รามเทพ โพสต์ 2017-8-4 11:17

หลวงพ่อพระสุริยมุนี

หลวงพ่อพระสุริยมุนี
http://img-196.uamulet.com/uauctions/AU300/2017/8/3/6363738718023060001.jpg
http://img-196.uamulet.com/uauctions/AU300/2017/8/3/6363738718119780002.jpg

พระครูศิลกิตติคุณหรือหลวงพ่ออั้นคนฺธาโรแห่งวัดพระญาติการาม ตำบลไผ่ลิง อำเภอพระนครศรีอยุธยาและอดีตเจ้าคณะตำบลหันตราศิษย์เอกผู้สืบทอดวิทยาคมจากหลวงพ่อกลั่นซึ่งมีอยู่มากมายหลายรูปอาทิพระอาจารย์เภาพระครูอุทัยคณารักษ์หลวงปู่สีและหลวงปู่ดู่วัดสะแก ฯลฯในสมัยที่หลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้นได้ทำนุบำรุงวัดพระญาติ ฯต่อจากหลวงพ่อกลั่นจนกระทั่งมีความเจริญรุ่งเรืองมาก

        เวลาต่อมาถึงแม้ว่าหลวงพ่ออั้นท่านจะเป็นพระเถระที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไปและมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่มากมายก็ตามแต่อิทธิวัตถุมงคลของหลวงพ่อกลับไม่มีมากนอกจากเหรียญหลวงพ่อกลั่นสองสามรุ่นกับเหรียญรูปหล่อของท่านอีกสองรุ่นนอกจากนั้นก็เป็นพระเครื่องอีกประมาณสองชนิดคือพระขุนแผนเคลือบที่นักพุทธนิยมรู้จักดีกับพระสุริยมุนีซึ่งเป็นพระเครื่องเนื้อดินพิมพ์นาคปรกซึ่งหลวงพ่ออั้นได้ปลุกเสกร่วมกับหลวงพ่อจงวัดหน้าต่างนอก

ผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของพระสุริยมุนีเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายคือนายพวงอุณจักรนายสถานีรถไฟอยุธยากับคณะซึ่งเวลานั้นเป็นช่วงประมาณปี พ.ศ. 2475ได้ช่วยกันรวบรวมพระพุทธรูปที่ชำรุดปรักหักพังที่ถูกทิ้งอยู่เกลื่อนกราดในบริเวณวัดหัวกระบืออันเป็นวัดเก่าแก่โบราณซึ่งอยู่ในเขตที่ดินของรถไฟโดยนำมาตั้งเรียงกันและทำหลังคาบังแดดบังฝนไว้ คุณพวงอุณจักรเล่าว่าเมื่อประมาณปี 2475 ท่านย้ายจากทุ่งสงมาดำรงตำแหน่งนายสถานีอยุธยา โดยปกติ คุณพวงฯเป็นคนมีใจบุญสุนทานอยู่แล้วได้เห็นโคกแห่งหนึ่งในเขตย่านสถานีอยุธยาเต็มไปด้วยป่าสะแก รกรุงรังมากเป็นที่พักเลี้ยงควายของชาวบ้านเพราะที่โคกนี้ฤดูน้ำท่วมไม่ถึงคุณพวงฯเห็นชิ้นส่วนองค์พระพุทธรูปทิ้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปบางส่วนมีมูลควายทับถมอยู่บางชิ้นเป็นที่นั่งเล่นของชาวบ้านเมื่อพบพระพุทธรูปชำรุดที่จมอยู่ในสิ่งโสโครก ในที่แวดล้อมเช่นนี้ก็มีความรูปสึกสังเวช จึงได้เก็บมารวบรวมไว้เป็นที่แล้วถากถางบริเวณที่รกรุงรังให้สะอาดตาขึ้นตามสมควรนำชิ้นส่วนมาประกอบติดต่อกันเท่าที่จะทำได้ผู้ที่สนใจร่วมกันในคราวนั้นจึงพากันขนานนามว่า “หลวงพ่อคอหัก”และชื่อนี้ยังใช้กันมาอยู่จนทุกวันนี้

ในวิหารแห่งนี้มีพระพุทธรูปซึ่งซ่อมปฏิสังขรณ์ได้ 9 องค์โดยปาฏิหาริย์มาจากที่ต่างๆ ดังกล่าวแล้วในตอนต้นมีพระพุทะรูปองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปนาคปรกทำด้วยหินทรายสีเขียว ( นอกนั้นเป็นหินทรายสีแดงทั้งนั้น)ผู้เชียวชาญทางพระพุทธรูปหลายท่านกล่าวว่ามีพุทธลักษณะแบบทวาราวดีแกะนูนออกมาจากแผ่นศิลาใบหน้ามีรอยกะเทาะหลุดออกทำให้เศียรขาดส่วนตั้งแต่คอลงมาจนถึงฐานอยู่ในลักษณะดีศีรษะพญานาคชำรุดซีกหนึ่งตั้งอยู่หน้าพระพุทธรูปทุกองค์ในลักษณะเป็นพระประธานเมื่อชำรุดอยู่นั้นได้รับการปิดเป็นทองเด่นกว่าทุกองค์ประชาชนมักพุ่งความศรัทธาต่อพระพุทธรูปองค์นี้เป็นพิเศษพระพุทธรูปปางนาคปรกที่มีผู้ขนานนามว่าพระสุริยมุนีเป็นพระพุทธรูปสลักจากศิลาเนื้อละเอียดสีเขียวเข้มเจือดำสันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยทวาราวดี

มีขนาดหน้าตักกว้าง69 ซ.ม.สูง 89 ซ.ม. ที่น่าแปลกก็คือส่วนสัดขององค์พระไม่ว่าจะวัดจากมุมใดจะตกเลข “ 9 ”

ทั้งนั้นอาทิแทน ประทับกว้าง 89 ซ.ม.ช่วงพระอังสาวัดได้ 39 ซ.ม.ช่วงพระกัปประวัดได้ 49 ซ.ม. ฯ

ประดิษฐานอยู่ที่วิหารขนาดย่อมตรงข้ามสถานีรถไฟอยุธยา

ในจำนวนพระพุทธรูปทั้งหมดมีอยู่องค์หนึ่งที่งามเป็นพิเศษนั่นก็คือพระสุริยมุนีหรือที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า “หลวงพ่อคอหัก”ซึ่งปรากฏอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเมื่อนายพวงอุณจักรกับพวกพนักงานรถไฟได้พากันไปอธิษฐานขอให้ถูกสลากกินแบ่งที่ตนและเพื่อนร่วมหุ้นกันซื้อไว้ 1 ใบ ๆ ละบาท

โดยออกเงินคนละ 10 สตางค์แล้วจะสร้างวิหารถวายพร้อมกับทำสะพานไม้เพื่อให้ผู้ศรัทธาได้ข้ามไปนมัสการโดยสะดวกซึ่งน่าอัศจรรย์ยิ่งเมื่อถึงกำหนดออกรางวัลสลากใบนั้นตรงกับเลขรางวัลที่ 1 ได้รับเงินถึง 80,000บาทแบ่งหุ้นกันคนละ 8,000บาทค่าของเงินจำนวนนี้นับว่ามากโขในสมัยนั้นคุณพวงอุณจักร์กับคณะที่ถูกลอตเตอรี่ก็ได้ช่วยกันออกเงินสร้างวิหารถวายทำด้วยไม้สิ้นเงินไปประมาณสองพันบาทเศษทุกคนช่วยกันทะนุบำรุงรักษาหลวงพ่อตั้งแต่นั้นมายิ่งกว่าแต่ก่อนและหาช่างมาซ่อมแซมหลวงพ่อต่อเศียรขึ้น3 องค์แต่ก็ยังมีชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ประกอบเข้ากันไม่ได้อีกหลายชิ้นพระพุทธรูปทั้งหมดที่อยู่ในวิหารไม้นี้ เป็นพระพุทธรูปหินทราย

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสพากันมาสักการบูชาอธิษฐานขอพรกันมากขึ้นเรื่อยๆกิติศัพท์ความศักดิ์สิทธิ์ก็เลื่องลือออกไปไกลผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาโดยเฉพาะทางรถไฟมักจะยกมือขึ้นสักการะขอพรเสมอๆและมีผู้รวมกันปวารณาเป็นศิษย์ของหลวงพ่อใช้นามว่าคณะศิษย์หลวงพ่อคอหัก

ต่อมาได้มีการก่อสร้างวิหารเป็นอาคารคอนกรีตขึ้นแทนอาคารไม้ของเดิมเนื่องมาจากนายเฮาะจิวนิธากรเจ้าของโรงงานถ่านไฟฉายศรีชัยซึ่งสมัยยังหนุ่มได้ไปมาค้าขายระหว่างกรุงเทพ – ปากน้ำโพเมื่อนั่งรถไฟผ่านวิหารหลวงพ่อคอหักครั้งไรก็ยกมือไหว้อธิษฐานขอให้ทำมาค้าขึ้นจนภายหลังมีฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐีคุณยุพนาธรรมโกวิทย์บุตรสาว นายห้างเฮาะจิว นิธากรเจ้าของโรงงานถ่านไฟฉายยี่ห้อ ไบรท์ ตราใบโพธิ์เล่าว่าตามที่ปรากฏจากการนั่งตรวจทางในของ พระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งปรากฏเสียงออกมาว่า “พระสุริยมุนี” พบว่า พระพุทธรูปในวิหารนี้เดิมมีนามว่า “พระสุริยมุนี”และราวปลายปี พ.ศ. 2507จึงบริจาคเงินประมาณสองแสนบาทขออนุญาตสร้างวิหารหลังใหม่และสะพานคอนกรีตกับบูรณะพระพักตร์ที่ชำรุดอยู่จนเรียบร้อยและได้นิมนต์พระภิกษุที่ทรงญาณมาตรวจสอบทางในทราบว่าพระพุทธรูปองค์นี้เดิมมีนามเรียกว่า “พระสุริยมุนี”ดังนั้นจึงเปลี่ยนนามจากที่เรียกหลวงพ่อคอหักเสียใหม่ให้ถูกต้อง

หลวงตาคำซึ่งก่อนบวชเป็นนักการของสถานีรถไฟอยุธยาและคอยดูแลอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่มาสักการะพระสุริยมุนีที่วิหารมาตั้งแต่แรกต่อมาเมื่ออายุมากขึ้นนายคำได้อธิษฐานบอกกล่าวแก่หลวงพ่อพระสุริยมุนีว่าหากถูกสลากกินแบ่งก็จะบวชและปรากฏว่าถูกรางวัลจริงๆนายคำก็เลยบวชที่วัดยมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวสถานีรถไฟ
        และเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้สักการบูชาพระสุริยมุนีกันอย่างทั่วถึง

คณะกรรมการจึงสร้างพระสุริยมุนีจำลองขนาดเท่าองค์จริงจำนวน9องค์
นำไปประดิษฐานตามต่างจังหวัดต่างๆดังนี้

องค์ที่1                ประดิษฐานที่บึงพระรามสวนสาธารณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

องค์ที่2                ประดิษฐานที่ ร.รวัดพระญาติการามจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

องค์ที่3                ประดิษฐานที่วัดป่าสวนเกษตรรังสรรค์(วัดดงสระพัง) จังหวัดอุดรธานี

องค์ที่ 4                ประดิษฐานที่มณฑปวัดพุทธภูมิอ.เมือง จ.ยะลา

องค์ที่ 5                ประดิษฐานที่วัดในจังหวัดชัยภูมิ

องค์ที่ 6                 ประดิษฐานที่ ภาคตะวันออก

องค์ที่ 7                ประดิษฐานที่ ภาคเหนือ

องค์ที่ 8                ประดิษฐานที่ ศาสนาสถาน ค่ายพระนารายณ์มหาราช จังหวัดลพบุรี

องค์ที่ 9                ประดิษฐานที่ จังหวัดอุบลราชธานี

        หลวงพ่อพระสุริยมุนีนอกจากจะอำนวยโชคลาภสิริมงคลและความปลอดภัยให้แก่ผู้สักการะอธิษฐานจิตเมื่อเดินทางผ่านไปมาแล้ว

น้ำมนต์ของท่านก็ศักดิ์สิทธิ์นักผู้ที่ถูกผีเข้าจ้าวสิงหรือถูกกระทำย่ำยีด้วยคุณไสยเมื่อได้อาบและดื่มกินก็จะหายเป็นสุข

วัตถุมงคลในรูปลักษณ์ของหลวงพ่อพระสุริยมุนีซึ่งหลวงพ่ออั้นเป็นผู้ปลุกเสกและบรรจุผงวิเศษที่ใต้ฐาน

นับเป็นของดีอีกชนิดหนึ่งที่นักพุทธนิยมคงจะลืม หรือเกือบจะลืมไปแล้วส่วนใหญ่จะรู้จักกันแต่เฉพาะพระขุนแผนเคลือบ

และเหรียญรูปเหมือนของท่าน

ทั้งที่เชื่อได้ว่ามีอานุภาพที่ไม่ต่างกันแต่อย่างไรซ้ำจะเหนือกว่าตรงที่อยู่ในรูปจำลองของพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์


oustayutt โพสต์ 2017-8-4 23:09


Sornpraram โพสต์ 2017-8-7 08:15

oustayutt ตอบกลับเมื่อ 2017-8-4 23:09


{:6_201:}{:6_202:}

Sornpraram โพสต์ 2019-9-30 08:36

{:6_201:}{:6_201:}{:6_201:}
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: หลวงพ่อพระสุริยมุนี