Baan Jompra

ชื่อกระทู้: หลวงพ่อเป้าวัดถ้ำพรสวรรค์ [สั่งพิมพ์]

โดย: oustayutt    เวลา: 2016-11-21 16:04
ชื่อกระทู้: หลวงพ่อเป้าวัดถ้ำพรสวรรค์
หลวงพ่อมีคติประจำใจอยู่ว่า....
ตายเมื่อเป็น เหม็นมากกว่าซากศพ
กลิ่นตลบเพราะคำฉิน  หมิ่นเหยียดหยาม
เป็นเมื่อตาย  วายชีพชื่อกลับลือนาม
ทุกเขตคาม  กล่าวขวัญ  สิ้นวันลืม...”
หลวงพ่อเป้า เขมกาโม หรือพระครูนิมิตสิทธิการ อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำพรสวรรค์ ตำบลลำพยนต์ อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๙ บิดาชื่อ นิ่ม มารดาชื่อ ยิ้ม นามสกุล ทองแฉล้ม หลวงพ่ออุปสมบทเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๔ ณ.วัดลาดยาว ตำบลลาดยาว อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์
คงเป็นเพราะครอบครัวของผมให้ความนับถือหลวงพ่อเป็นอย่างมาก ดังนั้นลูกหลานของครอบครัว เมื่อได้อุปสมบทคุณปู่คุณย่าจึงมักจะส่งพวกเราไปอยู่จำพรรษากับท่าน และก็แน่นอน....ไม่พลาดครับชีวิตน้อยๆของผม กับพินัยกรรมมรดกชิ้นนี้
พูดถึงจังหวัดนครสวรรค์ถือเป็นเขตอิทธิพลทางคาถาอาคมของ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค หลวงพ่อโอด วัดจันเสน สำหรับหลวงพ่อเป้าของผม ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมากนัก แต่ถ้าเป็นตลาดลำพยนต์แล้วละก็ ขอบอกว่าบารมีท่วมท้นครับ
จะว่าไปแล้วเรื่องราวความมีชื่อเสียงของหลวงพ่อเป้า เริ่มต้นจากการเป็นพระที่เก่งทางด้านเมตตามหานิยม บรรดาพ่อค้าและแม่ค้ามักนิยมมาขอของดีจากหลวงพ่อ จำพวกผ้ายันต์ สีผึ้ง ซึ่งรายไหนได้ไปมักจะค้าขายดี ไปไหนมีคนรักใคร่  
แต่ที่ทำให้ชื่อเสียงของท่านโด่งดังขึ้นมามากเกิดจากลูกสุนัขป่าตัวหนึ่งได้หนีตายเข้ามาพึ่งใบบุญของหลวงพ่อ ท่านก็เลี้ยงด้วยข้าวก้นบาตรและตั้งชื่อให้มันว่า “เจ้าป่า
เนื่องจากมันเป็นสุนัขป่า มันจึงมีนิสัยชอบกินของสดและที่พอจะหาได้ง่ายก็คือการขโมยไก่ของชาวบ้านมากิน บ่อยครั้งที่มันถูกชาวบ้านรุมยิงแต่ก็ยิงไม่ออก หรือออกก็ไม่ถูก หลายๆครั้งเข้าจึงเป็นที่เล่าลือของชาวบ้านกันว่า สุนัขของหลวงพ่ออยู่ยงคงกระพัน  
เรื่องของความอยู่ยงคงกระพันของเจ้าป่า ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลมาขอดูมันถึงที่วัด หลวงพ่อเองก็ได้แต่แปลกใจว่าคนเหล่านั้นเมื่อมาถึงวัดแทนที่จะสนทนาธรรมในเรื่องของพระพุทธศาสนากลับมาสอบถามเรื่องของหมา
หลวงพ่อท่านเล่าว่า ท่านได้เตือนสติคนเหล่านั้นว่าตัวท่านเองไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ มันคงไม่ได้คงกระพันอย่างตามที่เขาเล่าลือ
อย่างไรก็แล้วแต่ด้วยพฤติกรรมอันเลวร้ายของเจ้าป่า โดยการแอบเข้าไปขโมยไก่ ขโมยลิงของชาวบ้านมากินทำให้มันถูกรุมทำร้ายจนช้ำใน แต่กว่าที่มันจะตาย ตัวมันต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการช้ำในอยู่เกือบปี..[attach]13950[/attach]


โดย: oustayutt    เวลา: 2016-11-21 16:05
แม้จะมีวิชาอยู่ยงคงกระพัน หากทำตัวไม่ดีลักขโมยเขา ปล้นเขา ประพฤติชั่ว อันเป็นทางแห่งความเสื่อม จึงไม่อาจรักษาวิชาคงกระพันให้คงอยู่ได้
เพราะฉะนั้นคนเราแม้มีวิชาความรู้หรือจะมีของดีติดตัวก็ตาม หากมีความประมาทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม ชีวิตก็จะมีแต่ความตกต่ำอย่างเช่นหมาตัวนี้....”
พวกเราที่เป็นพระบวชใหม่ ชอบที่จะให้หลวงพ่อเล่าถึงเรื่องราวเก่าๆ และเรื่องที่หลวงพ่อเล่าและประทับใจพวกเรา ทำให้สภาพจิตตกที่เกิดจากการไกลบ้านต้องหมดไปก็คือเรื่องเหตุจูงใจที่ทำให้หลวงพ่อคิดบวช  “อัตตาหิ อ้ตตโนนาโถ”คือมูลเหตุครับ
สมัยที่ท่านยังศึกษากับท่านอาจารย์เฟื่อง ท่านอาจารย์ได้ถามหลวงพ่อว่า
บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ของหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่สุขสบายดีหรือเปล่า
ท่านจึงตอบว่าได้ตายไปหมดแล้ว อาจารย์เฟื่องจึงถามหลวงพ่อต่อว่า
ท่านไม่ได้รักเขาหรือ จึงได้ปล่อยให้เขาตาย
หลวงพ่อตอบว่า “รัก” แต่เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่ช่วยกันไม่ได้ เรื่องราวทั้งหมดจึงมาสรุปอยู่ที่
คนเราเมื่อถึงคราวตาย ไม่มีใครสามารถช่วยเราได้
อะไรล่ะจะเป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นจากความตาย....คำตอบที่หลวงพ่อเป้าได้ค้นพบคือ“ธรรม” ท่านว่า
พวกท่านจงจำไว้ การที่จะไม่ให้ตายนั้นก็คือการที่ไม่ต้องเกิด วิธีที่จะไม่ต้องมาเกิดมีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น คือทางแห่งธรรมะ
ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงชี้แนะทางสว่างอันแสนประเสริฐให้แก่พวกเราชาวพุทธเพื่อให้เจริญรอยตามแนวทางของพระองค์....”
ว่ากันว่ามนุษย์เราหากคิดจะตัดใจต่อสิ่งใดแล้วไม่ใช่เรื่องอยากที่จะทำ อย่างเช่นการตั้งใจจะตัดกิเลสถือศีล ๕ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆทุกท่านก็คงจะทำได้
แม้แต่การออกบวช หากเราตั้งใจจริงเราก็สามารถทำได้ แต่สิ่งที่ตัดออกยากจากจิตใจมนุษย์กลับเป็นเรื่องใกล้ตา ใกล้ตัว คือ..
การตัดความรัก ความเป็นห่วงครอบครัว
จริงอยู่เรื่องพวกนี้ตัดยาก แต่พวกท่านลองคิดดูสิ คนรักของท่านตายไป ท่านต้องตายตามไปหรือเปล่า พ่อแม่ของท่านตายไป ท่านต้องตายตามไปหรือเปล่า
หรือแม้แต่ถ้าเราตายไป คนรัก หรือพ่อแม่เราคงไม่ตายตามเราไปหรอก...มีเยอะแยะไปที่คนอื่นเมื่อพ่อแม่เขาตายไป ลูกๆเขาก็สามารถครองตัวจนมีความเจริญรุ่งเรือง...”
วัดถ้ำพรสวรรค์ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาตะบองนาค ในสมัยที่หลวงพ่อธุดงค์เข้ามาจำพรรษา ยังคงเป็นป่ารกทึบและอยู่ห่างไกลจากชุมชนมาก บนเทือกเขาตะบองนาคจะมีถ้ำอยู่หลายแห่ง ซึ่งเป็นถ้ำรกร้างว่างเปล่าตลอดจนเป็นที่อยู่อาศัยของพวกค้างคาวและงู มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากหลวงพ่อบิณฑบาตกลับมา  
ขณะที่ท่านกำลังนั่งฉันข้าวอยู่ที่หน้าผาปากถ้ำตะบองนาค ได้มีงูจงอางขนาดใหญ่มาชูคอแผ่แม่เบี้ยอยู่ตรงหน้าท่าน หลวงพ่อบอกพวกเราว่าท่านตกใจและกลัวมาก มีสองทางให้ท่านเลือกคือ
"กระโดดหน้าผาเสี่ยงไปตายเอาดาบหน้ากับนั่งรอเวลาให้งูจงอางตัวนั้นเข้ามากัดท่าน..."


โดย: oustayutt    เวลา: 2016-11-21 16:08
ภาวะช่วงนั้น ทำให้จิตของเราตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว กำลังคิดอยู่ว่าการตายแบบไหนจะทรมานน้อยกว่ากัน...
ก็ได้คิดว่าคนเราเกิดมาก็ตายทั้งนั้น บางคนคิดว่าเกิดมาแล้วก็ต้องเจริญเติบโต แต่พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสว่าคนเราเกิดมาล้วนเดินไปสู้ความตาย”....”
ครับในความเป็นจริง ความตายนั้นเราจะต้องการหรือไม่ต้องการ สวรรค์เขาก็กำหนดให้เรามาแล้วตั้งแต่เราเกิด ในความเชื่อชาวพุทธท่านว่าเมื่อคนเราปฏิสนธิ มันก็เริ่มต้นเดินทางไปสู่ความตายอยู่แล้ว เรียกว่าไม่ต้องไปเร่งวันเร่งคืนความตายก็มาเยือนอยู่แล้ว สิ่งที่ควรคำนึงคือขณะที่อยู่สิครับ เราควรจะทำอะไรกันดี..
ในระหว่างนั้นท่านมีความรู้สึกว่า.. “ความตายจะช่วยให้ท่านพ้นทุกข์พ้นกรรม”.. จึงได้แผ่เมตตาอยู่ในใจว่า หากท่านและงูจงอางตัวนั้นไม่เคยเป็นอริกันมาก่อน ขอให้งูจงอางตัวนั้นจงไปตามทางของเขาเถิด
เมื่ออธิษฐานจบแล้วท่านจึงลืมตาขึ้น ก็พบว่างูจงอางตัวนั้นได้หายไปแล้ว ท่านจึงได้ฉันอาหารตามปกติแล้วจึงกลับเข้าไปในถ้ำเพื่อแผ่ส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ทำบุญใส่บาตรและสรรพสัตว์ทั้งหลายตามกิจของสงฆ์ต่อไป..
หลวงพ่อเล่าอดีตย้อนหลังให้พวกเราฟังถึงสาเหตุที่ท่านได้มาอยู่ที่เขาตะบองนาคแห่งนี้ว่า สมัยที่ท่านออกเดินธุดงค์ ท่านได้พบกับหลวงพ่อเลิน เจ้าอาวาสวัดน้ำวิ่ง อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์  
ในระหว่างการสนทนาสมภารเลินได้แนะนำว่าที่เขาตะบองนาคแห่งนี้เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม เพราะมีความสงบและเป็นที่วิเวกดี เพราะคำว่า“ดี” ทำให้ท่านสงสัยว่า “ดี” นั้นคือดีอย่างไร...
สมภารเลินได้ให้ลูกศิษย์พาหลวงพ่อมาที่ปากถ้ำเขาตะบองนาค เมื่อมาถึงลูกศิษย์ของสมภารเลินต่างรีบลากลับกันหมด ทิ้งให้ท่านอยู่เพียงลำพัง...
หลวงพ่อจึงได้ตัดสินใจเข้าไปอยู่ในถ้ำ ซึ่งมีปากทางเข้าถ้ำที่แคบและเตี้ยมาก แต่เมื่อเข้าไปถึงกลางถ้ำกลับรู้สึกเย็นสบาย จึงได้ทดลองนั่งทำสมาธิ ก็รู้สึกชื่นฉ่ำ จิตของท่านดิ่งสู่สมาธิอย่างรวดเร็ว  
หลังจากที่ออกมาจากถ้ำ เมื่อพบชาวบ้านที่เข้ามาหาของป่า จึงทราบว่าในถ้ำแห่งนี้เคยมีพระธุดงค์เข้ามาอยู่ แต่ก็ไม่เคยมีองค์ไหนที่อยู่รอดสักราย
บางรายออกมาแล้วก็รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว บางรายก็ออกมาเล่าว่าพอเข้าไปอยู่แล้วมีความรู้สึกว่าถูกรบกวนจากสิ่งลึกลับบางอย่างจนมีความรู้สึกว่ากลัวทำให้อยู่ไม่ได้...
คนเรานี้ที่กลัวอะไรต่อมิอะไรต่างๆนาๆนั้น หาได้กลัวในสิ่งเหล่านั้นไม่ แต่แท้จริงแล้วกลัวความตายนั่นเอง
พวกท่านจงฟังไว้เมื่อเราบวชเป็นศิษย์ตถาคตแล้ว และตั้งใจจะออกเดินธุดงค์ด้วยความบริสุทธิ์ หากจะต้องตายด้วยเหตุใดๆก็ตาม เราก็จะต้องยอมรับความตายนั้นโดยดี และหากกุศลผลบุญของเรามีเท่านี้จะตายไปก็สมควรแก่กาลแล้ว...”
ปิดตาสองรู ปิดหูสองข้าง
ปิดปากเสียบ้าง จะได้นั่งนอนสบาย
อันจิตมนุษย์ดุจดั่งลิงนิ่งไม่ได้
จงเตรียมจิตไว้เมื่อไม่สมอารมณ์หวัง
ปากอย่าพูด ตาอย่าดู หูอย่าฟัง
สติรั้งช่างเถิดประเสริฐนัก.....


โดย: oustayutt    เวลา: 2016-11-21 16:09
เชื่อว่าคำกลอนบทนี้เพื่อนๆหลายท่านคงจะเคยผ่านตา แต่สำหรับที่วัดถ้ำพรสวรรค์ คำกลอนบทนี้ถือว่าเป็นคาถาอาคมบทแรกสำหรับพระบวชใหม่ ที่หลวงพ่อจะมอบให้ไว้ป้องกันตนเองจากภัยอันตรายต่างๆ คาถาบทนี้หลวงพ่อบอกว่าจะไม่บังเกิดผลอันใดเลยหากพระทุกองค์ไม่ยอมปฏิบัติ  
หลวงพ่อท่านบอกว่าการที่พระบวชใหม่หลายๆรูปมาอยู่รวมกัน มันเป็นการเอาลูกของชาวบ้านเขามาเลี้ยง ต่างคนต่างจิตต่างใจต่างความคิด การสำรวมและระมัดระวังตัวอยู่ทุกอิริยาบถ จะช่วยให้บรรเทาความบาดหมางหรือหลีกเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง..
อย่างที่ผมพ่นให้ฟังแหละครับว่า ในระหว่างที่หลวงพ่อจำศีลปฏิบัติธรรมอยู่ในถ้ำ ชาวบ้านแถบนั้นต่างมีศรัทธาอุปถัมภ์หลวงพ่อ ก็คงจะเป็นจังหวะเรื่องของ “เจ้าป่า” ที่อยู่ยงคงกระพัน หรือการที่หลวงพ่อสามารถอยู่ร่วมกับบรรดางูทั้งหลายโดยไม่มีอันตราย
จะว่าไปแล้วคำเล่าลือดังกล่าวได้ขยายวงออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ผู้ที่มีคตินิยมในด้านความขลัง มักจะแวะเวียนเข้ามากราบหลวงพ่ออยู่เป็นประจำ...
คนเราต้องการที่พึ่ง จึงต้องออกหาที่พึ่งพา วัตถุมงคลเป็นนามธรรมและรูปธรรม เป็นที่พึ่งทางใจให้กับญาติโยมได้เคารพนับถือ
หากคิดให้ดีแล้ววัตถุมงคลจึงเป็นบ่อเกิดของกำลังใจ เหมือนกับคนเราอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ก็ต้องมาจากการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน...”
หลวงพ่อสร้างเหรียญรุ่นแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๔ เพื่อเป็นที่ระลึกในการสร้างศาลาการเปรียญ จากการสร้างเหรียญรุ่นแรกขึ้นแล้ว มันก็มีเหตุให้ท่านต้องสร้างเหรียญรุ่นอื่นๆต่อมาอีก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าวัตถุมงคลที่หลวงพ่อแจกจ่ายออกไปนี้ ได้ก่อให้เกิดประสบการณ์มากมายถึงความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ บางคนนำเอาไปลองยิงไม่ออก บางคนก็ไปประสบอุบัติเหตุแต่ก็แคล้วคลาดจากอันตรายต่างๆนาๆ
โดยเฉพาะเรื่องเมตตาหรือค้าขายแล้วต้องยกนิ้วให้ คนที่ยกนิ้วไม่ใช่ผมนะครับแต่เป็นบรรดาพ่อค้าแม่ค้าแถวตลาดปากน้ำโพ โดยเฉพาะบรรดานายห้างร้านขายผ้า ต่างมาขึ้นหลวงพ่อมาก
พวกผมเองได้แต่เก็บข้อสงสัยว่าทำไม คนต่างชาติ ต่างความเชื่อ ถึงได้เข้ามาศรัทธาหลวงพ่อขนาดขอจองเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ทราบต่อมาว่านายห้างเหล่านี้นิมนต์หลวงพ่อไปเจิมร้านและได้รับคาถาจากหลวงพ่อพร้อมวิธีปฏิบัติ เมื่อไปทำตามที่ท่านบอก การค้าเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว แอบถามหลวงพ่อได้ตัวคาถาดังนี้ครับ
มีสติ รู้ปฏิบัติดี รู้ปฏิบัติชอบ มีเมตตาและรู้อภัย..”
ของทุกอย่างขึ้นอยู่กับคนที่เอาไปว่ามีจุดประสงค์ในการนำไปใช้ดีหรือไม่ วัตถุมงคลเป็นนำไปใช้ในทางที่ผิดของก็จะเสื่อม แต่หากนำไปใช้ในทางที่ดี รักษาศีล ๕ ของก็จะเกิดความขลังและก่อให้เกิดผลดีแก่ผู้ที่ปฏิบัติ....”
ถึงตอนนี้ไม่ต้องแปลกใจครับว่าทำไม บรรดานายห้างขายผ้าตลอดปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ ถึงได้อาราธนาศีล ๕ ได้อย่างคล่องแคล่ว....
อย่างที่ทราบกันหรือใครที่ยังไม่ทราบก็ควรทราบโดยทั่วกันว่า..
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตอบสนอง ไม่ภพนี้ก็ภพหน้า


โดย: oustayutt    เวลา: 2016-11-21 16:10
มีต่อที่
http://oknation.nationtv.tv/blog/sitthi/2008/12/12/entry-1
โดย: oustayutt    เวลา: 2017-6-11 22:40
สาธุ




ยินดีต้อนรับสู่ Baan Jompra (http://baanjompra.com/webboard/) Powered by Discuz! X3.2