Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
๓ วีรสตรีไทยที่ถูกลืม ในศึกบางระจัน !!
[สั่งพิมพ์]
โดย:
รามเทพ
เวลา:
2017-12-28 08:32
ชื่อกระทู้:
๓ วีรสตรีไทยที่ถูกลืม ในศึกบางระจัน !!
๓ วีรสตรีไทยที่ถูกลืม ในศึกบางระจัน !!
เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของ
ชาวบ้านบางระจัน ณ อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน และวัดโพธิ์เก้าต้น
ต.บางระจัน อ.ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
>> แผนที่สังเขปอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน และบริเวณวัดโพธิ์เก้าต้น
>> เพลงศึกบางระจัน - สันติ ลุนเผ่ ขับร้อง
ศึกบางระจัน
ศึกบางระจัน จำให้มั่นพี่น้องชาวไทย เกียรติประวัติสร้างไว้
แด่ชนชาติไทยรุ่นหลัง แม้ชีวิตยอมอุทิศเมื่อชาติอับปาง เลือดไทยต้องมา
ไหลหลั่ง ทาทั่วพื้นแผ่นดินทอง
ไทยคงเป็นไทย มิใช่ชาติเป็นเชลย ไทยมิเคยถอยร่น ชนชาติศัตรู
บางระจันแม้สิ้นอาวุธจะสู้ สองดาบฟาดฟันศัตรู สู้จนชีพตนมลาย
ตัวตายดีกว่าชาติตาย เพียงเลือดหยาดสุดท้ายขอให้ไทยคงอยู่
แดนทองของไทยมิให้ศัตรู แม้นโครรุกรานเราสู้ เพื่อกู้แหลมถิ่นไทยงาม
>> จารึกอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน
เมื่อเดือนสาม ปีระกา พุทธศักราช ๒๓๐๘ นายจันหนวดเขี้ยว
นายโชติ นายดอก นายทองแก้ว นายทองเหม็น นายทองแสงใหญ่ นายแท่น
นายเมือง พันเรือง ขุนสรรค์ และนายอิน
ได้เป็นหัวหน้ารวบรวมชาวบ้านตั้งค่ายต่อสู้พม่าที่บ้านบางระจัน
มีพระอาจารย์ธรรมโชติ เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาคมบำรุงขวัญ
ตั้งแต่เดือนสี่ ปีระกา พุทธศักราช ๒๓๐๘ จนถึงเดือนเจ็ด ปีจอ
พุทธศักราช ๒๓๐๙ วีรชนค่ายบางระจัน ได้ต่อสู้พม่าด้วยความกล้าหาญ และ
ด้วยกำลังใจเด็ดเดี่ยว ยอมสละแม้เลือดเนื้อและชีวิต เพื่อรักษาแผ่นดินไทย
รบชนะพม่าถึงเจ็ดครั้ง จนพม่าครั่นคร้ามฝีมือ
รัฐบาลและประชาชนชาวไทย จึงพร้อมใจกันสร้างอนุสาวรีย์นี้ขึ้น
เพื่อประกาศเกียรติคุณของวีรชนค่ายบางระจันให้ยั่งยืนชั่วกาลนาน
นี่คือข้อความที่ปรากฏในจารึกอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน !!!
>> ไม่ปรากฏชื่อวีรสตรีไทยเลือดนักสู้
แต่เป็นที่น่าเสียดายยิ่งที่ไม่ปรากฏชื่อ วีรสตรีไทยเลือดนักสู้ ระดับ
หัวหน้าทั้ง ๓ ท่าน ทั้ง ๆ ที่ได้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักรบชายชาวบ้าน
บางระจัน ได้แก่ อีปล้อง อีแฟง และอีเฟื่อง ด้วยกันนำชาวบ้านบางระจัน
ออกสู้รบกับพม่า และช่วยกันส่องคบลวงพม่า แล้วให้นักรบชายจู่โจมเข้าโจมตี
ทำให้พม่าถูกฆ่าตายไปเป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุด วีรสตรีทั้ง ๓ ท่าน ก็ถูก
พม่าฆ่าตายในที่สุด
คุณทนงศักดิ์ สุขทวี ไวยาวัจกร วัดโพธิ์เก้าต้น อ.ค่ายบางระจัน
จังหวัดสิงห์บุรี ได้เคยกล่าวว่า ในบรรดาหัวหน้าชาวบ้านบางระจัน นอกจาก
ที่มีชื่อในประวัติศาสตร์ที่เราทราบกันมานั้น ยังมีหัวหน้าที่เป็นสตรีอีก ๓ ท่าน
นามว่า ปล้อง แฟง และเฟื่อง อีกด้วย ซึ่งก็บังเอิญว่าตัวละครเอกในนวนิยาย
ของ ไม้ เมืองเดิม นั้น ก็มีชื่อ แฟง กับ เฟื่อง ด้วย
อ้างอิง :
[url]http://iseehistory.socita.com/index.php?lay=show&ac=
article&Id=538711062&Ntype=1
[/url]
โดย:
รามเทพ
เวลา:
2017-12-28 08:34
>> บทกลอนบางระจัน สามวีรสตรีเลือดนักสู้ชาวบ้านบางระจัน
ที่มา : พิพิธภัณฑ์วัดโพธิ์เก้าต้น สิงห์บุรี
>> ศาลเพียงตาวีรสตรีไทย
ชาวบ้านได้พร้อมใจกันตั้งศาลวีรสตรีไทย ทั้ง ๓ ท่าน ณ เนินดิน
ค่ายบางระจัน เป็นศาลไม้เพียงตา ตั้งอยู่ภายในบริเวณ วัดโพธิ์เก้าต้น
ต.บางระจัน อ.ค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ให้คนไทยได้กราบไหว้และระลึก
ถึงคุณงามความดีและความกล้าหาญของ ๓ ท่าน
จึงเห็นสมควรได้มีการศึกษาค้นคว้าทบทวนหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์เสียใหม่ให้ถูกต้อง และสมควรได้รับการยกย่อง เชิดชู และจารึก
ประกาศเกียรติคุณในคุณงามความดีและความกล้าหาญเช่นเดียวกับวีรชนชาย
>> รายละเอียดการรบของชาวบ้านบางระจันกับพม่า ทั้ง ๘ ครั้ง
การรบครั้งที่ ๑
ทหารพม่าที่เมืองวิเศษชัยชาญยกพลมาประมาณ ๑๐๐ เศษ มา
ตามจับพันเรืองเมื่อถึงบ้านบางระจัน ก็หยุดอยู่ ณ ฝั่งลำธารบางระจัน
นายแท่นจัดคนให้รักษาค่ายแล้วนำคน ๒๐๐ ข้ามแม่น้ำไปรบกับ
พม่า ทหารพม่าไม่ทันรู้ตัวยิงปืนได้เพียงนัดเดียวชาวไทยซึ่งมีอาวุธสั้น
ทั้งนั้น ก็กรูเข้าไล่ฟันแทงพม่าถึงขั้นตะลุมบอน พลทหารพม่าล้มตายหมด
เหลือแต่ตัวนายสองคนขึ้นม้าหนีไปได้ ไปแจ้งความให้นายทัพพม่าที่ค่าย
แขวงเมืองวิเศษชัยชาญทราบ และส่งข่าวให้แม่ทัพใหญ่คือเนเมียวสีหบดี
ซึ่งตั้งค่ายใหญ่อยู่ ณ ปากน้ำพระประสบทราบด้วย
การรบครั้งที่ ๒
เนเมียวสีหบดีจึงแต่งให้งาจุนหวุ่น คุมพล ๕๐๐ มาตีค่ายบางระจัน
นายแท่นก็ยกพลออกรบ ตีทัพพม่าแตกพ่ายล้มตายเป็นอันมาก แม่ทัพพม่าได้
เกณฑ์ทหารเพิ่มเป็น ๗๐๐ คน ให้เยกินหวุ่นคุมพลยกมาตีค่ายบางระจัน ทัพพม่า
ก็ถูกตีแตกพ่ายอีกเป็นครั้งที่ ๒
การรบครั้งที่ ๓
เมื่อกองทัพพม่าต้องแตกพ่ายหลายครั้ง เนเมียวสีหบดีเห็นว่าจะ
ประมาทกำลังของชาวบ้านบางระจันต่อไปอีกไม่ได้ จึงเกณฑ์พลเพิ่มเป็น ๙๐๐
คน ให้ติงจาโบ เป็นผู้คุมทัพครั้งนี้ชาวบ้านบางระจันมีชัยชนะพม่าอีกเช่นครั้ง
ก่อนๆ
โดย:
รามเทพ
เวลา:
2017-12-28 08:34
การรบครั้งที่ ๔
การที่พม่าแพ้ไทยหลายครั้งเช่นนี้ ทำให้พม่าขยาดฝีมือคนไทย จึง
หยุดพักรบประมาณ ๒-๓ วัน แล้วเกณฑ์ทัพใหญ่เพื่อมาตีค่ายบางระจัน มีกำลัง
พลประมาณ ๑,๐๐๐ คน ทหารม้า ๖๐ สุรินจอข่องเป็นนายทัพ พม่ายกทัพมา
ตั้งที่บ้านห้วยไผ่ (ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง)
ฝ่ายค่ายบางระจันได้จัดเตรียมกันเป็นกระบวนทัพสู้พม่าคือ นาย
แท่นเป็นนายทัพคุมพล ๒๐๐ พันเรืองเป็นปีกซ้ายคุมพล ๒๐๐ ชาวไทยเหล่านี้
มีปืนคาบศิลาบ้าง ปืนของพม่าและกระสุนดินดำของพม่า ซึ่งเก็บได้จากการรบ
ครั้งก่อนๆ บ้าง
นอกจากนั้นก็เป็นอาวุธตามแต่จะหาได้ ทัพไทยทั้งสามยกไปตั้งที่
คลองสะตือสี่ต้น อยู่คนละฟากคลองกับพม่า ต่างฝ่ายต่างยิงตอบโต้กันฝ่าย
ไทยชำนาญภูมิประเทศกว่า ได้ขนไม้และหญ้ามาถมคลอง แล้วพากันรุกข้าม
รบไล่พม่าถึงขั้นใช้อาวุธสั้น พม่าล้มตายเป็นอันมาก ตัวสุรินทรจอข้องนายทัพ
พม่า ขี่ม้ากั้นร่มระย้าเร่งให้ตีกองรบอยู่กลางพล ถูกพลทหารไทยวิ่งเข้าไป
ฟันตาย ณ ที่นั้น
ส่วนนายแท่นแม่ทัพไทยก็ถูกปืนที่เข่าบาดเจ็บสาหัสต้องหามออก
มาจากที่รบ ทัพไทยกับพม่ารบกันตั้งแต่เช้าจนเที่ยง ต่างฝ่ายต่างอิดโรย จึง
ถอยทัพจากกันอยู่คนละฟากคลอง พวกชาวบ้านบางระจันในค่ายก็นำอาหาร
ออกมาเลี้ยงดูพวกทหาร
ขณะพม่าต้องหุงหาอาหารและมัวจัดการศพแม่ทัพไม่ทันระวังตัว
กองสอดแนมของไทยมาแจ้งข่าว พวกทหารไทยกินอาหารเสร็จแล้วก็ยกข้าม
คลองเข้าโจมตีพม่าพร้อมกันทันที ทหารพม่าแตกพ่ายไม่เป็นกระบวน ที่ถูก
อาวุธล้มตายประมาณสามส่วน และเสียเครื่องอาวุธยุทธภัณฑ์เป็นอันมาก
ไทยไล่ติดตามจนใกล้ค่ำจึงยกกลับมายังค่าย
กิตติศัพท์ความเก่งกล้าของชาวบ้านบางระจันแพร่หลายออกไป
มีชาวบ้านอื่น ๆ อพยพครอบครัวเข้ามาอาศัยอยู่ในค่ายบางระจันเพื่อขึ้นอีก
เป็นลำดับ
การรบครั้งที่ ๕
พม่าเว้นระยะไม่ยกมาตีค่ายบางระจันอยู่ประมาณ ๑๐-๑๑ วัน ด้วย
เกรงฝีมือชาวไทย หลังจากนั้นจึงแต่งทัพยกมาอีกครั้งหนึ่ง มีแยจออากาเป็น
นายทัพคุมทหารซึ่งเกณฑ์แบ่งมาจากทุกค่ายเป็นคนประมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ
พร้อมด้วยม้าและอาวุธต่างๆแต่กองทัพพม่านี้ก็ปราชัยชาวบ้านบางระจันแตก
พ่ายไป
การรบครั้งที่ ๖
นายทัพพม่าครั้งที่ ๖ นี้คือ จิกแก ปลัดเมืองทวาย คุมพล ๑๐๐ เศษ
ฝ่ายไทยมีชัยชนะอีกเช่นเคย
การรบครั้งที่ ๗
เนเมียวสีหบดีได้แต่งกองทัพให้ยกมาตีค่ายบางระจันอีก ให้
อากาปันคยีเป็นแม่ทัพคุมพล ๑,๐๐๐ เศษ อากาปันคยียกกองทัพไปตั้ง ณ
บ้านขุนโลก
ทางค่ายบางระจันดำเนินกลศึกคือ จัดให้ขุนสรรค์ซึ่งมีฝีมือแม่น
ปืน คุมพลทหารปืนคอยป้องกันกองทัพม้าของพม่า นายจันหนวดเชี้ยวเป็น
แม่ทัพใหญ่คุมพล ๑,๐๐๐ เศษ ออกตีทัพพม่าและล้อมค่ายไว้
ทหารไทยใช้การรบแบบจู่โจม พม่ายังไม่ทันตั้งค่ายเสร็จก็ถูกโอบ
ตีทางหลังค่าย ทหารพม่าถูกฆ่าตายเกือบหมดเหลือรอดตายเป็นส่วนน้อย
แม่ทัพก็ตายในที่รบครั้งนี้ทำให้พม่าหยุดพักรบนานถึงครึ่งเดือน
การรบครั้งที่ ๘
การที่พม่าส่งกองทัพมาปราบค่ายบางระจันถึง ๗ ครั้ง แต่ต้องแตก
พ่ายยับเยินทุกครั้งนั้น ทำให้แม่ทัพใหญ่ของพม่าวิตกมาก เนื่องจากชาวบ้าน
บางระจันมีกำลังเข้มแข็งขึ้นทุกที และทหารพม่าก็พากันเกรงกลัวฝีมือไทย
ไม่มีใครอาสาเป็นนายทัพ
ขณะนั้นมีชาวรามัญผู้หนึ่งเคยอยู่เมืองไทยมานาน รู้จักนิสัยคนไทย
และภูมิประเทศดี ได้เข้าฝากตัวทำราชการอยู่กับพม่าจนได้รัยตำแหน่งสุกี้ หรือ
พระนายกอง สุกี้เข้ารับอาสาจะขอไปตีค่ายบางระจัน เนเมียวสีหบดีจึงแต่งตั้ง
ให้เป็นแม่ทัพคุมพล ๒,๐๐๐ พร้อมทั้งม้าและสรรพาวุธทั้งปวง
สุกี้ดำเนินการศึกอย่างชาญฉลาด เมื่อเวลาเดินทัพไม่ตั้งทัพกลาง
แปลงอย่างทัพอื่น ให้ตั้งค่ายรายไปตามทาง ๓ ค่าย และรื้อค่ายหลังผ่อนไป
สร้างข้างหน้าเป็นลำดับ ใช้เวลาถึงครึ่งเดือนจึงใกล้ค่ายบางระจัน
สุกี้ใข้วิธีตั้งมั่นรบอยู่ในค่าย ด้วยรู้ว่าคนไทยเชี่ยวชาญการรบกลาง
แปลง พวกหัวหน้าค่ายบางระจันนำกำลังเข้าตีค่ายพม่าหลายครั้งไม่สำเร็จกลับ
ทำให้ ไทยเสียไพร่พลไปเป็นจำนวนมาก
วันหนึ่งนายทองเหม็นดื่มสุราแล้วขี่กระบือนำพลส่วนหนึ่งเข้าตีค่าย
พม่า สุกี้นำพลออกรบนอกค่าย นายทองเหม็นถลำเข้าอยู่ท่ามกลางข้าศึกแต่
ผู้เดียว แม้ว่าจะมีฝีมือสามารถฆ่าฟันทหารพม่ารามัญล้มตายหลายคน แต่ใน
ที่สุดก็ถูกทหารพม่ารุมล้อมจนสิ้นกำลังและถูกทุบตีตายในที่รบ (เล่าขานกันมา
ว่านายทองเหม็นเป็นผู้รู้ในวิชาคงกระพันชาตรี และมีของขลังป้องกัน
ภยันตราย ฟันแทงไม่เข้า หากจะทำร้ายคนมีวิชาเช่นนี้จะต้องตีด้วยของแข็ง)
ทัพชาวบ้านบางระจันเมื่อเสียนายทัพก็แตกพ่าย ซึ่งนับว่าเป็น
ครั้งแรกในการรบกับพม่า ทัพพม่ายกติดตามมาจนถึงบ้านขุนโลกใกล้ค่าย
บางระจัน แล้วตั้งค่ายมั่นอยู่
ทัพบางระจันพยายามตีค่ายพม่าอีกหลายครั้งไม่สำเร็จก็ท้อถอย
สุกี้จึงให้ทหารขุดอุโมงค์เข้าใกล้ค่ายน้อยบางระจัน ปลูกหอรบขึ้นสูงนำ
ปืนใหญ่ขึ้นยิงเข้าไปในค่ายถูกผู้คนล้มตายเป็นอันมาก ค่ายน้อยบางระจันก็
แตกพ่ายลง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ทำให้ชาวบ้านบางระจัน เสียกำลังใจลงอีก
คือ นายแท่น หัวหน้าค่ายที่ถูกปืนที่เข่าบาดเจ็บครั้งที่สุรินทรจอข่องเป็นแม่ทัพ
ยกมาเมื่อการรบครั้งที่ ๔ นั้นได้ถึงแก่กรรมลง ในเดือน ๖ ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙
หัวหน้าชาวบ้านบางระจันคนอื่น ได้พยายามจะนำทัพไทยออกรบกับพม่าอีก
หลายครั้ง
วันหนึ่งทัพพม่าสามารถตีโอบหลังกระหนาบทัพไทยได้ ขุนสรรค์
และนายจันหนวดเขี้ยว ได้ทำการรบจนกระทั่งตัวตายในที่รบ ยังเหลือแต่
พันเรืองและนายทองแสงใหญ่เป็นหัวหน้าสำคัญ
ชาวค่ายบางระจันเห็นว่าตนเสียเปรียบ ผู้คนล้มตายลงไปมาก
เหลือกำลังที่จะต่อสู้กับพม่าแล้ว จึงมีใบบอกเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยาขอปืนใหญ่
๒ กระบอก พร้อมด้วยกระสุนดินดำเพื่อจะนำมายิงค่ายพม่า ทางพระนคร
ปรึกษากันแล้วเห็นพร้อมกันว่าไม่ควรให้เนื่องจากกลัวว่าพม่าจะแย่งชิงกลาง
ทางบ้าง หรือหากพม่าตีค่ายบางระจันแตก พม่าก็จะได้ปืนใหญ่นั้นมาเป็น
กำลังรบพระนคร
พระยารัตนาธิเบศร์ไม่เห็นด้วยในข้อปรึกษา จึงออกไป ณ ค่าย
บางระจัน เรี่ยไรเครื่องภาชนะทองเหลืองทองขาวจากพวกชาวบ้านหล่อปืน
ใหญ่ขึ้นมา สองกระบอก แต่ปืนทั้งสองนั้นร้าวใช้ไม่ได้ พระยารัตนาธิเบศร์
เห็นว่าการศึกจะไม่เป็นผลสำเร็จจึงกลับพระนคร
เมื่อขาดที่พึ่งชาวบ้านบางระจันก็เสียกำลังใจมากขึ้น ฝีมือการสู้รบ
กับพม่าก็พลอยอ่อนลง บางพวกก็พาครอบครัวหลบหนีออกจากค่าย ผู้คนใน
ค่ายก็เบาบางลง ในที่สุดพม่าก็สามารถตีค่ายใหญ่บางระจันได้ ในวันจันทร์
แรม ๒ ค่ำ เดือนแปด ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ รวมเวลาที่ไทยรบกับพม่าตั้งแต่เดือน
๔ ปลายปีระกา พ.ศ. ๒๓๐๘ ถึงเดือนแปด ปีจอ พ.ศ. ๒๓๐๙ เป็นเวลาทั้งสิ้น
๕ เดือน
พม่าได้กวาดต้อนชาวไทยในค่ายบรรดาที่รอดตายทั้งหลายกลับ
ไปยังค่ายพม่า ส่วนพระอาจารย์ธรรมโชติซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ช่วยให้กำลังใจให้
ชาวบ้านบางระจันสู้รบกับพม่าอย่างห้าวหาญนั้น ไม่ปรากฏว่าท่านมรณภาพ
อยู่ในค่าย ถูกกวาดต้อน หรือหลบหนีไปได้
ที่มา : [url=]
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%
E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%
B5%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%
B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%[/url]
โดย:
รามเทพ
เวลา:
2017-12-28 08:35
>> เชิญชมภาพสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศึกบางระจัน
เชิญชมภาพสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศึกบางระจัน ได้แก่ อนุสาวรีย์
วีรชนค่ายบางระจัน และในบริเวณวัดโพธิ์เก้าต้น สิงห์บุรี ในปัจจุบัน อันควร
ค่าแก่การไปเยี่ยมชมและระลึกถึงคุณงามความดีของเหล่าวีรชนคนกล้าของ
ไทยเมื่อมีโอกาส
ภาพพระอาจารย์ธรรมโชติ (มอบให้ไว้บูชา)
โดย:
รามเทพ
เวลา:
2017-12-28 08:36
แถมท้ายด้วยภาพหาบน้ำจากบ่อโบราณไปใส่สระน้ำศักดิ์สิทธิ์
เพื่อแก้บนของชาวบ้านบริเวณวัดโพธิ์เก้าต้น ในปัจจุบัน
|| ประวัติหัวหน้าชาวบ้านบางระจัน ทั้ง ๑๑ ท่าน
โดย:
รามเทพ
เวลา:
2017-12-28 08:37
โดย:
รามเทพ
เวลา:
2017-12-28 08:38
โดย:
รามเทพ
เวลา:
2017-12-28 08:39
และพระอาจารย์ธรรมโชติ
แม้ว่าค่ายบางระจันจะต้องพ่ายแพ้แก่พม่าก็ตาม แต่วีรกรรมใน
ครั้งนั้น ได้รับการจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์และจิตใจของประชาชนชาวไทย
ตลอดมา เป็นตัวอย่างที่ดีแห่งความกล้าหาญ เสียสละ สมัครสมานสามัคคี
เพื่อประเทศชาติอันเป็นที่รัก
แล้วท่าน จะไม่หาโอกาสไปเยี่ยมชมสักครั้งหรือครับ !!!
๑~~~
ถ่ายภาพและตกแต่ง : สุรศักดิ์
ที่มา..
http://oknation.nationtv.tv/blog/surasakc/2010/04/09/entry-1
โดย:
oustayutt
เวลา:
2017-12-28 21:27
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2