Baan Jompra

ชื่อกระทู้: " อิทธิฤทธิ์หรือจะสู้บุญฤทธิ์ " [สั่งพิมพ์]

โดย: kit007    เวลา: 2013-8-7 00:29
ชื่อกระทู้: " อิทธิฤทธิ์หรือจะสู้บุญฤทธิ์ "



พระราชสังวรญาณ ( พุธ ฐานิโย )
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา





หนุมาน ทุ่มก้อนหินใส่กุมภกรรณ กุมภกรรณจับขยี้แหลกเป็นผงไป

เลยเอาก้อนใหม่ทุ่มไปอีก ก็จับโยนไป พวกนี้ สำเร็จอิทธิฤทธิ์มาได้อย่างไร ?

สำเร็จมาได้ด้วยการบำเพ็ญตบะ จนพระอินทร์ พระพรหม พระอิศวร เห็นใจ

ประทานพรให้เป็นผู้มีฤทธิ์..แต่เสร็จแล้ว ก็มาเที่ยวฆ่ากันอยู่ เพราะฉะนั้น

สิ่งที่วิเศษที่สุดก็คือศีล ถ้ามีศีลบริสุทธิ์แล้ว ไม่ต้องไปคำนึงถึงอะไร..



สิ่งที่จะได้ประโยชน์อย่างแท้จริงในปัจจุบันนี่... ใครมีเมีย รักสงสารเมียของ

ตนเองให้มากๆ ใครมีผัว รักสงสารผัวของตัวเองให้มากๆ ใครมีลูก

รักเมตตาปรานีต่อลูกให้มากๆ ใครมีพ่อมีแม่รักเคารพบูชา พ่อแม่ให้มากๆ

เลี้ยงดูท่านให้มีความสุข ถ้าใครทำได้ มันจะมีฤทธิ์เดช เรียกว่า....


บุญฤทธิ์ คนมี บุญฤทธิ์ นี่ ไปที่ไหนก็สงบเยือกเย็น ไม่ไปก่อกรรมทำเข็ญ

ให้ใครเดือดร้อน มี แต่มีแต่พวกภูตผีปิศาจ ที่มันไม่นิยมชมชอบใน

คุณธรรมนั่นแหละ มันจะร้อนเป็นไฟ เราปฏิบัติสมาธิ จิตของเราไป

ถึงไหนสมาธิขั้นใด ตอนใด กี่ขั้นก็ตาม ผลลัพธ์ก็คือ เราละความชั่วได้



นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ เรื่องของสมาธินี่ ถึงใครจะวิเศษวิโสสักปานใด มันไม่ใช่

สิ่งสำคัญหรอกมันวิเศษอยู่ตรงที่ว่า เมื่อจิตเราเป็นสมาธิแล้ว

เราละบาปได้หรือเปล่า ศีล ๕ เราบริสุทธิ์หรือเปล่าเพราะฉะนั้น

ใครภาวนา ไม่เป็นก็อย่าไปสนใจ รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์

แค่นั้น... ปิดประตูอบายได้แล้ว


โดย: kit007    เวลา: 2013-8-7 00:30
อิทธิพลของสมาธิ


โดย : พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา



ขณะใดที่เราภาวนา แล้วจิตของเราสงบ นิ่ง

สว่าง หรือไปรู้สึกนิ่งแจ่มๆ อยู่ในจิตในใจก็ตาม

นั่นแสดงว่า จิตใต้สำนึกของเรากำลังเริ่มตื่น

ขึ้นแล้ว ทีนี้เมื่อเราฝึกต่อเนื่องกันทุกวัน จนคล่อง

ชำนิชำนาญ เราสามารถทำจิตให้สงบได้

ตามที่เราต้องการ เมื่อจิตสงบลงนิดหน่อย เราจะน้อม

ไปใช้ประโยชน์ในทางไหนก็ได้ อยากจะเป็น

หมอรักษา คนไข้ ก็สำรวมจิต อธิษฐานแผ่เมตตา

ให้คนไข้ แม้เพื่อนฝูงของเราเจ็บไข้ อยู่ในที่ห่างไกล

เรานั่งสมาธิสำรวมจิต แล้วอธิษฐานจิตแผ่

เมตตาให้เพื่อนของเราที่กำลังป่วยไข้ ก็สามารถที่จะหายได้


โดย: kit007    เวลา: 2013-8-7 00:31
หลวงปู่คำดี ปภาโส


ความจริงจิตใจของเราเองเป็นตัวก่อทุกข์ สังเกตได้จาก

พระอรหันตสาวกทั้งหลาย เมื่อท่านมีความรู้ มีปัญญาคุ้มครอง

รักษาใจท่านดีแล้ว ท่านก็ไม่มีทุกข์ เพราะท่านไม่ปรารถนา

ในสิ่งต่างๆ เมื่อเราประสบกับรูป กลิ่น เสียง หรืออื่นๆ

ก็เพราะใจเรามีตัณหา ปรารถนา ทะเยอทะยาน

ยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น ทำให้เราเป็นทุกข์

ไม่ใช่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ หรือสิ่งอื่นๆ

ที่จะได้มาเผาเราให้ร้อนเป็นทุกข์ ตัวของเราเอง

ที่เป็นไฟมาคอยเผาตัวเอง



การภาวนา ท่านต้องการให้เราปราบกิเลสของเราเท่านั้น


คือเห็นความโลภ เห็นความโกรธของตน เห็นความหลงของตน

เห็นราคะตัณหาของตน เห็นมานะทิฏฐิของตน




นี่แหละ บรรดาสิ่งสมมติที่เราไปยึดถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเรานั้น

ก็จะได้เพียงชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา

หรือสมบัติต่างๆ เมื่อเราตายไปแล้ว เราจะยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์

ของเราอีกไม่ได้ เราจะเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นติดตามไปสวรรค์ นรก

หรือที่ไหนๆ ก็ไม่ได้ ตรงกับคำว่า "สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก"


โดย: ma-ii    เวลา: 2013-8-7 02:27
ขอบคุณครับ
โดย: Metha    เวลา: 2013-12-14 09:27
ขอบคุณน่ะขอรับ





ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2