เปิดประวัติ'หลวงพ่อชื่น' ตำนานเครื่องรางเสือเนื้อผง(1) คอลัมน์ มุมพระเก่า อภิญญา วัดกลางคูเวียง เป็นวัดราษฎร์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน ในเขต ต.สัมปทวน อ.นคร ชัยศรี จ.นครปฐม เป็นวัดเก่าแก่มาแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ถิ่นฐานเดิมบริเวณบ้านสัมปทวน ในละแวกวัดเป็นชาวลาวที่อพยพมาจากเมืองเวียงจันทน์ ที่รัชกาลที่ 2 กวาดต้อนชาวลาว มาตามลุ่มแม่น้ำท่าจีน จนถึงบ้านสัมปทวน ชาวลาวที่อพยพมาในครั้งนี้มีเจ้านายคนสำคัญร่วมขบวนมาด้วย คือเจ้าเมืองซ้าย และพระชายาหม่อมเจ้าโสภี หลังจากที่ตั้งถิ่นฐานเรียบ ร้อยแล้ว เจ้าเมืองและพระชายา เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการบูรณะวัดร้างที่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดกลาง" ที่อยู่ในละแวกชุมชนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ เพื่อให้ชาวลาวที่อพยพมาประกอบกิจกรรมทางพุทธศาสนาตามประเพณีของชาวลาว แต่เพราะเหตุที่วัดอยู่ท่ามกลางชาวลาวที่อพยพมา จึงเรียกชื่อวัดที่บูรณะใหม่ว่า "วัดกลางลาว" โดยอาราธนา "พระครูบุญชูโต" มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดกลางคูเวียง" ตามลักษณะภูมิประเทศที่มีคูน้ำล้อมรอบบริเวณวัด ลำดับเจ้าอาวาสวัดกลางคูเวียงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 1.พระอาจารย์บุญชูโต 2.พระอาจารย์ปลี 3.พระอาจารย์น้อย 4.พระอาจารย์มี 5.พระอาจารย์โลง 6.พระอาจารย์อ่อน 7.พระอาจารย์อ่อนตา 8.พระอาจารย์เทียน 9.พระอาจารย์จั่น 10.พระครูโสภณสาธุการ (ชื่น เขมจารี) 11.พระครูโสภณสาธุการ (เชิญ โกสโล) วัดกลางคูเวียง เป็นวัดหนึ่งที่มีตำรับตำรายาแผนโบราณหรือยาต้ม ที่ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยให้กับผู้ที่มาขอรับการรักษา ตำรับตำรานี้เป็นมรดกตกทอดกันมานานแล้ว และเริ่มแพร่หลายเมื่อสมัยหลวงพ่อชื่น ท่านรักษาให้กับคนทั่วไปโดยไม่ได้เรียกร้องค่ายาแต่ประการใด สุดแล้วแต่คนไข้จะถวายเพื่อช่วยค่ายา ซึ่งท่านได้รักษาคนไข้จนหายเป็นปกติหลายร้อยหลายพันคน จึงนับได้ว่าท่านเป็นที่พึ่งของคนเจ็บป่วยอย่างแท้จริง และตำรับตำราเหล่านี้ท่านถ่ายทอดให้กับ หลวงพ่อเชิญ โกสโล เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันซึ่งเป็นหลานชาย เป็นผู้สืบทอดภารกิจที่ต้องรักษาคนเจ็บป่วยต่อไป หลวงพ่อชื่น เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2445 ปีขาล ที่บ้านกลาง หมู่ 3 ต.สัมปทวน อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เป็นบุตรของนายฝอย นางวัน นามสกุล ทุยเวียง ประกอบอาชีพทำนา เมื่ออายุ 21 ปี บรรพชาอุปสมบทที่วัดสัมปตาก ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดกลางคูเวียง เมื่อวันที่ 14 พ.ค.2465 โดยมี พุทธวิถีนายก (หลวงปู่บุญ ขันธโชติ) วัดกลางบางแก้ว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดหล่อ วัดกลางบางแก้ว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอธิการมา วัดลานตากฟ้า เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า "เขมจารี" หลังจากนั้นท่านได้มาจำพรรษาอยู่ยังวัดกลางคูเวียง โดยได้ศึกษาพระปริยัติ ธรรม พร้อมวิชาแพทย์แผนโบราณ ต่อมาได้ไปศึกษาภาษาขอมและวิชาอาคมต่างๆ กับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว โดยได้เรียนคู่กับ หลวงพ่อเพิ่ม วัดกลางบางแก้ว นอกจากนั้น ท่านยังมีความรู้พิเศษในทางวิปัสสนาธุระเป็นอย่างดียิ่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 12 เม.ย.2472 ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดกลางคูเวียง เริ่มก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ รวมทั้งเริ่มรักษาโรคต่างๆ ชาวบ้านที่ได้รับความเจ็บป่วย โดยมิได้เรียกค่ารักษาใดๆ สำหรับตำรับตำรายารักษาโรคเหล่านั้น ท่านศึกษาเล่าเรียนจาก "หมอเทียนสาลีเวียง" หมอโบราณที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องการรักษาโรค และเวทมนต์คาถา การดูฤกษ์ยาม ทำนายโชคชะตา ครั้นถึง พ.ศ.2479 ท่านได้หาเงินสร้างพระอุโบสถใหม่แทนหลังเดิม ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ทำด้วยไม้ หลังคามุงจาก ฝาเป็นไม้กระดานชำรุดจนไม่สามารถใช้ทำสังฆกรรมได้ พร้อมกับสร้างพระประธานองค์ใหม่ พระอัครสาวก พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร นอกจากนั้นยังได้สร้างกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ ส่วนทางด้านเหนือพระอุโบสถได้สร้างพระวิหารเล็กไว้เป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อบุญชูโต ซึ่งถือกันว่าเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก และเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ศักดิ์สิทธิ์มีอภินิหารต่างๆ จนเป็นที่เคารพสักการะนับถือของบรรดาสาธุชนโดยทั่วกัน |
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) | Powered by Discuz! X3.2 |