Marine โพสต์ 2016-1-22 19:28

หลวงพ่อไปล่ ฉันทสโร วัดกำแพง



พระมหาเถราจารย์แห่งแผ่นดิน ผู้ทรงวิทยาคุณเข้มขลัง ทรงฌานอภิญญาแก่กล้า มากด้วยบุญญาภินิหาร
เมื่อครั้งที่ "หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง" และ "หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง" ยังมีชีวิตอยู่ เป็นที่ล่วงรู้ถึงกิตติศัพท์ของท่านทั้งสองว่า "สุดยอด" สมัยนั้นใครมีเหรียญวัดหนัง จะไม่กล้าแหยมกับคนที่แขวนเหรียญวัดกำแพง เจอกันครั้งใดก็กินกันไม่ลง เพราะ "เหนียว" ทั้งคู่ ประสบการณ์ของเหรียญทั้งสองวัดเด่นชัดในเรื่องคงกระพันชาตรี เป็นที่นิยมของนักเลงจริงในยุคนั้น เล่าขานกันว่า ขนาดโดนรุม 10 ต่อ 1 ยังรอดมาได้ ทั้งมีด ไม้ กระบอง ลูกซองปืนพก ไม่มีเลือดตกยางออกให้ได้เห็นแม้แต่น้อยด้วยพุทธคุณอันลือลั่น และประสบการณ์อันลือเลื่องจึงทำให้เหรียญของท่านทั้งสองเป็นที่หมายปองของนักเลงพระ ส่งผลให้ราคาค่านิยมสูงขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งปัจจุบันต้องพูดกันที่ "หลักแสน" ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเพราะว่ารูปแบบของเหรียญทั้งสองสำนักคงความเป็นเอกลักษณ์ที่งดงามด้านศิลปะที่คนรุ่นใหม่ไม่อาจเลียนแบบได้หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ชื่อเสียงอาจจะดังกว่าหลวงพ่อไปล่ เพราะเหรียญของท่านติดอันดับ "ท็อปไฟว์" ชุดเบญจภาคีเหรียญ แต่เรื่องเวทวิทยาคมต้องบอกว่า "ข่ม" กันไม่ลง ชาวบางขุนเทียนและคนฝั่งธนบุรียกนิ้วให้ว่า "ไม่ธรรมดา" ทั้งคู่ โดยเหรียญของหลวงพ่อไปล่นั้นมีคำขวัญว่า "มีเหรียญหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง ใครจะมาฆ่าแกงก็ไม่ต้องกลัว ถึงไหนถึงกัน คงกระพันชาตรีดีนักแล"พระเทพสิทธินายก (หลวงพ่อเลียบ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร เทเวศร์ และวัดเลา ซึ่งเป็นศิษย์อุปัชฌาย์องค์เดียวกัน เคยกำชับพวกนักเลงว่า อย่าไปเล่นกับท่านวัดกำแพงนะ ท่านเป็นคนจริง อย่าไปทำแหยให้ท่านเห็นเป็นอันขาด อาจจะหมดลายไปเลยทีเดียวชื่อเสียงของท่านโด่งดังถึงขั้นถูกบรรจุเป็นคำขวัญของเขตบางขุนเทียนคือ "หลวงพ่อไปล่วัดกำแพง แหล่งเกษตรกรรม วัฒนธรรมมอญบางกระดี่ พื้นที่ทะเลกรุงเทพฯ""หลวงพ่อไปล่" เกิดวันอังคาร เดือน 6 ปีวอก พ.ศ. 2403 มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านหมู่ที่ 6 ต.บางบอนใต้ อ.บางขุนเทียน จ.ธนบุรี เป็นบุตร นายเหลือ นางทอง นามสกุล "ทองเหลือ" ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เมื่ออายุ 8 ขวบ ได้ไปศึกษาหนังสือไทยและขอมกับหลวงพ่อทัต วัดสิงห์
ต่อมาเมื่ออายุครบบวช ก็ได้เข้าอุปสมบทที่วัด กำแพง มี หลวงพ่อทัต วัดสิงห์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อพ่วง วัดกก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า "ฉันทสโร" หลังบวชแล้วท่านได้สนใจศึกษาทางธรรมอย่างเอาจริงเอาจัง
หลังจากบวชแล้ว "หลวงพ่อไปล่ ฉันทสโร" อยู่จำพรรษาที่วัดกำแพง กรุงเทพฯ ศึกษาพระธรรมวินัย ท่องบทสวดมนต์จนจบทุกบททุกคัมภีร์ จดจำได้แม่นยำ และเกิดเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ครบหนึ่งพรรษาแล้วเลยไม่ยอมสึก พอพรรษาที่ 2 ก็พยายามจนท่องพระปาฏิโมกข์ได้ และขอถ่ายทอดวิชาด้านกรรมฐานและวิปัสสนาธุระกับพระอุปัชฌายะและคู่สวดซึ่งล้วนแต่เชี่ยวชาญทางนี้ด้านพุทธาคมได้เรียนวิชาเมตตามหานิยม เช่น ผง 108 ขี้ผึ้งสีปากจากหลวงพ่อพ่วง วัดกก เรียนทางคงกระพันชาตรี ทำผ้าประเจียดแดงกับหลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง นอก จากนี้ ยังได้ไปขอเรียนวิชาไสย ศาสตร์เวทมนตร์ เช่น วิชาผูกหุ่นพยนต์จากหลวงพ่อคง อาจารย์รุกขมูลธุดงค์ จนมีวิชากล้าแข็งแม้ท่านเก่งขนาดไหนแต่ไม่เคยคุยโอ้อวด ชอบดำรงตนแบบสมถะ ไม่ทะเยอทะยานในลาภยศ มีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ กวาดกุฏิเอง ของส่วนตัวทำเอง ไม่เคยใช้ให้ใครทำ ขยันในการทำวัตรสวดมนต์เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยชอบความมีระเบียบเรียบร้อย"หลวงพ่อเลียบ วัดเลา" เคยสนับสนุนให้ท่านได้สมณศักดิ์เป็นพระครู ท่านกลับพูดเป็นคำคมว่า ฉันไม่อยากเป็น"ครูพระ"หรอก สอนตัวเองก็พอใจแล้ว เพราะการเป็น"พระครู" หมายถึงต้องเป็นครูสอนพระ นั่นเพราะท่านไม่ได้หวังเป็นใหญ่เป็นโตอะไร ไม่สนใจเรื่องยศช้างขุนนางพระตามคำกล่าวของคนโบราณ ส่วนตำแหน่งสมภารท่านก็ไม่เคยสนใจ แต่ขัดชาวบ้านไม่ได้ก็จำเป็นต้องรับ ใครมีลูกหลานส่วนใหญ่จะมาให้ท่านบวช เพราะเลื่อมใสศรัทธาในจริยาวัตรและอยากได้ของขลังของดีจากท่านปี พ.ศ.2478 คณะศิษยานุศิษย์ร่วมกันบำเพ็ญกุศลฉลองอายุให้ท่าน ในงานนี้ได้ออกเหรียญรูปท่านเต็มองค์ห่มลดไหล่สมาธิ เป็นเหรียญหล่อทำรูปคล้ายจอบ ด้านหลังเหรียญมีอักษรไทยว่า "ที่ระฤก ๒๔๗๘" วันเทเหรียญปรากฏว่า สายสิญจน์ ในพิธีตกลงมาถูกเทียนชัยจี้อยู่จนหมดเวลาพิธี ปรากฏว่าสายสิญจน์ไม่ไหม้เป็นที่น่าตื่นเต้น เพราะขณะนั้นท่านนั่งปรกบริกรรมด้วยจิตเป็นสมาธิแน่วแน่ท่านชอบเสกเดี่ยว ไม่ค่อยไปร่วมพิธีกับใคร โดยกล่าวเป็นนัยว่า การไปรวมกันไม่รู้ว่าใครจะแน่ สู้เดี่ยวไม่ได้ และเหตุที่สร้างเหรียญรูปจอบ ก็เพราะจอบเป็นสัญลักษณ์เครื่องมือสำคัญในการเพาะปลูก ชาวสวนชาวนาต้องพึ่งจอบ ซึ่งเหรียญรุ่นนี้มีประสบ การณ์มาก ใครที่รับแจกไปห้อยคอสมัยนั้นรับประกันเรื่องความเหนียว มีดหรือปืนไม่ระคายผิวหนัง ถึงขนาดที่ว่าแมลงวันไม่ได้กินเลือด
วัตถุมงคลของ หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง กรุงเทพฯ นอกจากเหรียญจอบยอดนิยมแล้ว ยังมีเหรียญรูปไข่ สร้างเนื้อสัมฤทธิ์ และทองเหลืองฝาบาตร ที่ต้องทำเป็นเหรียญหล่อท่านบอกว่าพิธีเข้มข้นกว่าเหรียญปั๊มมาก และเหรียญรุ่นนี้ก็มีประสบการณ์ดังมากคำขวัญของเหรียญมีว่า "มีเหรียญหลวงพ่อไปล่วัดกำแพงใครจะมาฆ่าแกงก็ไม่ต้องกลัว ถึงไหนถึงกันคงกระพันชาตรีดีนักแล"ต่อมาในงานล้างป่าช้าวัดกำแพง ท่านได้ออกเหรียญเป็นรูปพระพุทธ เนื้อโลหะทองเหลือง เรียกว่า "รุ่นล้างป่าช้า" ใช้ได้ผล มีคนนิยมมากเช่นกัน การแจกเหรียญของท่านไม่กะเกณฑ์ในเรื่องเงินทอง ใครจะทำบุญก็ทำ ใครจะมาขอฟรีท่านก็แจกให้หลวงพ่อไปล่ท่านมีกระแสจิตกล้าแข็ง คราวหนึ่งเจ้าคุณพระพุทธพยากรณ์ (เจริญ อุปวิกาโส) วัดอัปสรสวรรค์ (วัดหมู) ศิษย์เอกองค์หนึ่งของพระภาวนาโกศลเถร (หลวงปู่เอี่ยม) วัดหนัง ได้มานิมนต์ให้ไปนั่งปรกในงานหล่อพระ ท่านบอกว่าให้บอกเวลามาว่าพิธีจะเริ่มเมื่อไหร่ แล้วท่านก็นั่งทำสมาธิอยู่ที่กุฏิ โดยไม่ต้องเดินทางมาถึงวัด พอถึงเวลาปลุกเสก พระอาจารย์ที่นิมนต์มาจะเห็นร่างหลวงพ่อไปล่ปรากฏนั่งสมาธิอยู่ในพิธีด้วย เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันทั่วไปในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ลูกศิษย์คนหนึ่งถูกเกณฑ์ไปร่วมรบได้มาขอของดีจากท่านเพื่อเอาไปคุ้มครองตัว ท่านได้เสกก้อนหินข้างทางรถไฟให้หนึ่งก้อน ศิษย์คนนั้นเห็นแล้วจะไม่เอาก็เกรงท่านจะว่า จึงนำหินก้อนนั้นถักลวดแขวนคอติดตัวไปสนามรบ ปรากฏว่าไม่เคยมีอันตรายและไม่เคยป่วยไข้ ปืนในสนามรบยิงมาเท่าไหร่ก็ไม่ถูกเลยหลวงพ่อไปล่ มรณภาพด้วยอาการอันสงบเมื่ออายุ 79 พรรษา 59 มีคนเล่าว่าแม้จะมรณภาพไปแล้ว หนังก็ยังเหนียว พวกสัปเหร่อเอามีดตบแต่งศพก็เฉือนไม่เข้า ต้องจุดธูปจุดเทียนบอกกล่าวขอขมา แม้กระนั้นก็ยังเฉือนไม่เข้า และศพก็แห้งไปเฉยๆ ไม่มีกลิ่นเน่าเหม็น ทั้งนี้ เพราะท่านรักษาศีลบริสุทธิ์นั่นเองในวันเผาศพมีผู้คนไปร่วมงานกันมากมายหลายจังหวัด ทั้ง คนใหญ่คนโต คนธรรมดาสามัญหลายชั้นวรรณะ และท่านได้แสดงอภินิหารให้เป็นที่ประจักษ์ โดยพวกศิษย์ได้นำพลุ ตะไล ไฟพะเนียง ดอกไม้เพลิงมาจุด ปรากฏว่าด้านหมดเนื่องจากท่านไม่ชอบเสียงอึกทึกครึกโครม แต่พองานเลิกได้นำมาจุดใหม่ เกิดดังสนั่นหวั่นไหว กลายเป็นเรื่องเล่าขานมาจนทุกวันนี้






morntanti โพสต์ 2016-1-23 02:26

เหรียญจอบรุ่นแรกราคาไปไกลเกินเอื้อม...
เหรียญจอบรุ่นสอง...ราคายังพอจับได้แต่ต้องได้มาจากคนที่เชื่อถือได้จริงๆ ( เพราะมีเหรียญบล็อกแท้แต่ไม่ได้เข้าพิธี ) ต่อให้เป็นเหรียญที่โค็ตหางกระรอกก็ตาม
ปล. ผมเองยังไม่มีเก็บเลยเหรียญจอบรุ่นสองขนาดไปบูชาที่วัดในงานประจำปี( ตอนเหรียญออก ) เพราะเหรียญจอบหมดเร็วมาก...แต่ได้บูชาเหรียญ รูปไข่ออกวาระเดียวกัน....http://www.saktalingchan.com/upload/18-04-12-13-44-12-4.jpghttps://i2.24x7th.com/df/0/ui/post/2015/05/02/5/b/34100d4898af64336a8870ff4b476af3.jpeg
เครดิตภาพจกาเวปพระ

Marine โพสต์ 2016-1-23 15:03

{:6_200:}{:6_200:}{:6_200:}

ธี โพสต์ 2016-1-23 17:31

{:6_196:}{:6_200:}

Sornpraram โพสต์ 2016-1-25 07:54

morntanti ตอบกลับเมื่อ 2016-1-23 02:26
เหรียญจอบรุ่นแรกราคาไปไกลเกินเอื้อม...
เหรียญจอบรุ่น ...

http://4.share.photo.xuite.net/min0427/140d589/6411593/262027584_x.jpg

touch-578 โพสต์ 2022-1-14 10:33

๏ก้อนหินเสกหลวงพ่อไปล่ หยุดกระสุน!! ๏กล่าวถึงตำนานหลวงพ่อไปล่วัดกำแพง พระเถราจารย์ผู้มีพุทธาคมเข้มขลัง มีพลังจิตตานุภาพอันสูงส่งในยุคสงครามมหาเอเชียบูรพาหลวงพ่อไปล่เป็นหนึ่งในบรรดาพระเถราจารย์ผู้มีพุทธาคมเข้มขลังที่ขึ้นชื่อมากในยุคนั้นในเรื่องคงกระพันชาตรีหนังเหนียว วัตถุมงคลที่ท่านสร้างและเสกไว้ล้วนทรงอิทธิคุณเข้มขลังมีปาฎิหาริย์ปรากฎมากมาย แม้แต่ก้อนหินข้างทางด้วยพลังจิตตานุภาพและตบะบารมีอันสูงส่งของหลวงพ่อไปล่ ท่านก็สามารถเสกให้เป็นเครื่องรางอันเข้มขลังเปี่ยมด้วยฤทธิคุณแม้คมกระสุนที่ว่าร้ายกาจก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ วันนี้“ตำนานเล่าขานพระผู้ทรงฌานอภิญญาครูบาอาจารย์ผู้เรือวงวิชาอาคม” ขอนำเรื่องราวอิทธิปาฎิหาริย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปล่ มาเล่าสูกันฟัง ดังเรื่องราวปาฎิหาริย์ก้อนหินเสกของหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพงอันเป็นเรื่องที่ฮือฮาที่เล่าขานกันมาจนทุกวันนี้

touch-578 โพสต์ 2022-1-14 10:34

                  เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาปะทุขึ้น ไทยจำต้องส่งทหารกล้าเข้าสู่สงครามอันร้อนแรงในยุคคนั้นศิษย์หลวงพ่อไปล่คนหนึ่ง ( สุดใจเปรมชื่น) ก็เป็นหนึ่งในพลทหารกล้าที่เดินทางเข้าสู่สนามรบก่อนจะไป ด้วยความศรัทธาในกิตติคุณของหลวงพ่อไปล่ จึงออกเดินทางไปขอของดีจากหลวงพ่อไปล่ แห่งวัดกำแพง เพื่อไว้ยึดเหนี่ยวและเป็นขวัญกำลังใจในสนามรบ   ด้วยบุญวาสนาของสุดใจ จึงได้มีโอกาสพบหลวงพ่อไปล่ที่ริมทางรถไฟสายมหาชัยพอสุดใจเห็นว่านั้น คือหลวงพ่อไปล่ก็เกิดปิติดีใจอย่างยิ่งตรงริ่วเข้ากราบนมัสการ แล้วขอของดีจากท่านหลวงพ่อไปล่บอกว่า“ฉันไม่ได้เอาของดีอะไรติดยามมาเลยแล้วท่านจึงบอกให้สุดใจหยิบก้อนหินข้างทางรถไฟขึ้นมาก้อนหนึ่ง”เมื่อนายสุดใจหยิบก้อนหินยกขึ้นถวายท่าน หลวงพ่อไปล่รับมาแล้วท่านก็เสกบริกรรมคาถาในตอนนั้นเลย แล้วมอบให้พร้อมกล่าวให้พรขอให้แคล้วคลาดปลอดภัยนายสุดใจเมื่อรับก้อนหินเสกจากหลวงพ่อไปล่แล้ว ก็ก้มกราบลาท่านเดินทางเข้าสู่จุดร่วมพลและต่อด้วยการเดินทางเข้าสู่สนามรบอันกำลังปะทุเดือน เมื่อนายสุดใจเข้าสู่สงครามด้วยอานุภาพก้อนหินเสกของหลวงพ่อไปล่ คุมกระสุนจากปลายกระบอกปืนของอริศัตรูไม่อาจแม้แต่จะระะคายผิวของเขาได้จนเพื่อนๆทหารกล้าที่ไปด้วยกันต่างสงสัยและไตร่ถามถึงเครื่องรางของขลังที่นายทหารสุดใจพกติดตัวส่วนนายทหารสุดใจเมื่อเพื่อนทหารไตร่ถามเสร็จมือก็พรางล่วงเอาก้อนหินเสกของหลวงพ่อไปล่ที่ตนพกติดตัวในชายพกออกมาให้เพื่อนๆดูคนทั้งหลายพอเห็นแล้ว ก็อยากจะทดลองอานุภาพอีกครั้งจึงขอลองด้วยการนำก้อนหินไปวางแล้วเอาปืนยิง ปรากฎว่า ไม่ว่าจะยิงยังไง สับไกปืนสักกี่ครั้งก็ยิงไม่ออก เรื่องเล่านี้เป็นอีกหนึ่งตำนานเล่าขานที่แสดงให้เห็นถึงฤทธานุภาพและบารมีของหลวงพ่อไปล่วัดกำแพง พระเถราจารย์ชื่อดังยุคสงครามมหาเอเชียบูรพาผู้มีพุทธาคมอันเข้มขลังฯ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: หลวงพ่อไปล่ ฉันทสโร วัดกำแพง