chakpetch โพสต์ 2013-3-18 09:12

๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐

<body oncontextmenu="return false" oncopy="return false">
<div align="center"><font color="#ff0ff"><font size="7"><b>๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐</b></font></font></div><br><font size="3"><div align="center"><font color="#000"><b>บทความที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง โดย อาจารย์สรายุทธ งามชื่น</b></font></div><br></font><br><div align="center"></div><br><br>&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;ต้นปี 2538 ได้มีพระภิกษุชาวเขมร ได้ชักชวนผมไปหาพระอาจารย์ของท่าน ชื่อเรียงเสียงใดก็ไม่ทราบ ท่านก็กล่าวยกย่องครูบาอาจารย์ของท่านตลอดเวลา ว่าเก่งอย่างนั้นบ้าง เก่งอย่างนี้บ้าง&nbsp;&nbsp;ทำนั้นก็ได้&nbsp;&nbsp;ทำนี่ก็เป็น&nbsp;&nbsp;ชักชวนผมไปกราบอาจารย์ท่าน&nbsp;&nbsp;ทุกๆ ครั้งที่พบปะหน้ากัน " ใจ "&nbsp;&nbsp;ผมตอนนั้น&nbsp;&nbsp;มัน 50/50&nbsp; &nbsp;พระเก่งๆ อย่างที่ท่านคุย&nbsp;&nbsp;ยังมีหลงเหลืออีกหรือ !&nbsp;&nbsp;แต่ใจอีกด้าน&nbsp;&nbsp;มันก็บอกว่า&nbsp;&nbsp;ลองไปดูไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน&nbsp;&nbsp;อีกทั้งตั้งแต่รู้จักกับท่านมาท่านก็ไม่เคยมุสาเราเลย&nbsp; &nbsp;" พรุ่งนี้กูต้องไป "&nbsp; &nbsp; รุ่งเช้าผมขับรถไปรับหลวงพ่อที่วัดแต่เช้า&nbsp;&nbsp;และแจ้งความจำนงประสงค์ ที่จะเดินทาง&nbsp;&nbsp;ไปกราบอาจารย์ของท่านด้วยกัน ผมได้เรียนถามท่านว่า&nbsp;&nbsp;หลวงพ่อครับ&nbsp;&nbsp;อาจารย์ของหลวงพ่ออยู่วัดไหน ?&nbsp;&nbsp;อำเภอ&nbsp;&nbsp;จังหวัดอะไร ?&nbsp; &nbsp;อยู่เกือบสุดชายแดนเขมร&nbsp;&nbsp;ไปจากที่นี่ก็ร้อยกว่ากิโล&nbsp;&nbsp;ถ้าไม่เชื่ออาตมาก็ไม่ต้องไปก็ได้น่ะ&nbsp;&nbsp;อาตมาไม่ได้บังคับ (ตอนเราไม่อยากไป พูดเชิงบังคับ จะพาเราไปให้ได้ พอเราใจง่ายจะไป ก็เล่นตัวเสียงั้น)&nbsp;&nbsp;ไปครับ&nbsp;&nbsp;ไป&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;ผมร้องบอกท่าน&nbsp;&nbsp;ถ้าไปก็รอหลวงพ่อก่อน&nbsp;&nbsp;เดี๋ยวหลวงพ่อไปเอาของก่อน&nbsp;&nbsp;สักครู่&nbsp; &nbsp;ท่านก็เดินออกมาจากกุฏิ พร้อมเครื่องรางของขลัง&nbsp;&nbsp;ต่างๆที่ท่านทำขึ้นเอง&nbsp;&nbsp;เพื่อจะนำไปให้ ครูบาอาจารย์ของท่าน&nbsp;&nbsp;" ประสิทธ เม "&nbsp;&nbsp;ให้อีกที&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;และการเดินทางมุ่งสู่ชายแดนเขมร ก็เริ่มขึ้น&nbsp;&nbsp;ณ&nbsp;&nbsp;วินาทีนั้น&nbsp; &nbsp; จุดหมายปลายทางที่จะไป&nbsp;&nbsp;ผมไม่ทราบ&nbsp;&nbsp;เพระท่านไม่ได้บอกทราบแต่เพียงว่า&nbsp; &nbsp; ถ้าให้เลี้ยวซ้ายก็ต้องซ้าย&nbsp;&nbsp;เลี้ยวขวาก็ต้องไป&nbsp; &nbsp;ตรงไปก็อย่าขัด&nbsp;&nbsp;การเดินทางในระยะแรก&nbsp;&nbsp;พอถึงแยก ถึงซอย&nbsp;&nbsp;ท่านคอยบอกเส้นทางตลอด พอสักพัก&nbsp;&nbsp;ผมเห็นท่านขยันทำสมาธิอยู่บ่อยๆ&nbsp;&nbsp;ผมต้องคอยสะกิดท่านทุกๆครั้ง ที่เจอทางแยกข้างหน้า&nbsp; &nbsp;ตลอดระยะกาลเดินทางชั่วโมงกว่า&nbsp;&nbsp;ผมก็พาท่าน หรือท่านก็พาผม&nbsp; &nbsp;จะเดินทางเข้าสู่อำเภอบ้านกรวดในอีก 10 กิโลข้างหน้า&nbsp;&nbsp;หลวงพ่อก็บอกให้ผมจอดรถข้างทาง&nbsp;&nbsp;ซึ่งเต็มไปด้วยท้องทุ่งนา&nbsp;&nbsp;เมื่อรถจอดสนิท&nbsp;&nbsp;ท่านเดินไปหลังพุ่มไม้สักพัก&nbsp;&nbsp;ท่านเดินกลับมาที่รถ&nbsp; &nbsp;ท่านได้ถามผมว่า&nbsp;&nbsp;โยม...พระฆ่าสัตว์มันบาปไหม&nbsp;&nbsp;บาปครับหลวงพ่อ... อาตมาไปยิงกระต่ายมาไม่เห็นจะบาปเลย&nbsp; &nbsp;&nbsp;&nbsp;การเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดที่วัดตาอี&nbsp; &nbsp;หลวงพ่อให้ไปจอดรถใต้ต้นไม้และพาผมเดินไปยังกุฏิไม้เล็กๆ หลังหนึ่ง&nbsp;&nbsp;เมื่อถึงหน้ากุฏิซึ่งปิดประตูอยู่&nbsp;&nbsp;หลวงปู่&nbsp;&nbsp;หลวงปู่&nbsp; &nbsp;หลวงปู่&nbsp; &nbsp;ในเมื่อประตูเปิดออกมา<br>
</body>

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 09:18

ประเดี๋ยวหลง"อิทธิฤทธิ์"จัดจะเป็นเหมือน"รถยางแตกเข้าให้อีกผมก็เลยยิงคำถามหาความกระจ่าง

หลวงปู่ท่านรอผม.....รึ..?   ใช่ !    เห็นหลวงปู่ท่านบอกแต่เช้าว่า โยมจะมาถวายอาหารเช้าหลวงตาแรมตอบ   และย้อนถามกลับมาว่าไม่ได้นัดหลวงปู่ไว้หรืองัย ?   ผมยิ้มให้แทนคำตอบเมื่อขึ้นไปบนกุฏิ เห็นหลวงปู่ท่านรออยู่และกำลังเตรียมถ้วยชามไว้สำหรับใส่อาหาร   ผมเลยรีบจัดแจงอาหารประเคนหลวงปู่และหลวงตาแรม    เมื่อท่านฉันท์อาหาร และให้ศีล ให้พร เสร็จสรรพ   ท่านให้ผมไปรอที่แคร่ ใต้ต้นไม้ที่เดิม   ซึ่งผมมีปัญหาค้างคาใจหลายๆเรื่องที่อยากจะถามนั่งรออยู่สักพัก   ไม่นานหลวงปู่ท่านก็ตามมา ยังจุดนัดพบการสนทนาก็เริ่มขึ้น........

ทำไมมาช้าจัง?หลวงปู่ท่านถามขึ้นมาเป็นประโยคแรก   ยางรถแตกครับทำให้มาล่าช้าครับ แล้วหลวงพ่อไม่ได้มาด้วย..เหรอ ?   แวะไปรับที่วัดแล้วแต่ท่านไม่อยู่ครับผมตอบ   แล้วมาหาหลวงปู่วันนี้อยากได้อะไร ?   อยากได้บุญกับวิชา ครับผม..!   ผมกราบเรียนจุดประสงค์ ให้หลวงปู่ท่านรับทราบ..! หลวงปู่ชื่นท่านนิ่งพร้อมกับมองหน้าผมเหมือนกำลังเค้นหาอะไรบ้างอย่าง..!ก่อนที่ท่านจะกล่าวขึ้นมาว่า..   หมายความว่าจะมาเป็นศิษย์..นี่ ?   ครับ..!   ผมตอบเสียงดังฟังชัดด้วยความมั่นใจ.. หลวงปู่ชื่นท่านได้กล่าวเป็นคำเตือนและคำสอนต่อไปว่า..ก่อนที่...เอ็งจะฝากตัวเป็นศิษย์ใครต่อใคร... เอ็ง...รู้ความหมายของคำว่า" ศิษย์กับอาจารย์ "ดีแล้วหรือยัง..?การเป็นศิษย์มันไม่ยาก... ดอก..!แต่การปฏิบัติ   " ศรัทธาครู "   ด้วยใจมั่นคง.. ซิ..มันยากกว่าถ้าวันหนึ่งครูอาจารย์ ที่เอ็งนับถือตกต่ำ..เอ็งจะ..กล้ายอมรับ..ม่ะว่านี่..ไงอาจารย์ของกู    หรือถ้าเป็นอาจารย์เขาวันหนึ่งลูกศิษย์ชะตาตกต่ำ   เป็นโจรเป็นคนไม่ดีหรือเป็น ผู้หญิงขายตัวอาจารย์..จะกล้ายืด อก รับ และกล้าบอกใครเขา ไหมว่า.. นั่น..ลูกศิษย์ของกู   หลวงปู่น่ะ... ปรารถนาอยากให้ ลูกศิษย์มันได้ดีกันทุกคน ไม่อยากให้เจ็บ ไม่อยากให้อด และไม่อยากให้ใครมารังแกอยากให้มันเป็นเจ้าฅนนายฅนแต่ชะตาชีวิตฅนมันสูงต่ำไม่เท่ากัน"ถ้าเขาศรัทธาจริงมาบูชากราบไหว้น้อบจิตยอมรับเราเป็นอาจารย์เขาแล้ว"   เราก็ต้องเป็นอาจารย์จริงจะชั่วจะดี ด้วยแรงแห่งกรรมก็ต้องดูแลสั่งสอนกันไปด้วยอยากให้ศิษย์ได้ดี นั่น...ล่ะความหมายของคำว่า อาจารย์ที่ดีเขียนมาถึงตรงนี้ ทำให้คิดถึง ความเป็นแบบอย่างอาจารย์ที่ดีของหลวงปู่ชื่นอย่างเช่น

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 09:14



          ประตูกุฎิที่กำลังจะเปิดออกมาอีกไม่ถึง" อึดใจ "   เบื้องหน้าผมจะได้" ยลโฉมประสบพักตร์ "   พระภิกษุที่ผมได้ยิน ได้ฟังถึง" คุณวิเศษ "   ที่หลวงพ่อพร่ำพูดให้ผมรบทราบมาโดยตลอดจนทำให้ผมต้องมายืนหน้ากุฏิท่านณเวลานี้   เสียงการทำงานของหัวใจผมดูจะทำงานผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด   พิจารณาดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นอาการ   " ตื่นเต้น ! "   ถ้าหากย้อนเวลากลับไป   " มันเหมือนสิบสี่อีกครั้ง "   และเมื่อประตูกุฏิเปิดจนสุดบานประตู" เห็นสรีระเจ้าของกุฏิ "    ผมตกตลึงน้ำตาแทบไหลพรากมโนภาพที่จิตและสมองผมบรรจงสร้างถึงความยิ่งใหญ่ที่น่าจะเป็นไปอย่างที่จินตนาการแทบพังทลายหายสิ้นพระภิกษุที่ปรากฏในสายตาเบื้องหน้าผม   "ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่พิการเป็นง่อย "   ท่านถามว่ามาหาใครมีธุระอะไรกัน ?   ขณะที่ผมยืนจัดระบบความคิดที่กำลังสับสนให้เป็นระเบียบ   หลวงพ่อท่านหันมามองหน้าผมท่านคงจะนึกขำที่เห็นผม" ต้องมนต์นะมหางง "เมื่อสติกลับมาผมรีบทรุดตัวลงกราบท่านทันทีเพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนเสมอว่าคบคนอย่าดูหน้าให้ดูที่ใจ (แต่ใจมันดูยากชมัด)    พระอริยะสงฆ์ไม่ได้สำเร็จที่สิริโฉมเลอเลิศ แต่ท่านสำเร็จที่ใจคิดได้อย่างนี้ทำให้ความรู้สึกผมดูดีมากขึ้น   หลวงปู่ไม่อยู่หรือ ?   หลวงพ่อถามพระภิกษุสงฆ์องค์นั้น    หลวงปู่อยู่ท่านไปขุดเผือกอยู่ในป่าข้างๆ กุฏิ    พระภิกษุสงฆ์องค์นี้ไม่ใช่อาจารย์ของหลวงพ่อ !    อาจารย์หลวงพ่อกำลังขุดเผือกอยู่ในป่า !   ( พระภิกษุสงฆ์ที่ผมพบองค์แรก ทราบต่อมาภายหลังว่าท่านชื่อ หลวงตาแรม ท่านเป็นพระลูกวัด พิการมาแต่กำเนิด แต่จิตใจท่านมิได้พิการเยี่ยงสังขาร หลวงปู่ท่านให้มาเฝ้ากุฏิของท่าน )   


      ผมกับหลวงพ่อมานั่งรอหลวงปู่ใต้ร่มไม้ผมได้มองไปที่กุฏิหลวงปู่ซึ่งเป็นกุฏิไม้หลังเล็กๆยกพื้นสูงมีบันไดทางขึ้นไม่กี่ขั้น    ด้านหน้าของกุฏิมีโอ่งน้ำฝนที่ท่านกักเก็บไว้สำหรับดื่มกิน มีฝาปิดโอ่งอย่างเรียบร้อย ดูความเป็นอยู่ของท่านสมถะเป็นยิ่งนักบริเวณรอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยต้นไม้ ดูสงบร่มรื่นเต็มไปด้วยไก่บ้านและไก่ป่าขณะที่คิดอะไรต่าง ๆนานาก็ได้ยินเสียงกระแอมกระไอมาจากป่า เป็นสัญญานให้รู้ว่าหลวงปู่ท่านกำลังเดินออกมาจากป่า   หัวใจของผมเริ่มทำงานผิดปกติอึกครั้งสายตาก็จับจ้องไปที่เงาลางๆที่กำลังจะแทรกกายออกมาจากแมกไม้นานาพันธุ์แทบไม่กระพริบสายตา ใจเต้นระทึกยิ่งกว่ากลองสะบัดชัย ประหนึ่งแม่ยกที่รอศิลปินในดวงใจกำลังออกจากหลังฉากก็ปานนั้น   ผ้าจีวรสีเหลืองเคลื่อนตัวตัดกับสีเขียวแห่งกิ่งและใบไม้   กำลังเด่นชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ เรือนร่างของหลวงปู่ก็ปรากฏเด่นชัดแก่สายตา    ท่านนุ่งผ้าสบงด้านบนเปลื่อยเปล่ามีผ้าจีวรผาดบ่าซ้ายมือซ้ายถือเสียมส่วนมือขวาถือถุงซึ่งบรรจุหัวเผือกแทบล้นผมละสายตาหันมามองหน้าหลวงพ่ออีกครั้งเพื่อจะขอคำ" ยืนยัน "   ท่านพยักห้าแล้วพูดว่า   " นี่แหละหลวงปู่ "    ผมหันหน้าไปมองหน้าท่านอีกครั้ง   สายตาจับจ้อง สมองบัญชาการ จิตรายงานความรู้สึก   " แรกพบประสบพักตร์ "      ดูท่านมีเสน่ห์ เมตตาลุ่มลึก มีพลังตบะ อำนาจเดชา เร้นลับ แปลกมหัศจรรย์กว่า พระภิกษุ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์องค์อื่นที่เคยสัมผัสพานพบประสบ    หลวงปู่ท่านเดินไปที่โอ่งน้ำข้างกุฏิก่อนที่จะวางเสียมและถุงเผือกไว้ข้างๆโอ่งน้ำ   ท่านเปิดโอ่งอ่างน้ำล้างมือ ล้างหน้า ก่อนที่จะเดินมาหาหลวงพ่อและผมที่รอคอยท่านอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่เล็กๆ ใต้ร่มไม้(ซึ่งคนที่เคยไปกราบท่าน จะทราบทันทีว่าเป็นดั่งห้องรับแขก V.I.P. ของหลวงปู่ )   มาหาอะไรกัน ?    เป็นประโยคแรกที่หลวงปู่ทักทาย    พาโยมมากราบหลวงปู่ครับ ส่วนผมเอาของมาให้หลวงปู่บรรจุให้ครับหลวงพ่อตอบคำถามและแจ้งความจำนงค์    " เอาไปไว้บนกุฏิเดี๋ยวจะทำให้ "หลวงพ่อขอตัวนำวัตถุมงคลไปไว้ที่กุฏิปล่อยให้ผมกับหลวงปู่อยู่กันตามลำพัง    หลวงปู่ถามผมว่าแล้วโยมล่ะมาหาอะไร ?    ผมไม่ได้มาหาอะไรครับ ผมอยากมากราบหลวงพ่อครับ !   พระดังๆ เยอะแยะทำไมไม่ไปกราบมากราบอะไรกับพระป่า บ้านนอก ขุดเผือก ขุดมัน ไม่เห็นจะมีดีตรงไหน   หลวงปู่กล่าวถ่อมตัวไว้อย่างน่ารัก น่าชัง เป็นอย่างยิ่ง   หลวงปู่ครับ   หลวงปู่ชื่ออะไรครับ ?   " ชื่น "แล้วฉายาล่ะครับ   " ติคญาโณ"   (ติคญาโณแปลว่า ผู้มีญาณอันแก่กล้า)   หลวงปู่ครับถ้าผมไปกราบพระจะทราบได้อย่างไรว่าท่านเป็นพระอริยะ ครับ ?ดูยากหน่อยน่ะ    ถ้าภูมิธรรมเราต่ำท่านก็จะลดภูมิธรรม มาระดับเดียวกันกับเรา   ถ้าท่านแสดงธรรมสูงไปเราก็ไม่เข้าใจนอกจากภูมิธรรมเสมอกันถึงจะรู้    แล้วหลวงปู่ให้องค์ภาวนาอะไรครับ ?    " สัมมาอรหัง "    ผมนั่งสนทนาอยู่กับหลวงปู่สักพักใหญ่ท่านก็เดินขึ้นไปบนกุฏิกลับมาพร้อมกับผ้ายันต์สีขาว ใส่กรอบไม้เรียบร้อยเบ็ดเสร็จซึ่งเป็นผ้ายันต์ที่ท่านเขียนขึ้นเองกับมือ   ท่านส่งมาให้ผมเอ๊า...หลวงปู่ให้    ใช้อย่างไรครับ ?ผมถามหลวงปู่    " ปราถนาอะไร ก็จุดธูปขอเอา เขาเรียกผ้ายันต์สิวลีจุดธูปบูชา 9 ดอก...เด้อ... "



chakpetch โพสต์ 2013-3-18 09:15



         และนั่นอันเป็นวัตถุมงคลอันทรงคุณค่าชิ้นแรกที่ผมได้รับจากมือหลวงปู่ชื่น   เราทั้งสองได้พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ซักโน้น ถามนี่ ประหนึ่งญาติ พ่อแม่ พี่น้องที่ไม่ได้พบเจอกันมานานแสนนาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น ปิติสุขเหลือล้นความรู้สึกนี้ทั้งผมและหลวงปู่ไม่แตกต่างกัน(จนหลวงปู่ท่านลืม ฉันเพล)รู้สึกว่าวันนั้นพระกาลจะทำงานรวดเร็วเหลือเกิน ตะวันเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ ย่ำสนธยา เหล่าวิหกนกกาบินมาไก่ขับขันตีปีก    " คืนรัง "เป็นสัญญานเตือนว่า ควรค่าแก่เวลาที่จะต้องกราบลาหลวงปู่ชื่นท่านจับมือผมไว้แน่นพร้อมกับพูดว่า   " มาหา หลวงปู่อีกนะ "   พร้อมกับพูดเตือนผมอีกว่าขากลับถ้ามีใครโบกรถ ไม่ต้องจอดรับน่ะ(ซึ่งก็เป็นจริงเหมือนที่ท่าน กล่างเตือนทุกอย่าง)   ครับผมตอบรับ   " เอาเผือกไปกินซิ หลวงปู่ขุดไว้ให้ "   หลวงปู่เก็บไว้ทานเถอะครับ ผมเกรงใจ" ให้แล้วไม่เอา วันหน้ามาก็ไม่ต้องเอาอะไรอีก "   หลวงปู่พูดจายื่นคำขาด   ผมเลยต้องรีบหิ้วถุงเผือกอย่างรวดเร็ว กลัวว่ามาวันหลังจะไม่ได้อะไรจากท่านอีก    หลวงปู่เห็นผมหิ้วถุงเผือกท่านมองและขำผมใหญ่เลยทางด้านหลวงพ่อ เมื่อเห็นผมจะลากลับ ท่านก็ลงมาจากกุฏิวันนั้นท่านเปิดโอกาสให้ผมได้   " สัมผัส "    หลวงปู่อย่างเต็มที่   ผมและหลวงพ่อกราบลาหลวงปู่และเดินไปขึ้นรถมือหนึ่งของผมหิ้วถุงเผือกมืออีกข้างกอดผ้ายันต์แนบอก   ผมเดินผ่านพุ่มไม้เห็นแม่ไก่กกลูกไก่ลูกไก่ตัวหนึ่ง มุดหัวออกมาจากปีกแมไก่ดูแล้วรู้สึกว่ามันมีความสุขเหลือเกินเมื่อเทียบกับผม ณเวลานั้น   ผมและลูกไก่ตัวนั้น " มีความปิติสุขอบอุ่นไม่ต่างกันเลยจริงๆ"


chakpetch โพสต์ 2013-3-18 09:16

เมื่อลาหลวงปู่ชื่นกลับ   ผมได้แวะส่งหลวงพ่อที่วัดหลวงพ่อองค์นี้ท่านเคยได้วิชา"เสกเงี่ยงปลาดุก"   จากหลวงปู่ชื่น   ท่านทำได้ขลังไม่แพ้หลวงปู่ชื่นเลยครับผู้ที่อยากได้ต้องนำเงี่ยงปลาดุกมา 1 คู่   ท่านจะบรรจุให้ เวลาจะใช้ให้เหน็บไว้กับฟัน ส่วนอีกชิ้นพกติดตัวไว้ว่ากันว่า เวลาพูดคุยเจรจากับใครแล้วจะทำให้เขาคิดถึงเรา ร้อนลน ทนอยู่ไม่ได้ดั่งมีอะไรมาทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา    เคยเห็นกับตาครั้งหนึ่ง หลวงปู่ชื่น เคยเสกให้ผู้หญิงท่านหนึ่ง ที่มีแฟนเป็นชาวต่างชาติเมื่อกลับประเทศแล้วไม่ยอมกลับมาหาหญิงสาวท่านนี้อีกเลย ได้มาร้องห่มร้องไห้ มาขอความช่วยเหลือจากหลวงปู่ หลวงปู่ได้เดินเข้าไปในกุฏิ และนำเงี่ยงปลาดุกที่บรรจุใส่ตลับเล็กๆ ให้หญิงท่านนั้น เหน็บไว้ที่ฟันแล้วให้โทรไปหาแฟน ต่อหน้าหลวงปู่ผลปรากฏว่าไม่ถึง 3 วันแฟนก็กลับมา   วิชาเสกเงี่ยงปลาดุกเป็นมนต์คาถาที่ค่อนข้างรุนแรง มีทั้งคุณและโทษใช้ผิดทางครูบาอาจารย์ท่านสาปไว้แรงมากเป็นศาสตร์ที่มีอยู่จริงจึงขอบันทึกไว้ให้ทราบ หลวงปู่ชื่นท่านเคยทำให้ผมหนึ่งคู่พร้อมกับไม้สาริกาหลงรังไว้สำหรับติดต่อเจรจาเข้าหาผู้ใหญ่ในการหาผ้าป่าซึ่งก็เห็นผลอย่างมหัศจรรย์เหลือเชื่อ ต่อมาเพื่อนได้ยืมไปใช้เพื่อนผมคนนี้ก็"เหี้ยม"ชนิดไม่มี ม.ม้า เอาไปใช้ผิดทาง จนหลายๆ คนเดือดร้อน ผู้หญิงบางคนหมดเนื้อหมดตัวเลยก็มีสุดท้ายก็หนีเวรกรรมไม่พ้น ครอบครัวแตกแยก เมียก็เลิก ลูกก็หนี ทำงานใดๆ ก็หาความเจริญไม่เจอ   ผมไม่ได้ขายเพื่อนนะครับ   เพียงแต่อยากบันทึกไว้เป็น    "อุทาหรณ์"

    ส่งหลวงพ่อเสร็จผมก็รีบเดินทางกลับบ้านกว่าจะถึงบ้านก็เกือบ 21.00 น.เมื่อถึงบ้านก็เก็บ ถุงเผือกและผ้ายันต์    รีบอาบน้ำแต่งตัว เข้าห้องพระ   "สวดมนต์ทำสมาธิ"   เพราะกำลังฟิตจากคำแนะนำการปฏิบัติกรรมฐานที่หลวงปู่ชื่นสอน   จะเป็นด้วยความอิ่มเอิบปิติสุขมาทั้งวัน จาก   "แรกพบประสบพักตร์"   หรือปล่าวไม่ทราบแน่ชัด วันนั้นนั่งสมาธิได้นานมาก จิตมีความสงบ ชุ่มชื่นปิติสุขตลอดเวลาก็เลยเอา"สติมาพิจารณาสุข"เกิดขึ้น ทรงไว้ และก็ดับไป ใดๆในโลกล้วน"อนิจจัง"   ขณะที่กำลังซาบซึ่ง และดื่มด่ำกับรสพระธรรม ไม่รู้ว่ายุงเจ้ากรรมมาจากไหนไม่ทราบ ตก 10 กว่าตัวเห็นจะได้ บินมากัดซ้ายกัดขวา ซัดหน้า เจาะหลัง บางครั้งยังบินมาแถวๆ รูหูเป็นของแถมให้อีกผมพยายามรวบรวมกำลังใจ ใช้สติเตือนตัวเอง   "เรากำลังทำหน้าที่ของเราคือการทำสมาธิ ยุงก็กำลังทำหน้าที่ของยุงคือดื่มเลือดเป็นอาหาร เราจะไม่ลุก เราจะไม่ขยับ เราจะไม่เลิก"   โอ้....แม่เจ้า !   มันอะไรกันนี่เกิดจากท้องแม่มา ไม่เคยมียุงหน้าไหนกัดได้ถึงทรวง สะท้านไปถึงใจแบบเร้าอารมณ์ขนาดนี้"ทั้งแสบทั้งคัน"อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิตจนใจอ่อนท้อแท้ แลจะยอมจำนนเลยยกเอาคำสุภาษิตที่ว่า    "ยุงมันร้ายกว่าเสือ"   เพื่อจะได้เอามาเป็นข้ออ้างในการถอนสมาธิว่างั้นเถอะเพราะวันนั้นยุงทั้งหลายเขาทำหน้าที่ขยันขันแข็งกันเหลือเกิน   ประมาณเวลาก็เกือบครึ่งชั่วโมงที่ทนทุกข์ทรมานไปกับยุง (เวลาสุขนานเพียงไรก็เหมือนสั้น เวลาทุกข์สั้นเพียงใดก็เหมือนนาน)   ขณะที่กำลังจะ "ยอมยกธง"

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 09:17

อยู่ๆก็มีความรู้สึกว่า มีกระแสลมมาปะทะร่างกาย เหมือนมีใครมานั่งพัดให้ใกล้ๆ เพียงชั่วครู่อาการที่เสวยทุกขเวทนา ที่เกิดแห่งยุงก็หายไป จิตกลับมาทรงปิติสุขอีกครั้ง   "ที่น่าแปลก"   ยุงและอาการแสบ....คัน....โคตร....มันหายอย่างปลิดทิ้ง ชนิดที่ว่ายาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยยี่ห้อใดๆ ในโลกายังต้องชิดซ้าย   เมื่อถอนจากสมาธิ ได้เข้านอน กว่าจะนอนหลับก็แทบแย่ เพราะจิตมันยังคิดถึง"หลวงปู่อยู่มิจาง"และตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปหาท่านอีก

   รุ่งเช้าของวันใหม่ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืด รีบอาบน้ำ แต่งตัว   เข้าตลาด   ไปหาซื้อกับข้าวอาหารผลไม้คาวหวาน   ตั้งใจจะไปถวายอาหารหลวงปู่ชื่น ให้ทันฉันท์เช้าอยากให้หลวงปู่ได้ฉันท์อาหารดีๆ บ้าง และอีกอย่างถ้าเดินทางไปช่วงเช้าจะได้มีโอกาส อยู่สนทนากับหลวงปู่นานๆ   "เริ่มออกเดินทาง"โดยไม่ลืมเด็ดขาดที่จะไปรับหลวงพ่อที่วัด แต่การเดินทางไปนมัสการหลวงปู่ชื่นในครั้งนี้ มิได้มีการนัดหมายกับหลวงพ่อไว้ก่อนล่วงหน้าเลยไม่ทราบว่า ท่านจะอยู่วัดหรือมีกิจนิมนต์อย่างอื่น ก็มิอาจทราบได้ แต่ก็ต้องแวะเข้าไปดู ถึงผมไม่ใช่เลือดสุพรรณ แต่ก็ยังถือคติ"มาด้วยกัน ไปด้วยกัน"เมื่อรถมาถึงกุฏิหลวงพ่อ กุญแจกุฏิปิดสนิท สอบถามพระในวัด จึงทราบว่า ลูกศิษย์ของท่านมารับไป และไม่ทราบว่าจะกลับมาตอนไหนซะด้วย    เอาแล้วงัย!   มาด่านแรก    "แห้วรับประทาน"   ซะแล้ว!   ความคิดเลยบรรเจิด   เตลิด   เปิด   เปิง    ถึง    "แห้วถุงใหญ่"ที่วัดตาอีถ้าไปแล้วไม่เจอหลวงปู่ชื่น.....ล่ะ ? ....ดูที.... รึ !....เราคงโดนสองแห้ว เป็นแน่แท้ใจหนีขวัญหาย....กำลังใจเหลือไม่ถึงร้อย"คิดจะถอย"แต่พอมองอาหารที่บรรทุกมาในรถ"จิตมันคิดเห็นภาพ"   หลวงปู่ชื่นกำลังฉันท์อาหารเหล่านี้ !   ตัดสินใจเด็ดขาด เป็นงัยเป็นกัน ต้องรีบไปให้ทัน"ฉันท์เช้า"    เดี๋ยวจะไม่ทันกาลจึงรีบบึ่งรถออกจากวัดหลวงพ่อ มุ่งหน้าสู่เป้าหมายปลายทาง ด้วยความเร็ว 140 ก.ม./ช.ม.   ตลอดเวลาที่ขับขี่ในหัวสมองก็คงครุ่นคิด ถึงหลวงปู่ชื่นต่างๆ นานาและไม่รู้ว่าท่านจะอยู่วัดหรือปล่าว !ถ้าท่านไม่อยู่ เราจะจัดการกับอาหารนี้อย่างไร!และที่สำคัญ เราจะไปทันฉันท์เช้าหรือไม่   (ก็พระทางชนบทท่านจะฉันท์เช้าเร็วกว่าพระในตัวเมือง) ได้แต่ตั้งจิตมั่น   "อธิฐาน"ลึกๆในใจดังๆ ว่า"ขอให้อยู่ทีเถอะ"และด้วยศรัทธาอันแรงกล้า แห่งบุญในกาลครั้งนี้สิ้นคำอธิฐานพักใหญ่ๆ รถที่ผมขับมามีอาการ"โคลงไป โคลงมา"อย่างน่าอัศจรรย์

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 09:17

ความคิดของผมณเวลานั้นมันปิติมาก   หรือนี่!จะเป็นกระแสแห่งพลังจิตของหลวงปู่ชื่น ที่รับรู้คำอธิฐานแห่งเรายิ่งคิดถึงคำบอกเล่าจากหลวงพ่อว่า หลวงปู่ชื่น ท่านสามารถอ่านความคิดของคน และสัตว์ได้ ไม่ว่าไกล้หรือไกลมันตอกย้ำ ศรัทธา แทบสนิทตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งกิโลเมตร กระแสแห่งพลังจิต ยังคงแผ่มาอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยถอยลงไปเลยตรงกันข้ามกลับทวีความรุ่นแรงขึ้นอีกมาก จนถึงขั้นพวงมาลัยรถสั่นเลยครับ!   ถ้าเป็นคุณเจอเหตุการณ์เช่นผมคุณจะรู้สึกอย่างไร?ผมลองชลอความเร็วลงจาก 140 เหลือ 80การสั่นโคลงของรถ ก็ยังมีอยู่ผมชักนึกแปลกใจ ว่าทำไม"กระแส"ถึงรุนแรงถึงเพียงนี้เลยตัดสินใจขับรถชิดซ้ายไหล่ทาง เมื่อรถจอดสนิท อาการต่างๆ จึงหยุด   กลับคืนสู่สภาพปกติแต่ยังครับยังไม่จบแค่นั้น

   เมื่อผมกดบานกระจกประตูรถลง   "ผมแทบผงะ"   กลิ่น....ครับ....กลิ่น....มันเหม็นมาก...ก...ก...ก...!!!!!!!แถมกลิ่นมันยังคุ้นๆเหมือนเคยประสบพบเจอมันมาแล้ว แต่นึกไม่ออกจึงตัดสินใจลงจากรถ เพื่อจะตามหาที่มาแห่งกลิ่น จนเมื่อผมพบ"ต้นตอ"ผมอยากจะร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกันพร้อมกับอุทานจนลั่นทุ่งนาข้างทางว่าปัดโธ่....เว้ย....!ยางมันแตก   โถ...ๆ....ๆหลงนึกว่าอิทธิปาฏิหาร์ยมาตั้งนาน

   เอาล่ะ....!   ในเมื่อยางรถแตกเช่นนี้ จึงอยากจะลองวิชา ที่เคยร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์ที่เคยทำได้ และได้ผลแทบทุกครั้ง จึงสำรวมจิตว่านะโม 3 จบ    ตามด้วยสุดยอดพระคาถา.....................

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 09:18

"อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ"(ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน)   เมื่อว่าคาถาจบ ได้ผลทันทีครับ!   ปัญญา คือ ปาฏิหารย์

                        แม่แรง คือ อิทธิฤทธิ์   

                        ไขควง คือ ความศักดิ์สิทธิ์   

                        ยางอะไหล่ คือ สิ่งมหัศจรรย์   

                        กำลังกาย คือ ความสำเร็จ
   
เรียบร้อยครับ!ร่ายถาคาไปเสียยาวเสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงธาตุไฟแทบแตก เสียเหงื่อไปไม่ใช่น้อยจับจ้องมองนาฬิกาเกือบจะ 08.00 น. อยู่ร่ำไรมองระยะทางอีก 30 กิโลเมตรประมาณกาลถึงวัดตาอีไม่น่าเกิน 08.30 น. (ถ้าไม่มีเหตุอันใดมารบกวน)รถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานคนขับพร้อมจะจอดอยู่ทำไมก็ไปต่อเลยครับรถได้แล่นต่อไปอีกชั่วระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็จะถึงเป้าหมาย และคิดว่าคงหมดหวังที่จะถวายอาหารเช้าแน่ ถ้าไม่ทันก็ถวายเป็นอาหารเพลก็ได้นี่ !   ไหนๆ ก็ตั้งใจมาแล้วขับรถอยู่ชั่วครู่ก็ถึงวัดตาอี    ได้นำรถเข้าไปจอด ณ จุดเดิม   แม้จะเคยพบหลวงปู่มาแล้วครั้งหนึ่งแต่อาการ   "ตื่นเต้น"    หาได้ลดน้อยถอยลงไปไม่ยังคงรักษามาตรฐานอย่างคงเส้นคงวา..............และเมื่อสายตาแลเห็น พระภิกษุท่านหนึ่งกำลังล้างบาตรนั้นหมายความว่ากาลแห่ง "ฉันท์เช้า"ได้สิ้นสุดลงแล้ว   อาการร้อนรนผสมเสียใจเล็กๆมันแทรกแซง บดบัง อาการตื่นเต้นเสียมิดชิด เลยต้องรีบ หิ้วสัมภาระมุ่งสู่กุฏิหลวงปู่ชื่น    มองไปกุฏิก็เห็นกุฏิเปิดอยู่ ทำให้ใจชื่นขึ้นมาหน่อยเห็นหลวงตาแรม เดินไปเดินมาหน้ากุฏิเมื่อท่านเห็นผมหิ้วของ เต็มสองมือท่านเลยรีบเดินมาช่วยถือของ ทั้งๆ ที่ร่างกายสังขารท่านไม่ดี แต่น้ำใจของหลวงตาแรมต้อง"ยกนิ้วให้ครับ"ก่อนที่ผมจะอ้าปากถาม ว่าหลวงปู่อยู่ไหม ?ยังไม่ทันได้พูด หลวงตาแรม ชิงพูดตัดหน้ามันเป็นประโยคที่ทำให้ผมต้อง   ทึ่ง + งง    "ทำไมมาช้าจังหลวงปู่รอโยมอยู่"    จะไม่ให้ทึ่งได้อย่างไรในเมื่อไม่มีการนัดหมายในการมาครั้งนี้ แต่อีกใจก็คิดเผื่อไปว่า   สงสัยท่านคงนัดคณะศรัทธาอื่นมาถวาย อาหารเช้า

chakpetch โพสต์ 2013-3-18 09:18

ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ชื่นท่านหนึ่ง ไปทำผิดอะไรผมก็ไม่จำไม่ได้เสียแล้วโดนตำรวจจับ หลวงปู่ชื่นท่านทราบ ท่านได้เดินทางมาดูที่โรงพัก หลวงปู่ท่าน โดนตำรวจกล่าวติเตียนต่างๆ นาๆ หาว่าดูแลสั่งสอนลูกศิษย์ไม่ดี ทำเช่นนี้ มันติดคุกยาวแน่ หลวงปู่ท่านก็ก้มหน้ารับฟัง ก่อนที่จะย้อนถามตำรวจ ท่านนั้นไปว่า"ถ้าเป็นลูกโยม โดนอย่างนี้ โยมจะมาดูไหม"พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ลูกศิษย์ที่อยู่ในกรงทองว่า"ไอ้...นั่นมันลูกศิษย์กู จะให้กูทิ้งมันได้อย่างไร มันเป็นลูกศิษย์กู กูว่าวันพรุ่งนี้มันต้องออกว่ะมึงเชื่อกูไหม?"   เมื่อลูกศิษย์ ได้ยินหลวงปู่กล่าวเช่นนั้นปล่อยโฮ....ออกมาจนน้ำตาแทบท่วมกรงทอง และร้องตะโกนบอกหลวงปู่ว่า"หลวงปู่ครับ ช่วยผมด้วย ผมผิดไปแล้วครับ"หลวงปู่จ้องมองลูกศิษย์ด้วยความเวทนา    หลังจากนั้น หลวงปู่ได้เดินทางกลับวัด

   รุ่งเช้าวันใหม่   อยู่ๆ คู่กรณีเห็นว่าเป็นเด็ก ใจอ่อนอย่างไงไม่ทราบ เกิดยอมความกันเสียเฉยๆ เสียอย่างไง!ลองเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงดังๆ สมัยนี้ถ้าลูกศิษย์ป็นเช่นนี้คงจะพูดว่า "มันไม่ใช่ศิษย์กู! กูไม่ได้รู้จักมัน!และจะกล้าไปเยี่ยมลูกศิษย์อย่างหลวงปู่ชื่น หรือปล่าว.....หนอ..!   ในโลกนี้....อาจารย์ที่รักลูกศิษย์อย่างหลวงปู่ชื่น จะมีสักกี่คน?เคยถามหลวงปู่ว่า"หลวงปู่ครับ หลวงปู่ช่วยลูกศิษย์ที่ถูกจองจำด้วยวิธีไหนครับ ?"ท่านบอกว่า ก็ใช้คาถาบท   ".........."   การที่จะสำเร็จช้าหรือเร็ว อยู่ที่กรรมหนัก หรือเบา   หรือจะตอกย้ำอีกซักเรื่อง.....

   ครั้งที่ลูกศิษย์ของท่าน จะไปกราบท่านลูกศิษย์ได้โทรศัพท์ไปบอกชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆวัดว่า"จะไปหาหลวงปู่" ให้ไปบอกหลวงปูที แต่ชาวบ้านที่รับฟังโทรศัพท์ ยังไงไม่ทราบจากคำว่า "จะไปหา" กลายเป็นว่า "จะเปิดร้านอาหาร"และด้วยพื้นฐานแห่งการรักลูกศิษย์เป็นทุนเดิม หลวงปู่ท่านได้นำผ้าขาวมาลงยันต์ เพื่อมอบให้ลูกศิษย์ไว้ติดร้านเพื่อเป็น"ศิริมงคล"แต่ยันต์ที่ท่านทำวันนั้นอักขระเยอะมาก เมื่อลูกศิษย์เดินทางมากุฏิภาพที่เห็น คือ หลวงปู่ท่านนอนหลับคาผ้ายันต์ มือข้างขวายังคงถือปากกาไว้แน่น..!และเมื่อท่านรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ท่านก็รีบเขียนมายันต์ต่อทันที (ทราบว่า วันนั้นหลวงปู่ท่านไม่สบาย) เมื่อลูกศิษย์เห็นเช่นนั้น จึงเรียนถามหลวงปู่ไปว่า "หลวงปู่ครับ ตั้งใจทำผ้ายันต์จังจะลงไว้ให้ใครครับ?"   หลวงท่านตอบว่า"ลงไว้ให้เอ็งไง"   
ไหนเห็นอีแตนมันมาบอกว่า"เอ็งจะเปิดร้านอาหาร"ปล่าวครับ    ผมโทรศัพท์มาบอกว่า"จะไปหา"ไม่ใช่"จะเปิดร้านอาหาร"หลวงปู่ท่านมองหน้าลูกศิษย์ท่านนั้นพร้อมกับอมยิ้ม และกล่าวคำว่า"อ้าว...เป็นงั่น...รึ"   ก่อนที่ศิษย์กับอาจารย์จะสบตากัน แล้วพร้อมใจกันหัวเราะจนลั่นกุฎิ(ศิษย์คนนั้น ก็คือฉันนี่เอง...ครับ) ผ้ายันต์ผืนนี้ ปัจจุบันผมเก็บรักษาไว้อย่างดี ผมตั้งชื่อผ้ายันต์ผืนนี้ว่า"ผ้ายันต์จะไปหา"ส่วนหลวงปู่ชื่นท่านเรียกว่า "ผ้ายันต์เปิดร้านอาหาร"
หน้า: [1] 2 3 4
ดูในรูปแบบกติ: ๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐