Baan Jompra
ชื่อกระทู้: บันทึกเรื่อง "เมืองเกินร้อย" [สั่งพิมพ์]
โดย: oustayutt เวลา: 2017-3-12 12:11
ชื่อกระทู้: บันทึกเรื่อง "เมืองเกินร้อย"
07 มีนาคม 2558 | โดย นิภาพร ทับหุ่น
1833
[size=1.6]เอาว่าแค่ชื่อบ้านนามเมืองก็ชวนสนุกแล้ว และทำไมเราจะไม่ลองไปเยือนเมืองร้อยเอ็ดดูสักนิดล่ะ
[size=1.6]ทันทีที่กัปตันของสายการบินโลว์คอสสีแดงประกาศอุณหภูมิ ณ เมืองปลายทาง ผู้โดยสารบนเครื่องถึงกับทำหน้าเหวอ
[size=1.6]
14 องศาฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ อาจจะไม่แปลกหากว่าเมืองปลายทางอยู่ในเขตจังหวัดภาคเหนือของประเทศไทย แต่สถานที่ที่เรากำลังจะไปคือ ร้อยเอ็ด ถิ่นแดนอีสานที่อยู่ในเขตภูมิอากาศแบบสวันนา(Savanna Climate) คือร้อนสลับฝน แต่วันนี้ความหนาวเย็นแสดงให้เห็นถึงตัวตนและการมีอยู่ของฤดูกาลอย่างชัดเจน
[size=1.6]
เปิดเป้ใบใหญ่แล้วรื้อเอาเสื้อคลุมที่อยู่ใต้สุดของกระเป๋าขึ้นมาใส่ อาจจะไม่อบอุ่นนัก แต่ก็พอบรรเทาความเย็นลงไปได้บ้าง
[size=1.6]
โดย: oustayutt เวลา: 2017-3-12 12:16
1.
เอาจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เดินทางมาเยือนจังหวัดร้อยเอ็ดแบบค้างคืน คือที่ผ่านมาแค่แวะชมนั่นชมนี่ประเดี๋ยวประด๋าว แค่คราวนี้มาจริง มาเต็ม หรือจะบอกว่า ตั้งใจมาเกิน 100 ก็ได้ (ใช่สิก็ตั้งใจมา 101 นี่)
เคยนึกสงสัยกันมั้ยว่าทำไมจังหวัดนี้ชื่อ "ร้อยเอ็ด" ฉันเคยนะ เพราะถ้าดูจากจังหวัดรอบข้างทุกแห่งมีชื่อเสียงเรียงนามเพราะพริ้งเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น มหาสารคาม สุรินทร์ ศรีสะเกษ อำนาจเจริญ ยโสธร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร แต่ "ร้อยเอ็ด" ฟังกี่ครั้งๆ ก็ดูแข็ง ห้วน
อย่ามัวแต่สงสัยอยู่เลย เรามาคลายความข้องใจนั้นกันดีกว่า
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ระบุว่า บริเวณที่ตั้งจังหวัดร้อยเอ็ดในปัจจุบัน เดิมเป็นเมืองใหญ่ที่มีชื่อว่า "สาเกตนคร" หรือ "เมืองร้อยเอ็ดประตู" ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองสาเกตนครสามารถวัดได้จากจำนวนเมืองขึ้นที่มีมากถึง 11 เมือง(11 ประตู) หลายข้อมูลบอกว่า สมัยโบราณนิยมเขียนสิบเอ็ด เป็น 101 คือ สิบกับหนึ่ง จึงเป็นที่มาของชื่อเมือง ซึ่งถ้าฟังตามนี้ก็ดูสมเหตุสมผลดี แต่ก็มีนักวิชาการที่เห็นแย้งกับเรื่องนี้ โดยมีหลักฐานเป็นตัวอักษรธรรมในต้นฉบับใบลานตามตำนานอุรังคธาตุ(คำบอกเล่าความเป็นมาของพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม) ที่จารเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองสาเกตนครไว้เป็นตัวอักษรทั้งหมด และไม่มีจุดไหนเลยที่เขียนเป็นตัวเลข นั่นแปลว่า ร้อยเอ็ดที่มาจาก 10+1 จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง
สมมติฐานที่ว่า 10+1 เป็นอันตกไป ทีนี้ลองมาดูข้อมูลของกรมศิลปากรกันดีกว่า (อันนี้น่าจะจริงแท้) โดยมีรายละเอียดอยู่ในเอกสาร "ชื่อบ้านนามเมือง...ร้อยเอ็ด" ระบุว่า ร้อยเอ็ด ตรงกับคำว่า ทวารวดี
“ในตำนานอุรังคธาตุ กล่าวว่าเมืองร้อยเอ็ดประตูมีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น 101 เมือง การใช้จำนวนประตูเมืองมากมายนั้นเป็นความหมายแสดงถึงอำนาจที่แผ่ขยายกว้างไกลออกไปทุกทิศทาง โดยคติดังกล่าวนี้น่าจะมีที่มาจากอินเดีย ดังเช่นชื่อ ทวารวดี เมื่อแปลตามรูปศัพท์แปลว่าเมืองที่มีประตูเป็นกำแพง (ทวาร-ประตู และ วติ-รั้ว, กำแพง) และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับชื่อเมืองร้อยเอ็ดประตู ก็จะให้ความหมายถึงการเป็นเมืองศูนย์กลางที่มีอำนาจครอบคลุมออกไปโดยรอบทุกสารทิศเช่นเดียวกัน"
ฉะนั้นชื่อ "ร้อยเอ็ดประตู" จึงน่าจะเป็นชื่อมงคลที่หมายถึงเมืองที่มีอำนาจแผ่ขยายกว้างไกลออกไปทุกทิศทางมากกว่าจะเป็นเมืองที่มีประตูมากถึง 101 ประตูจริงๆ
แค่ชื่อจังหวัดก็สนุกแล้วใช่มั้ย แต่จะบอกว่า ถ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์เมืองลงลึกกว่านี้จะสนุกยิ่งกว่า ถ้ามีเวลาไม่มากแนะนำให้แวะไปที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติร้อยเอ็ด จะเห็นเส้นทางของเมืองสาเกตนครแบบครบถ้วน
2.
เสื้อคลุมตัวเดียวไม่อยู่จริงๆ ฉันต้องไปรื้อเป้อีกครั้งเพื่อหาผ้าพันคอ เพราะบริเวณ บึงพลาญชัย ลมแรงใช่เล่น
ยึดเอาฤกษ์ดี มาเมืองนี้เลยต้องแวะมาไหว้ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ที่ตั้งอยู่ริมบึงน้ำกันก่อน ว่ากันว่า ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเป็นศาลคู่บ้านคู่เมืองของชาวร้อยเอ็ด ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือมาก ไม่ว่าใครมาขอพรอะไรเป็นได้สมใจหวัง ไม่ได้โลภมาก แต่ก็อยากสมปรารถนา ว่าแล้วฉันก็ซื้อเทียนดอกไม้ไปบูชาศาลเจ้าพ่อหลักเมืองทันที
สำหรับบึงพลาญชัย เป็นบึงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองร้อยเอ็ด คล้ายๆ กับบึงแก่นนคร จังหวัดขอนแก่น หรือหนองประจักษ์ จังหวัดอุดรธานี บึงนี้มีขนาดใหญ่และกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของจังหวัดไปแล้ว เพราะนอกจากจะเป็นสวนหย่อมเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ งานเทศกาลใหญ่ๆ หรือมีมหรสพอะไรของจังหวัดก็มักจะมาจัดงานกันที่นี่ เรียกว่า เป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของร้อยเอ็ดเลยทีเดียว
ร้อยเอ็ดเป็นเส้นทางแสวงบุญอีกแห่งหนึ่งของพุทธศาสนิกชน โดยมีวัดสำคัญๆ มากมาย อย่างในตัวเมืองก็มีวัดเก่าแก่หลายวัด อย่างเช่น วัดกลางมิ่งเมือง ที่ตั้งอยู่บนถนนเจริญพาณิชย์ เป็นวัดเก่าที่สันนิษฐานกันว่าสร้างมาก่อนเมืองร้อยเอ็ดเสียอีก แต่อุโบสถนั้นสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลาย ความสำคัญคือในอดีตเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาด้วย
ขยับมาไม่ไกลกันเป็นที่ตั้งของ วัดบูรพาภิราม วัดนี้เด่นมากขอบอก เพราะเราจะเห็นพระพุทธรูปปางประทานพรที่สูงที่สุดในประเทศไทยมาแต่ไกล วัดนี้เดิมชื่อหัวรอ แต่มาเปลี่ยนเป็นบูรพาภิรามในภายหลัง เห็นชื่อ "หัวรอ" แล้วก็ชวนสงสัยอีกครั้งเกี่ยวกับชื่อบ้านนามเมือง เพราะฉันเคยได้ยินชื่อ "หัวรอ" ที่เป็นทั้งหมู่บ้าน วัด โรงเรียน ตำบล และใช้กันทั่วไปทุกภูมิภาค จนอดแปลกใจไม่ได้ว่า หัวรอเป็นศัพท์สากลของชาวไทยหรือเปล่า
พอค้นไปค้นมาก็มาอ๋อตรงที่ว่า หัวรอเป็นคำไทยจริงๆ นั่นแหละ หมายถึง ทำนบหรือคันดินกันกระแสน้ำ ถ้าถิ่นไหนใช้ชื่อหัวรอ แปลว่าที่นั่นต้องมีแม่น้ำ แต่หัวรอในความหมายของวัดที่ร้อยเอ็ดไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะแม้จะเป็นคำไทยเหมือนกัน แต่ในที่นี้ใช้แยกคำ คือ "หัว" ในที่นี้หมายถึง เริ่มหรือแรก ส่วน "รอ" ก็ตรงตัวเลย คือ รอหรือคอย พอรวมกันเป็น "หัวรอ" จึงหมายถึง สถานที่แรกที่ใช้สำหรับรอคอย
ทีนี้พอมาโยงกับประวัติวัดหัวรอ ที่ในอดีตเคยเป็นจุดพักแรมแรกของชาวบ้านที่จะเดินทางไปค้าขาย ชาวบ้านจึงเรียกว่า วัดหัวรอ แต่พอมีการขยับขยายพื้นที่วัดให้กว้างขวางขึ้น จึงเปลี่ยนมาใช้ วัดบูรพาภิราม เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั่นเอง
พานอกเรื่องไปไกล กลับมาชมสิ่งสำคัญในวัดกันดีกว่า อย่างที่บอกว่า วัดนี้เด่นที่พระพุทธรูปยืน ซึ่งเป็นปางประทานพร มีชื่อว่า พระพุทธรัตนมงคลมหามุนี หรือหลวงพ่อใหญ่ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กเมื่อปี 2516 ความสูงวัดจากพระบาทถึงยอดพระเกศสูงถึง 59 เมตร 20 เซนติเมตร และมีความสูงทั้งหมด 67 เมตร 85 เซนติเมตร จริงๆ ชาวบ้านตั้งใจจะสร้างให้สูง 101 ศอก ตามชื่อจังหวัด แต่สร้างไปสร้างมากลายเป็น 118 ศอกไปได้ แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นจุดเด่นและเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชนทั่วไป
มาถึงแล้วอยากให้แวะไปชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่บริเวณฐานองค์พระด้วย หรือจะแวะไปไหว้ศาลเจ้าพ่อมเหศักดิ์ที่ชาวเมืองให้ความเคารพนับถือ ส่วนภายในบริเวณวัดนี้ยังมีโรงเรียนปริยัติธรรม และศูนย์งานพระธรรมทูตอยู่ด้วย ถือว่าเป็นวัดที่ใหญ่มากจริงๆ
โดย: oustayutt เวลา: 2017-3-12 12:17
3.
เคยดูโฆษณาท่องเที่ยววิถีไทยที่มีเสียงพากย์ของ "สุชาดี มณีวงศ์" เจ้าแม่กระจกหกด้านมั้ย ข่าวว่าโดนใจ "ฮิปสเตอร์" อย่างแรง มีตอนหนึ่งที่ชวนไปดูแกรนด์แคนยอนเมืองไทย, ฟูจิเมืองไทย, กุ้ยหลินเมืองไทย, เวนิสเมืองไทย เพื่อไม่ให้ตกกระแสวันนี้เลยจะพาไปชม "บุโรพุทโธเมืองไทย" สักหน่อย
อันนี้ไม่ได้เปรียบเทียบเพราะรูปลักษณ์เหมือนกัน หรือสวยงามเทียบเท่านะ เพราะ "วัดป่ากุง" จำลองมาจากมหาเจดีย์บุโรพุทโธ ที่อยู่ในประเทศอินโดนีเซียจริงๆ
วัดป่ากุง หรือ วัดประชาคมวนาราม อยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางอำเภอวาปีปทุมประมาณ 20 กิโลเมตร โดยตั้งอยู่ในอำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด มีจุดเด่นเป็นเจดีย์หินทรายขนาดใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ราว 10 ปี แต่ถือเป็น 10 ปีที่ทำให้มีคนรู้จักจังหวัดร้อยเอ็ดมากขึ้น
เจดีย์หินทรายคล้ายมหาเจดีย์ที่เป็นมรดกโลกนั้น เป็นแนวคิดในการสร้างที่มาจากหลวงปู่ศรี มหาวีโร ผู้สร้างวัดป่ากุง เหตุที่หลวงปู่ศรีมีดำริให้สร้างก็เพราะเมื่อ พ.ศ. 2531 หลวงปู่ได้ไปปฏิบัติศาสนกิจ ณ มหาเจดีย์บุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย และประทับใจในความยิ่งใหญ่อลังการของมหาเจดีย์ จึงได้เล่าให้คณะศิษย์ฟัง
ต่อมาในปี 2535 ศิษยานุศิษย์ได้สละกำลังกายและกำลังทรัพย์ แล้วร่วมกันสร้างเจดีย์หินทรายเลียนแบบบุโรพุทโธขึ้นมา เพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบ 90 ปี พรรษา 60 พระเทพวิสุทธิมงคล "หลวงปู่ศรี มหาวีโร" พระเกจิอาจารย์ฝ่ายกัมมัฏฐาน ชื่อดังแห่งภาคอีสาน นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความสมัครสมานสามัคคีของชาวเมืองด้วย
เจดีย์วัดป่ากุง ถือเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่ทำมาจากหินทรายธรรมชาติแห่งแรกของไทย สร้างเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2547 โดยมีพิธียกยอดเจดีย์ทองคำแท้หนัก 101 ขึ้นประดิษฐาน ภายในพระเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุอยู่จุดศูนย์กลางของเจดีย์ ผนังแกะสลักเรื่องราวพระพุทธประวัติและเวสสันดรชาดก รวมทั้งประวัติของหลวงปู่ศรีและรูปบูรพาจารย์ ส่วนองค์พระพุทธรูปหินทรายที่บรรจุอยู่ตามซุ้มต่างๆ รอบเจดีย์กว่า 100 องค์นั้นนำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซียทั้งสิ้น
ความยิ่งใหญ่อลังการของร้อยเอ็ดไม่ได้มีเท่านี้ เพราะสถานที่ต่อไปนี้สะท้อนชื่อเมือง "101" ได้ดีจริงๆ
ฉันหมายถึง พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ที่ตั้งอยู่ในอำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ที่บอกแบบนั้นก็เพราะพระมหาเจดีย์แห่งนี้มีความกว้าง 101 เมตร ความยาว 101 เมตร ความสูง 101 เมตร สร้างในเนื้อที่ 101 ไร่ โดยสร้างขึ้นมาในบริเวณที่ใกล้กันกับ วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วนาราม หรือ ผาน้ำย้อย เป็นพุทธอุทยานอีสาน หลายคนจึงยังคงเรียกพระมหาเจดีย์ชัยมงคลติดปากว่า วัดผาน้ำทิพย์
ลักษณะของพระมหาเจดีย์ชัยมงคลเป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ที่วิจิตรพิสดาร ใช้ศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างภาคกลางและภาคอีสานเป็นการผสมกันระหว่างพระปฐมเจดีย์และพระธาตุพนม ใช้งบประมาณก่อสร้างถึงปัจจุบันกว่า 3,000 ล้านบาท ดำเนินการสร้างโดย พระอาจารย์ศรี มหาวิโร ซึ่งเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ออกแบบโดยกรมศิลปากร เป็นสีขาวตกแต่งลวดลายตระการตาด้วยสีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง 8 ทิศ ความสูงจากฐานถึงยอด 101 เมตร แต่รวมยอดที่เป็นทองคำด้วย จึงสูงรวม 109 เมตร (เฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9) ใช้ทองคำหนัก 4,750 บาท หรือประมาณ 60 กิโลกรัม
บอกได้คำเดียวว่า "อลังการมาก" ด้วยแนวคิดและการวางโครงสร้างสถาปัตยกรรมดูวิจิตรงดงามจริงๆ ซึ่งภายในพระมหาเจดีย์นั้นแบ่งเป็น 6 ชั้น ชั้นแรกเป็นห้องโถงกว้างใหญ่โออ่า ใช้เป็นห้องเอนกประสงค์ และประชุมบำเพ็ญบุญ ส่วนชั้นที่ 2 เป็นศาลาประชุมสงฆ์ ที่ผนังติดตั้งรูปพระพุทธประวัติไว้รอบ ชั้นที่ 3 เป็นชั้นอุโบสถ และประดิษฐานรูปพระคณาจารย์ปราชญ์อีสานในอดีต เป็นรูปเหมือนสลักหินอ่อน และหุ่นรูปเหมือนพระสุปฏิปันโน 101 องค์
เดินวนขึ้นมาชั้นที่ 4 เป็นชั้นชมวิว สามารถเดินออกมาชมทัศนียภาพรอบภูเขาเขียวได้ สำหรับชั้นที่ 5 ตั้งใจให้เป็นชั้นพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ศรี มหาวีโร แต่ยังอยู่ในระหว่างการรวบรวม จึงยังไม่มีอะไรมาก จากชั้นนี้จะมีบันไดวนเดินขึ้นไปที่ชั้น 6 เป็นชั้นสูงสุดที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้
มาถึงแล้วก็ขอให้เดินเพลินๆ ขึ้นไปชมกันเถอะ แม้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่เราจะได้เห็นถึงพลังศรัทธาของชาวเมืองร้อยเอ็ดโดยแท้
เที่ยวเมืองร้อยเอ็ดจนทั่วแล้วต้องบอกว่า เป็นจังหวัดที่มี "ของดี" ซ่อนไว้มากมายทีเดียว นี่ยังไม่ได้เล่าถึงวิถีชีวิต ของกิน ของใช้ และประเพณีที่น่าสนใจอีกเยอะแยะ สัญญาว่าครั้งหน้าจะแวะมาเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตที่เมืองเกินร้อยอีกแน่ๆ
...............
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/638021
โดย: Sornpraram เวลา: 2017-3-13 08:26
โดย: oustayutt เวลา: 2017-4-8 23:13
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) |
Powered by Discuz! X3.2 |