Baan Jompra
ชื่อกระทู้:
"หลวงปู่ดู่" ยืนยัน! "หลวงปู่เทพโลกอุดร" มีจริง! ในสมัยอยุธยา จำพรรษาที่ "วัดกุฎีดาว"
[สั่งพิมพ์]
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2016-12-9 07:07
ชื่อกระทู้:
"หลวงปู่ดู่" ยืนยัน! "หลวงปู่เทพโลกอุดร" มีจริง! ในสมัยอยุธยา จำพรรษาที่ "วัดกุฎีดาว"
"หลวงปู่ดู่" ยืนยัน! "หลวงปู่เทพโลกอุดร" มีจริง! ในสมัยอยุธยา จำพรรษาที่ "วัดกุฎีดาว"
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก เล่าเรื่องหลวงปู่โลกอุดร
อีกหนึ่งครูบาอาจารย์ที่ผู้คนนับถือท่านทั่วทั้งแผ่นดินคือพระเดชพระคุณ
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก
หลวง ปู่ดู่ ท่านบวชเรียนกับหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ จ.อยุธยา เมื่อบวชแล้วท่านก็ตั้งใจทำพระกรรมฐานออกธุดงค์ จนสำเร็จจิตได้อภิญญาเป็นที่ปรากฏ เกียรติประวัติของท่านนั้นเป็นที่นับถือกันว่าท่านคือภาคหนึ่งของ
“พระศรีอริยเมตรตรัย”
ที่ลงมาบำเพ็ญบารมี และท่านคือภาคหนึ่งของ
“หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด”
ลงมาสร้างบารมี ถ้าท่านผู้อ่านเพิ่งรู้จักหลวงปู่ดู่จากข้อเขียนของข้าพเจ้าอาจไม่เชื่อ แต่ผู้เขียนขอกล่าวว่าองค์หลวงปู่ดู่นั้นเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าผู้บำเพ็ญบารมีมาเต็มแล้ว ท่านคือองค์เดียวกันกับหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดและเป็นองค์เดียวกันกับพระศรีอริยะเมตรตรัย ทั้งนี้มีครูบาอาจารย์ที่ยืนยันในคุณงามความดีของท่านได้แก่ หลวงปู่บุดดา ถาวโร หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร หลวงปู่โง่น โสรโย หลวงพ่อเกษม เขมโก หลวงปู่จำเนียร วัดต้นเลียบ หลวงปู่กัสสปมุนี วัดบิปผลิวนาราม จ.ระยอง เป็นต้น เกียรติคุณของท่านด้านการรู้เห็น หยั่งรู้วาระจิตมีมากมาย
เกี่ยวกับหลวงปู่โลกอุดรนี้ หลวงปู่ดู่กล่าวไว้หลายวาระดังนี้คือ ครั้งหนึ่งท่านเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่าสมัยที่ท่านเดินธุดงค์ในป่านั้นท่าน ป่วยเป็นไข้ป่ามาราเลีย เกือบเอาชีวิตไปทิ้งเสียแล้ว คราวนั้นมีพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ผิวดำ เอายาลูกกลอนมาให้ท่านฉัน หลังจากฉันยาจากพระภิกษุลึกลับเพียงเม็ดเดียวอาการอาพาธก็หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อกลับมาหาพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อกลั่นจึงเล่าเรื่องถวาย หลวงพ่อกลั่นได้กล่าวว่าองค์นี้เป็นพระสำคัญท่านอยู่มาหลายยุคหลายสมัยแล้ว คอยช่วยเหลือพระผู้ปฏิบัติดี การได้พบแสดงว่าเป็นผู้มีวาสนามาก
ที่สำคัญกว่านั้นคือท่านเคยเล่าเรื่องหลวงปู่โลกอุดรให้ศิษย์ของท่านฟังว่า
หลวงปู่โลกอุดร
มีตัวตนอยู่จริง
และอธิบายให้ฟังว่าในสมัยอยุธยาท่านใช้ชื่อว่า
“คง”
เป็นพระอภิญญาอยู่
“วัดกุฏีดาว”
และเหตุที่เรียกวาวัดกุฏีดาวนั้นเล่าว่า ค รั้งหนึ่งหลวงปูโลกอุดร(คง) ท่านนั่งเสื่อแล้วเสกให้เหาะขึ้นไปบนฟ้า ลอยเข้าไปถึงเขตราชฐาน พวกนางสนมกำลังเล่นน้ำเห็นเข้าก็กลัวรีบไปทูลพระเจ้าอยู่หัวให้ทราบ พระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้จับ ตามไปถึงกุฏิท่าน ทหารล้อมเอาไว้หมดท่านก็ไม่ออก จนรับสั่งให้จุดไฟเผา หลวงพ่อใหญ่โลกอุดร(คง) ท่านก็แสดงฤทธิ์ใช้อภิญญาลอยขึ้นไปบนฟ้า แต่ไม่ได้ลอยเฉพาะตัวของท่าน กลับลอยขึ้นไปทั้งกุฏิ ชาวบ้านเห็นเป็นอัศจรรย์กันทั่วและเหตุที่กุฏิของท่านติดไฟแล้วจึงเห็นเป็นดวงไฟลูกใหญ่ลอยอยู่บนฟ้า คล้ายดาวอีกดวงหนึ่ง ชาวบ้านเลยเรียกว่ากุฏีดาวแต่นั้นมา
[img][/img]
(วัดกุฎีดาว ขอบคุณท่านเจ้าภาพ)
นี่คือเรื่องหลวงปู่โลกอุดรที่หลวงปู่ดู่ท่านเปิดเผยและยืนยันว่ามีตัวตนอยู่จริง และใช้ชื่อว่า
“คง”
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และเมื่อสืบค้นดูเรื่องพระอาจารย์คงจากนิทานพื้นบ้านไทยก็พบและมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจด้วยดังจะนำมาเล่าดังนี้
ตำนานเรื่องหลวงพ่อคง กับนายม่วงวัดกุฏีดาว
เรื่องพระอาจารย์คงหรือสมภารคงนั้น ปรากฏอยู่ในนิทานไทยเรื่อง
“กระต่ายสามขา”
เรื่องมีว่าพระอาจารย์คงเป็นคนแก่กล้าทางวิชาอาคม มีศิษย์วัดคือนายม่วง อยู่มาวันหนึ่งมีชาวบ้านล่ากระต่ายมาถวาย นายม่วงก็เอาไปย่างตั้งใจจะไว้ถวายพระอาจารย์คง ตอนย่างกระต่ายกลิ่นกระต่ายย่างหอมจนนายม่วงทนไม่ไหว เลยเด็ดเอาขากระต่าย ข้างหนึ่งมารับประทาน แล้วเอากระต่ายที่เหลือสามขาไปถวายพระอาจารย์คง พอพระอาจารย์รับถวายแล้วพิจารณาเห็นแปลก ว่าทำไมกระต่ายมันมีสามขา ก็นึกรู้ทันทีว่าเจ้าศิษย์คือนายม่วงคงแอบกินไปขาหนึ่ง ก็ถามนายม่วงว่า
“ทำไมกระต่ายมีสามขาวะ”
นายม่วงก็ตอบว่า “มันมีสามขาแบบนี้แหละครับ”
อาจารย์คงเห็นว่านายม่วงไม่รับผิด ก็คาดคั้นอีก นายม่วงก็ยืนยันว่ากระต่ายมีสามขา อาจารย์คงเลยทำโทษที่นายม่วงไม่ยอมรับความจริง การทำโทษสมัยก่อนก็เฆี่ยนใช้หวายเฆี่ยนจนหลังแตก พระอาจารย์คงก็หมายว่านายม่วงโดนเฆี่ยนเจ็บๆ สามสี่ทีก็คงยอมสารภาพเพราะกลัว เจ็บ แต่เหตุการณ์กลับปรากฏว่านายม่วงไม่ยอมสารภาพกลับยืนยันคำเดิมว่า “กระต่ายมันมีสามขา”
พระอาจารย์คงก็ว่า “กระต่ายมันจะมีสามขาได้ยังไง”
นายม่วงก็ยืนยันว่า “ก็กระต่ายมันมีสามขา”
พระอาจารย์คงก็เฆี่ยนซ้ำ เฆี่ยนนายม่วงจนท่านเหนื่อย นายม่วงเองเจ็บเจียนตายก็ยังยืนยันคำเดิมว่า กระต่ายมีสามขา พระอาจารย์คงเห็นว่านายม่วงนี่มันปากหนักขนาดตัวจะตายยังไม่ยอมสารภาพคนแบบนี้หาได้ยากนัก เลยอภัยให้แถมยังนึกชอบจริตนิสัยนายม่วงขึ้นอีก
ต่อมาพระอาจารย์คงตั้งใจสอนศิษย์ให้มีคาถาอาคมติดตัว จึงเรียกนายม่วงมาถามว่าอยากหายตัวได้ไหม นายม่วงชอบเรื่องทางนี้อยู่แล้วจึงออกปากว่าอยากครับ พระอาจารย์คงเลยสอนวิชาล่องหนโดยเสกก้านพลูทัดหู เมื่อเรียนสำเร็จก็อาจลองหนหายตัวเข้าไปที่ไหนๆ ได้
เมื่อนายม่วงทำวิชานี้สำเร็จก็อยากลองเข้าไปในวังดูบ้าง เลยล่องหนเข้าไปในพระราชวังขณะนั้นกำลังถึงเวลาเสวยพระกระยาหาร นายม่วงเลยแอบเข้าไปกินอาหารกับพระราชา กรมวังสังเกตว่าพระราชาเสวยเพียงนิดเดียวทำไมอาหารพร่องไปเยอะ กราบทูลให้พระราชาทราบ พระราชาโปรดให้โหรหลวงจับยามสมตาดู ได้ความว่ามีคนดีมีวิชาแอบลักลอบเข้ามาเสวยร่วมโต๊ะพระกระยาหาร
นาย ม่วงเองไม่รู้ตัวว่าในวังเขารู้แล้วว่ามีคนล่องหนหายตัวเข้ามาก็ชะล่าใจ คราวต่อไปก็ล่องหนไปกินสำรับพระกระยาหารของพระราชาอีก แต่คราวนี้ในวังเตรียมพร้อมไว้แล้ว โดยโรยผงแป้งเอาไว้ นายม่วงเลยถูกจับตัวได้ พระราชาพิจารณาโทษเห็นว่าให้ประหาร ข่าวนายม่วงจะโดนประหารรู้ไปถึงพระอาจารย์คง ท่านก็คิดจะไปช่วย พอถึงวันประหารพระอาจารย์คงขอไปแสดงธรรมโปรดนักโทษประหาร พระราชาอนุญาต เมื่อไปถึงลานประหารพระอาจารย์คงเห็นนายม่วงถูกพันธนาการเอาไว้ก็เข้าไปกระซิบ ถามนายม่วงว่า
“กระต่ายมีกี่ขา”
นายม่วงตอบว่า “มีสามขาครับ” พระอาจารย์คงยิ้มนึกในใจว่าเจ้านี่มันจะตายยังไม่ยอมสารภาพมันแน่จริงๆ พระอาจารย์คงเลยเสกพลูใบหนึ่งเป็นมายา ตบตาคนทั้งปวงขึ้นเป็นรูปนายม่วงโดนพันธนาการและบังตาเสกเอานายม่วงหลุดจากเครื่องพันธนาการเสียล่องหนออกมา
พอถึงเวลาประหารเพรชฆาตฟันหุ่นนายม่วง พอหัวขาดตกลงพื้นก็กลับกลายเป็นใบพลูเสกไปเสีย พระราชารู้เข้าจึงตามไปจับอีกถึงวัด พระอาจารย์คงกล่าวกับนายม่วงว่าพระราชาพระองค์นี้ ไม่รู้จักคนดีมีความสามารถ ปกติถ้าเป็นเยี่ยงนี้คงพระราชทานอภัยโทษ แต่นี่ไม่มีสติปัญญาไม่มีน้ำพระทัยรู้จักรักษาคนดีเอาไว้ ต่อไปบ้านเมืองเห็นทีจะตกต่ำ พวกเราควรออกเสียจากกรุงจะดีกว่า ว่าแล้วพระอาจารย์คงก็พานายม่วงล่องหนหายไปนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ทั้งหมดนี้เป็นนิทานเรื่องพระอาจารย์คงกับนายม่วงหรือเรื่อง
“กระต่ายสามขา”
คำ ว่าระต่ายสามขาหรือกระต่ายขาเดียว จึงเป็นชื่อเรียกคนที่หัวแข็งไม่ยอมรับความจริงง่ายๆ มาแต่บัดนั้น
เรื่อง พระอาจารย์คง วัดกุฏีดาว กับพระอาจารย์คงเรื่องกระต่ายสามขา ก็เรื่องเดียวกันนี่เอง เป็นท่านเดียวกัน ในปัจจุบันไม่มีวัดกุฏีดาวให้เห็นแล้ว เหลือเพียงแต่ซากวัดทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์เท่านั้น และจากเรื่องนี้ก็ทำให้เราได้ทราบเรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ทิพยจักร, หนังสือบารมีเหนือโลกหลวงปู่เทพโลกอุดร
http://panyayan.tnews.co.th/contents/207767/
โดย:
majoy
เวลา:
2016-12-9 08:56
โดย:
Nujeab
เวลา:
2016-12-28 15:55
โดย:
oustayutt
เวลา:
2016-12-29 12:50
กราบ
โดย:
Sornpraram
เวลา:
2021-1-23 09:07
ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/)
Powered by Discuz! X3.2