kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:36

พระคาถาพาหุง

พระคาถาพาหุง

http://www.dhammajak.net/images/buddha/chinnajat.jpg


   
พระคาถาพาหุง



      คำนำ          ปัจจุบันมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นในโลกทำให้ประชาชนต่างเกิดความวิตกกังวลและกลัวภยันตรายจะมาถึงตัวเองทำให้เสียขวัญและหมดกำลังใจในการดำเนินชีวิต

          การสวดมนต์ถือเป็นทางออกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไทยและเป็นกิจวัตรประจำวันของชาวพุทธเพื่อระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยและบำเพ็ญสมาธิไปพร้อมกัน ดังข้อความที่ปรากฏใน วิมุตตายนสูตร ว่า

         “บางคนหมั่นสวดมนต์หรือสาธยายข้อธรรมที่ได้เรียนมาและขณะที่สวดมนต์ด้วยจิตเป็นสมาธินั้นเขาน้อมข้อธรรมมาปฏิบัติจนบรรลุถึงความพ้นทุกข์ได้” อง. ปญ์จก. ๒๒/๒๖/๒๒ ความนำ          ในคราวประชุมอนุกรรมการในคณะกรรมการจัดงานเฉลิมฉลองพระชนมายุครบ๘๔ พรรษา ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งกำหนดในวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ มีการเสนอให้สวดมนต์ถวายพระพร ทางฝ่ายสงฆ์กำหนดจะสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตรซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเมื่อมีงานทำบุญอายุของผู้ใหญ่ฝ่ายคฤหัสถ์จะระดม(คำนี้น่าจะเหมาะกว่ารณรงค์) ให้มีการทำวัตรสวดมนต์บทสวดบทหนึ่งที่คิดว่าควรสวดต่อท้ายทำวัตรเช้า – เย็น ก็คือ พาหุง ว่ากันอย่างนั้นพาหุง คือ บทสวดว่าด้วยชัยชนะ ๘ ประการของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงผจญกับผู้ที่ไม่ประสงค์ดี ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ แต่พระองค์ก็ทรงเอาชนะได้อย่างราบคาบ วิธีการชนะของพระพุทะองค์เป็นชัยชนะที่ถูกต้องชอบธรรมทรงใช้ ธรรมาวุธ มิใช่ศาสตราวุธ

          บางท่านปรารภว่าบทสวดมนต์น่าจะสวดเป็นภาษาไทย จะได้ฟังรู้เรื่อง หลายท่านก็ว่าสวดเป็นบาลีน่ะดีแล้วจะได้ “ขลัง” ถ้าอยากรู้ว่าที่สวดๆ นั้นหมายความอย่างไรก็ให้ไปหาอ่านเอาเอง จะดีกว่า

         ถามว่า “จะหาอ่านที่ไหนล่ะ”นั่นสิครับ

         ความจริง มีหนังสือสวดมนต์แปลฉบับหลวงเล่มหนึ่งแต่ไม่ได้พิมพ์แพร่หลาย และ สำนวนแปลก็ต้อง “แปลไทยเป็นไทย” อีกทีจึงพออ่านรู้เรื่องสำหรับชาวบ้านทั่วไป

         เรื่องทำนองนี้มิใช่เพิ่งจะมาคิดกันหลายต่อหลายท่านคิดกันมาแล้วขณะที่พวกเรากำลังนั่งฟังพระเจริญพระพุทะมนต์อยู่นั้น คุณขรรค์ชัย บุนปานหันมากระซิบกับผมว่า “หลวงพี่น่าจะแปลบทสวดเหล่านี้ให้คนอ่านนะจะได้รู้ว่าพระท่านสวดว่าอย่างไรบ้าง เอาตั้งแต่เริ่มพิธีจนจบเลย”ผมก็พยักหน้าตอบว่า “ก็ดีเหมือนกัน ว่างๆ จะขยับเสียที”

          จนป่านนี้ผม ก็ ยังไม่มีโอกาสขยับ เมื่อยังไม่ถึงขั้นนั้นวันนี้ขอแปลคาถาพาหุงและให้อรรถาธิบายประกอบมาลงให้อ่านไปพลางก่อน

         เรื่องคาถาพาหุงนี้ ผมเคยแปลรวมพิมพ์เป็นเล่มมาก่อนแล้วคราวนี้ขอแก้ไขดัดแปลงให้เป็นเรื่องเป็นราวกว่าเดิม เรียกว่าเป็น versionใหม่ก็แล้วกัน

          คาถาพาหุง เรียกเป็นทางการว่า ชยมังคลอัฏฐกคาถาอ่านว่า “ชะยะมังคะละอัตถะกะคาถา” แปลว่า “คาถาว่าด้วยชัยชนะ ๘ ประการอันเป็นมงคลของพระพุทะเจ้า” ที่เรียกกันติดปากว่า “คาถาพาหุง”เพราะขึ้นต้นด้วยคำว่า “พาหุง”

         ความเป็นมาของคาถาพาหุงค่อนข้างสับสน บางท่านว่าน่าจะแต่งโดยนักปราชญ์ศรีลังกาเพราะพระลังกาสวดกันได้ทุกรูป บทสวดมนต์บางบทที่สวดกันแพร่หลายในเมืองไทยเช่นนโมการอัฏฐกคาถา หรือนโมแปดบท พระลังกาสวดไม่ได้ เพราะแต่งที่เมืองไทยใช้สวดเฉพาะพระไทย (ไม่สากล) เมื่อคาถาพาหุงค่อนข้างจะ “สากล”จึงน่าจะแต่งโดยพระลังกา ว่ากันอย่างนั้น

          เหตุผลนี้ฟังดู “หลวม”คือไม่จำเป็นต้องสรุปว่าแต่งที่ลังกาก็ได้แต่งที่เมืองไทยนี่เองเมื่อแต่งดีและแต่งได้ไพเราะพระลังกามาคัดลอกไปสวดย่อมเป็นไปได้ ทีอะไรๆ ก็มักจะอ้างลังกา อ้างพม่า ก็เพราะไม่เชื่อว่า ปราชญ์ไทยจะมีปัญญาแต่งฉันท์ที่ไพเราะอย่างนี้ด้วยเหตุนี้คัมภีร์ศาสนาหลายเล่มจึงมอบให้เป็นผลงานของพระลังกาและพระพม่าไป

         มังคลัตถทีปนี ที่ พระสิริมังคลาจารย์ชาวเชียงใหม่แต่ง ก็ยังว่าเป็นฝีมือของพระพม่าเลยครับ คือกล่าวว่า พระสิริมังคลาจารย์เป็นพระพม่ามาอยู่ที่ล้านนา อะไรทำนองนี้

          บางท่านบอกว่า คาถาพาหุงแต่งที่เมืองไทย และแต่งมานานแล้วด้วย ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โน่นแน่ะท่านผู้นั้นขยายความว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงรบชนะพระมหาอุปราชาแห่งพม่าแล้วพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้ประพันธ์คาถาพาหุงนี้ถวายพระเกียรติในชัยชนะอันยิ่งใหญ่คราวนั้นว่าอย่างนั้น

          ครั้นถามว่า“มีหลักฐานอะไรไหม” ท่านบอกว่า“เห็นในนิมิตตอนนั่งสมาธิ” เมื่อท่านว่าอย่างนี้ เราทำได้ก็แค่“ฟัง” ไว้เท่านั้น จะเถียงว่าไม่จริง หรือรับว่าจริงก็คงไม่ได้มีคำพูดฮิตอยู่ในปัจจุบันคือ “ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่”วางท่าทีอย่างนี้ น่าจะเหมาะกว่ากระมังครับ

         ท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้ารัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนี ออสเตรียและฮังการี เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ โดยเข้าร่วมกับ ฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ และทรงได้ส่งทหารไปสู่สงครามเมื่อวันที่ ๑๖มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๑นั้นพระองค์ทรงนำกองทัพสวดคาถาพาหุงพร้อมทั้งคำแปลที่ทรงพระราชนิพนธ์ เป็นวสันตดิลกเพื่อชัยชนะแห่งกองทัพไทยและฝ่ายพันธมิตร

kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:37

         ท่านอาจารย์กล่าวต่อไปว่าสถานที่ที่ทรงประกอบพระราชพิธีจะเป็นท้องสนามหลวง (ทุ่งพระเมรุ) หรือไม่ ไม่แน่ใจกำลังหาหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรอยู่ ท่านว่าอย่างนั้น

         ฉันท์พระราชนิพนธ์บทนี้ ทรงนำเอา “ชยมังคลอัฏฐกคาถา” บทแรก (คือบทพาหุง)มาลงไว้ดัดแปลงตอนท้ายจากเดิม ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ เป็น ตันเตชะสาภะวะตุ เต ชะยะสิทธิ นิจจัง ข้อความมีดังนี้ครับ

พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลังอุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินาชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เตชะยะสิทธิ นิจจังปางเมื่อพระองค์ปะระมะพุท
ธะวิสุทธะศาสดา
ตรัสรู้อนุตตะระสะมา
ธิ ณโพธิบัลลังก์

ขุนมารสหัสสะพหุพา
หุวิชาวิชิตขลัง
ขี่คีริเมขละประทัง
คชะเหี้ยมกระเหิมหาญ

แสร้งเสกสราวุธะประดิษฐ์
กละคิดจะรอนราน
ขุนมารผจญพยุหะปาน
พระสมุททะนองมา

หวังเพื่อผจญวระมุนิน
ทะสุชิน(ะ)ราชา
พระปราบพหลพยุหะมา
ระเมลืองมลายสูญ

ด้วยเดชะองค์พระทศพล
สุวิมล(ะ)ไพบูลย์
ทานาทิธัมมะวิธิกูล
ชนะน้อมมโนตาม

ด้วยเดชะสัจจะวจนา
และนะมามิองค์สาม
ขอจงนิกรพละสยาม
ชยะสิทธิทุกวาร

ถึงแม้จะมีอริวิเศษ
พละเดช(ะ)เทียมมาร
ขอไทยผจญพิชิตผลาญ
อริแม้นมุนินทร.ฯ

คราวหน้าจะนำ“คำแปลพาหุง” พร้อมอรรถาธิบายประกอบมาลงให้อ่านจนจบครับ

......
จากหนังสือคาถาพาหุง
คาถาแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์
ศาสตราจารย์พิเศษเสฐียรพงษ์วรรณปก ราชบัณฑิต

ที่มา http://www.dhammajak.net/chaiya/index.php

kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:38

http://www.dhammajak.net/images/chaiya/b01.jpg

   
พระคาถาพาหุง



      บทที่ ๑          ผมได้ยกคำบาลีพร้อมคำแปล มาลงให้อ่านเพื่อจะได้ทราบว่าบทสวดพาหุงนั้น มีความหมายอย่างไร คราวนี้มาเล่าเรื่องราวประกอบพร้อมข้อสังเกตเพิ่มเติมเท่าที่สติปัญญาอันน้อยของผมจะทำได้ผิดถูกอย่างไรเราไม่ว่ากันอยู่แล้วมิใช่หรือ หรือ จะว่าก็ไม่เป็นไร คาถาพาหุง บทที่ ๑ ความว่า

         พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
            ครีเมขะลังอุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
         ทานาทิธัมมาะวิธินา ชิตะวามุนินโท
         ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

            พญามารเนรมิตแขนตั้งพัน ถืออาวุธ
         ครบมือ ขี่ช้าง ครีเมขละพร้อมด้วยเสนามาร
         โห่ร้องก้องกึก พระจอมมุนีทรงเอาชนะได้
            ด้วยธรรมวิธี มีทานบารมี เป็นต้น ด้วยเดช
         แห่งชัยชนะนั้นขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน          พากย์บาลีเฉพาะคำว่า ชะยะมังคะลานิฝ่ายพระธรรมยุตเปลี่ยนเป็น ชะยะมังคะลัคคัง
ให้เหตุผลว่าเพื่อให้ถูกไวยากรณ์ผมว่าไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดขนาดนั้น ก็ได้ท่านผู้แต่งเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ไวยากรณ์ท่านคงจงใจใช้อย่างนี้มากกว่า          บางท่านก็สอนว่า ถ้าต้องการสวดให้ตัวเองให้เปลี่ยนภะวะตุ เต เป็น ภะวะตุ เม นี่ก็ไม่จำเป็นต้อง “เห็นแก่ตัว” ปาน นั้นก็ได้สวดให้คนอื่นตัวเองก็ได้อยู่ดี

            เหตุการณ์แห่งชัยมงคลนี้เกิดขึ้นใต้ต้นโพธิ์ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราพระบรมโพธิสัตว์ประทับขัดสมาธิ ผินพระพักตร์สู่ทิศตะวันออกตั้ง พระวรกายตรงดำรงพระสติมั่น เจริญอานาปานสติภาวนา (พจนานุกรม ให้เขียน อานาปาณสติแต่วงการพระท่านใช้ อานาปานสติมาตลอด) ตั้งพระปณิธานแน่วแน่จะพยายามเพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณให้จงได้ แม้ว่า เลือดเนื้อและโลหิตจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตามที ก็จะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด          เรียกว่าเอาชีวิตเข้าแลก ยอมตายใต้ต้นโพธิ์ว่าอย่างนั้นเถอะ          บัดดล พญามารนาม วสวัตตี ก็ปรากฏตัว ให้สังเกตชื่อ“วสวัตตี” แปลว่า “ ผู้ยังบุคคลอื่นให้ตกอยู่ในอำนาจ ” แสดงว่ามารตัวนี้มิใช่กระจอกเป็นเทพ (ผู้เกเร) ครองสวรรค์ชั้นสูงสุด สวรรค์ชั้นนี้นามว่า ปรนิมมิตวสวัตตีแบ่งเป็นสองแดน แดนหนึ่งมีเทพนามวสวัตตีเทพครองอีกแดนหนึ่งเป็นแดนมารมีพญามารวสวัตตีตนนี้แหละเป็นผู้ครอง          พญามารกลัวว่า พระโพธิสัตว์จะก้าวพ้นจากเงื้อมมือของตนจึงยกพลพหลพลโยธามาผจญตัวพญามารเองก็เนรมิตแขนพันแขนยังกะหนวดกุ้งถืออาวุธครบทุกมือ          ขี่พญาช้าง นามครีเมขละนำลิ่วล้อหน้าตาน่าสะพรึงกลัวมาล้อมพระองค์ออกปากขับไล่ให้พระโพธิสัตว์ลุกจากบัลลังก์ (ที่นั่ง) อ้างว่าบัลลังก์นี้เป็นของมัน          พระบรมโพธิสัตว์ตรัสว่า “ รัตนบัลลังก์ นี้เป็นของเราพราหมณ์นามโสตถิยะ ให้หญ้ากุศะเรามา ๘ กำ เราเอามาลาดเป็นอาสนะ”          “บัลลังก์นี้เป็นของข้า” พญามารกล่าวเสียงดังแล้วหันไปขอเสียง สนับสนุนจากบริวารว่า “จริงไหมวะ”

         “แม่นแล้วเจ้านาย บัลลังก์นี้เป็นของเจ้านาย” เสียงลิ่วล้อตะโกนตอบ          “เห็นไหมๆ ท่านลุกขึ้นเสียดีๆ ยกบัลลังก์ให้แก่ข้าอย่าให้ใช้กำลัง” มันขู่             เมื่อพระบรมพระโพธิสัตว์ยืนยันว่าบัลลังก์เป็นของพระองค์ มันจึงซักว่า“ท่านมีพยานไหมล่ะ”          พระองค์ทรงชี้ดรรชนีลงยังพื้นปฐพี ตรัสว่า“ขอให้วสุนธราเป็นพยาน” ทันใดนั้น นางวสุนธรา หรือนางธรณีก็ปรากฏกายบีบมวยผมปล่อยกระแสธารไหลมาท่วมกองทัพพญามารจนพ่ายแพ้หนีไปในที่สุด

kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:39

         มีพระพุทธรูปปางหนึ่งสร้างเป็นอนุสรณ์เหตุการณ์ครั้งนี้ เรียกว่า “ปางมารวิชัย”(อ่าน “มา-ระ-วิ-ไช”แปลว่า ชนะมาร ถ้าอ่าน“มาน-วิ-ไช” แปลว่า มารชนะ) ชาวบ้านเรียกว่า “ปางสะดุ้งมาร”          ที่มาของชื่อ “ปางสะดุ้งมาร” (ถ้าผมจำไม่ผิด)คือครั้งหนึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทอดพระเนตรเห็นพระพุทะรูปปางมารวิชัยองค์หนึ่ง พระพักตร์ไม่ค่อยสวย จึงรับสั่งว่า“องค์นี้ท่าจะสะดุ้งมาร”          หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์จำเอาไปเขียนบรรยายพระพุทะรูปองค์นี้ตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติใครเข้าไปชมก็ได้เห็นและจดจำกันไปจนแพร่หลาย          กว่าสมเด็จฯ จะทรงทราบภายหลังว่าที่พระองค์ตรัสเล่นๆกลับมีผู้ถือเป็นจริงเป็นจังก็สายเสียแล้ว คนจำได้ติดปากแล้ว จึงปล่อยเลยตามเลย          กระทั่งผู้จัดทำพจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานยังบันทึกไว้เมื่อให้คำจำกัดความของคำมารวิชัยว่า“ผู้มีชัยแก่มาร คือพระพุทธเจ้า เรียกพระพุทธรูปปางชนะมารว่า พระมารวิชัย คือพระนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ขวาพาดพระเพลา พระปางสะดุ้งมาร ก็เรียก”          ท่านอาจารย์ “ประสก” แห่งสยามรัฐร้องว่า ไม่เรียกถ้าอยากเรียกให้เรียกว่า “ปางมารสะดุ้ง” อย่าเรียก “ปางสะดุ้งมาร”          ดร.ไซเลอร์ผู้สนใจคัมภีร์พระพุทะศาสนาคนหนึ่งถามผมว่าฉากพระพุทะเจ้าผจญมาร ทำไมมีงูมากมายจิตรกรรมฝาผนังหลายแห่งเขียนให้พญามารและเสนามารมีงูพันกายบ้าง เลื้อยออกจากปากออกจากจมูกบ้าง จากรูหูทั้งสองบ้าง ดูจะเป็น “กองทัพงู” มากกว่ากองทัพมารในคัมภีร์ศาสนามีพูดถึงงูบ้างไหม          นึกไม่ออกครับ เห็นแต่ในคัมภีร์รุ่นหลัง เช่นปฐมสมโพธิสัมภารวิบาก และคัมภีร์ฝ่ายมหายาน คือ ลลิตวิสตระ (ลลิตพิสดาร)มีพูดถึงงูบ้าง แต่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกมิได้พูดถึงงูบ้างแต่ในคัมภีร์พระไตรปิฎกมิได้พูดไว้

         ศาสตราจารย์เสฐียร พันธรังษีราชบัณฑิต ผู้ล่วงลับ เคยบอกผมว่า งูเป็นสัญลักษณ์แทนกิเลส หรือความชั่วร้ายนี้เป็นแนวคิดที่ “สากล” ดังในคัมภีร์ไบเบิล ของคริสต์ซาตานที่มาหลอก อาดัม กับอีฟใ ห้ละเมิดคำสั่งพระเจ้าก็มาในร่างงู งูกับมาร คือสิ่งเดียวกันภาพจิตรกรรมจึงวาดทั้งมารทั้งงู ก็เป็นคำพูดที่น่ารับฟัง          ถ้าดูบทสวดจริงๆ ก็น่าจะมี “งู”อยู่ด้วยเพียงแต่เราไม่แปลว่างู เท่านั้นเอง(ขอให้ผู้รู้บาลีช่วยกันดูตรงนี้หน่อยครับ)          อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง ที่แปลว่า“พร้อมทั้งเสนามารโห่ร้องก้องกึก” นั่นน่ะ ลองแยกศัพท์ดู อุทิตะ (เกิดขึ้น,โผล่ขึ้น),โฆระ (ย่อมาจาก โฆระวิสะ งูพิษร้าย), สะเสนะมารัง (พร้อมทั้งเสนามาร)ถ้าแยกอย่างนี้ก็จะได้คำแปลว่า “พร้อมทั้งเสนามารมีงูออกมาจากร่างกาย”แปลอย่างนี้ก็จะได้คำแปลว่า “พร้อมทั้งเสนามารมีงูออกมาจากร่างกาย”แปลอย่างนี้จะไม่ให้กองทัพมารกลายเป็นกองทัพงูได้อย่างไร ใช่ไหมครับ          มาร ในที่นี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นมารจริงๆ ก็ได้หากเป็นสัญลักษณ์แทนกิเลส (โลภ โกรธ หลง) พระโพธิสัตว์ผจญมาร ก็ คือพระองค์ทรงพยายามเอาชนะกิเลสทั้งหลาย กว่าจะได้ชัยชนะก็เล่นเอาเหนื่อยไม่แพ้รบทัพจับศึก ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต          นางธรณีเป็นสัญลักษณ์แทนบารมีที่ทรงบำเพ็ญมาแต่อดีตชาติ การอ้างนางธรณีเป็นพยานก็คือทรงรำลึกถึงความดีงามที่เคยทำมามากมายนั้นเองเมื่อทำดีมามากปานฉะนี้แล้วจะยอมสยบแก่อำนาจฝ่ายต่ำ ก็ดุกระไรอยู่          ทุกครั้งที่กราบไหว้พระปางมารวิชัย ให้รำลึกเสมอว่ากิเลสอันร้ายกาจดุจพญามารและกองทัพอันมหึมา พระพุทธองค์ทรงเอาชนะได้เด็ดขาดเราผู้เป็น “ลูกพระตถาคต” ควรดำเนินตามรอยยุคลบาทของพระองค์ คือพยายามต่อสู้กับอำนาจฝ่ายต่ำเต็มความสามารถแม้ชนะเป็นครั้งเป็นคราวก็ยังดี          ดีกว่าเป็นทาสของมารตลอดกาล

..................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/chaiya/2.html

kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:40

http://www.dhammajak.net/images/chaiya/b02.jpg

   
พระคาถาพาหุง



      บทที่ ๒ มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินาชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เตชะยะมังคะลานิ

อาฬวกยักษ์ผู้กระด้าง ปราศจาก
ความอดทน ดุร้ายสู้รบกับพระพุทธเจ้าอย่าง
ทรหดยิ่งกว่ามารตลอดราตรีพระจอมมุนีทรง
เอาชนะได้ด้วยขันติวิธีที่ทรงฝึกฝนมาดี ด้วย
เดชแห่งชัยชนะนั้นขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน           บทที่แล้วพระพุทธองค์ทรงสู้รบกับมารมาคราวนี้ทรงสู้รบกับยักษ์ มารอาจหมายถึงมารจริงๆ คือ เทพเกเรที่ชอบมารังแกคน หรืออาจหมายถึงกิเลสก็ได้ฉันใด ในที่นี้ ก็อาจหมายถึงยักษ์เขี้ยวโง้งหรือเป็นภาษาสัญลักษณ์หมายถึงคนดุร้ายเผ่าหนึ่ง ในสมัยพุทะกาลก็ย่อมได้           ไม่เพียงแต่ ยักษ์และมาร นาคที่ปรากฏในคัมภีร์ศาสนาก็อาจเป็นภาษาสัญลักษณ์ เช่นกัน นาคปลอมมาบวช ตำราว่าเป็นพญานาคที่มีฤทธิ์จำแลงกายเป็นคนได้ ตราบใดที่ยังมีสติอยู่ก็จะเป็นมนุษย์ แต่ถ้าเผลอสติหรือหลับเมื่อใด ร่างนาคหรืองูใหญ่ก็จะปรากฏทันที           พระหนุ่มนาคจำแลง นอนหลับใหลในเวลากลางวันในห้องร่างกลายเป็นงูใหญ่ขดอยู่เต็มห้องพระรูปหนึ่งเปิดประตูเข้าไปเห็นเข้าร้องเสียงหลงด้วยความตกใจพระนาคจำแลงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงแปลงร่างเป็นพระหนุ่มตามเดิมเรื่องรู้ถึงพระพุทะองค์ เธอเปิดเผยความจริงว่าเธอเป็นนาค (งูใหญ่)ปลอมมาบวชเพราะความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา          พระพุทธองค์ตรัสว่าเพศบรรพชิตไม่เหมาะสำหรับสัตว์เดรัจฉานจึงให้เธอลาสิกขากลับไปสู่นาคพิภพตามเดิม ตรงนี้ ตำราในเมืองไทยแต่งต่อว่านาคกราบทูลขอว่า “ไหนๆก็ไม่มีโอกาสบวชอยู่พระศาสนาต่อไปแล้ว ขอฝากชื่อไว้ด้วยต่อไปภายหน้า ใครจะบวชก็ขอให้เรียกคนนั้น “นาค” เถิด” ว่าอย่างนั้นแต่ตำราเดิมไม่มีพูดไว้อย่างนี้

kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:40

          นาค ในที่นี้ คงมิใช่งูใหญ่อะไรดอกคงหมายถึงมนุษย์ที่ยังด้อยพัฒนาเผ่าหนึ่งพระพุทะองค์จึงไม่ทรงอนุญาตให้บวชว่ากันอย่างนั้น           อาฬวกยักษ์นี้ก็คงทำนองเดียวกันลองอ่านประวัติความเป็นมาก่อนค่อยตั้งข้อสังเกตภายหลัง เรื่องมีดังนี้ครับ           ในป่าลึกชายแดนเมืองอาฬวี มียักษ์อาศัยอยู่จำนวนมากวันหนึ่งเจ้าเมืองอาฬวี มียักษ์อาศัยอยู่จำนวนมากวันหนึ่งเจ้าเมืองอาฬวีไปล่าสัตว์พลัดหลงกับ ข้าราชบริพานเข้าไปยังป่าลึกถูกพวกยักษ์จับได้ตั้งใจจะเอามาทำ สเต็กกินให้อร่อยเข้าเมืองกลัวตายจึงหาทางเอาตัวรอดโดยกล่าวว่า “ถ้าพวกยักษ์กินตนอิ่มเพียงมื้อเดียวถ้าปล่อยตนไป ตนจะไปหาคนมาส่งให้กินทุกวัน ขอให้ปล่อยตนไปเถอะ”           “จะเชื่อได้อย่างไรว่าจะไม่เบี้ยว” ยักษ์ถาม           “ไม่เบี้ยวแน่นอนท่าน เพราะข้ามิใช่นายกเมืองสารขัณฑ์ที่รับปากใครไปเรื่อยกระทั่งกับพระกับเจ้า แล้วก็ลืม ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองอาฬวีย่อมรักษาสัจจะยิ่งชีวิต” เจ้าเมืองพูดขึงขัง           โชคยังดี พวกยักษ์เชื่อ จึงปล่อยไปท้าวเธอก็ส่งนักโทษประหารมาให้กินวันละคน จนกระทั่งนักโทษหมดคุกเมื่อหาใครไม่ได้ก็สั่งให้ดักจับเอาใครก็ได้ที่เดินอยู่คนเดียวมีคดีคนหายอย่างลึกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จน จส.๑๐๐ ของยักษ์ประกาศหาไม่หยุดสร้างความหวาดวิตกแก่ประชาชนทั้งเมือง           พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระญาณด้วย พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อชาวเมืองอาฬวี พระองค์จึงเสด็จไปหาอาฬวกยักษ์หัวหน้าพวกยักษ์ในป่าอาฬวี บังเอิญอาฬวกยักษ์ไม่อยู่ พระองค์จึงเสด็จเข้าไปประทับ ณที่นั่งประจำตำแหน่งของแก           อาฬวกยักษ์กลับมาพบพระพุทะองค์ประทับที่บัลลังก์ของตนก็โกรธเขี้ยวกระดิกทีเดียวตวาดด้วยเสียงดังฟังชัดว่า“สมณะโล้นมานั่งที่นั่งข้าทำไม ลุกขึ้นเดี๊ยวนี้”           พระพุทธองค์ทรงลุกขึ้นอย่างว่าง่าย           ยักษ์แกได้ใจ จึงออกคำสั่งอีกว่า “นั่งลง” พระองค์ก็นั่งลง           “ลุกขึ้น” สั่งอีก พระองค์ก็เสด็จลุกขึ้น           “นั่งลง” พระองค์นั่งลงตามคำสั่ง           ยักษ์เขี้ยวโง้งได้ใจ หัวร่อ ฮ่าๆที่เห็นพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของชาวโลกทำตามคำสั่งแกอย่างว่าง่าย           ถามว่า“ทำไมพระพุทธองค์จึงทรงทำตามยักษ์อย่างว่าง่าย”           ตอบว่า “เป็นเทคนิควิธีสอนของพระพุทธเจ้า”พระองค์ทรงรู้อยู่แล้วว่า ยักษ์แกเป็นผู้ดุร้าย อารมณ์ร้อน ถ้าขัดใจแกแกก็จะโมโหจนลืมตัว ไม่มีช่องที่จะสอบอะไรได้ ถึงกล่าวสอนตอนนั้นแกก็คงรับไม่ได้พระองค์จึงทรงเอาชนะความแข็งด้วยความอ่อน ดังคำพังเพยจีน (หรือเปล่าไม่รู้)“หยุ่นสยบแข็ง” หรือดังบทกวี (เก่า)บทหนึ่งว่า           “ถึงคราวอ่อน อ่อนให้จริง ยิ่งเส้นไหม
         เพื่อจะได้ เอาไว้โยง เสือโคร่งเฆี่ยน
          ถึงคราวแข็ง ก็ให้แกร่งดังวิเชียร
          เอาไว้เจียน ตัดกระจก เจียระไน”           ยักษ์ถึงแกจะป่าเถื่อน ใช่ว่าแกจะไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้านั้น เป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นจำนวนมากการที่แกสามารถสั่งให้คนยิ่งใหญ่ขนาดนั้นทำตามคำสั่งอย่างไม่ขัดขืนจึงทำให้แกภาคภูมิใจที่ปราบพระศาสดาเอกในโลกได้จิตใจจึงผ่อนคลายความดุร้ายลงสงบเยือกเย็นพอจะพูดกันด้วยเหตุผลรู้เรื่อง พระพุทธองค์จึงค่อยๆสอนให้แกรู้ผิดชอบชั่วดี ยักษ์แกก็เข้าใจและรับได้อย่างเต็มใจในที่สุดก็รับเอาไตรสรณคมน์เป็นสรณะตลอดชีวิต           พูดมาถึงตรงนี้ก็อยากฝากไปถึง ส.ส.ร.หรือฝ่ายที่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญทั้งหลายด้วย นักการเมืองทั้งหลายก็ไม่ต่างกับ“อาฬวกยักษ์” ดอกครับ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ลิดรอนสิทธิและอำนาจนักการเมืองไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินตั้งหลายครั้ง (“ยังกับเป็นนักโทษ”นักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่งคำราม) ไม่ว่าจะเป็นการห้าม ส.ส. เป็น รัฐมนตรีหรือเรื่องคนแปดหมื่นคนไล่นักการเมืองได้ ล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกอาฬวกยักษ์ทั้งนั้น ใจจริงแล้ว เขาไม่อยากรับดอก(นอกเสียแต่บางพรรคหวังหาเสียงก็กัดฟันพูดว่า เรายินดีรับ)ถ้าอยากจะให้พวกเขายอมรับอย่างเต็มใจ ก็ ควรใช้วิธีของพระพุทธเจ้า คือ พูดดีๆกับเขา อย่าได้พูด ในทำนองดูถูกว่าปัญญาอ่อน ไดโนเสาร์ พวกถ่วงความเจริญ ฯลฯหรือชี้นำว่าต้องรับร่างรัฐธรรมนูญร่างเสร็จแล้วก็หมดหน้าที่เป็นเรื่องของสภาเขาจะเอาหรือไม่เอา เมื่อสภาไม่เอา ก็ตกมาถึงประชาชนตัดสินอยู่มิใช่หรือทำไม จะต้องมาปลุกกระแสตอนนี้แจกธงเขียวอะไรนั่นผมว่าเชยตายห่าและถ้าพวกยักษ์เขาแจกธงแดงบ้างมิเป็นการประจันหน้ากันหรือครับ           พวกยักษ์นั้น ต้องพูดดีๆ กับเขา แบบพระพุทธเจ้าตรัสกับอาฬวกยักษ์ ไม่ควรปลุกม็อบชนม็อบ เพราะถ้ายักษ์เขาโมโหแล้วเขาปลุกม็อบได้มากกว่าอีก บอกเขาไปด้วยความอ่อนน้อมสิครับว่าขอให้ท่านพิจารณาเพื่อประโยชน์แก่บ้านเมือง ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ดีกว่าฉบับเก่าไหม ถ้าดีกว่าก็โปรดรับเถิดข้อบกพร่องที่มีเอาไว้แก้ไขภายหลังได้แค่นี้แหละทุกอย่างก็ราบรื่น           อาฬวกยักษ์ ในที่นี้น่าจะเป็นมนุษย์กินคนเผ่าหนึ่งที่มีอยู่มากในชมพูทวีปสมัยโน้น เมื่อมนุษย์กินคนถือศีล ๕สันติสุขมิได้เกิดแก่ชาวเมืองอาฬวีเท่านั้น หากรวมถึงเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกด้วย           เพราะฉะนั้นชัยชนะของพระพุทะองค์ครั้งนี้จึงเป็นชัยชนะที่นำมาซึ่งสิริมงคลอย่างแท้จริง

ที่มา http://www.dhammajak.net/chaiya/3.html

kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:42

http://www.dhammajak.net/images/chaiya/b03.jpg

   
พระคาถาพาหุง



      บทที่ ๓ นาฬาคิริง คะชะวะรังอะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวามุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ พญาช้างชื่อ นาฬาคิรี ตกมัน
ดุร้ายยิ่งนัก ประดุจไฟป่า จักราวุธและสายฟ้า
พระจอมมุนีทรงเอาชนะได้ด้วยวิธีรดด้วยน้ำ
คือเมตตาด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน
         ต้นเหตุให้เกิดเรื่องนี้ก็คือพระเทวทัตอดีตเจ้าชายหนุ่มแห่งโกลิยวงศ์ ตำนานฝ่ายเถรวาทว่าเป็นเชษฐาของพระนางยโสธราพิมพาแต่ฝ่ายมหายานว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพระนางยโสธราพิมพาซึ่งก็อาจเป็นไปได้ เพราะคัมภีร์ฝ่ายเถรวาทบางแห่งก็พูดในทำนองนั้นดังเช่นเมื่อพระเทวทัตยื่นข้อเสนอ ให้พระพุทธองค์มอบสงฆ์ให้ท่านปกครองอ้าวว่า“บัดนี้ พระองค์ ทรงแก่เฒ่าแล้วขอจงมอบภาระดูแลสงฆ์แก่ข้าพระองค์เถิด”

         ถ้าพระพุทธองค์ทรงเป็นสหชาติกับพระนางยโสธราพิมพาและถ้าพระเทวทัต เป็นเชษฐาของพระนางจริง พระเทวทัตก็ไม่น่าจะพูดว่า“พระองค์ทรงแก่เฒ่าแล้ว” ใช่ไหมขอรับแต่ช่างเถอะอย่าปวดหัวกับประเด็นนี้เลยเชื่อตามมติฝ่ายเถรวาทไปก่อนพระเทวทัตออกบวชพร้อมกับเจ้าชายศากยวงศ์ และนายภูษามาลาแห่งศากยวงศ์นามว่า อุบาลี(เวอร์ซาเช่ แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ว่าเข้านั่น) รวม ๗ท่านด้วยกันเพื่อนร่วมรุ่นที่ชื่อเสียงในเวลาต่อมานอกจากพระอุบาลี ก็มีพระอานนท์ พระอนุรุทธะพระเทวทัต แรกเริ่มเดิมทีก็ดังในทางดีคือตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจิตภาวนาจนกระทั่งได้ฌาน ได้ “โลกิยฤทธิ์”(ฤทธิ์ระดับโลกิยะ) คือเหาะเหินเดินหาวได้ หายตัวได้อะไรทำนองนี้ฤทธิ์อย่างนี้เสื่อมได้ถ้าไม่รู้จักประคับประคองในทางที่ถูกซึ่งก็เป็นดังนั้นจริงๆ

         ว่ากันว่าญาติโยมทั้งหลาย เวลาไปวัดก็จะนำสักการะไปถวายพระคุณเจ้าต่างๆที่ตนเคารพเลื่อมใส บ้างก็ถามว่า “พระคุณเจ้าสารีบุตรอยู่ที่ไหนพระคุณเจ้าโมคคัลลานะพระอานนท์ ฯลฯ อยู่ที่ไหน”แล้วก็นำเอาลาภสักการะไปถวายท่านเหล่านั้นน้อยรายจะถามถึงพระคุณเจ้าเทวทัตพระคุณเจ้านั่งนึกว่า ท่านเหล่านั้นหลายท่านเป็นขัตติยกุมารออกบวช ไม่เห็นมีอะไรด้อยไปกว่าท่านเหล่านั้นแต่ทำไมญาติโยมเวลานำอะไรมาวัด ไม่ถามถึงเราบ้าง มันน่าน้อยใจนักเราต้องหาทางแสวงลาภสักการะให้มากกว่าท่านเหล่านี้ให้จงได้
เรียก “ปาปิจฉา”(ความปรารถนาลามก) ได้เกิดขึ้นในใจพระคุณเจ้าเทวทัตเสียแล้วละครับ เทวทัตคิดว่าเจ้าชายอชาตศัตรูมกุฎราชกุมาร สติปัญญาไม่แหลมคมนัก สามารถ “ล้างสมอง” ได้ง่ายถ้าทำให้อชาตศัตรู เลื่อมใสได้ก็จะเป็นทางมาแห่งลาภยศสรรเสริญแผนการอันเลวร้ายจึงเริ่มต้น

         วันหนึ่งขณะเจ้าชายเสด็จประพาสสวนอุทยานแห่งหนึ่ง อยู่ๆ   พระเทวทัตก็ปรากฏตัวต่อหน้าพระพักตร์ ทำให้เจ้าชายตกใจและอัศจรรย์ใจไปพร้อมกันตกใจที่เห็นพระคุณเจ้ามีอสรพิษร้ายพันกายหลายตัว ไม่เห็นมันทำร้ายพระคุณเจ้าเลยและอัศจรรย์ใจที่พระคุณเจ้าอยู่ๆ ก็เหาะลงมาจากห้วง นภากาศ ทำได้อย่างไรมันน่า“งืด” แท้ พระคุณเจ้าบอกว่าอย่าตกพระทัยบพิตรอาตมาคือเทวทัตสาวกแห่งพระสัมมาสัมพุทะเจ้าว่าแล้วก็แสดงธรรมแด่เจ้าชายอชาตศัตรูจนกระทั่งท้าวเธอมอบตนเป็นศิษย์ก้นกุฏิ ถวายความอุปถัมภ์ในเวลาต่อมาถึงตอนนี้พระคุณเจ้าเทวทัตก็ร่ำรวยลาภสักการะมากมายก่ายกองเพราะเป็นพระอาจารย์ของมกุฎราชกุมารแห่งมคธรัฐ

kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:42

         ต่อมาพระเทวทัตก็ยุยงให้อชาตศัตรูกำจัดพระราชบิดาชิงราชบัลลังก์ ทั้งๆที่ตนเองก็จะได้โดยชอบธรรมอยู่แล้วเจ้าชายจับพระราชบิดาขังคุกให้อดอาหารจนสิ้นพระชนม์ตอนหลังพระเจ้าอชาตศัตรูรู้ว่าถูกเทวทัตหลอกจึงสั่งตัดความอุปถัมภ์ที่เคยให้แก่พระเทวทัต
ก่อนหน้านั้นเล็กน้อยพระเทวทัตจ้างนายขมังธนูไปยิงพระพุทธเจ้า แต่แผนการล้มเหลวจึงลงทุนปีนเขากลิ้งก้อนหินลงมาหมายทับพระพุทธองค์ขณะประทับนั่งเข้าฌานสมาบัติอยู่ที่ถ้ำมัททกุจฉิเชิงเขาคิชฌกูฏก้อนหินกลิ้งลงไปปะทะชะง่อนผา สะเก็ดหินกระเด็นไปต้องพระบาทพระพุทธองค์จนพระโลหิตห้อ   พระสงฆ์สาวกพากันนำพระพุทธองค์ไปให้หมอชีวก ถวายการรักษาพยาบาล ณชีวกัมพวัน
เหตุการณ์เหล่านี้ยังไม่ปรากฏต่อสาธารณะนักคนทั่วไปยังไม่รู้ว่าเป็นแผนการของพระเทวทัตคือต้นเหตุการณ์กระทำอันเลวร้ายนี้แน่นอน

         เช้าวันหนึ่ง ขณะพระพุทธองค์มีพระอานนท์โดยเสด็จเสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ในเมืองราชคฤห์
พญาช้างตกมันถูกปล่อยจากโรงช้างวิ่งทะยานออกสู่ถนนใหญ่มุ่งหน้ามาทางพระพุทธองค์และพระอานนท์ ร้องเสียงโกญจนาท (เขาว่า ร้องแปร๋นๆเสียงแหลมเล็กดุจเสียงนกกระเรียนการร้องของช้างจึงเรียกว่า “โกญจนาท”)มหาชนชาวเมืองวิ่งหนีอลหม่าน

          พระอานนท์พุทธอนุชาเกรงภัยจะมาถึงพระพุทะองค์ จึงรีบกลับออกไปหมายสกัดพญาช้างตกมันไว้ไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเองทั้งๆ ที่ยังเป็นเสขบุคคล (เป็นพระโสดาบัน)ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา พอที่จะต่อสู้กับพญาช้างตกมันได้พระพุทะองค์ตรัสเรียกพระอานนท์ให้ถอยกลับมาพระองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ให้พญาช้างวิ่งเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง

         ขณะนั้นเด็กน้อยคนหนึ่งถูกแม่ทิ้งไว้กลางถนน เพราะกลัวตายร้องไห้จ้าน่าเวทนายิ่งพญาช้างเปลี่ยนเข็มจากพระอานนท์หันมาหมายกระทืบเด็กน้อยตายคาตีน   พระพุทธองค์ทรงแผ่เมตตาภินิหาร ดังหนึ่งทรงหลั่งกระแสธารอันเย็นสนิทตกต้องจิตพญาช้างสารความดุร้ายเมามันพลันหายไปสิ้น
มันเดินเซื่องซึมเข้ามาหมอบแทบยุคลบาทยกงวงจบบนกระพองถวายอภิวาทพระศาสดาผู้ทรงยกพระหัตถ์ลูบกระพองมันเบาๆแล้วมันก็ลุกเดินเชื่องช้ากลับยังโรงช้างเป็นที่อัศจรรย์

         เสียงโจษจันกันไปทั่วว่า “นาคกับนาคชน กันนาคหนึ่งปราบอีกนาคหนึ่งหมดฤทธิ์เป็นที่น่าอัศจรรย์”
นาคแรก หมายถึง“พระผู้ประเสริฐ”คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกนาคหนึ่งคือ “พญาช้างสาร” ที่เมามันชื่อนาฬาคิรี

          “อาวุธ” ที่พระพุทธองค์ทรงใช้สู้กับพญาช้างตกมันคือเมตตา ด้วยอานุภาพแห่งเมตตาจิตอันแรงกล้า ที่พระองค์ทรงแผ่ไปต้องจิตพญาช้างทำให้มันคลายความดุร้ายลงฉับพลันและเลิกคิดที่จะทำร้ายพระองค์ในที่สุด

         แต่ผู้ที่ยังไม่เลิกคิดร้ายก็คือ พระคุณเจ้าเทวทัตเมื่อแผนการล้มเหลวจึงเข้าไปยื่นข้อเสนอห้าข้อ เช่นให้พระอยู่โคนต้นไม้เป็นนิตย์ห้ามอยู่ในที่มุมที่บัง ห้ามฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิตเป็นต้น พระพุทะองค์ไม่ทรงอนุญาตเพราะเห็นว่าเป็นการเข้มงวดเกินไปขอให้เป็นความสมัครใจของบุคคลดีกว่า อีกอย่างชีวิตพระต้องอาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพการจะเจาะจงว่าต้องฉันสิ่งนั้น ฉันสิ่งนี้ จะกลายเป็นคน “เลี้ยงยาก”ไป

          เทวทัตเธอก็ได้ทีขี่แพะไล่ทันทีกล่าวว่าตนเสนอข้อปฏิบัติให้พระเคร่งครัด พระพุทธองค์ผู้ตรัสสมอว่าสอนข้อปฏิบัติขัดเกลากลับไม่เห็นด้วย จึงประกาศแยกตัวจากคณะสงฆ์ (เรียกว่าทำ“สังฆเภท” ทำให้สงฆ์แตกกัน) มีพระบวชใหม่ไม่รู้ธรรมวินัยจำนวนหนึ่งตามไปอยู่ด้วยแต่ไม่นาน พระสารีบุตรไป “กล่อม” กลับมาตามเดิม

          หลังจากนั้นเทวทัตก็ป่วยหนัก สำนึกผิดให้ศิษย์หามไปจะกราบขอขมาพระพุทะองค์    ยังไม่ทันเข้าประตูพระเชตวันก็ถูกแผ่นดินสูบดิ่งลงอเวจีเสียก่อน

         จบเรื่องราวอันน่าเศร้าของพระผู้ตั้งใจปฏิบัติดีในเบื้องแรก แต่มาเสียคน เอ๊ยเสียพระในเวลาต่อมา เพราะลาภสักการะเป็นเหตุด้วยประการฉะนี้แล

ที่มา http://www.dhammajak.net/chaiya/4.html

kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:43

http://www.dhammajak.net/images/chaiya/b04.jpg

   
พระคาถาพาหุง



      บทที่ ๔ อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโนชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเต ชะยะมังคะลานิ

โจรองคุลิมาล(โจรฆ่าคนเอานิ้ว
ทำพวงมาลัยแสนดุร้าย)ถือดาบเงื้อง่าวิ่งไล่ฆ่า
พระพุทธองค์สิ้นระยะทาง ๓ โยชน์พระจอมมุณี
ทรงบันดาลอิทธิฤทธิ์ทางใจเอาชนะได้ราบคาบ
ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้นขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน       องคุลิมาล เดิมชื่ออหิงสกะ มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างพิลึกพิลั่นเป็นพระสาวกรูปหนึ่งที่ได้รับยกย่องในฐานะที่เป็น “ผู้ต้นคดปลายตรง” คือเบื้องต้นประพฤติผิดพลาดจนกลายเป็นโจร ต่อมาในช่วงท้ายแห่งชีวิตกลับเนื้อกลับตัวบวชเป็นสาวกพระพุทะเจ้าสำเร็จพระอรหัตตผล เป็น พระอรหันตขีณาสพ(หมดกิเลสทั้งปวง)       ขณะที่บิดาของท่านซึ่งเป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลอยู่ในพระราชสำนักได้ เกิดเหตุประหลาด คืออาวุธในพระคลังแสงเกิดโชตนาการสว่างไสวไปทั่วท่านปุโรหิตแหงนดูท้องฟ้าเห็นดาวโจรลอยเด่นอยู่บนนภากาศ จึงกราบทูลว่าเด็กที่เกิดในเวลานี้จะเป็นมหาโจรลือชื่อ เมื่อกลับถึงบ้านจึงรู้ว่าบุตรชายของตนเกิดในเวลาดังกล่าวพอดี       ท่านปุโรหิตจึงกลับไปกราบทูลในหลวงให้ทรงทราบ และขอพระบรมราชานุญาต ให้กำจัดเด็กนั้นเสีย เมื่อพระราชาตรัสถามว่า“เป็นโจรราชสมบัติหรือโจรธรรมดา” ท่านปุโรหิตกราบทูลว่า “เป็นโจรธรรมดา”พระเจ้าปเสนทิโกศล ตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร ท่านปุโรหิตจงเลี้ยงลูกของท่านให้ดีก็แล้วกัน”       ปุโรหิตผู้เป็นพ่อจึงตั้งชื่อเพื่อ “แก้เคล็ด” ว่าอหิงสกะ แปลว่า ผู้ไม่เบียดเบียนใคร ตอนเด็กๆ ก็เป็นผู้ไม่เบียดเบียนใครจริงๆเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียนเก่งบิดาจึงส่งไปศึกษาศิลปะวิทยาที่สำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เมืองตักสิลาเด็กหนุ่มอหิงสกะ ขยันศึกษาเล่าเรียนเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์เป็นที่รักของอาจารย์มาก จนกระทั่งบรรดาศิษย์ร่วมสำนักอิจฉา       พวกเขาจึงหาทางกำจัดอหิงสกะ โดยแบ่งเป็นพวกๆทยอยกันเข้าไปฟ้องอาจารย์ว่า “อหิงสกะไม่ได้ความอย่างนั้นอย่างนี้”ถูกอาจารย์ตะเพิดออกมาเป็นแถวแต่เมื่อพวกเธอพยายามใส่ไคล้อหิงสกะบ่อยเข้าอาจารย์ก็ชักจะเอนเอียงไปทีละเล็กละน้อย“ถ้าหากไม่มีมูล ทำไมศิษย์ทุกคนจึงพูดตรงกัน”อาจารย์นั่งคิดอยู่คนเดียวอย่างว่านั่นแหละครับ “น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน”สำมหาอะไรกับจิตใจอ่อนๆของปุถุชน เช่นศาสตราจารย์ (ผู้ไม่ปรากฏชื่อ)แห่งตักสิลาคนนี้เล่า ในที่สุดท่านก็เชื่อสนิทว่า อหิงสกะคิดประทุษร้ายตนตามคำยุแยงตะแคงรั่วของบรรดาศิษย์ขี้อิจฉาตาร้อนทั้งหลาย       อาจารย์จึงวางแผนกำจัดศิษย์โดยออกอุบายให้ไปฆ่าคนเอานิ้วมือมาให้ครบหนึ่งพันอ้างว่าเพื่อประกอบพิธีประสิทธิ์ประสาทเคล็ดลับวิชาที่ไม่เคยถ่ายทอดให้ศิษย์คนใดเลยเมื่ออยากได้วิชาศิษย์ผู้น่าสงสารก็จำต้องทำใหม่ๆ ก็คงลำบากใจมากที่ต้องฆ่าคนแต่พอฆ่าได้สองคนสามคนเข้า ก็ชินไปเอง ชั่วระยะเวลาไม่นานเสียงลือเสียงเล่าอ้างก็กระฉ่อนไปทั่วว่า มีโจรเหี้ยมคนหนึ่งนามว่า “องคุลิมาล”ดักฆ่าคนที่ดงดิบแห่งหนึ่ง ฆ่าแล้วก็ตัดเอานิ้วมาทำพวงมาลัยเป็นทีหวาดกลัวของประชาชนมากจนไม่มีใครเดินผ่าน

kit007 โพสต์ 2014-4-23 09:44

      พระเจ้าปเสนทิโกศล ต้องตัดสินพระทัย ยกกองทัพย่อยๆไปปราบเพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชน มารดาของอหิงสกะทราบข่าวกลัวว่าบุตรชายของตนจะเป็นอันตราย จึงแอบหนีออกนอกเมืองมุ่งหน้าไปยังดงดิบที่ขุนโจรอาศัยอยู่เพื่อแจ้งข่าวให้ลูกทราบพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณ เกรงว่าองคุลิมาลจะทำมาตุฆาต (ฆ่ามารดา)เพราะมหาโจรมีจิตฟั่นเฟือนจำใครไม่ได้แล้ว พบใครก็จะฆ่าหมดจึงเสด็จไปดักหน้า       องคุลิมาลเห็นพระห่มผ้าเหลืองก็ดีใจที่ได้พบเหยื่อเป็นสมณะหรือไม่ ไม่สนใจ ขอแต่ให้ได้นิ้วครบพันก็แล้วกันจึงถือมีดโกนอาบน้ำผึ้ง เอ๊ยถือดาบวิ่งไล่พระพุทะองค์ทรงบันดาลฤทธิ์ให้มหาโจรวิ่งไม่ทัน ทั้งๆที่เสด็จดำเนินไปตามปกติ มหาโจรร้องว่า “หยุด สมณะ หยุด”       “เราหยุดแล้ว แต่เธอยังไม่หยุด เราหยุดทำบาปแต่เธอยังทำบาปอยู่” พระสุรเสียง กังวานแว่วสัมผัสโสตประสาทจอมโจร       เขาสะดุดกึก รู้สำนึกในความผิดของตนเองจึงวางดาบเข้าไปถวายบังคมแทบพระยุคลบาท พระองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟังจบพระธรรมเทศนาเขาได้กราบทูลขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์       พระพุทะองค์ทรงนำองคุลิมาลกลับไปยังพระเชตวันพอดีเวลานั้นพระเจ้าปเสนทิโกศลยกกองทัพย่อยๆ ผ่านมาทางนั้น จะไปปราบโจรพระองค์เสด็จเข้าไปถวายบังคมพระพุทธเจ้าทำนองจะขอพรชัยให้ได้ชัยชนะในการไปปราบมหาโจรครั้งนี้       พระพุทะเจ้าตรัสถามว่า“ถ้ามหาโจรนั้นกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีมาบวชเป็นพระในพระธรรมวินัย
แล้วพระองค์จะทรงเอาผิดเธอไหม” พระราชากราบทูลว่า “ถ้าเช่นนั้นเขาก็พ้นอาญาของแผ่นดิน”       พระพุทะเจ้าทรงชี้พระดรรชนีไปยังพระหนุ่มผู้นั่งสงบอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ว่า“นี้คือองคุลิมาล” พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงตกพระทัย พระพุทธองค์ตรัสว่า“มหาบพิตรไม่ต้องกลัวบัดนี้องคุลิมาล เธอ “มีมือวางศาสตราแล้ว” (หมายความว่าเลิกทำร้ายหรือเบียดเบียนแล้ว)”       บวชใหม่ๆ ท่าน องคุลิมาลบิณฑบาตแทนที่จะได้ข้าวกลับได้เลือดกลับวัดแทบทุกวันเพราะชาวบ้านจำได้พากันเอาก้อนอิฐก้อนหินขว้างจนท่านศรีษะแตกเลือดไหล แต่ก็จำต้องทนตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งวันหนึ่งท่านพบสตรีมีครรภ์แก่ท่านตั้งสัตยาธิษฐานทำให้สตรีนางนั้นคลอดบุตรอย่างง่ายดายและปลอดภัยคนทั้งหลายจึงหายหวาดกลัวท่าน เชื่อว่าท่านสามารถทำให้สตรีคลอดบุตรได้ง่ายกลายเป็น“เกจิอาจารย์ดัง” ไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่าอย่างนั้นเถอะ       คำอธิษฐานของท่านมีบันทึกไว้ในหนังสือสวดมนต์เจ็ดตำนานและสวดมนต์สิบสองตำนาน เรียกว่า “อังคุลิมาลปริตร” เชื่อกันว่าเป็นบทสวดมนต์ทำให้คลอดลูกง่าย       พระสงฆ์นิยมนำมาสวดในงานทำบุญของชาวพุทะมาจนปัจจุบันนี้

ที่มา http://www.dhammajak.net/chaiya/5.html

หน้า: [1] 2 3 4
ดูในรูปแบบกติ: พระคาถาพาหุง