"มารไม่มีฤทธิ์อะไรหรอก จนกว่าคนโง่จะไปเจอเข้า"
มารไม่มีบารมีไม่เกิด"มารไม่มีฤทธิ์อะไรหรอก จนกว่าคนโง่จะไปเจอเข้า"
--- พุทธทาสภิกขุ
http://www.starclipnews.com/content_attachment/file_storage/%E0%B9%91-%E0%B9%91(1).jpg
- การดำเนินชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน คงเคยได้ยินคำว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด" และ "มารยิ่งมีบารมียิ่งเกิด" เป็นคำที่มีความหมายส่งเสริมกำลังใจให้ต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่เป็นเหมือนมาร ฉะนั้น อย่ายอมแพ้ หรือ อย่าท้อถอย มีตัวอย่างให้เห็นแม้ในสมัยพุทธกาล ภายใต้ร่มโพธิพฤกษ์ที่เงียบสงัด พระสิทธัตถะมหาบุรุษประทับนั่งขัดสมาธิอยู่ลำพัง ทรงมีพระทัยตั้งมั่นดิ่งลงสู่ความสงบอันล้ำลึก - ขณะทรงตรวจดูสภาพจิตจนทั่ว ก็ทรงพบว่ายังมีสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้บรรลุธรรมอย่างใหญ่หลวง เรียกว่า "พญามาร" แฝงอยู่ในจิตสันดาน - ดังนั้น ในเวลาปฐมยาม พระองค์ได้ทรงผจญกับพญามาร พร้อมด้วยเสนามารที่ยกพลกันมาแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ เพื่อให้พระองค์ทรงลุกจากที่นั่ง โดยอ้างว่าบัลลังก์นั้นเป็นของตน แต่พระองค์ทรงหาหวั่นไหวไม่ อนึ่ง พึงเข้าใจความหมายของคำว่า "มาร" ดังนี้
- "มาร" แปลว่า ผู้ฆ่าให้ตาย ในพระพุทธศาสนา หมายถึง ผู้ฆ่าเหล่าสัตว์ให้ตายจากคุณธรรมความดี คือ สิ่งหรือตัวการที่คอยฆ่า คอยล้างผลาญ คอยกำจัดหรือคอยขัดขวางบุคคลมิให้บรรลุคุณธรรมความดีหรือผลสำเร็จอันดีงาม จำแนกมารไว้ 5 ประเภท คือ
1. ขันธมาร "มาร" คือ "เบญจขันธ์"- ได้แก่ ร่างกายที่ประกอบด้วยขันธ์ 5 ซึ่งอ่อนแอพ่ายแพ้ต่อการบำเพ็ญความดี
2. มัจจุราช "มาร" คือ "มัจจุราช"- ได้แก่ "มรณะ" คือ ความตายที่ทุกคนต้องประสบ ซึ่งเข้ามาตัดรอนการทำความดีของคนเรา
3. กิเลสมาร "มาร" คือ "กิเลส"- ได้แก่ "กิเลส" คือ ความเศร้าหมองที่เกิดกับจิต ซึ่งคอยรบกวนขัดขวางจิตไม่ให้กระทำความดีหรือก้าวหน้าในการที่จะบรรลุคุณธรรมความดีตลอดเวลา
4. อภิสังขารมาร "มาร" คือ "อภิสังขารมาร"- ได้แก่ สภาพที่ปรุงแต่งจิตในทางอกุศลให้ยิ่งขึ้นกว่าปกติ และนำให้เกิดชาติ ชรา มรณะ เป็นต้น ซึ่งขัดขวางมิให้หลุดพ้นไปจากสังสารทุกข์ (ความทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่าง ๆ)
5. เทวปุตตมาร "มาร" คือ "เทพบุตร" - ได้แก่ เทพยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดแห่งสวรรค์ชั้นกามาวจรตนหนึ่ง มีชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น กัณหมาร มารใจดำ อธิปติมาร มารผู้ยิ่งใหญ่วสวัตติมาร มารผู้ครอบงำให้อยู่ในอำนาจ หรือท้าววสวัตตี ผู้คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งเหล่าสัตว์ผู้มุ่งสัมมาปฏิบัติไว้มิให้ล่วงพ้นจากแดนอำนาจครอบงำของตน โดยชักให้ห่วงพะวงอยู่ในกามสุข ไม่ให้หาญเสียสละออกไปบำเพ็ญคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ได้
- เหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงผจญมารก่อนตรัสรู้ และทรงเอาชนะเทวปุตตมารที่มาคอยขัดขวางไม่ให้พระองค์เอาชนะกิเลสหลุดพ้นไปจากทุกข์ - เมื่อทรงชนะกิเลสมารได้แล้ว ก็เป็นอันชนะมารทั้ง 5 ได้อย่างราบคาบ เป็นเหตุให้ได้รับพระนามว่า "มารชิโน พระผู้ชนะมาร"
http://www.starclipnews.com
{:5_166:}{:5_166:}{:5_166:} ...มารไม่มี บารมีไม่เกิด... {:6_196:}{:6_196:}{:6_196:} {:6_196:}{:6_196:}{:6_196:} {:6_196:}{:6_200:} มีปางพระสดุ้งมาร....มีคนเล่าว่า ขณะพญามารกรีฑาทัพมา ร่างกายพระพุทธเจ้าสะดุ้ง-ขาขยับขึ้นจึงเอามือตบลงที่ขา เป็นปางพระสดุ้งมาร ....แม้จะไม่กลัวแต่ร่างกายกลับตอบสนอง ...ไม่รู้จริงหรือไม่??? ใครรู้จักปางนี้บางช่วยเล่าด้วยครับ
พระบรมโพธิสัตว์ (พระพุทธเจ้าก่อนบรรลุธรรม)
ได้เสด็จไปประทับใต้ต้นมหาโพธิ์ในเวลาเย็น และนั่งสมาธิกำหนดจิตเจริญสมาธิภาวนา
เพื่อการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ..
แต่จิตของพระองค์ แทนที่จะคิดไปในทาง โลกุตตรธรรม
กลับหันไปคิดถึง โลกิยสุข แต่เมื่อครั้งอยู่ครองเรือน ในหนหลัง
และผู้แต่งปฐมสมโพธิกถา
ได้แสดงการผจญในโลกิยสุขของพระบรมโพธิสัตว์โดยใช้การผจญของมารเป็นสัญญลักษณ์
ดังนี้ว่าเป็น พระยาวัสสวดีมารซึ่งคอยติดตามพระองค์อยู่ จึงเข้าขัดขวาง
โดยขี่ช้างคิรีเมขละ นำเหล่าเสนามารจำนวนมากเข้ามารบกวน
หวังให้พระองค์เกรงกลัวจะได้ลุกขึ้นเสด็จหนีไป
แต่พระองค์ก็ยังประทับนิ่งเป็นปกติโดยมิได้ทรงหวั่นไหว
พระยามารจึงโกรธมาก สั่งให้เสนามารกลุ้มรุมกันประหารพระองค์
พระองค์จึงทรงนึกถึงบารมี 30 ทัศ ที่ทรงบำเพ็ญสั่งสมมาทุกชาติ
โดยขอให้นางแม่พระธรณีเป็นพยาน แม่พระธรณีจึงผุดขึ้นมาจากพื้นดิน
แล้วบิดมวยผมจนน้ำท่วม กระแสน้ำก็พัดพาพวกเสนามารไปหมดสิ้น
พระยาวัสสวดีมารจึงยอมแพ้หนีไป
9f1iP2xK6rM
มารวิชัย (มาระวิชัย) หรือ ชนะมาร หรือ สะดุ้งมาร เป็นพระพุทธรูปปางหนึ่ง อยู่ในพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่ำลงที่พระชานุ นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณีในคราวที่พระองค์ทรงเอาชนะมารได้
{:5_166:}{:5_166:}{:5_166:} {:6_202:}{:6_202:}{:6_202:} ท่าทางช่วงนี้จะโง่จนเง่า เต็มๆ ทุกดอกทุกทาง
หน้า:
[1]
2