตัวนั้นว่า เฝ้ากรดไว้ให้ดีอย่าไปไหน จนกระทั่งท่านไปบิณฑบาตกับมาแล้ว ปรากฏว่าเสือโคร่งตัวนั้นก็ยังคงนอนอยู่กับที่ ท่านจึงบอกว่าไปได้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นเขาเห็นเขาจะทำร้ายเอา เสือโคร่งตัวใหญ่จึงเดินหลีกหนีไป ท่านอยู่ที่นี่และ กราบรอยพระพุทธบาท บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายผู้ชื่นชอบการธุดงค์ ส่วนมากจะไปที่นี่กันมากมายเพื่อกราบรอยพระพุทธบาท ที่จังหวัดสระบุรี (หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ก็มักพาลูกศิษย์คือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อฤาษีลิงขาว หลวงพ่อฤาษีลิงเล็ก หรือแม้แต่หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ก็มาที่นี่)
สมัยนั้นเส้นทางเดินนี้เป็นป่ารกชัด มีทั้งสิงสาราสัตว์ดุร้าย มากมาย หลังจากกราบไหว้พระพุทธบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่านก็ได้เดินทางไปกราบ
(หลวงปู่แสง วัดมณีชลขันธ์) ลพบุรี ผู้เป็นพระอาจารย์ (สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี) ระหว่างทางเดินธุดงค์กลับเส้นทางลพบุรีเพื่อกลับมายังสุโขทัย ในป่าของเมืองลพบุรี (หลวงพ่อฤทธิ์) ท่านได้มาพักปักกรดหน้าภูเขาแห่งหนึ่งและอยู่ที่บริเวณหน้าถ้ำ ท่านสังเกตุเห็นว่าจะมีคนนำห่อข้าวอะไรสักอย่างหนึ่งมาแขวนไว้ที่ต้นไม้ที่ ปากถ้ำ แล้วสักพักหนึ่งท่านก็เห็นมีคนลักษณะคล้ายชีเปลือยผม หนวดเครายาว ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด เดินลงมาเอาห่อข้าวนั้นไป ท่านสังเกตอยู่ ๒-๓ วัน ในวันที่ ๓ ท่านตัดสินใจเดินขึ้นไปบนถ้ำนั้น และเมื่อไปถึงท่านก็กราบไปที่ชายคนนั้น ท่านนำผ้าอาบน้ำฝนและจีวร เข้าไปถวายให้ท่านบอกว่าท่านนี้เป็น (พระอรหันต์) แล้วขออนุญาตปลงผม ปรงหนวดท่าน และเมื่อครองผ้าเสร็จเรียบร้อย หลวงพ่อฤทธิ์ ก็ได้กราบขอเรียนวิชา กับพระอรหันต์พระองค์นี้ พระอรหันต์องค์นี้อยู่ในถ้ำจนสบง-จีวร ขาด เปื่อยไปหมด ไม่รู้ว่าอายุกี่ร้อยปี ท่านไปบิณฑบาตนำอาหารมาถวาย หาน้ำมาถวายและท่านก็ได้เรียนวิชา จากพระอรหันต์ท่านนี้จนจบหมดทุกอย่าง ท่านจึงกราบลาพระอาจารย์เพื่อเดินทางกลับมาที่ วัดฤทธิ์ ต.บ้านสวน จังหวัดสุโขทัย หลังจากกลับมาอยู่ที่วัดชื่อเสียงของท่านก็ขจรขจายโด่งดัง
"วัดฤทธิ์ฯ" เดิมมีชื่อว่า วัดศิริ ตามชื่อผู้สร้างวัดนี้ขึ้นมา คำว่า "วัดน้อย" นี้ มาจากวัดนี้เป็นวัดเล็กๆอยู่ข้างคลองน้ำ ซึ่งฝั่งตรงข้ามทางทิศใต้ มีวัดชื่อ วัดคุ้งยางใหญ่ หรือที่ชาวบ้าน ต.บ้านสวน เรียกว่า "วัดใหญ่" ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โตกว่ามาก ชาวบ้านสวนจึงเรียก วัดศิริ นี้ว่า วัดน้อย ส่วน "วัดบ้านสวน" เป็นคำเรียกอีกอย่างหนึ่งของ "วัดฤทธิ์ฯ" ในยุคนั้นอาจไม่ใช่ชื่อ "วัดบ้านสวน" แต่อาจเป็น วัดฤทธิ์ในเวลานั้น แต่เมื่อมีการ บันทึกเป็น "วัด" ตั้งอยู่ "บ้านสวน" จึงเป็นการใช้คำเรียกรวมๆ ทางราชการเหนือขึ้นไปว่า "วัด(ที่)บ้านสวน" จึงเรียกวัดบ้านสวนกันมาแต่ครั้งนั้น
เมื่อกลับมาอยู่ที่วัดฤทธิ์ฯ ท่านก็เริ่มทำการสร้างบูรณะวัด ท่านตัดไม้ถางหญ้าเองมีชาวบ้านมาช่วยท่านสร้างกุฎิสงฆ์ จนแล้วเสร็จ หลังจากนั้นท่านก็ดำริที่จะสร้างศาลาการเปรียญ สมัยก่อนมีไม้จำนวนมาก ต้นใหญ่ๆมากมายตั้งแต่บ้านครุ หนองไผ่เตียบ และดงดีปลี ล้วนแต่เป็นป่ารกชัด แถวบริเวณบ้านเหมืองใหญ่ซึ่งช้างชุกชุมมาก ถ้าไม่ตีปี๊บก็ต้องจุดปะทัดดินปืนไล่ช้าง ไม่อย่างนั้น ช้างจะเข้าไปทำลายบ้านเรือน สมัยก่อนมีจระเข้มานอนข้างถนนมากมาย เมื่อคนเดินมามันก็วิ่งลงบึงหนองคิง ระหว่างก่อสร้างศาลาการเปรียญท่าน (พระครูเผื่อน อุตโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดฤทธิ์ฯ องค์หนึ่งท่านเล่าให้ฟังว่าท่านเป็นเด็กมาวิ่งเล่นเห็นเขาทำศาลาการเปรียญ กันก็ปรากฏว่ามีฝูงอีแร้งมาบินวนอยู่เหนือบริเวณวัดฤทธิ์ฯ ชาวบ้านที่มาทำศาลาการเปรียญก็ดูกันส่งเสียงอื้ออึง หลวงพ่อฤทธิ์จึงบอกว่า ”พวกมึงอยากดูมันใกล้ๆมั๊ย เดี๋ยวจะเรียกมันให้ลงมา” มีบางคนก็บอกว่าอยากดูครับ แล้วท่านก็ยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าแล้วเอามือกวักไปที่ฝูงนกอีแร้ง ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์หรืออย่างไรไม่ทราบ นกอีแร้งฝูงนี้ค่อยๆบินลงมา ที่หลวงพ่อฤทธิ์ยืนอยู่ทั้งฝูงส่งกลิ่นเหม็นสาบ เต็มไปหมด แล้วหลวงพ่อฤทธิ์ก็บอกกับนกที่เป็นจ่าฝูงว่า ให้รอที่นี่นะแล้วท่านก็ขึ้นไปที่กุฎิท่าน ท่านลงมาพร้อมกับเศษจีวรท่าน และมัดตะกรุดไว้ที่ขาของอีแร้งที่เป็นจ่าฝูง หลังจากนั้นจึงให้มันบินจากไปทั้งฝูง "พระครูเผื่อน" ท่านเล่าว่าหลังจากนั้น ไม่มีใครยิงนกอีแร้งฝูงนี้ออกเลย สักคนเดียว ปืนด้านหมด เพราะคนทั่วไป เมื่อเห็นอีแร้งบินก็จะยิงเล่น มีคนไปพบอีกที ปรากฏว่านกอีแร้งจ่าฝูงนี้ไปแก่ตาย ที่หนองยายจีน ห่างจากวัดฤทธิ์ไปสัก ๖-๗ กิโลเมตร คนที่ไปพบก็ได้ตะกรุดดอกนั้นไป
วัดฤทธิ์ฯ สมัยก่อน เต็มไปด้วยผู้คนที่เคารพรักศรัทธา ในตัวหลวงพ่อฤทธิ์ มาหาท่านจำนวนมาก ท่าน้ำบริเวณหน้าวัดคลาคล่ำไปด้วยเรือ ที่มาจอดบริเวณวัด มีเรือมอญขายสินค้าขนาดใหญ่จอดอยู่ มีคนจีนเริ่มมาปักหลัก ทำมาหากิน แขกประจำผู้หนึ่งซึ่งเมื่อว่างเว้นงานราชการ ท่านก็จะมาหา หลวงพ่อฤทธิ์เป็นประจำคือ ท่านเจ้าเมืองสุโขทัยสมัยนั้นคือ (พระยาวิเชียรปราการ) อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ท่านมักชอบมาทางเรือเพราะสะดวก โดยนำเรือขึ้นไปทางบางคลอง แล้วเลี้ยวเข้าคลองต้นข้อก็จะผ่านไปทางตาลเตี้ย และถึงที่วัดฤทธิ์พอดี ณ ที่แห่งนี้ หลวงพ่อฤทธิ์มีอีกสถานที่หนึ่งคือเครื่องสูบทอง ท่านชอบเล่นแร่แปรธาตุ จนสามารถทำเป็นทองได้ (หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่) ท่านก็มาเรียนวิธีทำพระเนื้อชิน กับหลวงพ่อฤทธิ์ ท่านเป็นพระสหธรรมมิกกับหลวงพ่อฤทธิ์รักใคร่ชอบพอกันมาก ท่านมาที่วัดบ่อยมาก หลวงพ่อแป้น วัดเสาธงใหม่ ก็ส่งให้ (หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว) มาเรียนวิชาคาถาเพิ่มเติมที่นี่จาก (หลวงพ่อฤทธิ์) ขณะนั้น หลวงพ่อซวง บวชได้เพียง ๗ พรรษา และ (หลวงพ่อห้อม) ก็ได้ร่ำเรียนวิชานี้ด้วยเช่นกัน
หลวงพ่อฤทธิ์ ท่านสามารถย่นระยะทางได้ มีวันหนึ่งท่านบอกกับพระกับโยมว่า ท่านจะไปบางกอกแล้วท่านก็ไป พอถึงตอนเย็นท่านก็กลับมาพร้อมด้วยข้าวของพะรุงพะรัง ครั้นเมื่อฉันท์เช้าก็ปรากฏว่ามีกับข้าวดีๆ มีผลไม้แปลกๆที่แถวบ้านสวนไม่มี ท่านว่าท่านไปบิณฑบาตที่บางกอก แล้วท่านก็สอน (หลวงพ่อซวง) กับ (หลวงพ่อห้อม) ว่าถ้าสามารถทำสมาธิจิตให้เป็นหนึ่งได้จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
หลวงพ่อฤทธิ์ ใช้กระสุนคด ปราบคนเมา ป้าแป้นโยมผู้ศรัทธาหลวงพ่อฤทธิ์ เป็นอย่างมาก ท่านเล่าให้ฟังว่าสมัยท่านเป็น เด็กมาวิ่งเล่นที่วัดงานประจำปีของวัดน้อย ขณะที่ผู้คนกำลังสนุกสนานก็มีผู้ชายคนหนึ่งชื่อนายมี เมาเหล้าเดินเข้ามาในวัดส่งเสียงดัง โวยวาย หลวงพ่อฤทธิ์ จึงให้คนไปบอกว่าอย่าดัง แต่นายมีก็ไม่เชื่อกลับส่งเสียงดังมากขึ้น หลวงพ่อฤทธิ์จึงใช้กระสุนยิง ซึ่งปรากฏว่าไม่ว่านายมีจะไปหลบที่ไหนก็ได้ยินเสียงดังโอยๆ กระสุนไม่โดนใครเลยทั้งที่คนเต็มวัดถูกเฉพาะนายมีคนเดียวเท่านั้น จนนายมีนี้ต้องร้องบอก หลวงพ่อครับ ผมยอมแล้วครับ หลวงพ่อฤทธิ์ จึงหยุดยิง
มีครั้งหนึ่งระหว่างที่ หลวงพ่อฤทธิ์อยู่กับหลวงพ่อซวง พร้อมญาติโยม ที่ริมคลองข้างวัดบริเวณวังสำโรงใกล้ต้นมะขาม วังนี้ได้ขึ้นชื่อว่าวังน้ำวนสมัยก่อน น้ำจะไหลมาหมุนวนที่นี่น่ากลัวมาก จู่ๆหลวงพ่อฤทธิ์ก็บอกว่า ข้ามีพระจะให้ใครกล้าบ้าง แล้วท่านก็โยนไปที่บริเวณที่วังสำโรงน้ำไหลวนอยู่ น่าอัศจรรย์ใจมาก พระลอยอยู่เหนือน้ำไม่จมไป กับสายน้ำแต่ยังลอยอยู่ซึ่งบริเวณนั้นเป็นวังสำโรง (หลวงพ่อฤทธิ์) ท่านก็บอกว่าใครอยากได้ก็ให้ไปเอา แต่ตรงนั้นเป็นวังสำโรงผู้คนต่าง กลัวไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เนื่องจากเป็นวังน้ำวนหมุน แต่ก็ปรากฏว่า มีผู้ชายคนหนึ่งกล้ามาก เขาบอกหลวงพ่อว่าเขาจะไปเอา แล้วเขาก็เดินลงไปที่ในน้ำ แต่สิ่งน่าอัศจรรย์ใจก็คือเขาเดินบนผิวน้ำได้อย่างสบายโดยที่เท้าไม่เปียก น้ำเลย แล้วก็หยิบเอาพระนั่นใส่กระเป๋าแล้วก็กลับมากราบที่เท้าหลวงพ่อฤทธิ์ หลวงพ่อฤทธิ์ก็บอกคนอื่นๆว่า ”กูบอกแล้วว่าใครกล้าก็ไปเอาแต่พวกมึงไม่กล้าเอง”
หลวงพ่อฤทธิ์ มีความชำนาญในการสร้างเครื่องรางของขลังประเภทเนื้อชิน วัดของท่านถือเป็นสรรพวิชาทางด้านไสยเวท นอกจากนี้ท่านยังชำนาญทางตำรับ ยาสมุนไพร ยากลั่นหรือยาเปรี้ยว ของท่าน สามารถใช้รักษาคนถูกสุนัขบ้ากัด งูกัด หรือใช้รักษาโรคปวดท้องจากสาเหตุต่างๆ ได้ชะงัดนัก และที่สุดยอดมาก คือ ท่านยังสำเร็จวิชาเล่นแร่แปรธาตุ สามารถแปลงโลหะธรรมดาให้เป็นทองคำได้ ซึ่งท่านจะทำเป็นครั้งคราว เพื่อหาปัจจัยมาบูรณะและสร้างศาสนสถานภายในวัดบ้านสวน ให้เจริญมาเช่นปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ พระเกจิ แดนสยาม
เพจ ตำนานเล่าขานพระผู้ทรงฌานอภิญญา ครูบาอาจารย์ผู้เรืองวิชาอาคม
เรียบเรียงโดย
เสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ