๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐
<body oncontextmenu="return false" oncopy="return false"><div align="center"><font color="#ff0ff"><font size="7"><b>๐oOแรกพบประสบพักตร์Oo๐</b></font></font></div><br><font size="3"><div align="center"><font color="#000"><b>บทความที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง โดย อาจารย์สรายุทธ งามชื่น</b></font></div><br></font><br><div align="center"></div><br><br> ต้นปี 2538 ได้มีพระภิกษุชาวเขมร ได้ชักชวนผมไปหาพระอาจารย์ของท่าน ชื่อเรียงเสียงใดก็ไม่ทราบ ท่านก็กล่าวยกย่องครูบาอาจารย์ของท่านตลอดเวลา ว่าเก่งอย่างนั้นบ้าง เก่งอย่างนี้บ้าง ทำนั้นก็ได้ ทำนี่ก็เป็น ชักชวนผมไปกราบอาจารย์ท่าน ทุกๆ ครั้งที่พบปะหน้ากัน " ใจ " ผมตอนนั้น มัน 50/50 พระเก่งๆ อย่างที่ท่านคุย ยังมีหลงเหลืออีกหรือ ! แต่ใจอีกด้าน มันก็บอกว่า ลองไปดูไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน อีกทั้งตั้งแต่รู้จักกับท่านมาท่านก็ไม่เคยมุสาเราเลย " พรุ่งนี้กูต้องไป " รุ่งเช้าผมขับรถไปรับหลวงพ่อที่วัดแต่เช้า และแจ้งความจำนงประสงค์ ที่จะเดินทาง ไปกราบอาจารย์ของท่านด้วยกัน ผมได้เรียนถามท่านว่า หลวงพ่อครับ อาจารย์ของหลวงพ่ออยู่วัดไหน ? อำเภอ จังหวัดอะไร ? อยู่เกือบสุดชายแดนเขมร ไปจากที่นี่ก็ร้อยกว่ากิโล ถ้าไม่เชื่ออาตมาก็ไม่ต้องไปก็ได้น่ะ อาตมาไม่ได้บังคับ (ตอนเราไม่อยากไป พูดเชิงบังคับ จะพาเราไปให้ได้ พอเราใจง่ายจะไป ก็เล่นตัวเสียงั้น) ไปครับ ไป ผมร้องบอกท่าน ถ้าไปก็รอหลวงพ่อก่อน เดี๋ยวหลวงพ่อไปเอาของก่อน สักครู่ ท่านก็เดินออกมาจากกุฏิ พร้อมเครื่องรางของขลัง ต่างๆที่ท่านทำขึ้นเอง เพื่อจะนำไปให้ ครูบาอาจารย์ของท่าน " ประสิทธ เม " ให้อีกที และการเดินทางมุ่งสู่ชายแดนเขมร ก็เริ่มขึ้น ณ วินาทีนั้น จุดหมายปลายทางที่จะไป ผมไม่ทราบ เพระท่านไม่ได้บอกทราบแต่เพียงว่า ถ้าให้เลี้ยวซ้ายก็ต้องซ้าย เลี้ยวขวาก็ต้องไป ตรงไปก็อย่าขัด การเดินทางในระยะแรก พอถึงแยก ถึงซอย ท่านคอยบอกเส้นทางตลอด พอสักพัก ผมเห็นท่านขยันทำสมาธิอยู่บ่อยๆ ผมต้องคอยสะกิดท่านทุกๆครั้ง ที่เจอทางแยกข้างหน้า ตลอดระยะกาลเดินทางชั่วโมงกว่า ผมก็พาท่าน หรือท่านก็พาผม จะเดินทางเข้าสู่อำเภอบ้านกรวดในอีก 10 กิโลข้างหน้า หลวงพ่อก็บอกให้ผมจอดรถข้างทาง ซึ่งเต็มไปด้วยท้องทุ่งนา เมื่อรถจอดสนิท ท่านเดินไปหลังพุ่มไม้สักพัก ท่านเดินกลับมาที่รถ ท่านได้ถามผมว่า โยม...พระฆ่าสัตว์มันบาปไหม บาปครับหลวงพ่อ... อาตมาไปยิงกระต่ายมาไม่เห็นจะบาปเลย การเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดที่วัดตาอี หลวงพ่อให้ไปจอดรถใต้ต้นไม้และพาผมเดินไปยังกุฏิไม้เล็กๆ หลังหนึ่ง เมื่อถึงหน้ากุฏิซึ่งปิดประตูอยู่ หลวงปู่ หลวงปู่ หลวงปู่ ในเมื่อประตูเปิดออกมา<br>
</body> ประเดี๋ยวหลง"อิทธิฤทธิ์"จัดจะเป็นเหมือน"รถยางแตกเข้าให้อีกผมก็เลยยิงคำถามหาความกระจ่าง
หลวงปู่ท่านรอผม.....รึ..? ใช่ ! เห็นหลวงปู่ท่านบอกแต่เช้าว่า โยมจะมาถวายอาหารเช้าหลวงตาแรมตอบ และย้อนถามกลับมาว่าไม่ได้นัดหลวงปู่ไว้หรืองัย ? ผมยิ้มให้แทนคำตอบเมื่อขึ้นไปบนกุฏิ เห็นหลวงปู่ท่านรออยู่และกำลังเตรียมถ้วยชามไว้สำหรับใส่อาหาร ผมเลยรีบจัดแจงอาหารประเคนหลวงปู่และหลวงตาแรม เมื่อท่านฉันท์อาหาร และให้ศีล ให้พร เสร็จสรรพ ท่านให้ผมไปรอที่แคร่ ใต้ต้นไม้ที่เดิม ซึ่งผมมีปัญหาค้างคาใจหลายๆเรื่องที่อยากจะถามนั่งรออยู่สักพัก ไม่นานหลวงปู่ท่านก็ตามมา ยังจุดนัดพบการสนทนาก็เริ่มขึ้น........
ทำไมมาช้าจัง?หลวงปู่ท่านถามขึ้นมาเป็นประโยคแรก ยางรถแตกครับทำให้มาล่าช้าครับ แล้วหลวงพ่อไม่ได้มาด้วย..เหรอ ? แวะไปรับที่วัดแล้วแต่ท่านไม่อยู่ครับผมตอบ แล้วมาหาหลวงปู่วันนี้อยากได้อะไร ? อยากได้บุญกับวิชา ครับผม..! ผมกราบเรียนจุดประสงค์ ให้หลวงปู่ท่านรับทราบ..! หลวงปู่ชื่นท่านนิ่งพร้อมกับมองหน้าผมเหมือนกำลังเค้นหาอะไรบ้างอย่าง..!ก่อนที่ท่านจะกล่าวขึ้นมาว่า.. หมายความว่าจะมาเป็นศิษย์..นี่ ? ครับ..! ผมตอบเสียงดังฟังชัดด้วยความมั่นใจ.. หลวงปู่ชื่นท่านได้กล่าวเป็นคำเตือนและคำสอนต่อไปว่า..ก่อนที่...เอ็งจะฝากตัวเป็นศิษย์ใครต่อใคร... เอ็ง...รู้ความหมายของคำว่า" ศิษย์กับอาจารย์ "ดีแล้วหรือยัง..?การเป็นศิษย์มันไม่ยาก... ดอก..!แต่การปฏิบัติ " ศรัทธาครู " ด้วยใจมั่นคง.. ซิ..มันยากกว่าถ้าวันหนึ่งครูอาจารย์ ที่เอ็งนับถือตกต่ำ..เอ็งจะ..กล้ายอมรับ..ม่ะว่านี่..ไงอาจารย์ของกู หรือถ้าเป็นอาจารย์เขาวันหนึ่งลูกศิษย์ชะตาตกต่ำ เป็นโจรเป็นคนไม่ดีหรือเป็น ผู้หญิงขายตัวอาจารย์..จะกล้ายืด อก รับ และกล้าบอกใครเขา ไหมว่า.. นั่น..ลูกศิษย์ของกู หลวงปู่น่ะ... ปรารถนาอยากให้ ลูกศิษย์มันได้ดีกันทุกคน ไม่อยากให้เจ็บ ไม่อยากให้อด และไม่อยากให้ใครมารังแกอยากให้มันเป็นเจ้าฅนนายฅนแต่ชะตาชีวิตฅนมันสูงต่ำไม่เท่ากัน"ถ้าเขาศรัทธาจริงมาบูชากราบไหว้น้อบจิตยอมรับเราเป็นอาจารย์เขาแล้ว" เราก็ต้องเป็นอาจารย์จริงจะชั่วจะดี ด้วยแรงแห่งกรรมก็ต้องดูแลสั่งสอนกันไปด้วยอยากให้ศิษย์ได้ดี นั่น...ล่ะความหมายของคำว่า อาจารย์ที่ดีเขียนมาถึงตรงนี้ ทำให้คิดถึง ความเป็นแบบอย่างอาจารย์ที่ดีของหลวงปู่ชื่นอย่างเช่น
ประตูกุฎิที่กำลังจะเปิดออกมาอีกไม่ถึง" อึดใจ " เบื้องหน้าผมจะได้" ยลโฉมประสบพักตร์ " พระภิกษุที่ผมได้ยิน ได้ฟังถึง" คุณวิเศษ " ที่หลวงพ่อพร่ำพูดให้ผมรบทราบมาโดยตลอดจนทำให้ผมต้องมายืนหน้ากุฏิท่านณเวลานี้ เสียงการทำงานของหัวใจผมดูจะทำงานผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด พิจารณาดูถึงได้รู้ว่ามันเป็นอาการ " ตื่นเต้น ! " ถ้าหากย้อนเวลากลับไป " มันเหมือนสิบสี่อีกครั้ง " และเมื่อประตูกุฏิเปิดจนสุดบานประตู" เห็นสรีระเจ้าของกุฏิ " ผมตกตลึงน้ำตาแทบไหลพรากมโนภาพที่จิตและสมองผมบรรจงสร้างถึงความยิ่งใหญ่ที่น่าจะเป็นไปอย่างที่จินตนาการแทบพังทลายหายสิ้นพระภิกษุที่ปรากฏในสายตาเบื้องหน้าผม "ท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่พิการเป็นง่อย " ท่านถามว่ามาหาใครมีธุระอะไรกัน ? ขณะที่ผมยืนจัดระบบความคิดที่กำลังสับสนให้เป็นระเบียบ หลวงพ่อท่านหันมามองหน้าผมท่านคงจะนึกขำที่เห็นผม" ต้องมนต์นะมหางง "เมื่อสติกลับมาผมรีบทรุดตัวลงกราบท่านทันทีเพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนเสมอว่าคบคนอย่าดูหน้าให้ดูที่ใจ (แต่ใจมันดูยากชมัด) พระอริยะสงฆ์ไม่ได้สำเร็จที่สิริโฉมเลอเลิศ แต่ท่านสำเร็จที่ใจคิดได้อย่างนี้ทำให้ความรู้สึกผมดูดีมากขึ้น หลวงปู่ไม่อยู่หรือ ? หลวงพ่อถามพระภิกษุสงฆ์องค์นั้น หลวงปู่อยู่ท่านไปขุดเผือกอยู่ในป่าข้างๆ กุฏิ พระภิกษุสงฆ์องค์นี้ไม่ใช่อาจารย์ของหลวงพ่อ ! อาจารย์หลวงพ่อกำลังขุดเผือกอยู่ในป่า ! ( พระภิกษุสงฆ์ที่ผมพบองค์แรก ทราบต่อมาภายหลังว่าท่านชื่อ หลวงตาแรม ท่านเป็นพระลูกวัด พิการมาแต่กำเนิด แต่จิตใจท่านมิได้พิการเยี่ยงสังขาร หลวงปู่ท่านให้มาเฝ้ากุฏิของท่าน )
ผมกับหลวงพ่อมานั่งรอหลวงปู่ใต้ร่มไม้ผมได้มองไปที่กุฏิหลวงปู่ซึ่งเป็นกุฏิไม้หลังเล็กๆยกพื้นสูงมีบันไดทางขึ้นไม่กี่ขั้น ด้านหน้าของกุฏิมีโอ่งน้ำฝนที่ท่านกักเก็บไว้สำหรับดื่มกิน มีฝาปิดโอ่งอย่างเรียบร้อย ดูความเป็นอยู่ของท่านสมถะเป็นยิ่งนักบริเวณรอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยต้นไม้ ดูสงบร่มรื่นเต็มไปด้วยไก่บ้านและไก่ป่าขณะที่คิดอะไรต่าง ๆนานาก็ได้ยินเสียงกระแอมกระไอมาจากป่า เป็นสัญญานให้รู้ว่าหลวงปู่ท่านกำลังเดินออกมาจากป่า หัวใจของผมเริ่มทำงานผิดปกติอึกครั้งสายตาก็จับจ้องไปที่เงาลางๆที่กำลังจะแทรกกายออกมาจากแมกไม้นานาพันธุ์แทบไม่กระพริบสายตา ใจเต้นระทึกยิ่งกว่ากลองสะบัดชัย ประหนึ่งแม่ยกที่รอศิลปินในดวงใจกำลังออกจากหลังฉากก็ปานนั้น ผ้าจีวรสีเหลืองเคลื่อนตัวตัดกับสีเขียวแห่งกิ่งและใบไม้ กำลังเด่นชัดขึ้นมาเรื่อย ๆ เรือนร่างของหลวงปู่ก็ปรากฏเด่นชัดแก่สายตา ท่านนุ่งผ้าสบงด้านบนเปลื่อยเปล่ามีผ้าจีวรผาดบ่าซ้ายมือซ้ายถือเสียมส่วนมือขวาถือถุงซึ่งบรรจุหัวเผือกแทบล้นผมละสายตาหันมามองหน้าหลวงพ่ออีกครั้งเพื่อจะขอคำ" ยืนยัน " ท่านพยักห้าแล้วพูดว่า " นี่แหละหลวงปู่ " ผมหันหน้าไปมองหน้าท่านอีกครั้ง สายตาจับจ้อง สมองบัญชาการ จิตรายงานความรู้สึก " แรกพบประสบพักตร์ " ดูท่านมีเสน่ห์ เมตตาลุ่มลึก มีพลังตบะ อำนาจเดชา เร้นลับ แปลกมหัศจรรย์กว่า พระภิกษุ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์องค์อื่นที่เคยสัมผัสพานพบประสบ หลวงปู่ท่านเดินไปที่โอ่งน้ำข้างกุฏิก่อนที่จะวางเสียมและถุงเผือกไว้ข้างๆโอ่งน้ำ ท่านเปิดโอ่งอ่างน้ำล้างมือ ล้างหน้า ก่อนที่จะเดินมาหาหลวงพ่อและผมที่รอคอยท่านอยู่ที่แคร่ไม้ไผ่เล็กๆ ใต้ร่มไม้(ซึ่งคนที่เคยไปกราบท่าน จะทราบทันทีว่าเป็นดั่งห้องรับแขก V.I.P. ของหลวงปู่ ) มาหาอะไรกัน ? เป็นประโยคแรกที่หลวงปู่ทักทาย พาโยมมากราบหลวงปู่ครับ ส่วนผมเอาของมาให้หลวงปู่บรรจุให้ครับหลวงพ่อตอบคำถามและแจ้งความจำนงค์ " เอาไปไว้บนกุฏิเดี๋ยวจะทำให้ "หลวงพ่อขอตัวนำวัตถุมงคลไปไว้ที่กุฏิปล่อยให้ผมกับหลวงปู่อยู่กันตามลำพัง หลวงปู่ถามผมว่าแล้วโยมล่ะมาหาอะไร ? ผมไม่ได้มาหาอะไรครับ ผมอยากมากราบหลวงพ่อครับ ! พระดังๆ เยอะแยะทำไมไม่ไปกราบมากราบอะไรกับพระป่า บ้านนอก ขุดเผือก ขุดมัน ไม่เห็นจะมีดีตรงไหน หลวงปู่กล่าวถ่อมตัวไว้อย่างน่ารัก น่าชัง เป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่ครับ หลวงปู่ชื่ออะไรครับ ? " ชื่น "แล้วฉายาล่ะครับ " ติคญาโณ" (ติคญาโณแปลว่า ผู้มีญาณอันแก่กล้า) หลวงปู่ครับถ้าผมไปกราบพระจะทราบได้อย่างไรว่าท่านเป็นพระอริยะ ครับ ?ดูยากหน่อยน่ะ ถ้าภูมิธรรมเราต่ำท่านก็จะลดภูมิธรรม มาระดับเดียวกันกับเรา ถ้าท่านแสดงธรรมสูงไปเราก็ไม่เข้าใจนอกจากภูมิธรรมเสมอกันถึงจะรู้ แล้วหลวงปู่ให้องค์ภาวนาอะไรครับ ? " สัมมาอรหัง " ผมนั่งสนทนาอยู่กับหลวงปู่สักพักใหญ่ท่านก็เดินขึ้นไปบนกุฏิกลับมาพร้อมกับผ้ายันต์สีขาว ใส่กรอบไม้เรียบร้อยเบ็ดเสร็จซึ่งเป็นผ้ายันต์ที่ท่านเขียนขึ้นเองกับมือ ท่านส่งมาให้ผมเอ๊า...หลวงปู่ให้ ใช้อย่างไรครับ ?ผมถามหลวงปู่ " ปราถนาอะไร ก็จุดธูปขอเอา เขาเรียกผ้ายันต์สิวลีจุดธูปบูชา 9 ดอก...เด้อ... "
และนั่นอันเป็นวัตถุมงคลอันทรงคุณค่าชิ้นแรกที่ผมได้รับจากมือหลวงปู่ชื่น เราทั้งสองได้พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ซักโน้น ถามนี่ ประหนึ่งญาติ พ่อแม่ พี่น้องที่ไม่ได้พบเจอกันมานานแสนนาน บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น ปิติสุขเหลือล้นความรู้สึกนี้ทั้งผมและหลวงปู่ไม่แตกต่างกัน(จนหลวงปู่ท่านลืม ฉันเพล)รู้สึกว่าวันนั้นพระกาลจะทำงานรวดเร็วเหลือเกิน ตะวันเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ ย่ำสนธยา เหล่าวิหกนกกาบินมาไก่ขับขันตีปีก " คืนรัง "เป็นสัญญานเตือนว่า ควรค่าแก่เวลาที่จะต้องกราบลาหลวงปู่ชื่นท่านจับมือผมไว้แน่นพร้อมกับพูดว่า " มาหา หลวงปู่อีกนะ " พร้อมกับพูดเตือนผมอีกว่าขากลับถ้ามีใครโบกรถ ไม่ต้องจอดรับน่ะ(ซึ่งก็เป็นจริงเหมือนที่ท่าน กล่างเตือนทุกอย่าง) ครับผมตอบรับ " เอาเผือกไปกินซิ หลวงปู่ขุดไว้ให้ " หลวงปู่เก็บไว้ทานเถอะครับ ผมเกรงใจ" ให้แล้วไม่เอา วันหน้ามาก็ไม่ต้องเอาอะไรอีก " หลวงปู่พูดจายื่นคำขาด ผมเลยต้องรีบหิ้วถุงเผือกอย่างรวดเร็ว กลัวว่ามาวันหลังจะไม่ได้อะไรจากท่านอีก หลวงปู่เห็นผมหิ้วถุงเผือกท่านมองและขำผมใหญ่เลยทางด้านหลวงพ่อ เมื่อเห็นผมจะลากลับ ท่านก็ลงมาจากกุฏิวันนั้นท่านเปิดโอกาสให้ผมได้ " สัมผัส " หลวงปู่อย่างเต็มที่ ผมและหลวงพ่อกราบลาหลวงปู่และเดินไปขึ้นรถมือหนึ่งของผมหิ้วถุงเผือกมืออีกข้างกอดผ้ายันต์แนบอก ผมเดินผ่านพุ่มไม้เห็นแม่ไก่กกลูกไก่ลูกไก่ตัวหนึ่ง มุดหัวออกมาจากปีกแมไก่ดูแล้วรู้สึกว่ามันมีความสุขเหลือเกินเมื่อเทียบกับผม ณเวลานั้น ผมและลูกไก่ตัวนั้น " มีความปิติสุขอบอุ่นไม่ต่างกันเลยจริงๆ"
เมื่อลาหลวงปู่ชื่นกลับ ผมได้แวะส่งหลวงพ่อที่วัดหลวงพ่อองค์นี้ท่านเคยได้วิชา"เสกเงี่ยงปลาดุก" จากหลวงปู่ชื่น ท่านทำได้ขลังไม่แพ้หลวงปู่ชื่นเลยครับผู้ที่อยากได้ต้องนำเงี่ยงปลาดุกมา 1 คู่ ท่านจะบรรจุให้ เวลาจะใช้ให้เหน็บไว้กับฟัน ส่วนอีกชิ้นพกติดตัวไว้ว่ากันว่า เวลาพูดคุยเจรจากับใครแล้วจะทำให้เขาคิดถึงเรา ร้อนลน ทนอยู่ไม่ได้ดั่งมีอะไรมาทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา เคยเห็นกับตาครั้งหนึ่ง หลวงปู่ชื่น เคยเสกให้ผู้หญิงท่านหนึ่ง ที่มีแฟนเป็นชาวต่างชาติเมื่อกลับประเทศแล้วไม่ยอมกลับมาหาหญิงสาวท่านนี้อีกเลย ได้มาร้องห่มร้องไห้ มาขอความช่วยเหลือจากหลวงปู่ หลวงปู่ได้เดินเข้าไปในกุฏิ และนำเงี่ยงปลาดุกที่บรรจุใส่ตลับเล็กๆ ให้หญิงท่านนั้น เหน็บไว้ที่ฟันแล้วให้โทรไปหาแฟน ต่อหน้าหลวงปู่ผลปรากฏว่าไม่ถึง 3 วันแฟนก็กลับมา วิชาเสกเงี่ยงปลาดุกเป็นมนต์คาถาที่ค่อนข้างรุนแรง มีทั้งคุณและโทษใช้ผิดทางครูบาอาจารย์ท่านสาปไว้แรงมากเป็นศาสตร์ที่มีอยู่จริงจึงขอบันทึกไว้ให้ทราบ หลวงปู่ชื่นท่านเคยทำให้ผมหนึ่งคู่พร้อมกับไม้สาริกาหลงรังไว้สำหรับติดต่อเจรจาเข้าหาผู้ใหญ่ในการหาผ้าป่าซึ่งก็เห็นผลอย่างมหัศจรรย์เหลือเชื่อ ต่อมาเพื่อนได้ยืมไปใช้เพื่อนผมคนนี้ก็"เหี้ยม"ชนิดไม่มี ม.ม้า เอาไปใช้ผิดทาง จนหลายๆ คนเดือดร้อน ผู้หญิงบางคนหมดเนื้อหมดตัวเลยก็มีสุดท้ายก็หนีเวรกรรมไม่พ้น ครอบครัวแตกแยก เมียก็เลิก ลูกก็หนี ทำงานใดๆ ก็หาความเจริญไม่เจอ ผมไม่ได้ขายเพื่อนนะครับ เพียงแต่อยากบันทึกไว้เป็น "อุทาหรณ์"
ส่งหลวงพ่อเสร็จผมก็รีบเดินทางกลับบ้านกว่าจะถึงบ้านก็เกือบ 21.00 น.เมื่อถึงบ้านก็เก็บ ถุงเผือกและผ้ายันต์ รีบอาบน้ำแต่งตัว เข้าห้องพระ "สวดมนต์ทำสมาธิ" เพราะกำลังฟิตจากคำแนะนำการปฏิบัติกรรมฐานที่หลวงปู่ชื่นสอน จะเป็นด้วยความอิ่มเอิบปิติสุขมาทั้งวัน จาก "แรกพบประสบพักตร์" หรือปล่าวไม่ทราบแน่ชัด วันนั้นนั่งสมาธิได้นานมาก จิตมีความสงบ ชุ่มชื่นปิติสุขตลอดเวลาก็เลยเอา"สติมาพิจารณาสุข"เกิดขึ้น ทรงไว้ และก็ดับไป ใดๆในโลกล้วน"อนิจจัง" ขณะที่กำลังซาบซึ่ง และดื่มด่ำกับรสพระธรรม ไม่รู้ว่ายุงเจ้ากรรมมาจากไหนไม่ทราบ ตก 10 กว่าตัวเห็นจะได้ บินมากัดซ้ายกัดขวา ซัดหน้า เจาะหลัง บางครั้งยังบินมาแถวๆ รูหูเป็นของแถมให้อีกผมพยายามรวบรวมกำลังใจ ใช้สติเตือนตัวเอง "เรากำลังทำหน้าที่ของเราคือการทำสมาธิ ยุงก็กำลังทำหน้าที่ของยุงคือดื่มเลือดเป็นอาหาร เราจะไม่ลุก เราจะไม่ขยับ เราจะไม่เลิก" โอ้....แม่เจ้า ! มันอะไรกันนี่เกิดจากท้องแม่มา ไม่เคยมียุงหน้าไหนกัดได้ถึงทรวง สะท้านไปถึงใจแบบเร้าอารมณ์ขนาดนี้"ทั้งแสบทั้งคัน"อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิตจนใจอ่อนท้อแท้ แลจะยอมจำนนเลยยกเอาคำสุภาษิตที่ว่า "ยุงมันร้ายกว่าเสือ" เพื่อจะได้เอามาเป็นข้ออ้างในการถอนสมาธิว่างั้นเถอะเพราะวันนั้นยุงทั้งหลายเขาทำหน้าที่ขยันขันแข็งกันเหลือเกิน ประมาณเวลาก็เกือบครึ่งชั่วโมงที่ทนทุกข์ทรมานไปกับยุง (เวลาสุขนานเพียงไรก็เหมือนสั้น เวลาทุกข์สั้นเพียงใดก็เหมือนนาน) ขณะที่กำลังจะ "ยอมยกธง" อยู่ๆก็มีความรู้สึกว่า มีกระแสลมมาปะทะร่างกาย เหมือนมีใครมานั่งพัดให้ใกล้ๆ เพียงชั่วครู่อาการที่เสวยทุกขเวทนา ที่เกิดแห่งยุงก็หายไป จิตกลับมาทรงปิติสุขอีกครั้ง "ที่น่าแปลก" ยุงและอาการแสบ....คัน....โคตร....มันหายอย่างปลิดทิ้ง ชนิดที่ว่ายาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยยี่ห้อใดๆ ในโลกายังต้องชิดซ้าย เมื่อถอนจากสมาธิ ได้เข้านอน กว่าจะนอนหลับก็แทบแย่ เพราะจิตมันยังคิดถึง"หลวงปู่อยู่มิจาง"และตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปหาท่านอีก
รุ่งเช้าของวันใหม่ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืด รีบอาบน้ำ แต่งตัว เข้าตลาด ไปหาซื้อกับข้าวอาหารผลไม้คาวหวาน ตั้งใจจะไปถวายอาหารหลวงปู่ชื่น ให้ทันฉันท์เช้าอยากให้หลวงปู่ได้ฉันท์อาหารดีๆ บ้าง และอีกอย่างถ้าเดินทางไปช่วงเช้าจะได้มีโอกาส อยู่สนทนากับหลวงปู่นานๆ "เริ่มออกเดินทาง"โดยไม่ลืมเด็ดขาดที่จะไปรับหลวงพ่อที่วัด แต่การเดินทางไปนมัสการหลวงปู่ชื่นในครั้งนี้ มิได้มีการนัดหมายกับหลวงพ่อไว้ก่อนล่วงหน้าเลยไม่ทราบว่า ท่านจะอยู่วัดหรือมีกิจนิมนต์อย่างอื่น ก็มิอาจทราบได้ แต่ก็ต้องแวะเข้าไปดู ถึงผมไม่ใช่เลือดสุพรรณ แต่ก็ยังถือคติ"มาด้วยกัน ไปด้วยกัน"เมื่อรถมาถึงกุฏิหลวงพ่อ กุญแจกุฏิปิดสนิท สอบถามพระในวัด จึงทราบว่า ลูกศิษย์ของท่านมารับไป และไม่ทราบว่าจะกลับมาตอนไหนซะด้วย เอาแล้วงัย! มาด่านแรก "แห้วรับประทาน" ซะแล้ว! ความคิดเลยบรรเจิด เตลิด เปิด เปิง ถึง "แห้วถุงใหญ่"ที่วัดตาอีถ้าไปแล้วไม่เจอหลวงปู่ชื่น.....ล่ะ ? ....ดูที.... รึ !....เราคงโดนสองแห้ว เป็นแน่แท้ใจหนีขวัญหาย....กำลังใจเหลือไม่ถึงร้อย"คิดจะถอย"แต่พอมองอาหารที่บรรทุกมาในรถ"จิตมันคิดเห็นภาพ" หลวงปู่ชื่นกำลังฉันท์อาหารเหล่านี้ ! ตัดสินใจเด็ดขาด เป็นงัยเป็นกัน ต้องรีบไปให้ทัน"ฉันท์เช้า" เดี๋ยวจะไม่ทันกาลจึงรีบบึ่งรถออกจากวัดหลวงพ่อ มุ่งหน้าสู่เป้าหมายปลายทาง ด้วยความเร็ว 140 ก.ม./ช.ม. ตลอดเวลาที่ขับขี่ในหัวสมองก็คงครุ่นคิด ถึงหลวงปู่ชื่นต่างๆ นานาและไม่รู้ว่าท่านจะอยู่วัดหรือปล่าว !ถ้าท่านไม่อยู่ เราจะจัดการกับอาหารนี้อย่างไร!และที่สำคัญ เราจะไปทันฉันท์เช้าหรือไม่ (ก็พระทางชนบทท่านจะฉันท์เช้าเร็วกว่าพระในตัวเมือง) ได้แต่ตั้งจิตมั่น "อธิฐาน"ลึกๆในใจดังๆ ว่า"ขอให้อยู่ทีเถอะ"และด้วยศรัทธาอันแรงกล้า แห่งบุญในกาลครั้งนี้สิ้นคำอธิฐานพักใหญ่ๆ รถที่ผมขับมามีอาการ"โคลงไป โคลงมา"อย่างน่าอัศจรรย์ ความคิดของผมณเวลานั้นมันปิติมาก หรือนี่!จะเป็นกระแสแห่งพลังจิตของหลวงปู่ชื่น ที่รับรู้คำอธิฐานแห่งเรายิ่งคิดถึงคำบอกเล่าจากหลวงพ่อว่า หลวงปู่ชื่น ท่านสามารถอ่านความคิดของคน และสัตว์ได้ ไม่ว่าไกล้หรือไกลมันตอกย้ำ ศรัทธา แทบสนิทตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งกิโลเมตร กระแสแห่งพลังจิต ยังคงแผ่มาอย่างต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยถอยลงไปเลยตรงกันข้ามกลับทวีความรุ่นแรงขึ้นอีกมาก จนถึงขั้นพวงมาลัยรถสั่นเลยครับ! ถ้าเป็นคุณเจอเหตุการณ์เช่นผมคุณจะรู้สึกอย่างไร?ผมลองชลอความเร็วลงจาก 140 เหลือ 80การสั่นโคลงของรถ ก็ยังมีอยู่ผมชักนึกแปลกใจ ว่าทำไม"กระแส"ถึงรุนแรงถึงเพียงนี้เลยตัดสินใจขับรถชิดซ้ายไหล่ทาง เมื่อรถจอดสนิท อาการต่างๆ จึงหยุด กลับคืนสู่สภาพปกติแต่ยังครับยังไม่จบแค่นั้น
เมื่อผมกดบานกระจกประตูรถลง "ผมแทบผงะ" กลิ่น....ครับ....กลิ่น....มันเหม็นมาก...ก...ก...ก...!!!!!!!แถมกลิ่นมันยังคุ้นๆเหมือนเคยประสบพบเจอมันมาแล้ว แต่นึกไม่ออกจึงตัดสินใจลงจากรถ เพื่อจะตามหาที่มาแห่งกลิ่น จนเมื่อผมพบ"ต้นตอ"ผมอยากจะร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกันพร้อมกับอุทานจนลั่นทุ่งนาข้างทางว่าปัดโธ่....เว้ย....!ยางมันแตก โถ...ๆ....ๆหลงนึกว่าอิทธิปาฏิหาร์ยมาตั้งนาน
เอาล่ะ....! ในเมื่อยางรถแตกเช่นนี้ จึงอยากจะลองวิชา ที่เคยร่ำเรียนมาจากครูบาอาจารย์ที่เคยทำได้ และได้ผลแทบทุกครั้ง จึงสำรวมจิตว่านะโม 3 จบ ตามด้วยสุดยอดพระคาถา..................... "อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ"(ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน) เมื่อว่าคาถาจบ ได้ผลทันทีครับ! ปัญญา คือ ปาฏิหารย์
แม่แรง คือ อิทธิฤทธิ์
ไขควง คือ ความศักดิ์สิทธิ์
ยางอะไหล่ คือ สิ่งมหัศจรรย์
กำลังกาย คือ ความสำเร็จ
เรียบร้อยครับ!ร่ายถาคาไปเสียยาวเสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงธาตุไฟแทบแตก เสียเหงื่อไปไม่ใช่น้อยจับจ้องมองนาฬิกาเกือบจะ 08.00 น. อยู่ร่ำไรมองระยะทางอีก 30 กิโลเมตรประมาณกาลถึงวัดตาอีไม่น่าเกิน 08.30 น. (ถ้าไม่มีเหตุอันใดมารบกวน)รถอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานคนขับพร้อมจะจอดอยู่ทำไมก็ไปต่อเลยครับรถได้แล่นต่อไปอีกชั่วระยะเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็จะถึงเป้าหมาย และคิดว่าคงหมดหวังที่จะถวายอาหารเช้าแน่ ถ้าไม่ทันก็ถวายเป็นอาหารเพลก็ได้นี่ ! ไหนๆ ก็ตั้งใจมาแล้วขับรถอยู่ชั่วครู่ก็ถึงวัดตาอี ได้นำรถเข้าไปจอด ณ จุดเดิม แม้จะเคยพบหลวงปู่มาแล้วครั้งหนึ่งแต่อาการ "ตื่นเต้น" หาได้ลดน้อยถอยลงไปไม่ยังคงรักษามาตรฐานอย่างคงเส้นคงวา..............และเมื่อสายตาแลเห็น พระภิกษุท่านหนึ่งกำลังล้างบาตรนั้นหมายความว่ากาลแห่ง "ฉันท์เช้า"ได้สิ้นสุดลงแล้ว อาการร้อนรนผสมเสียใจเล็กๆมันแทรกแซง บดบัง อาการตื่นเต้นเสียมิดชิด เลยต้องรีบ หิ้วสัมภาระมุ่งสู่กุฏิหลวงปู่ชื่น มองไปกุฏิก็เห็นกุฏิเปิดอยู่ ทำให้ใจชื่นขึ้นมาหน่อยเห็นหลวงตาแรม เดินไปเดินมาหน้ากุฏิเมื่อท่านเห็นผมหิ้วของ เต็มสองมือท่านเลยรีบเดินมาช่วยถือของ ทั้งๆ ที่ร่างกายสังขารท่านไม่ดี แต่น้ำใจของหลวงตาแรมต้อง"ยกนิ้วให้ครับ"ก่อนที่ผมจะอ้าปากถาม ว่าหลวงปู่อยู่ไหม ?ยังไม่ทันได้พูด หลวงตาแรม ชิงพูดตัดหน้ามันเป็นประโยคที่ทำให้ผมต้อง ทึ่ง + งง "ทำไมมาช้าจังหลวงปู่รอโยมอยู่" จะไม่ให้ทึ่งได้อย่างไรในเมื่อไม่มีการนัดหมายในการมาครั้งนี้ แต่อีกใจก็คิดเผื่อไปว่า สงสัยท่านคงนัดคณะศรัทธาอื่นมาถวาย อาหารเช้า ครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์ของหลวงปู่ชื่นท่านหนึ่ง ไปทำผิดอะไรผมก็ไม่จำไม่ได้เสียแล้วโดนตำรวจจับ หลวงปู่ชื่นท่านทราบ ท่านได้เดินทางมาดูที่โรงพัก หลวงปู่ท่าน โดนตำรวจกล่าวติเตียนต่างๆ นาๆ หาว่าดูแลสั่งสอนลูกศิษย์ไม่ดี ทำเช่นนี้ มันติดคุกยาวแน่ หลวงปู่ท่านก็ก้มหน้ารับฟัง ก่อนที่จะย้อนถามตำรวจ ท่านนั้นไปว่า"ถ้าเป็นลูกโยม โดนอย่างนี้ โยมจะมาดูไหม"พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ลูกศิษย์ที่อยู่ในกรงทองว่า"ไอ้...นั่นมันลูกศิษย์กู จะให้กูทิ้งมันได้อย่างไร มันเป็นลูกศิษย์กู กูว่าวันพรุ่งนี้มันต้องออกว่ะมึงเชื่อกูไหม?" เมื่อลูกศิษย์ ได้ยินหลวงปู่กล่าวเช่นนั้นปล่อยโฮ....ออกมาจนน้ำตาแทบท่วมกรงทอง และร้องตะโกนบอกหลวงปู่ว่า"หลวงปู่ครับ ช่วยผมด้วย ผมผิดไปแล้วครับ"หลวงปู่จ้องมองลูกศิษย์ด้วยความเวทนา หลังจากนั้น หลวงปู่ได้เดินทางกลับวัด
รุ่งเช้าวันใหม่ อยู่ๆ คู่กรณีเห็นว่าเป็นเด็ก ใจอ่อนอย่างไงไม่ทราบ เกิดยอมความกันเสียเฉยๆ เสียอย่างไง!ลองเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงดังๆ สมัยนี้ถ้าลูกศิษย์ป็นเช่นนี้คงจะพูดว่า "มันไม่ใช่ศิษย์กู! กูไม่ได้รู้จักมัน!และจะกล้าไปเยี่ยมลูกศิษย์อย่างหลวงปู่ชื่น หรือปล่าว.....หนอ..! ในโลกนี้....อาจารย์ที่รักลูกศิษย์อย่างหลวงปู่ชื่น จะมีสักกี่คน?เคยถามหลวงปู่ว่า"หลวงปู่ครับ หลวงปู่ช่วยลูกศิษย์ที่ถูกจองจำด้วยวิธีไหนครับ ?"ท่านบอกว่า ก็ใช้คาถาบท ".........." การที่จะสำเร็จช้าหรือเร็ว อยู่ที่กรรมหนัก หรือเบา หรือจะตอกย้ำอีกซักเรื่อง.....
ครั้งที่ลูกศิษย์ของท่าน จะไปกราบท่านลูกศิษย์ได้โทรศัพท์ไปบอกชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆวัดว่า"จะไปหาหลวงปู่" ให้ไปบอกหลวงปูที แต่ชาวบ้านที่รับฟังโทรศัพท์ ยังไงไม่ทราบจากคำว่า "จะไปหา" กลายเป็นว่า "จะเปิดร้านอาหาร"และด้วยพื้นฐานแห่งการรักลูกศิษย์เป็นทุนเดิม หลวงปู่ท่านได้นำผ้าขาวมาลงยันต์ เพื่อมอบให้ลูกศิษย์ไว้ติดร้านเพื่อเป็น"ศิริมงคล"แต่ยันต์ที่ท่านทำวันนั้นอักขระเยอะมาก เมื่อลูกศิษย์เดินทางมากุฏิภาพที่เห็น คือ หลวงปู่ท่านนอนหลับคาผ้ายันต์ มือข้างขวายังคงถือปากกาไว้แน่น..!และเมื่อท่านรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ท่านก็รีบเขียนมายันต์ต่อทันที (ทราบว่า วันนั้นหลวงปู่ท่านไม่สบาย) เมื่อลูกศิษย์เห็นเช่นนั้น จึงเรียนถามหลวงปู่ไปว่า "หลวงปู่ครับ ตั้งใจทำผ้ายันต์จังจะลงไว้ให้ใครครับ?" หลวงท่านตอบว่า"ลงไว้ให้เอ็งไง"
ไหนเห็นอีแตนมันมาบอกว่า"เอ็งจะเปิดร้านอาหาร"ปล่าวครับ ผมโทรศัพท์มาบอกว่า"จะไปหา"ไม่ใช่"จะเปิดร้านอาหาร"หลวงปู่ท่านมองหน้าลูกศิษย์ท่านนั้นพร้อมกับอมยิ้ม และกล่าวคำว่า"อ้าว...เป็นงั่น...รึ" ก่อนที่ศิษย์กับอาจารย์จะสบตากัน แล้วพร้อมใจกันหัวเราะจนลั่นกุฎิ(ศิษย์คนนั้น ก็คือฉันนี่เอง...ครับ) ผ้ายันต์ผืนนี้ ปัจจุบันผมเก็บรักษาไว้อย่างดี ผมตั้งชื่อผ้ายันต์ผืนนี้ว่า"ผ้ายันต์จะไปหา"ส่วนหลวงปู่ชื่นท่านเรียกว่า "ผ้ายันต์เปิดร้านอาหาร"